Who is the Killer? บทที่ ๖

กระทู้สนทนา
ตอนใหม่มาแล้วจ้า
อเนชาจะพบอะไรอีก ไปอ่านกันเลย

ความเดิม
บทที่ ๑ https://pantip.com/topic/37540847
บทที่ ๕ https://pantip.com/topic/37863311

###

บทที่ ๖

เขาก้าวตามตัวแทนสามสี่เจ็ดเข้ามาในห้องอันเย็นยะเยือก ทว่าต่อให้ห้องนั้นเย็นเยียบปานใด เขาก็ไม่รู้สึก

หญิงสาวพาเขาเดินตรงมายังเตียงโลหะหลังหนึ่ง บนเตียงมีผ้าสีเขียวคลุมอยู่ ใต้ผืนผ้านั้น...คือร่างของเขาเอง

"พร้อมรึยัง" เธอถามขึ้น พอเห็นเขาพยักหน้าเงียบๆ เธอก็เลิกผ้าสีเขียวผืนนั้นขึ้น

ร่างกายของเขา ร่างที่เขาดูแลมายี่สิบเก้าปี อุตส่าห์ภูมิใจในรูปร่างหน้าตาของตนเอง ทว่าบัดนี้ร่างนั้นกลับกลายเป็นแข็งทื่อ มือเท้าบวม นิ้วงอหงิก ใบหน้าและศีรษะมีแผลถลอก ผิวหนังตรงโหนกแก้มด้านขวาหลุดไปกลายเป็นแผลเหวอะหวะ มีเลือดแห้งเกรอะกรัง

นอกจากนี้ร่างกายด้านซ้ายก็ผิดรูปไป สีข้างยุบ คาดว่าซี่โครงคงหักไปหลายซี่ แขนขาบิดเบี้ยวมีแต่บาดแผล มีรอยช้ำเป็นจ้ำเป็นรอยบุ๋ม เป็นเนื้อเยื่อที่ไม่คืนตัวเช่นเดิมอีก

เขาลูบมือไปที่แขนขวาที่เต็มไปด้วยแผลถลอกของตัวเอง ถึงไม่อาจสัมผัสแต่ก็รับรู้ได้ ความหวงแหน ความเป็นเจ้าของ ความรู้สึกที่ต้องสูญเสียมันไปทำให้รู้สึกเย็นวาบขึ้นมา มือที่วางบนแขนขวาของศพนั้นกลายเป็นน้ำแข็ง สะเก็ดน้ำแข็งไล่ขึ้นมาตามแขน ไล่ไปตามลำตัว ไม่นานนัก ทั่วทั้งวิญญาณก็กลับกลายเป็นน้ำแข็งไป

ตัวแทนสามสี่เจ็ดหอบกองฟางมาจากอากาศ เอามาสุมที่ตัวเขา แต่ยังไม่ทันจุดไฟ อเนชาก็กลับตะโกนขึ้น

"อย่ามายุ่ง!"

ทันใดนั้น ไฟก็พลันลุกพรึ่บขึ้น พริบตานั้น กองฟางก็มอดไหม้ไม่เหลือแม้แต่ธุลี

ความหวงแหนเปลี่ยนความเศร้าเป็นความโกรธ เขาไม่สนใจแล้วว่าตนเองจะได้คืนชีพหรือไม่ เขาจะตามล่ามัน จะตามหาคนที่ทำให้เขาตาย

ยามความคิดบังเกิดไฟก็ยิ่งลามยิ่งลุก ความร้อนแผดแรงจนแม้แต่ตัวแทนสามสี่เจ็ดยังไม่อาจเข้าใกล้ ใบหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนไป กลายเป็นมีเขี้ยวแหลมยาวราวกับหมาบ้า มือเท้ามีเล็มแหลมงอกยาวออกมา

เขากำมือเข้าหากันแน่นกระทั่งเล็บแหลมแทงทะลุหลังมือ รู้สึกเจ็บปวดจนใบหน้าบิดเบี้ยวแต่เขากลับไม่ใส่ใจ เขาสืบเท้าก้าวอาดออกจากห้องนั้นไปโดยไม่สนใจสิ่งใด ความคิดของเขามีเพียงสิ่งเดียว

...ใครก็ตามที่ทำกับร่างกายของเขาเช่นนี้มันต้องชดใช้!

ทว่าทันทีที่เขาก้าวพ้นห้องนั้นออกมา เงาดำทะมืนก็รอเขาอยู่เบื้องหน้า เงานั้นมืดดำยิ่งกว่าครั้งไหน แผ่กว้างออกไปจนเขามองไม่เห็นสิ่งใด

เงานั้นรุมล้อมเข้ามาอย่างรวดเร็วจนเขาไม่อาจตั้งตัว กายที่เพิ่งเปลี่ยนเป็นซีดขาวถูกฝูงตัวฉุดลากขบกัดจิกกิน พริบตาเดียวร่างกายของเขาก็หายไปเกือบครึ่ง

"นึกถึงความดีที่เคยทำไว้!" เสียงตะโกนดังแทรกเสียงคำรามของฝูงตัวฉุดลากขึ้นมา "คุณเพิ่งช่วยแม่ลูกที่กำลังป่วย จำได้รืเปล่า"

ใช่ เขาจำได้ เขาเพิ่งบอกน้องสาวให้เอาเงินไปช่วยสองแม่ลูก แต่เขายังไม่รู้ว่าน้องจะจำคำเขาได้หรือเปล่า และจะทำตามที่เขาบอกหรือไม่

ทว่าเพียงนึกขึ้นมาเท่านั้น แสงสว่างก็พลันปรากฏขึ้นจากกาย พวกตัวฉุดลากพากันกรีดร้องโหยหวนเสียดหูก่อนจะถูกขับให้หนีไป

เขารีบพลิกตัวลุกขึ้น ลูบมือไปตามลำตัว ก้มมองขาและเท้ายังเห็นทุกส่วนอยู่ครบถ้วนก็ถอนหายใจโล่ง ลืมความโกรธที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ไปชั่วขณะ

"เมื่อกี้พวกมันกินผมไปตั้งครึ่งตัวนี่" เขาหันไปบอกกับตัวแทนสามสี่เจ็ดที่ยังคงเบิกตามองเขา

หญิงสาวได้ยินคำถามนั้นแล้วก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนตอบออกมาด้วยน้ำเสียงเกือบเป็นปกติ "ถ้ามันยังกินคุณไม่หมดทั้งตัวคุณก็ยังไม่ไปนรกหรอก แต่เห็นไหมล่ะ พวกมันเร็วขนาดไหน"

เขาก้มหน้าผงกศีรษะนิดหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นอีก "ว่าแต่ ไอ้วิธีนึกถึงความดีนั่น...มีวิธีแบบนี้ทำไมไม่รีบบอก"

"แล้วคุณนึกถึงความดีอย่างอื่นได้ไหมล่ะ" เธอถามกลับพร้อมกับยกมือกอดอก

เขานิ่งไป ริมฝีปากเผยอด้วยความงุนงง ครั้นนึกอะไรไม่ออกก็เปลี่ยนเป็นเม้มปากแน่น

"ไม่ใช่ว่าคุณไม่เคยทำความดีอย่างอื่นหรอก" หญิงสาวพูดขึ้นในที่สุด "เพียงแต่ถ้าไม่ได้ทำบ่อยหรือทำเมื่อนานมาแล้ว คุณก็อาจจะลืมไป แต่เรื่องนี้คุณเพิ่งทำก็เลยยังจำได้อยู่"

เขาพยักหน้าส่งเสียงอ๋อยาวๆ เป็นเชิงเข้าใจ

"เอาล่ะ ศพก็เห็นแล้ว คุณคิดจะทำยังไงต่อ" ตัวแทนสามสี่เจ็ดถามขึ้นอีก

พอได้ยินว่าศพของตนเอง ความโกรธก็เหมือนจะปะทุขึ้นอีก เขากัดฟันพยายามข่มอารมณ์ไว้ ร่างกายจึงเพียงแค่มีความกรุ่นขึ้นบางๆ

"น้องผมบอกว่ามันเป็นอุบัติเหตุ ผมคงต้องรู้ให้ได้เสียก่อนว่าผมตายที่ไหน แล้วจะได้หาคู่กรณีต่อไป เพียงแต่..." เขาก้มหน้านิดหนึ่ง สีหน้าเครียดลง "ผมยังจำไม่ได้ว่าตัวเองตายที่ไหน แล้วก็ไม่รู้จะเริ่มหาจากตรงไหนดี"

"ลองไปดูที่โรงเก็บซากรถแถวนี้ก่อนไหมล่ะ" ได้ยินหญิงสาวแนะ ครั้นเงยหน้าขึ้นมองเขาก็เห็นในมือเธอมีแท็บเล็ตอยู่ สายตายังจับจ้องอยู่ที่หน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์นั้น

"จริงสิ" เขาเอ่ยขึ้นเบาๆ เหมือนพึมพำกับตัวเอง "ลองไปดูที่นั่นก่อนก็ได้"

---

โรงเก็บซากรถอยู่ห่างจากโรงพยาบาลไปพอสมควร

พอตัวแทนสามสี่เจ็ดจอดช็อปเปอร์ที่หน้ารั้วเหล็กแล้ว อเนชาก็ตวัดเท้าลงจากรถ ก้าวไปเกาะรั้ว ชะเง้อมองเข้าไปด้านในซึ่งส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เปล่าเต็มไปด้วยซากรถ

เขาเห็นซากรถหลากคันหลายประเภท ทั้งรถเก่าสนิมเขรอะ รถตู้ รถกระบะ และรถยนต์นั่งส่วนบุคคลยี้ห้อหรู แต่ทั้งหมดล้วนอยู่ในสภาพยับเยิน ซ่อมไม่ได้ หรือไม่ก็ไม่คุ้มค่าซ่อม

มุมหนึ่งของพื้นที่นั้นมีสิ่งปลูกสร้างที่ดูแล้วเหมือนกล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ คาดว่าอาจเป็นสำนักงานย่อมๆ ข้างกล่องสี่เหลี่ยมนั้นเป็นพื้นที่สำหรับเก็บซากรถจักรยานยนต์

เขาเดินผ่านประตูรั้วเข้าไปในบริเวณนั้น ยืนมองซากรถจักรยานยนต์ที่เหลือล้อเดียวบ้าง เหลือครึ่งคันบ้าง ส่วนด้านในสุดนั้นเป็นเศษชิ้นส่วนที่กองรวมกัน บอกไม่ได้ว่าอะไรเป็นอะไร

ครั้นกวาดตาสำรวจคร่าวๆ รอบหนึ่งแล้วเขาก็ก้าวไปมองดูรถจักรยานยนต์เหล่านั้นทีละคัน

อันที่จริงเขาดูปราดเดียวก็น่าจะจำรถของตนเองได้ แต่เพราะที่นั่นมีเพียงซากรถ เขายังไม่อยากยอมรับว่าบิ๊กไบค์คันงามที่เขาถอยมาได้ไม่ถึงปี ซื้อด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนล้วนๆ จะต้องกลายมาเป็นซากอย่างนี้

อีกอย่างหนึ่ง เขาอยากจะดูรถคันอื่นๆ ดูไว้เตือนใจตัวเอง ไม่ว่ารถเล็กหรือใหญ่ แพงหรือถูก ท้ายสุดแล้วก็ต้องกลายมาเป็นเศษซากอยู่นั่นเอง

เขาเดินดูมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นรถที่มีหน้ากากกับเบาะนั่งดูคุ้นตา โครงรถพังยับ โดยเฉพาะท้ายรถทางด้านซ้าย คาดว่าคงถูกชนจากด้านนั้น ส่วนด้านขวาเป็นรอยถลอกเหมือนไถไปกับพื้นมากกว่า

เขาก้มลงพิจารณาดูซากรถคันนั้น มันเป็นบิ๊กไบค์ของเขาเอง...

สรุปว่าเขาตายเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์จริงๆ สินะ แต่มันเกิดขึ้นที่ไหน เมื่อไหร่กัน หลังจากถูกเด็กผู้หญิงคนนั้นจี้ เกือบถูกกระบะชนแล้ว เขาไปที่ไหนต่อกันแน่ เกิดอะไรขึ้นถึงทำให้รถของเขามีสภาพแบบนี้ ทำให้เขา...กลายเป็นแบบนี้

เขาหลับตาถอนหายใจยาว จากนั้นจึงกวาดสายตามองรถคันอื่น พยายามกลืนความรู้สึกรักและหวงเพราะรู้ว่ามันมีแต่จะทำให้ตัวเขากลายเป็นน้ำแข็ง และสุดท้ายก็จะเรียกตัวฉุดลากมากลืนกินเขา

ทว่าระหว่างที่เบือนหน้าจากรถของตนนั่นเอง สายตาของเขาก็ปะทะเข้ากับท้ายรถเก๋งสีดำที่จอดอยู่ท่ามกลางซากรถเก๋งคันอื่นๆ ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโรงเก็บซากรถนั้น

หัวคิ้วของเขาขมวดด้วยความแปลกใจ เขาคิดว่าท้ายรถนั้นดูคุ้นตา แต่ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร เขาจึงผุดลุกขึ้นโดยที่สายตายังไม่ละจากรถเก๋งคันนั้น ก้าวตรงไปสำรวจมัน

ท้ายรถไม่มีอะไรบุบสลาย แต่ด้านหน้าไม่เหลือชิ้นดี โดยเฉพาะทางด้านขวาที่ประตูหายไปทั้งแถบ

เขาเดินวนดูทางด้านซ้าย วนกลับไปที่ท้ายรถ มองดูเลขทะเบียนที่คุ้นชินอย่างบอกไม่ถูก ไม่ว่าจะสีสันหรือการตกแต่งล้วนคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก อาจจะไม่คุ้นชินเหมือนรถของพ่อหรือรถตัวเอง ก็เขาต้องเคยเห็นอยู่บ่อยๆ แน่ๆ

เขาเอามือป้องกระจกมองเข้าไปที่เบาะหลัง จากนั้นก็นึกได้ว่าตนเองมุดเข้าไปได้โดยไม่ต้องเปิดประตู จึงก้าวเข้าไปนั่งที่เบาะหลังด้านซ้าย

ใช่แล้ว...เขาเคยโดยสารรถคันนี้ ไม่บ่อย แต่ก็เคย

เขาหลับตาทบทวนความทรงจำต่อไป ใครกันหนอเป็นคนขับ ใครกันเป็นเจ้าของรถคันนี้

'พวกรัดเข็มขัดด้วยนะโว้ย กูจะซิ่งแล้ว' เสียงใครคนหนึ่งดังในห้วงความคิด

'เบาๆ หน่อย เดี๋ยวได้ตายกันทั้งฝูง' เสียงคนที่นั่งข้างคนขับท้วงขึ้น

'ใช่ ถ้าไม่ไว้ใจก็ลงจากรถกูไปเลย' คนขับแสร้งตัดพ้อ

'ลงให้โง่ดิ รถรับส่งฟรีพร้อมคนขับหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว'

'โหย ไอ้งก' คนขับว่า แล้วจึงหันหลังมาทางเขาซึ่งนั่งอยู่ด้านหลัง 'ว่าแต่เหอะไอ้เน เห็นเล็งบิ๊กไบค์คันนั้นอยู่ตั้งนานแล้ว เมื่อไหร่จะซื้อซะทีวะ'

ไอ้เจตต์!

พอนึกได้ดังนั้นแล้ว เขาก็รู้สึกได้ว่ามีมือข้างหนึ่งดึงหูของเขา บิดอย่างแรงพร้อมกับลากลงจากรถ พอออกมาแล้วเขาจึงเห็นว่ามีขนปุยสีขาวหลุดติดมือตัวแทนสามสี่เจ็ดไปเป็นกระจุกๆ

"ผมรู้จักเจ้าของรถคันนี้" เขาร้องบอกตัวแทนจากบริษัทไถ่วิญญาณด้วยความตื่นเต้นจนเธอทำท่าจะทึ้งหูเขาอีก เขาจึงพยายามสงบสติอารมณ์ตัวเอง

"ใครล่ะ" หญิงสาวถาม พร้อมกับคว้าแท็บเล็ตออกมาถือไว้

"ไอ้เจตต์ เพื่อนผมเอง" เขาบอก "ดูจากสภาพรถแล้ว ผมกลัวว่ามันจะเป็นอะไร"

ตัวแทนสามสี่เจ็ดฟังแล้วก็หันมา มองเขาขึ้นๆ ลงๆ "ดูจากสภาพคุณแล้ว ยังมีหน้าห่วงคนอื่นอีกเหรอ"

เขาได้ยินเสียงปึดในหัวพร้อมกับความร้อนที่พุ่งปรี๊ดขึ้นจนเขาต้องเอามือตบดับไฟที่กำลังเผาศีรษะ

"อย่าล้อเล่นสิ ผมจริงจัง" เขาบอกเสียงเครียด "คุณรู้รึเปล่าว่าเขาเป็นอย่างไร บาดเจ็บอยู่ที่โรงพยาบาลหรือ...ตายไปแล้ว"

หญิงสาวโยนแท็บเล็ตหายไปในอากาศ พร้อมกับหันมาทางเขา "อยากรู้ก็ตามมา" เธอว่าแล้วก็สะบัดหันหลัง เดินไปที่ช็อปเปอร์ของตนเอง

เขามองกลับไปที่รถของเพื่อนอีกครั้ง แล้วจึงเดินตามเธอไป

###
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่