แชร์ประสบการณ์การกินอาหารในวิถึคีโต Ketogenic Diet

ความเปลี่ยนแปลง...................

    เริ่มต้นมาจากการใช้ชีวิตสุดพังโดยมีเชื่อว่าความสุขเกิดจากการกิน
ยิ่งถ้าได้กินขนมอร่อยๆที่ตัวเองชอบจะรู้สึกฟินมาก (แม้ไม่หิว!) ชีวิตทุกวันต้องมีเค้กกินคู่กับกาแฟดำ
    ทุกวันหลังเลิกงานสอง-สามทุ่ม จะต้องตะเวณหาร้านอร่อยไปให้ทั่ว ทั้งผัดไท ก๋วยจั๊บ ข้าวมันไก่ ข้าวขาหมู ก๋วยเตี๋ยวเป็ด บะหมี่เกี๊ยว โรตี ขนมปังไส้ทะลัก ปาท่องโก๋สังขยาฯลฯ ติดนิสัยกินก่อนนอนเป็นประจำ หากวันไหนฝนตก ไม่สามารถออกไปหาของกินข้างนอกบ้านได้ ขอไอศครีมสักแท่งก็ยังดี ชีวิตวนเวียนอยู่ในวัฐจักรแป้ง น้ำตาล โดยบอกกับตัวเองเสมอว่าอยากกินอะไรก็กินไปเถอะเดี๋ยวค่อยไปออกกำลังกาย
ปล.ปกติเป็นคนชอบออกกำลังกาย ลงวิ่งหลายรายการมาตลอด 5-7 ปี

    มารู้ตัวอีกทีก็ตอนไปเที่ยวต่างประเทศกับครอบครัว ถ่ายรูปออกมาท้อแท้ใจมาก ทำไมสารร่างเราถึงมาถึงจุดนี้ได้วะ! (เอิบ! จริงๆก็ไม่น่าจะต้องสงสัยเนอะ)

    แรงบันดาลใจมาจากแค่....การถ่ายรูปออกมาดูไม่ได้และไม่น่าดู จะบิดตัวเป็นรูปตัว S ก็แล้ว เอียงข้างก็แล้ว หันหลังก็แล้ว แต่ไม่ช่วยให้ดูดีขึ้นเลย หลังจากกลับมาจากทริปนั้น บอกกับตัวเองว่า ฉั น ต้ อ ง ล ด ค ว า ม อ้ ว น เ ดี๋ ย ว นี้ !!!!

(ความลับแบบนี้ห้ามบอกใครนะคะ เพราะแมร่งพอมันรู้ข่าวกันปั๊บชวนกินบุฟเฟต์แน่นอน)



เริ่มหาข้อมูลการกินให้ถูกต้องตามหลักโภชนาการ ทั้งจาก Google, Youtube ทั้งช่องไทย ช่องต่างประเทศ โห! ข้อมูลมากมาย เลือกเสพไม่ถูกเลย
มีคนนึงเค้าสอนว่า “ให้มองอาหารทุกอย่างเป็นสารอาหาร ห้ามมองว่ามันคือเมนูอะไร เช่น มองข้าวมันไก่ ก็ต้องมองว่ามันคือ แป้ง+โปรตีน+ไขมัน เวลาเลือกอาหารก็ให้เลือกทานคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนเช่น ข้าวกล้อง ฟักทอง มันหวาน เพราะไฟเบอร์จะช่วยชะลอการหลั่งอินซูลินออกมาในกระแสเลือด ให้เลือกทานโปรตีนแบบลีนมากๆเช่น อกไก่ ทูน่า ธัญพืช ให้กินผักเยอะๆแต่ให้งดไขมัน งดของทอด งดน้ำตาล และให้ออกกำลังกายแบบสร้างกล้ามเนื้อเพื่อกระตุ้นระบบเผาผลาญให้กลับมาปกติและเพิ่มการเผาผลาญให้ดีขึ้น”
ผ่านไป 1 เดือนกว่า น้ำหนักจาก 60 กก. ลดลงมาที่ 57 กก. คือลดไป 3 กก.



ระหว่างที่กินค่อนข้างคลีน(ไม่คลีนแท้เพราะยังใส่น้ำปลา น้ำมันหอย) เราก็จะมี
ชิทมิล Cheat meal หรือกินโกงร่างกาย 1 มื้อ เพื่อหลอกระบบเผาผลาญว่าฉันไม่ได้จะอดตายนะ ระบบเผาผลาญจะได้ทำงานได้ปกติ ซึ่งพอถึงวัน Cheat meal ของสัปดาห์ทีไร เรียกว่าตะบะแตกทันที เราพุ่งหัวเข้าใส่น้ำตาลทันที จัดเต็มทุกอย่างทั้ง เค้ก ชูครีม ทุเรียน
คุกกี้ฯ (ไม่น่าจะเรียกว่ากินอ่ะนะ) พังสุดๆจนมารู้สึกสำนึกกับตัวเองได้ว่า....ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปไม่มีทางลดความอ้วนได้แน่นอน
    การหาข้อมูลยังดำเนินต่อไป เริ่มเจอข้อมูลเรื่องการทำ Intermittent Fasting (IF) เรียกง่ายๆก็คือการหยุดพักการกินอาหารบ้าง เพื่อให้ร่างกายได้หลั่งฮอร์โมนที่เรียกว่า Growth Hormone และเป็นการช่วยให้ฮอร์โมนฝั่งตรงข้ามที่มีชื่อคุ้นๆว่า Insulin ได้พักบ้าง
การทำ IF มีหลายรูปแบบ ตั้งแต่กินวันละสองมื้อ กินวันละมื้อ(OneMealADay) หยุดกิน 2-3 วันแล้วค่อยกินทีนึง และอีกหลายแบบ เราเริ่มลองทำจาก 16/8 จนมาเป็น 18/6 และ 20/4 (เลขตัวหน้าคือช่วงเวลาที่เราอดอาหารหรือ Fast เลขตัวหลังคือช่วงเวลาที่เราทานอาหารหรือFeed)
    สิ่งที่กินได้ช่วง Fast มีแค่กาแฟดำ หรือน้ำมะนาวบีบใส่น้ำอุ่นหรืออะไรก็ตามที่ไม่มีแคลอรี่ ส่ิงที่กินได้ช่วง Feed คืออาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายซึ่งตอนนั้นเราก็กินค่อนข้างคลีน แต่นำ้หนักก็ยังคงนิ่งที่ 57 กก.
    อาจจะเป็นเพราะ Cheat meal แบบบ้าระห่ำของเรา หรือการกินเกินค่า BMR* ไปเยอะจนบางวันก็กินเกินค่า TDEE** แม้ว่าจะออกกำลังแบบ body weight สัปดาห์ละ 4-5 วันๆละ 30 นาที


การหาข้อมูลเพิ่มเติมยังมีต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง เผื่อว่าการเปลี่ยนวิธีอาจจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างออกไป จนมาเจอการลดไขมันด้วยการกินไขมันหรือ Ketogenic*** แค่ชื่อก็ทำให้สงสัยแล้วว่ามันจะเป็นไปได้ยังไง?
    เราจึงศึกษาหาข้อมูลมากขึ้นเรื่อยๆจนเร่ิมคิดวิเคราะห์ความเป็นไปได้ที่จะมาใช้กับชีวิตประจำวันเรา หาข้อดี ข้อเสีย และทฤษฎีต่างๆเกี่ยวกับร่างกายจนเริ่มกลัวน้อยลง
    ขอบอกก่อนว่าที่กลัวการ Diet แบบ Ketogenic เพราะมันเป็นวิธีการที่ขัดแย้งกับความรู้สึกของคนทั่วไปรวมถึงตัวเราเองด้วยเช่น เคยได้ยินกันมานานว่าแพทย์มักจะบอกให้งดไขมัน ให้ลดคอเรสตอรอลLDL ต้องกินแป้งนะเพราะเป็นแหล่งพลังงานหลักของร่างกาย และอีกหลายๆความกลัวจากข้อมูลเก่าๆ ที่ทำให้เราต้องศึกษาข้อมูล Diet นี้อย่างละเอียดมาก จะกินไปแบบมั่วๆซั่วๆไม่ได้เลย
    Diet นี้เป็นการแก้ไขปัญหาแบบองค์รวม พอมีคนทำแล้วเห็นผลจริง ข้อมูล Ketogenic Diet จึงแพร่หลายไปอย่างรวดเร็วทั่วโลก และเกิดขึ้นโดยมวลหมู่ประชาชนคนทั่วไปที่ทำแล้วเห็นผล ทางการแพทย์นี่อาจไม่ใช่เรื่องใหม่เพราะการใช้ Ketogenic Diet ยังใช้ในการรักษาโรคลมชัก โรคทางสมองอย่างอัลไซเมอร์อีกด้วย

คิดไป คิดมา? ถ้าไม่ลงมือปฎิบัติจริง จะรู้ได้อย่างไรว่ามันมีอะไรดีจริงอย่างที่เค้าบอก ?


คิดได้ดังนั้น!!! ทดลองปฎิบัติเลยค่ะ ต้องสังเกต จดบันทึกและฟังร่างกายตัวเองทุกขณะ

-วันแรก Shopping Day ออกไปจ่ายตลาดซื้อหาวัตถุดิบไขมันดีต่างๆมากักตุน เริ่มจาก

>หัดอ่านฉลากโภชนาการที่ติดไว้ก่อนหยิบ อะไรมีน้ำตาลเป็นส่วนผสมเราเลิกกัน!
การจ่ายตลาดจะใช้เวลาหลายชั่วโมงในการอ่านฉลากแต่ละผลิตภัณฑ์ในครั้งแรก!
>ไขมันอิ่มตัว ซื้อCoconut Oil (cold press), น้ำมันมะพร้าว Cooking coconut oil, เนย(Grass fed), กะทิ (unsweetened), ครีมนมชนิดข้น Heavy Cream(unsweetened), Cheese no-process, และไขมันจากสัตว์เช่น ไก่ติดมัน เนื้อติดมัน หมูสามชั้น
>ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ซื้ออโวคาโด้ น้ำมันมะกอก Extra Virgin Olive Oil(EVOO), นมอัลมอนด์ (unsweetened) ถั่วอัลมอนด์ แมคคาเดเมีย เมล็ดงา พีแคน
>ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน เน้นโอเมก้า3 ซื้อปลาแซลมอน ปลาดุก ปลาช่อน ปลากะพง ปลาทู ไข่ไก่
>แร่ธาตุโซเดียม เพื่อรักษาสมดุลให้กับร่างกายระหว่างการปรับตัวเกลือแกง เกลือชมพูหรือ Himalayan Pink Salt, Apple Cider Vinegar (ACV)
>แร่ธาตุแมกนีเซียม เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อชนิดคลายตัวเช่น ลำไส้จะบีบตัวได้ดีขึ้น และลดการหดตัวของกล้ามเนื้อช่วยรักษาอาการตะคริว อาการนอนไม่หลับช่วยให้ผ่อนคลายหลับสบายมากขึ้น
>แร่ธาตุโพแทสเซียมและวิตามิน หาซื้อผักใบเขียวเช่น คะน้า กะหล่ำปลี ผักโขม บล็อกโคลี่ ดอกกะหล่ำ หน่อไม้ฝรั่ง มะนาว สตรอเบอรี่แช่แข็ง (ผลไม้กินได้แค่มะนาวและตระกูลเบอรี่)

และกลับมาเคลียร์เครื่องครัว ยกวัตถุดิบพวกน้ำมันพืช แป้งทุกชนิด น้ำตาลทุกชนิด ออกไปจากครัวบ้านตัวเองให้หมด (เนื่องจาก แป้ง น้ำตาล และผงชูรสจะกระตุ้นให้ฮอร์โมนอินซูลินออกมา เมื่ออินซูลินออกมาค้างในกระแสเลือดจะค้างอยู่นาน 3-4 ชม.จะทำให้เราโหยหาน้ำตาลเพิ่มแบบไม่หยุดหย่อน ประนึงสิ่งเสพติดที่ต้องเพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ)

    ผ ง ชู ร ส & น้ำ ต า ล & ไ ข มั น ท ร า น ซ์ คือของต้องห้าม!
อะไรที่สุดท้ายแล้วร่างกายย่อยออกมาได้โมเลกุลของนำ้ตาลกลูโคส ต้องตัดทิ้งออกจากชีวิตค่ะ เช่นแป้ง ผลไม้รสหวานทุกชนิด นมวัว โปรตีนปราศจากไขมันเช่น อกไก่ ธัญพืช ถั่วลิสง ถั่วเหลือง ข้าวโพด และไขมันทรานซ์ซึ่งมีมากในมาการีน น้ำมันพืช ฯลฯ  
“อาจต้องทำอาหารทานเองล่ะค่ะ”

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่