คิดว่าบทหน้าน่าจะจบแล้วล่ะ
จริงๆ คิดว่าจะเขียนเป็นเรื่องสั้นๆ สองสามเรื่องแล้วรวมเป็นชุดเดียว แต่ตอนนี้ยังคิดพล็อตเรื่องอื่นไม่ออก ^^'
ความเดิม
บทที่ ๑
https://pantip.com/topic/37540847
บทที่ ๖
https://pantip.com/topic/37925989
###
บทที่ ๗
ช็อปเปอร์คันสวยเลี้ยวเข้ามาจอดหน้าสถานีตำรวจแห่งหนึ่งโดยไม่มีใครสังเกตเห็น
คนนั่งซ้อนท้ายตวัดขาลงจากรถมายืนเหม่อมองประตูกระจกบานคู่ที่อยู่สุดขั้นบันได เขาสาวเท้าไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง แล้วจึงหันมามองคนขับที่เพิ่งลงจากรถอย่างไม่มั่นใจ
"คุณพาผมมาที่นี่ทำไม" อเนชาถามออกไป
"มาแจ้งความว่าถูกฆ่าตายมั้ง" ตัวแทนสามสี่เจ็ดประชด แต่พอเห็นสายตาตำหนิของเขา เธอจึงยอมบอกดีๆ "มาเก็บข้อมูลเรื่องเพื่อนของคุณไง"
เขาพยักหน้าเข้าใจ จากนั้นจึงก้าวขึ้นบันได แล้วก้าวผ่านประตูกระจกเข้าไปในโรงพัก ก่อนจะหยุดยืนทำอะไรไม่ถูกอยู่ที่หน้าประตูนั่นเอง
ตัวแทนบริษัทไถ่วิญญาณเดินตามเขามา พอเห็นเขายืนเก้ๆ กังๆ อยู่จึงชี้ไปยังเจ้าหน้าที่ซึ่งกำลังนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง
"คุณเห็นตำรวจนายนั้นไหม"
"เห็น" อเนชาบอก ก่อนจะหันกลับมาถามเสียงเบา ราวกับเกรงว่าใครจะได้ยิน "จะให้ผมไปหลอกเขาหรือ"
ตัวแทนสามสี่เจ็ดค้อนกลับไป ก่อนจะอธิบายต่อ "เขากำลังพิมพ์สำนวนคดีของเพื่อนคุณอยู่ต่างหากล่ะ"
วิญญาณหนุ่มส่งเสียงรับในลำคอ ทว่าไม่ถึงอึดใจเขาก็หันขวับกลับไปอีกพร้อมกับร้องออกมา
"เฮ้ย! จะให้ผมไปแฮ็กคอมพ์ของตำรวจเนี่ยนะ ผมทำไม่เป็นหรอก"
หญิงสาวแทบจะเหวี่ยงค้อนที่เพิ่งปรากฏในมือฟาดใส่หัวเขา "ไม่ใช่!" เธอปฏิเสธเสียงแหลม "เขาพิมพ์สำนวนเสร็จแล้วก็ต้องไปรายงานกับหัวหน้า...เอ้อ เรียกอะไรไม่รู้ละ ถึงตอนนั้นคุณก็แค่รอ แล้วก็ฟัง"
อเนชาส่งเสียงอ้อยาวๆ จากนั้นทั้งคู่จะก้าวตรงไปยังเจ้าหน้าที่นายนั้น ซึ่งเป็นจังหวะพอดีกับที่เป้าหมายกำลังลุกขึ้นจากโต๊ะ เดินไปหยิบแฟ้มรายงาน และกระดาษที่พิมพ์เสร็จใหม่ๆ จากเครื่องปรินเตอร์ เขากระดาษสองสามแผ่นนั้นสอดไว้ในแฟ้ม ก่อนจะก้าวเคาะประตูห้องที่อยู่ทางด้านหลัง ครั้นได้ยินคนข้างในอนุญาตแล้ว เขาก็ผลักประตูเข้าไป
อเนชากับตัวแทนสามสี่เจ็ดเดินตามเขาไปโดยไม่ได้รอขออนุญาต ครั้นผ่านประตูเข้าไปแล้วก็ได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่ยศสูงกว่าซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะเอ่ยถามออกมา
"คดีเก๋งชนมอเตอร์ไซค์เป็นยังไงบ้าง สรุปให้ฟังซิ"
"ตอนนี้รวบรวมหลักฐานทั้งหมดเรียบร้อยแล้วครับ" ผู้ใต้บังคับบัญชาเอ่ย พร้อมกับเปิดแฟ้มขึ้นอ่าน "รถเก๋งสีดำหมายเลขทะเบียน ศข ๔๒๐๑ เสยชนมอเตอร์ไซค์ทะเบียน ๓กร ๘๒๗๕ ก่อนจะพุ่งชนตอม่อรถไฟฟ้า เป็นเหตุให้คนขับรถมอเตอร์ไซค์เสียชีวิตในทันที ส่วนคนขับรถเก๋ง..."
"เดี๋ยว! จะไปไหนน่ะ ฟังให้จบก่อนสิ" ตัวแทนสามสี่เจ็ดตะโกนไล่หลัง ทว่าร่างที่มีไฟลุกท่วมกลับคล้ายไม่ได้ยิน เธอจึงต้องวิ่งติดตามออกไปก่อนที่เขาจะถูกลากลงนรกไปเสีย
---
ไอ้เจตต์! เขาจำได้แล้ว มันเป็นคนขับรถชนเขา
ตอนนั้นประมาณตีสอง เขากำลังขับบิ๊กไบค์ของตนกลับบ้าน ครั้นพอถึงสี่แยกใต้ทางรถไฟฟ้า เขาเห็นสัญญาณไฟฝั่งตนเป็นสีเขียวจึงเลี้ยวรถเข้าสู่ถนนเส้นที่ตัดผ่านหน้าหมู่บ้าน
ขณะที่ยังเลี้ยวไม่ทันพ้นสี่แยกนั้น หางตาของเขาก็เหลือบไปเห็นแสงไฟสว่างวาบ รู้สึกถึงแรงกระแทกจากด้านหลังเยื้องไปทางซ้าย จากนั้นตัวของเขาก็เบาหวิว สมองว่างเปล่า ก่อนจะรู้สึกถึงแรงกระแทกอีกครั้ง ครานี้เบากว่าครั้งแรก แต่เขาก็รู้ได้ว่าร่างด้านหน้าครูดไปกับพื้นถนนอันขรุขระ
เขานิ่ง ความคิดทั้งมวลกระจายหายไปหมด รู้สึกแก้มขวาเย็นวาบ ในขณะที่ร่างกายส่วนอื่นชา โดยเฉพาะซีกซ้ายถึงกับไร้ความรู้สึก
เขาไม่รู้ว่าจะขยับตัวอย่างไร ไม่ทราบว่าต้องทำอะไร ในแสงไฟเลือนราง เขาเห็นบิ๊กไบค์ของตนล้มกระเท่เร่อยู่ตรงหน้า ห่างออกไปเป็นรถเก๋งสีดำ เขาเห็นมันจอดอยู่...ไม่ใช่ มันชนตอม่อข้างทางแน่นิ่งไป
เขาเห็นแค่นั้น สมองตอนนั้นยังไม่ทันประมวลว่าเป็นรถของใคร ทุกอย่างก็ดับวูบลง รู้สึกตัวอีกที เขาก็ไปโผล่ในสถานที่เวิ้งว้างระหว่างสวรรค์กับนรกนั่นแล้ว
ไอ้เจตต์ มันฆ่าเขา เขาก็จะฆ่ามัน เอาเลือดมาชุบชีวิตตนเองคืน...ชีวิตแลกชีวิต!
ร่างที่มีไฟร้อนแดงลุกท่วมก้าวผ่านประตูบานคู่ออกมา ทว่ายังไม่ทันคิดว่าจะไปตามหาเพื่อนที่ใด เขาก็เห็นเมฆทะมืนก่อตัวอยู่เบื้องหน้า
เสียงคำรามชวนหวาดหวั่น แต่ยามนั้นเขากลับไม่คิดครั่นคร้าม ใจเขามีแต่ความโกรธ กายเขากำลังลุกไหม้ด้วยไฟพิโรธ
พวกตัวฉุดลากมาก็ดี เขาจะล่อมันไปหาไอ้เจตต์ ให้พวกมันลากเพื่อนเขาไปลงนรกด้วยกัน
คิดเช่นนั้นแล้วเขาก็ส่งเสียงคล้ายคำราม ร่างกายเปลี่ยนไปราวกับหมาป่าซูบผอมที่มีแต่หนังหุ้มกระดูก ไฟร้อนแดงยังคงไหม้ท่วมร่างหมาป่านั้น
หมาป่าวิ่งไป เขาวิ่งไปเรื่อยๆ ตัวฉุดลากก็เคลื่อนติดตามเขาไป
เขาได้ยินเสียงเครื่องยนต์ไล่หลังมา แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใดเสียงเครื่องยนต์จึงยิ่งห่างไกลออกไปทุกที
เขายังคงวิ่งต่อไป ฝูงตัวฉุดลากก็เคลื่อนตามเขามาติดๆ พวกมันส่งเสียงคำรามก้อง ในขณะที่เสียงเครื่องยนต์กลับค่อยๆ เลือนหายไป
เขาไม่ทราบว่าตนเองวิ่งมาไกลเท่าไร และไม่ทราบว่าวิ่งมานานเพียงไหน รู้ตัวอีกทีก็พบว่ารอบกายล้วนเป็นพื้นที่ว่างเปล่า ผืนฟ้าเป็นสีดำ ผืนดินแห้งผากเป็นทรายเหลือง
เขายังคงวิ่งอยู่ วิ่งไม่หยุดยั้ง ระหว่างนั้นก็พลันมีเสียงเครื่องยนต์ดังมาแต่ไกล ทว่าไม่ทราบดังมาจากทิศไหน
ยายตัวแทนบริษัทนั่นหรือ... เขาคิด สี่เท้ายังคงวิ่งไป ...ไม่ใช่ เสียงไม่เหมือนรถยายนั่น ใครกัน...
เสียงเครื่องยนต์ดังใกล้เข้ามา ไม่นานนักเขาก็เห็นฝุ่นทรายคลุ้งเป็นหมอกเหลืองอยู่เบื้องหน้า อึดใจต่อมาจึงเห็นว่าท่ามกลางฝุ่นทรายนั้น เป็นรถสปอร์ตสีแดงเปิดประทุนคันหนึ่ง
เขาไม่เห็นคนขับ เห็นแต่ไฟ...ไฟลุกท่วมที่นั่งคนขับ
รถคันนั้นขับมาทางเขาด้วยความเร็วสูง เขาเองก็วิ่งไปหามันด้วยความเร็วเช่นกัน
เขาเห็นมันพุ่งเข้ามาก็ไม่คิดจะเบี่ยงหลบ ความโกรธที่เป็นไฟลุกท่วมร่างทำให้เขายิ่งมุทะลุ คิดจะแลกกับมันสักตั้ง
โครม! เอ็ง!
รถคันนั้นพุ่งเข้าชนเขาจริงๆ ร่างของเขากระเด็นลอยออกไป ทว่าก่อนจะตกถึงพื้นเขาก็ถูกตัวฉุดลากร่างเป็นกระดูกนกซึ่งติดตามมาแต่แรก จิกทึ้งอยู่กลางอากาศนั่น
ยามร่างปลิวร่วงลงมา ก็ยังมีตัวฉุดลากหน้าตาเหมือนแมงมุม ตะขาบ กิ้งกือ รอเขมือบเ
ขาอยู่
ป๊อก!
ไม้เบสบอลขนาดใหญ่ตีใส่เขาอย่างจังในขณะที่ตัวเขายังลอยลิ่วอยู่กลางอากาศ ร่างของเขาจึงไม่ตกลงไปท่ามกลางตัวฉุดลากเหล่านั้น แต่ลอยหวือห่างออกไปไกลพอที่จะมีเวลาให้สวิงอันใหญ่คว้ารับไว้ได้
ครั้นตกลงในสวิงแล้ว เขาก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ที่คุ้นหู ก่อนที่ตัวจะถูกดึงหนีไปท่ามกลางเสียงคำรามของตัวฉุดลากทั้งหลาย
---
ปากสวิงพลิก เทเขาใส่ลงมาในกรงขนาดพอดีตัว
"คุณจะทำอะไรน่ะ!" เขาร้องถามออกไปพร้อมกับกระโจนเกาะลูกกรงไว้ ตอนนั้นเขาจึงเห็นมือของตัวเองแบนเป็นกระดาษ ครั้นก้มมองตัวเองก็เห็นขาวซีดเป็นกระดาษเช่นกัน
...คงตกใจกลัวตั้งแต่ตอนถูกตัวฉุดลากรุมทึ้ง
ตัวแทนสามสี่เจ็ดไม่ตอบ แต่กลับกอดอกมองไปยังชายหนุ่มอีกคนที่ด้านข้าง
เขาเองก็อยู่ในชุดสูทสีดำ ทั้งยังผูกเน็คไทเรียบร้อย ผมเผ้าหน้าตาดูเกลี้ยงเกลา สวมรองเท้าหนังขัดมันจนแทบจะส่องแทนกระจกได้
ชายผู้นั้นยกยื่นแขนข้างหนึ่งเข้ามาในลูกกรง รั้งคอเข้าเข้าไปใกล้ มืออีกข้างหนึ่งถือประทัดตรุษจีนพร้อมประกายไฟติดอยู่ที่ชนวน เขายัดประทัดดอกนั้นเข้าไปในปากอเนชา แล้วจึงเอามืออุดหู ก้มตัวหลบอย่างรวดเร็ว
ปุ้ง!
ประทัดระเบิดในปากวิญญาณหนุ่ม ร่างกายของเขาถูกแรงอัดจนกลับพองขึ้นเหมือนเดิม พร้อมกับควันลอยโขมงออกทางปาก
แค่กๆๆ
อเนชาไอสำลักประทัดจนน้ำตาเล็ดน้ำตาร่วง พอตั้งตัวได้แล้วเขาก็หันกลับไปทางตัวแทนสามสี่เจ็ดและชายผู้นั้นอีก
"นี่คือตัวแทนสี่เก้าแปด" หญิงสาวแนะนำก่อนที่เขาจะทันอ้าปากกล่าวอะไร "เป็นตัวแทนจากบริษัทไถ่วิญญาณเช่นกัน"
"สวัสดีครับคุณลูกค้า" ตัวแทนสี่เก้าแปดก้มศีรษะทักทาย แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร...ตรงข้ามกับการกระทำเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง
วิญญาณหนุ่มเลิกคิ้วอย่างสงสัย "บริษัทส่งคนมาช่วยผมเพิ่มเหรอ" เขาถามออกไป
"อะแฮ่ม!" ตัวแทนสี่เก้าแปดกระแอมทีหนึ่ง "ขอผมอธิบายนะครับ ข้อแรก ผมไม่ใช่ตัวแทนของคุณ ข้อที่สอง ผมไม่ได้มีหน้าที่ช่วยเหลือคุณโดยตรง หน้าที่นั้นเป็นของตัวแทนสามสี่เจ็ดครับ เพราะฉะนั้นคำตอบคือ ไม่ใช่ครับ"
...แล้วมาทำไมล่ะโว้ย...อเนชานึกถามอยู่ในใจ
"ที่ผมช่วยคุณก็เพราะต้องการช่วยเหลือลูกค้าของผมครับ" ตัวแทนหนุ่มเอ่ยต่อ จากนั้นจึงเหลือบมองไปที่ด้านหลังของอเนชา
วิญญาณหนุ่มหันมองตาม ครั้นแล้วเขาก็เห็นกรงอีกใบตั้งอยู่ ในกรงนั้นเป็นคนที่เขารู้จักดี
"ไอ้เจตต์!" เขาคราง ตามตัวมีควันกรุ่นเหมือนถ่านติดไฟขึ้นมาอีก
"จะโกรธอะไร กูสิต้องโมโห" เพื่อนของเขาว่า พลางมองมาด้วยสายตาตำหนิ
"กูต่างหากต้องโมโห!" ยามเขาอ้าปากเถียง ไฟก็แลบออกทางปาก "ชนกูจนตายแล้วยังจะ..." เขาชะงักคำพูดไว้เพียงนั้น "ไอ้เจตต์ ก็ตาย..."
"เออสิวะ" เพื่อนเขาบอก ยังคงตำหนิเขาด้วยสายตา
###
Who is the Killer? บทที่ ๗
จริงๆ คิดว่าจะเขียนเป็นเรื่องสั้นๆ สองสามเรื่องแล้วรวมเป็นชุดเดียว แต่ตอนนี้ยังคิดพล็อตเรื่องอื่นไม่ออก ^^'
ความเดิม
บทที่ ๑ https://pantip.com/topic/37540847
บทที่ ๖ https://pantip.com/topic/37925989
###
บทที่ ๗
ช็อปเปอร์คันสวยเลี้ยวเข้ามาจอดหน้าสถานีตำรวจแห่งหนึ่งโดยไม่มีใครสังเกตเห็น
คนนั่งซ้อนท้ายตวัดขาลงจากรถมายืนเหม่อมองประตูกระจกบานคู่ที่อยู่สุดขั้นบันได เขาสาวเท้าไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง แล้วจึงหันมามองคนขับที่เพิ่งลงจากรถอย่างไม่มั่นใจ
"คุณพาผมมาที่นี่ทำไม" อเนชาถามออกไป
"มาแจ้งความว่าถูกฆ่าตายมั้ง" ตัวแทนสามสี่เจ็ดประชด แต่พอเห็นสายตาตำหนิของเขา เธอจึงยอมบอกดีๆ "มาเก็บข้อมูลเรื่องเพื่อนของคุณไง"
เขาพยักหน้าเข้าใจ จากนั้นจึงก้าวขึ้นบันได แล้วก้าวผ่านประตูกระจกเข้าไปในโรงพัก ก่อนจะหยุดยืนทำอะไรไม่ถูกอยู่ที่หน้าประตูนั่นเอง
ตัวแทนบริษัทไถ่วิญญาณเดินตามเขามา พอเห็นเขายืนเก้ๆ กังๆ อยู่จึงชี้ไปยังเจ้าหน้าที่ซึ่งกำลังนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง
"คุณเห็นตำรวจนายนั้นไหม"
"เห็น" อเนชาบอก ก่อนจะหันกลับมาถามเสียงเบา ราวกับเกรงว่าใครจะได้ยิน "จะให้ผมไปหลอกเขาหรือ"
ตัวแทนสามสี่เจ็ดค้อนกลับไป ก่อนจะอธิบายต่อ "เขากำลังพิมพ์สำนวนคดีของเพื่อนคุณอยู่ต่างหากล่ะ"
วิญญาณหนุ่มส่งเสียงรับในลำคอ ทว่าไม่ถึงอึดใจเขาก็หันขวับกลับไปอีกพร้อมกับร้องออกมา
"เฮ้ย! จะให้ผมไปแฮ็กคอมพ์ของตำรวจเนี่ยนะ ผมทำไม่เป็นหรอก"
หญิงสาวแทบจะเหวี่ยงค้อนที่เพิ่งปรากฏในมือฟาดใส่หัวเขา "ไม่ใช่!" เธอปฏิเสธเสียงแหลม "เขาพิมพ์สำนวนเสร็จแล้วก็ต้องไปรายงานกับหัวหน้า...เอ้อ เรียกอะไรไม่รู้ละ ถึงตอนนั้นคุณก็แค่รอ แล้วก็ฟัง"
อเนชาส่งเสียงอ้อยาวๆ จากนั้นทั้งคู่จะก้าวตรงไปยังเจ้าหน้าที่นายนั้น ซึ่งเป็นจังหวะพอดีกับที่เป้าหมายกำลังลุกขึ้นจากโต๊ะ เดินไปหยิบแฟ้มรายงาน และกระดาษที่พิมพ์เสร็จใหม่ๆ จากเครื่องปรินเตอร์ เขากระดาษสองสามแผ่นนั้นสอดไว้ในแฟ้ม ก่อนจะก้าวเคาะประตูห้องที่อยู่ทางด้านหลัง ครั้นได้ยินคนข้างในอนุญาตแล้ว เขาก็ผลักประตูเข้าไป
อเนชากับตัวแทนสามสี่เจ็ดเดินตามเขาไปโดยไม่ได้รอขออนุญาต ครั้นผ่านประตูเข้าไปแล้วก็ได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่ยศสูงกว่าซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะเอ่ยถามออกมา
"คดีเก๋งชนมอเตอร์ไซค์เป็นยังไงบ้าง สรุปให้ฟังซิ"
"ตอนนี้รวบรวมหลักฐานทั้งหมดเรียบร้อยแล้วครับ" ผู้ใต้บังคับบัญชาเอ่ย พร้อมกับเปิดแฟ้มขึ้นอ่าน "รถเก๋งสีดำหมายเลขทะเบียน ศข ๔๒๐๑ เสยชนมอเตอร์ไซค์ทะเบียน ๓กร ๘๒๗๕ ก่อนจะพุ่งชนตอม่อรถไฟฟ้า เป็นเหตุให้คนขับรถมอเตอร์ไซค์เสียชีวิตในทันที ส่วนคนขับรถเก๋ง..."
"เดี๋ยว! จะไปไหนน่ะ ฟังให้จบก่อนสิ" ตัวแทนสามสี่เจ็ดตะโกนไล่หลัง ทว่าร่างที่มีไฟลุกท่วมกลับคล้ายไม่ได้ยิน เธอจึงต้องวิ่งติดตามออกไปก่อนที่เขาจะถูกลากลงนรกไปเสีย
---
ไอ้เจตต์! เขาจำได้แล้ว มันเป็นคนขับรถชนเขา
ตอนนั้นประมาณตีสอง เขากำลังขับบิ๊กไบค์ของตนกลับบ้าน ครั้นพอถึงสี่แยกใต้ทางรถไฟฟ้า เขาเห็นสัญญาณไฟฝั่งตนเป็นสีเขียวจึงเลี้ยวรถเข้าสู่ถนนเส้นที่ตัดผ่านหน้าหมู่บ้าน
ขณะที่ยังเลี้ยวไม่ทันพ้นสี่แยกนั้น หางตาของเขาก็เหลือบไปเห็นแสงไฟสว่างวาบ รู้สึกถึงแรงกระแทกจากด้านหลังเยื้องไปทางซ้าย จากนั้นตัวของเขาก็เบาหวิว สมองว่างเปล่า ก่อนจะรู้สึกถึงแรงกระแทกอีกครั้ง ครานี้เบากว่าครั้งแรก แต่เขาก็รู้ได้ว่าร่างด้านหน้าครูดไปกับพื้นถนนอันขรุขระ
เขานิ่ง ความคิดทั้งมวลกระจายหายไปหมด รู้สึกแก้มขวาเย็นวาบ ในขณะที่ร่างกายส่วนอื่นชา โดยเฉพาะซีกซ้ายถึงกับไร้ความรู้สึก
เขาไม่รู้ว่าจะขยับตัวอย่างไร ไม่ทราบว่าต้องทำอะไร ในแสงไฟเลือนราง เขาเห็นบิ๊กไบค์ของตนล้มกระเท่เร่อยู่ตรงหน้า ห่างออกไปเป็นรถเก๋งสีดำ เขาเห็นมันจอดอยู่...ไม่ใช่ มันชนตอม่อข้างทางแน่นิ่งไป
เขาเห็นแค่นั้น สมองตอนนั้นยังไม่ทันประมวลว่าเป็นรถของใคร ทุกอย่างก็ดับวูบลง รู้สึกตัวอีกที เขาก็ไปโผล่ในสถานที่เวิ้งว้างระหว่างสวรรค์กับนรกนั่นแล้ว
ไอ้เจตต์ มันฆ่าเขา เขาก็จะฆ่ามัน เอาเลือดมาชุบชีวิตตนเองคืน...ชีวิตแลกชีวิต!
ร่างที่มีไฟร้อนแดงลุกท่วมก้าวผ่านประตูบานคู่ออกมา ทว่ายังไม่ทันคิดว่าจะไปตามหาเพื่อนที่ใด เขาก็เห็นเมฆทะมืนก่อตัวอยู่เบื้องหน้า
เสียงคำรามชวนหวาดหวั่น แต่ยามนั้นเขากลับไม่คิดครั่นคร้าม ใจเขามีแต่ความโกรธ กายเขากำลังลุกไหม้ด้วยไฟพิโรธ
พวกตัวฉุดลากมาก็ดี เขาจะล่อมันไปหาไอ้เจตต์ ให้พวกมันลากเพื่อนเขาไปลงนรกด้วยกัน
คิดเช่นนั้นแล้วเขาก็ส่งเสียงคล้ายคำราม ร่างกายเปลี่ยนไปราวกับหมาป่าซูบผอมที่มีแต่หนังหุ้มกระดูก ไฟร้อนแดงยังคงไหม้ท่วมร่างหมาป่านั้น
หมาป่าวิ่งไป เขาวิ่งไปเรื่อยๆ ตัวฉุดลากก็เคลื่อนติดตามเขาไป
เขาได้ยินเสียงเครื่องยนต์ไล่หลังมา แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใดเสียงเครื่องยนต์จึงยิ่งห่างไกลออกไปทุกที
เขายังคงวิ่งต่อไป ฝูงตัวฉุดลากก็เคลื่อนตามเขามาติดๆ พวกมันส่งเสียงคำรามก้อง ในขณะที่เสียงเครื่องยนต์กลับค่อยๆ เลือนหายไป
เขาไม่ทราบว่าตนเองวิ่งมาไกลเท่าไร และไม่ทราบว่าวิ่งมานานเพียงไหน รู้ตัวอีกทีก็พบว่ารอบกายล้วนเป็นพื้นที่ว่างเปล่า ผืนฟ้าเป็นสีดำ ผืนดินแห้งผากเป็นทรายเหลือง
เขายังคงวิ่งอยู่ วิ่งไม่หยุดยั้ง ระหว่างนั้นก็พลันมีเสียงเครื่องยนต์ดังมาแต่ไกล ทว่าไม่ทราบดังมาจากทิศไหน
ยายตัวแทนบริษัทนั่นหรือ... เขาคิด สี่เท้ายังคงวิ่งไป ...ไม่ใช่ เสียงไม่เหมือนรถยายนั่น ใครกัน...
เสียงเครื่องยนต์ดังใกล้เข้ามา ไม่นานนักเขาก็เห็นฝุ่นทรายคลุ้งเป็นหมอกเหลืองอยู่เบื้องหน้า อึดใจต่อมาจึงเห็นว่าท่ามกลางฝุ่นทรายนั้น เป็นรถสปอร์ตสีแดงเปิดประทุนคันหนึ่ง
เขาไม่เห็นคนขับ เห็นแต่ไฟ...ไฟลุกท่วมที่นั่งคนขับ
รถคันนั้นขับมาทางเขาด้วยความเร็วสูง เขาเองก็วิ่งไปหามันด้วยความเร็วเช่นกัน
เขาเห็นมันพุ่งเข้ามาก็ไม่คิดจะเบี่ยงหลบ ความโกรธที่เป็นไฟลุกท่วมร่างทำให้เขายิ่งมุทะลุ คิดจะแลกกับมันสักตั้ง
โครม! เอ็ง!
รถคันนั้นพุ่งเข้าชนเขาจริงๆ ร่างของเขากระเด็นลอยออกไป ทว่าก่อนจะตกถึงพื้นเขาก็ถูกตัวฉุดลากร่างเป็นกระดูกนกซึ่งติดตามมาแต่แรก จิกทึ้งอยู่กลางอากาศนั่น
ยามร่างปลิวร่วงลงมา ก็ยังมีตัวฉุดลากหน้าตาเหมือนแมงมุม ตะขาบ กิ้งกือ รอเขมือบเ
ขาอยู่
ป๊อก!
ไม้เบสบอลขนาดใหญ่ตีใส่เขาอย่างจังในขณะที่ตัวเขายังลอยลิ่วอยู่กลางอากาศ ร่างของเขาจึงไม่ตกลงไปท่ามกลางตัวฉุดลากเหล่านั้น แต่ลอยหวือห่างออกไปไกลพอที่จะมีเวลาให้สวิงอันใหญ่คว้ารับไว้ได้
ครั้นตกลงในสวิงแล้ว เขาก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ที่คุ้นหู ก่อนที่ตัวจะถูกดึงหนีไปท่ามกลางเสียงคำรามของตัวฉุดลากทั้งหลาย
---
ปากสวิงพลิก เทเขาใส่ลงมาในกรงขนาดพอดีตัว
"คุณจะทำอะไรน่ะ!" เขาร้องถามออกไปพร้อมกับกระโจนเกาะลูกกรงไว้ ตอนนั้นเขาจึงเห็นมือของตัวเองแบนเป็นกระดาษ ครั้นก้มมองตัวเองก็เห็นขาวซีดเป็นกระดาษเช่นกัน
...คงตกใจกลัวตั้งแต่ตอนถูกตัวฉุดลากรุมทึ้ง
ตัวแทนสามสี่เจ็ดไม่ตอบ แต่กลับกอดอกมองไปยังชายหนุ่มอีกคนที่ด้านข้าง
เขาเองก็อยู่ในชุดสูทสีดำ ทั้งยังผูกเน็คไทเรียบร้อย ผมเผ้าหน้าตาดูเกลี้ยงเกลา สวมรองเท้าหนังขัดมันจนแทบจะส่องแทนกระจกได้
ชายผู้นั้นยกยื่นแขนข้างหนึ่งเข้ามาในลูกกรง รั้งคอเข้าเข้าไปใกล้ มืออีกข้างหนึ่งถือประทัดตรุษจีนพร้อมประกายไฟติดอยู่ที่ชนวน เขายัดประทัดดอกนั้นเข้าไปในปากอเนชา แล้วจึงเอามืออุดหู ก้มตัวหลบอย่างรวดเร็ว
ปุ้ง!
ประทัดระเบิดในปากวิญญาณหนุ่ม ร่างกายของเขาถูกแรงอัดจนกลับพองขึ้นเหมือนเดิม พร้อมกับควันลอยโขมงออกทางปาก
แค่กๆๆ
อเนชาไอสำลักประทัดจนน้ำตาเล็ดน้ำตาร่วง พอตั้งตัวได้แล้วเขาก็หันกลับไปทางตัวแทนสามสี่เจ็ดและชายผู้นั้นอีก
"นี่คือตัวแทนสี่เก้าแปด" หญิงสาวแนะนำก่อนที่เขาจะทันอ้าปากกล่าวอะไร "เป็นตัวแทนจากบริษัทไถ่วิญญาณเช่นกัน"
"สวัสดีครับคุณลูกค้า" ตัวแทนสี่เก้าแปดก้มศีรษะทักทาย แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร...ตรงข้ามกับการกระทำเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง
วิญญาณหนุ่มเลิกคิ้วอย่างสงสัย "บริษัทส่งคนมาช่วยผมเพิ่มเหรอ" เขาถามออกไป
"อะแฮ่ม!" ตัวแทนสี่เก้าแปดกระแอมทีหนึ่ง "ขอผมอธิบายนะครับ ข้อแรก ผมไม่ใช่ตัวแทนของคุณ ข้อที่สอง ผมไม่ได้มีหน้าที่ช่วยเหลือคุณโดยตรง หน้าที่นั้นเป็นของตัวแทนสามสี่เจ็ดครับ เพราะฉะนั้นคำตอบคือ ไม่ใช่ครับ"
...แล้วมาทำไมล่ะโว้ย...อเนชานึกถามอยู่ในใจ
"ที่ผมช่วยคุณก็เพราะต้องการช่วยเหลือลูกค้าของผมครับ" ตัวแทนหนุ่มเอ่ยต่อ จากนั้นจึงเหลือบมองไปที่ด้านหลังของอเนชา
วิญญาณหนุ่มหันมองตาม ครั้นแล้วเขาก็เห็นกรงอีกใบตั้งอยู่ ในกรงนั้นเป็นคนที่เขารู้จักดี
"ไอ้เจตต์!" เขาคราง ตามตัวมีควันกรุ่นเหมือนถ่านติดไฟขึ้นมาอีก
"จะโกรธอะไร กูสิต้องโมโห" เพื่อนของเขาว่า พลางมองมาด้วยสายตาตำหนิ
"กูต่างหากต้องโมโห!" ยามเขาอ้าปากเถียง ไฟก็แลบออกทางปาก "ชนกูจนตายแล้วยังจะ..." เขาชะงักคำพูดไว้เพียงนั้น "ไอ้เจตต์ ก็ตาย..."
"เออสิวะ" เพื่อนเขาบอก ยังคงตำหนิเขาด้วยสายตา
###