คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 5
เข้ามาแสดงความเห็นใจครับ ผมนึกว่าผมเคยเป็นคนเดียวที่เคยเจอสภาพนี้
คำแนะนำของผมคือ ถ้ามันไม่ไหวก็ลาออกครับ อย่าทน จนกว่าทุกอย่างมันจจะสายเกินไป กัดกร่อนความมั่นใจไปมากกว่านี้ ใจเป็นสิ่งที่ต้องรักษาไว้อย่าให้มันถูกทำลายตัวเองได้
ขอเล่าเรื่องของตัวเองให้ฟัง เรื่องของผมก็คือ ผมถูกส่งให้มาทำงานหน่วยงานแห่งหนึ่ง ซึ่งผมก็เคยมาทำเป็นพักๆ คุ้นเคยกันดี หัวหน้าก็ดูเป็นมิตร ปกติ เวลามาทำก็จะอยู่เป็นเดือน แล้วมันก็ยุ่งมากๆ ผมก็เลยโอเค แล้วในที่สุดเค้าก็ให้มาประจำ งานของผมเป็นงานใช้ทักษะอย่างมาก ช่วงแรกๆ คือเค้าก็ให้ผมมาทำงานสองวัน หยุดสองวัน ผมก็แจ้งบริษัทไปว่าจะอยู่อย่างไงถ้าทำงานอาทิตย์ละสองวัน ว่าง 5 วันแบบนี้ เค้าก็ไปคุยกัน แล้วเดือนต่อมา เปลี่ยนใหม่ให้มาทำงานครึ่งเช้าทุกวันทำงาน แล้วก็กลับบ้าน ผมก็แจ้งไปทางบริษัทอีกว่าค่าเดินทางกับเวลาที่สูญเสียไปในการเดินทางก็หมดไปวันนึงแล้ว โดยที่ไม่มีเวลาไปทำอะไรอีก ทีนี้เค้าก็ไปคุยกันอีก เดือนต่อมาก็ให้ผมมาทำงานเต็ม 5 วัน ซึ่งมันก็ดูไม่มีปัญหาอะไรใช่มั๊ย แต่ปัญหามันก็มี หัวหน้าไม่เคยอยู่สั่งงานตลอด 3 ปีเกือบ 4 ปีที่อยู่ทำงาน แต่เจอกันตอนศุกร์เที่ยงตอนพาหน่วยไปกินข้าวร่วมกัน แล้วก็เค่ทักทายกันเท่านั้น เวลาสั่งงานก็จะสั่งผ่านเลขาหรือไม่ก็เจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่ง พอถึงสิ้นปีงบประมาณก็มีข่าวคาบมาบอกว่าอาจไม่ต่อสัญญาผมนะ ให้ผมเครียดเล่นๆ ช่วงนั้นผมจะเกลียดเดือนสิงหา-กันยามาก เพราะมันกดดันจากสิ่งที่กดดันอยู่แล้ว
สิ่งประจำที่กดดันก็คือ เดือนแรกนั่งเฉยๆ ตลอด 8 ชั่วโมงในห้องสี่เหลี่ยมคนเดียว ผมก็แจ้งไปที่บริษัทว่าไม่มีงานหรอก ส่วนใหญ่ก็นั่งเฉยๆ เค้าก็ไปคุยกัน ที่นี้เค้าก็เลยให้ผมสรุปข่าวทุกเช้า พอจบงานก็นั่งเฉยๆ เลยเอาหนังสือมาอ่าน เลขามาเห็นก็บอกว่าห้ามอ่าน วันต่อมาเจ้าหน้าที่อีกคนก็เดินมาบอกแต่เช้าว่าเค้าจ้างผมมาทำงานไม่ได้จ้างมาอ่านหนังสือ ผมก็ไม่เอาหนังสือไปอ่านอีกเลย ก็นั่งอยู่เฉยๆ ทั้งวันจริงๆ ไม่ง่วง ไม่หลับ นั่งนิ่งๆ ห้องผมแยกมาต่างหากก็จริง แต่มันมีกล้องวงจรปิดอยู่ในห้องหัวหน้าอีกที ผมก็นั่งเฉยๆ อยู่อย่างนั้นจริงๆ 3 ปีกว่าเกิอบ 4 ปีโดยที่วันๆ ไม่ได้คุยกับใคร ไม่เคยใช้หัวสมองเลย ตื่นเช้าก็รีบมา เย็นก็กลับบ้าน กิจวัตรมีอยู่แค่นั้นจริงๆ
การที่ผมมาทำงานทุกวันแต่ไม่มีงานเลย เป็นผลมาจากการเมืองภายใน แล้วผมก็เป็นหนังหน้าไฟที่เค้าเลือกให้มาอยู่ตรงนั้น
ผมก็เครียดเหมือนคุณ เพราะก่อนมาผมก็เชี่ยวชาญในเรื่องที่ผมทำ แต่การให้มานั่งเฉยๆ เหมือนไม่มีค่า ห้ามอ่านหนังสือ แล้วก็มีคำฝากมาบอกเป็นระยะว่าไม่มีผลงาน วันๆ ทำอะไรอยู่ จนในที่สุดผมก็ลาออกจากบริษัท แล้วก็ไปลงเรียนป.โท ทีนี้ปัญหามันชัดเลย ตอนเรียนป.โท สมองที่ไม่เคยใช้ตลอดเกือบ 4 ปี มันตี้อ บวกกับมันเครียดกับสิ่งที่ได้ยินเป็นระยะ มันบ่อนทอนจิตใจและสุขภาพมากเลย มันทำให้ฟังอะไรก็ไม่เข้าใจ แม้แต่สิ่งที่เป็นจุดแข็งของตัวเอง มันก็ตื้อ คิดไม่ออก
พอผมเรียนป.โท หัวหน้างานหน่วยงานนั้นที่ไม่เคยสั่งงานผมเลย เข้ามาเม้นท์ในเฟสบุ๊คผมทุกวัน บางครั้งผมก็เขียนบนหน้าวอลทำนองว่า ผมใช้เวลาอ่านงานวิจัยนานมาก ปกติผมเป็นคนอ่านหนังสือเร็ว และสรุปอะไรได้เร็วมาก แต่มันไม่เป็นอย่างนั้นอีกแล้ว เค้าก็เข้ามาต่อล้อต่อเถียงกับผมที่หน้าวอล-ผมนะ จนผมเบื่อที่จะโต้ตอบ ทีนี้เค้าก็หายไปเลย
จากสิ่งที่ตัวเองเจอมา ผมอยากให้คุณลาออก หรือคุยกับเค้าก่อนลาออก เพื่อหาทางแก้ ก่อนที่มันจะสายไป เพราะเมื่อสูญเสียความมั่นใจแล้วมันยากที่จะสร้างใหม่ หรือไม่ก็มองหางานใหม่ก่อนที่จะทำอะไร
คำแนะนำของผมคือ ถ้ามันไม่ไหวก็ลาออกครับ อย่าทน จนกว่าทุกอย่างมันจจะสายเกินไป กัดกร่อนความมั่นใจไปมากกว่านี้ ใจเป็นสิ่งที่ต้องรักษาไว้อย่าให้มันถูกทำลายตัวเองได้
ขอเล่าเรื่องของตัวเองให้ฟัง เรื่องของผมก็คือ ผมถูกส่งให้มาทำงานหน่วยงานแห่งหนึ่ง ซึ่งผมก็เคยมาทำเป็นพักๆ คุ้นเคยกันดี หัวหน้าก็ดูเป็นมิตร ปกติ เวลามาทำก็จะอยู่เป็นเดือน แล้วมันก็ยุ่งมากๆ ผมก็เลยโอเค แล้วในที่สุดเค้าก็ให้มาประจำ งานของผมเป็นงานใช้ทักษะอย่างมาก ช่วงแรกๆ คือเค้าก็ให้ผมมาทำงานสองวัน หยุดสองวัน ผมก็แจ้งบริษัทไปว่าจะอยู่อย่างไงถ้าทำงานอาทิตย์ละสองวัน ว่าง 5 วันแบบนี้ เค้าก็ไปคุยกัน แล้วเดือนต่อมา เปลี่ยนใหม่ให้มาทำงานครึ่งเช้าทุกวันทำงาน แล้วก็กลับบ้าน ผมก็แจ้งไปทางบริษัทอีกว่าค่าเดินทางกับเวลาที่สูญเสียไปในการเดินทางก็หมดไปวันนึงแล้ว โดยที่ไม่มีเวลาไปทำอะไรอีก ทีนี้เค้าก็ไปคุยกันอีก เดือนต่อมาก็ให้ผมมาทำงานเต็ม 5 วัน ซึ่งมันก็ดูไม่มีปัญหาอะไรใช่มั๊ย แต่ปัญหามันก็มี หัวหน้าไม่เคยอยู่สั่งงานตลอด 3 ปีเกือบ 4 ปีที่อยู่ทำงาน แต่เจอกันตอนศุกร์เที่ยงตอนพาหน่วยไปกินข้าวร่วมกัน แล้วก็เค่ทักทายกันเท่านั้น เวลาสั่งงานก็จะสั่งผ่านเลขาหรือไม่ก็เจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่ง พอถึงสิ้นปีงบประมาณก็มีข่าวคาบมาบอกว่าอาจไม่ต่อสัญญาผมนะ ให้ผมเครียดเล่นๆ ช่วงนั้นผมจะเกลียดเดือนสิงหา-กันยามาก เพราะมันกดดันจากสิ่งที่กดดันอยู่แล้ว
สิ่งประจำที่กดดันก็คือ เดือนแรกนั่งเฉยๆ ตลอด 8 ชั่วโมงในห้องสี่เหลี่ยมคนเดียว ผมก็แจ้งไปที่บริษัทว่าไม่มีงานหรอก ส่วนใหญ่ก็นั่งเฉยๆ เค้าก็ไปคุยกัน ที่นี้เค้าก็เลยให้ผมสรุปข่าวทุกเช้า พอจบงานก็นั่งเฉยๆ เลยเอาหนังสือมาอ่าน เลขามาเห็นก็บอกว่าห้ามอ่าน วันต่อมาเจ้าหน้าที่อีกคนก็เดินมาบอกแต่เช้าว่าเค้าจ้างผมมาทำงานไม่ได้จ้างมาอ่านหนังสือ ผมก็ไม่เอาหนังสือไปอ่านอีกเลย ก็นั่งอยู่เฉยๆ ทั้งวันจริงๆ ไม่ง่วง ไม่หลับ นั่งนิ่งๆ ห้องผมแยกมาต่างหากก็จริง แต่มันมีกล้องวงจรปิดอยู่ในห้องหัวหน้าอีกที ผมก็นั่งเฉยๆ อยู่อย่างนั้นจริงๆ 3 ปีกว่าเกิอบ 4 ปีโดยที่วันๆ ไม่ได้คุยกับใคร ไม่เคยใช้หัวสมองเลย ตื่นเช้าก็รีบมา เย็นก็กลับบ้าน กิจวัตรมีอยู่แค่นั้นจริงๆ
การที่ผมมาทำงานทุกวันแต่ไม่มีงานเลย เป็นผลมาจากการเมืองภายใน แล้วผมก็เป็นหนังหน้าไฟที่เค้าเลือกให้มาอยู่ตรงนั้น
ผมก็เครียดเหมือนคุณ เพราะก่อนมาผมก็เชี่ยวชาญในเรื่องที่ผมทำ แต่การให้มานั่งเฉยๆ เหมือนไม่มีค่า ห้ามอ่านหนังสือ แล้วก็มีคำฝากมาบอกเป็นระยะว่าไม่มีผลงาน วันๆ ทำอะไรอยู่ จนในที่สุดผมก็ลาออกจากบริษัท แล้วก็ไปลงเรียนป.โท ทีนี้ปัญหามันชัดเลย ตอนเรียนป.โท สมองที่ไม่เคยใช้ตลอดเกือบ 4 ปี มันตี้อ บวกกับมันเครียดกับสิ่งที่ได้ยินเป็นระยะ มันบ่อนทอนจิตใจและสุขภาพมากเลย มันทำให้ฟังอะไรก็ไม่เข้าใจ แม้แต่สิ่งที่เป็นจุดแข็งของตัวเอง มันก็ตื้อ คิดไม่ออก
พอผมเรียนป.โท หัวหน้างานหน่วยงานนั้นที่ไม่เคยสั่งงานผมเลย เข้ามาเม้นท์ในเฟสบุ๊คผมทุกวัน บางครั้งผมก็เขียนบนหน้าวอลทำนองว่า ผมใช้เวลาอ่านงานวิจัยนานมาก ปกติผมเป็นคนอ่านหนังสือเร็ว และสรุปอะไรได้เร็วมาก แต่มันไม่เป็นอย่างนั้นอีกแล้ว เค้าก็เข้ามาต่อล้อต่อเถียงกับผมที่หน้าวอล-ผมนะ จนผมเบื่อที่จะโต้ตอบ ทีนี้เค้าก็หายไปเลย
จากสิ่งที่ตัวเองเจอมา ผมอยากให้คุณลาออก หรือคุยกับเค้าก่อนลาออก เพื่อหาทางแก้ ก่อนที่มันจะสายไป เพราะเมื่อสูญเสียความมั่นใจแล้วมันยากที่จะสร้างใหม่ หรือไม่ก็มองหางานใหม่ก่อนที่จะทำอะไร
แสดงความคิดเห็น
ที่ทำงานไม่มีงานให้ทำเลย แต่หัวหน้าเรียกไปคุยว่า อาจจะไม่จ้างต่อเพราะเราไม่มีงานเป็นชิ้นเป็นอัน อาจไม่ผ่านโปร