แชร์ประสบการณ์โรคซึมเศร้าที่มีที่มาจากการเลี้ยงดูวัยเด็ก

เราขอใช้พื้นที่ตรงนี้แชร์ประสบการณ์จากโรคซึมเศร้า เรายังไม่หายจากโรคนี้นะคะ แต่เราอยากระบายมันออกมาจากใจ
.
เมื่อ3ปีที่แล้ว เรานอนไม่หลับ สภาพที่นอนไม่หลับนี่ดูไม่ได้เลย เราอ่อนเพลียตลอดเวลา ปวดหัว
ง่วงนอนแต่ไม่สามารถนอนหลับได้ วันๆนึงเราได้นอนแค่1-3ชั่วโมง แต่เป็นการหลับที่แย่มาก
มันเป็นการหลับตาที่เรายังรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา เหมือนไม่ได้ผ่านการนอนพักเลย
เราทนอยู่ใต้เดือนกว่าๆ เราคิดว่าไม่ไหวแล้ว ถ้าเป็นอยู่แบบนี้เราไปเรียนไม่ได้แน่ ช่วงนั้นเราเรียนซัมเมอร์อยู่ปี1 กำลังจะขึ้นปี2
เราหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตเรื่องอาการนอนไม่หลับ หลังจากลองมาสารพัดวิธี เราคิดว่าไปพบจิตแพทย์ดูจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
เราเลือกไปพบจิตแพทย์ที่คลีนิคแห่งหนึ่ง เราคิดว่าเราคงได้ยานอนหลับธรรมดา กิน2-3วันคงหายเหมือนทุกครั้ง
แต่ครั้งนี้ต่างกันออกไป หมอบอกว่าเราเป็นโรคซึมเศร้า เรารู้จักโรคนี้มาก่อนแต่ไม่คิดว่าเราจะเป็นหนึ่งในนั้น
สาเหตุที่หมอบอกว่าเรานอนไม่มหลับก็คือ จิตใต้สำนึกเราสั่งการอยู่ตลอดเวลา สารในเคมีในสมองเราเปลี่ยนไป
เราเลยหลับยากขึ้น มันอาจจะเป็นมานานมากแล้วแต่เพิ่งมาส่งผลทางกายภาพออกมาให้เห็นชัดๆ
ก็คงจะจริงอย่างหมอว่า ถ้าเรานอนไม่หลับเราคงไม่ไปพบจิตแพทย์ และเราคงใช้ชีวิตแบบป่วยๆโดยไม่รู้ตัว
เราได้กินยามากิน2ตัว ยาต้านโรคซึมเศร้ากับยานอนหลับ 0.5มิลลิกรัม เรารู้สึกดีขึ้นเพราะเราเริ่มนอนหลับได้
แม้จะไม่สนิทเหมือนก่อนป่วย แต่เป็นถึงขนาดนี้แล้วคงต้องทำใจให้ชิน แล้วเรื่องวายป่วงก็เกิดขึ้นจนได้
เพราะโรคซึมเศร้ามันไม่แค่ทำร้ายคุณแค่นี้หรอก ถ้ารักษาไม่ถูกต้องมันทำลายชีวิตคุณได้เลย อาจจะทั้งเป็นหรือตาย
เราไปเรียนด้วยอาการง่วงๆ ไม่สดชื่น เรารู้สึกว่าสมองเราช้าลงมาก เราเรียนไม่ทันเพื่อน เราหลับในเวลาเรียน
สุดท้ายเราต้องไปดรอป เพราะอาจารย์เตือนมาว่าถ้าปล่อยไว้เราติดเอฟแน่ๆ เราแปลกที่ไม่รู้สึกตกใจหรือพูดให้ถูกคือเราไม่รู้สึกอะไรเลย
ใจเราด้านชาไปเองโดยที่เราหาคำตอบไม่ได้ ขึ้นปีสองเราก็ลงเรียนตามแผนปกติ แต่เราไม่สามารถควบคุมเวลานอน เวลาตื่นได้เลย
กอปรกับอาการเราหนักขึ้นเราสมองช้าลงและอะไรอีกหลายๆอย่าง หมอก็ปรับยานอนหลับเราเป็น1มล.
และยาตัวอื่นอีกที่เราจำไม่ได้แล้ว รู้แต่ว่ามันไม่ดีขึ้นเลย จบเทอมนั้นเราติดเอฟมา3ตัว ส่วนตัวทีเหลือไม่ D ก็ C
ยาไม่เพียงส่งผลต่อสมองเราเท่านั้น ยังส่งผลต่อร่างกายเราชัดมาก เราน้ำหนักพุ่งพรวดแบบหาคำตอบไม่ได้
1เดือนเราน้ำหนักขึ้นเฉลี่ย2-4กิโล โดยที่ยังคงมีการออกกำลังกายอยู่และเราไม่ได้กินมากขึ้น คือปกติทุกอย่าง
ภายในปีนิดๆ เราน้ำหนักขึ้นถึง79.5กิโล จากน้ำหนักก่อนกินยา56กิโล เรารู้แล้วคำว่าอ้วนจนตัวแตกเป็นยังไง
เพราะมันแตกจริงๆ เพราะเพียงแค่ปีเศษๆ เราน้ำหนักขึ้นมาเยอะมาก ผิวหนังขยายไม่ทัน เราเริ่มแตกที่ต้นขาเป็นที่แรก
ที่เห็นครั้งแรกเรานึกว่าเป็นผื่นด้วยซ้ำ เพราะมันสีออกแดงๆ ไม่เจ็บไม่คัน จนมารู้ทีหลังว่าผิวแตก มันเริ่มจากต้นขาลามลงไปเรื่อยๆ
จนถึงน่องขา นี่ล่ะนรกมีจริง เราใส่กระโปรงไปเรียนพวกปากไม่ดีและเพศที่สามล้อเราลับหลังแรงมาก เรารับไม่ได้
ถอดความออกมาภาษาไทยปกติคือ เราไม่ดูแลตัวเอง อ้วนจนเหมือนหมูขึ้นอืด และขาเราแตกทุเรศมาก เป็นการล้อที่ทำร้ายจิตใจเรามากๆ
เราเก็บโรคนี้ไว้คนเดียว ไม่ป่าวประกาศให้ใครรู้ เรากลัวคนจะมองเราเป็นตัวประหลาด เราป่วยทางจิตมันก็แย่มากอยู่แล้ว
แถมร่างกายเรายังเปลี่ยนไปมากๆ วันที่เรารู้เพราะมีคนหวังดี (หรือร้าย?) อัดเสียงที่พวกนั้นล้อเราไว้ พวกนั้นแทนตัวเราว่าอี
และตามด้วยชื่อจริงของเรา เรากลับไปที่ห้องวันนั้นเรานั่งร้องไห้เลย คำพูดมันแรงมากจริงๆ จนเราเอามาบอกในนี้ไม่ได้
เพราะเราป่วยด้วยโรคซึมเศร้าทำให้เราอ่อนไหวมากกว่าปกติหลายเท่าจนเอามาคิดวนไปวนมา ต่อด้วยการเรียนของเรา
เทอม2 เราอาการแย่อย่างเห็นได้ชัดจากคนอื่น อาจารย์ที่ปรึกษาเรียกเราไปพบ เพราะเราแทบไม่เข้าเรียนเลย
เรามีอาการเฉยชากับทุกเรื่อง เริ่มไม่สนใจดูแลตัวเอง ไม่ทาครีม แต่งหน้า แม้แต่เสื้อผ้าก็ไม่รีด ใช้ชีวิตอยู่แต่ในห้องคนเดียว
งานอดิเรกที่เราชอบอย่างการอ่านหนังสือ เราก็แทบไม่แตะสักเล่ม เราหมดความสนใจในสิ่งที่เราชอบไปแล้ว
สิ่งที่ทำคือหายใจทิ้งไปวันๆ นอนขดอยู่บนเตียง จะออกไปไหนเฉพาะอาหารที่ห้องหมด อย่าถามถึงเพื่อนเพราะเราไม่มี
เพื่อนที่พอจะสนิทกันเล็กน้อยก็ทิ้งเราไปหมดแล้ว เราอยู่ตัวคนเดียวกับอาการซึมเศร้า เราไม่รู้ว่าจะแบกความลับที่เป็นโรคซึมเศร้าไว้ทำไม
ในเมื่อเราก็ไม่มีใครเหลืออยู่แล้ว เราตัดสินใจระบายลงเฟสและบอกอาการเล็กน้อย เราพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษแทนภาษาไทย
เพราะลึกๆแล้วเรารู้สึกอายและแย่ที่ป่วยเป็นโรคนี้ เมื่อมีคนรู้ว่าเราป่วยก็มีเพื่อนในเอกและอาจารย์มาให้กำลังใจ(ทางคอมเมนต์)
ในเมื่อไปเรียนแทบไม่ได้ เราจึงต้องดรอปทุกตัวเหลือไว้เพียงตัวเดียวเพราะเราไปเรียนไม่ไหว เราเฉยเมยต่อทุกสิ่ง (อ่อ พ่อแม่รู้นะว่าเราป่วย เพราะเคยไปหาหมอด้วยกัน) วิชาเดียวที่ไม่ได้ดรอปของเราติดเอฟ เนื่องจากเราไม่มีกลุ่มทำโปรเจกต์ไฟนอล และเรากก็ไม่ได้สนใจกระตือรือร้น
ก็อย่างที่บอกเราเฉยชาไปหมดทุกเรื่อง ไม่มีกลุ่มเราก็ไม่เข้าเรียนหรอก ดีซะอีกจะได้สิงอยู่บนเตียงต่อไป ไม่ต้องไปเจอผู้คนให้เหนื่อย
กลับมาเรื่องรอยแตกบ้าๆนั่น มีเพิ่มที่สะโพก2ข้าง ดูน่าเกลียดมาก เพราะเป็นรอยนูนขึ้นมาเชียวล่ะ เหมือนแผลเป็นเป็นริ้วๆหลายรอย
แม้แต่นมก็แตกเป็นรอยข้างๆ ต้นแขนสองข้างแตกนิดนึงเพราะเราไม่ทนกับคลีนิกเดิมแล้วค่ะ เปลี่ยนไปรักษาโรงพยาบาลแพทย์ที่นึง
หมอเปลี่ยนยาที่ตอบสนองต่อโรคของเราที่ดีกว่าเดิม เชื่อมั้ยภายใน1ปี น้ำหนักเราลดฮวบเหลือเพียง 61กิโล จากสูงสุด79.5
ก่อนที่น้ำหนนักเราจะลด เราน้อยใจที่เราไม่มีประโยชน์อะไรเลย แค่ไปเรียนก็ไม่ไหว ร่างกายและหน้าตาก็บวมน่าเกลียด
เราตัดสินใจกรีดแขนตัวเองเป็นครั้งแรก เราไม่ได้เรียกร้องความสนใจ จริงๆเราไม่อยากให้ใครมาหนักใจเรื่องเล่าด้วยซ้ำ
เมื่อมีครั้งแรกก็มีครั้งที่สองและสาม สรุปแล้วเรากรีดเเกือบทุกเดือน บางครั้งห่างกันแค่อาทิตย์เดียว เรากรีดแขนเพราะอยากระบาย
ออกมาบ้าง ในใจเราอัดแน่นไปด้วยความหดหู่ ว้าเหว่ หมดหวัง เราไม่มีใครให้ระบาย เรื่องเรียนปีสามไม่มีอะไรมากมาย เปลี่ยนแค่เรา
ลงเพียงแค่2-3ตัวต่อเทอม และอีกเทอมเราดรอปทุกตัวเหลือตัวเดียวอีกแล้ว จากนั้นก็เทตัวที่เหลืออยู่ คะแนนเก็บเราอยู่ที่0 เต็ม 100
GPA 0.00 แต่เราก็เฉย อยู่ไปโดยไม่มีจุดมุ่งหมายต่อ ขึ้นปีสี่เราล่องลอยแต่ดีมีอาจารย์คนนึงช่วย เราลงแค่2ตัว ผ่านทั้ง2ตัวแบบเฉียดฉิว
ปีสี่เทอมสองแม่เราเห็นว่าจะปล่อยเราไว้ไม่ไหวแล้ว เราต้องมีคนดูแล จึงให้เราดรอปอยู่บ้าน แม่เราเป็นครู วันธรรมดาก็เอาเราไปด้วย
โดยเรานั่งๆนอนๆอยู่บ้านพักครู เพราะเราไม่อยากพูดหรือเจอกับใคร มีครั้งนึงที่เราทำร้ายตัวเองหนันกที่สุดคือ เรากินยานอนหลับ
100กว่าเม็ดหมดกระปุก เพราะเราอยากตายๆไปซะ เราไม่มีเป้าหมายอะไรในชีวิตอีกแล้ว ดีที่แม่เราจับได้หลังจากกินไม่นาน
เลยพาไปล้างท้องทัน วันที่นอนอยู่โรงพยาบาลเราง่วง เพลีย เบลออยู่ตลอดเวลา คงยังไม่ถึงที่ตายของเราเลยรอดมาได้
.
การจะเป็นโรคซึมเศร้ามันมีสาเหตุและส่งสัญญาณออกมาอยู่เสมอ ไม่ใช่อยู่ดีๆก็เป็นเลย เราก็เช่นกัน ต้องเกริ่นก่อนว่าเราเกิดมาได้3เดือน
แม่แท้ๆเรายกให้ยายเลี้ยง หลังจากนั้นไม่นานพ่อกับแม่แท้ๆเราเลิกกัน เพราะพ่อเราแอบมีเมียน้อยและแม่เป็นผู้หญิงแกร่ง
เลยบอกเลิกเด็ดขาดตั้งแต่วันที่รู้ หลังจากนั้นก็ไม่ได้ข่าวคราวจากพ่ออีกเลย เราอายุได้2ขวบครึ่ง ป้าที่เป็นพี่สาวแท้ๆของแม่และสามี
ขอเราไปเลี้ยงเพราะทั้งคู่ไม่มีลูก ต่อไปนี้เราเรียกลุงและป้าที่เลี้ยงเรามาว่าพ่อแม่ ส่วนแม่แท้ๆเรียกแทนว่าแม่ น.
เราไม่ค่อยมีเพื่อนมาแต่ไหนแต่ไร แม้แต่ตอนเด็กๆ  เราใช้ชีวิตตอนเด็กเล่นคนเดียวมาตลอด แม่ก็ยอมรับกับหมอว่าแม่ไม่ให้เรามีเพื่อน
เพราะแม่เป็นคนรักสงบ ชอบอยู่กันแค่ในครอบครัว3คนพ่อแม่ลูก เนื่องจากพ่อแม่ย้ายไปทำงานต่างจังหวัดตั้งแต่ก่อนเราเกิดแล้ว
และไม่มีญาติอยู่จังหวัดนี้เลย ก็เลยไม่ไปไหนอยู่แต่ในบริเวณบ้าน นานๆทีจะกลับไปเยี่ยมตา ยาย ปู่ ย่า โตมาเราเลยหาเพื่อนไม่เป็น
ไม่รู้จะเข้าหาเพื่อนยังไง เราเคยโดนดุแม้กระทั่งแอบดูเพื่อนเล่นจากหน้าต่างบนบ้าน ที่เราจำได้บ่อยคือแม่ห้ามไปเล่นกับคนนู้นคนนี้
และไม่ให้เราออกไปหาเพื่อนด้วย โดยไม่คิดว่ามันจะส่งผลกระทบกับเราในอนาคต แต่เราไม่โกรธแม่เรื่องนี้แล้ว เพราะตอนคุบกับหมอ
แม่เสียใจจริงๆ แม่ปล่อยโฮร้องไห้ สำหรับเราเรื่องง่ายๆกับการชวนใครสักคนคุย เรากลับทำไม่เป็น เราประหม่ามากๆ เพราะตอนเด็กๆ
เราไม่มีใครเลยจริงๆ เราเหงาเวลาเราเล่นคนเดียว เราก็จะจินตนาการว่ามีเพื่อนมาเล่นด้วยและคุยกับเพื่อนในจินตนาการของเรา
เหมือนเพื่อนจริงๆ เราเริ่มเป็นตั้งแต่5ขวบ เลิกเป็นประมาณ10ขวบ เรื่องพูดคนเดียวแม่ห้ามเด็ดขาดเพราะกลัวคนอื่นจะคิดว่าเราเป็นบ้า
เราเลยมักโดนลงไม้ลงมือบ่อยๆ จะมีหยิกบ้าง ตีบ้าง อย่างหนักก็โดนถีบเพราะเราพูดกับเพื่อนจินตนาการในบ้านลุง
และทุกๆอย่างเราห้ามบ่นแม่ ไม่งั้นเราจะโดนตบปาก ตอนเด็กเรากลัวแม่มากๆ แม่เข้มงวดกับเราเสมอ ไม่ว่าใครจะมารายงานเรื่องเรากับแม่
แม่จะเชื่อหมด ถ้าเป็นเพื่อนที่โรงเรียนเราก็จะโดนตีโชว์เพื่อนๆนั่นแหละ หรือไม่ก็ด่าตะคอกเสียงดัง ผลคือเรากลัวจริงๆ
ส่วนพ่อเราใจดี พ่อไม่ทำเหมือนแม่ แต่พ่อนั่งดูเฉยๆไม่ได้ห้ามอะไร จะมีแค่บางเรื่องที่พ่อดุแต่ไม่ถึงขั้นลงไม้ลงมือ ประมาณเรา5-6ขวบ
เราเคยวิ่งตัดหน้ารถหน้าปากซอย เป็นถนน2เลนในหมู่บ้าน พ่อลากเรากลับบ้านทันทีแล้วรีบรายงานแม่ แม่บอกว่าอยากตายนัก
เอามือไปแหย่ปลั๊กไฟตายไป แล้วทำโทษให้เราจับน้ำแข็งก้อนใหญ่ๆ บังคับไม่ให้เอามือออก ไม่งั้นจะโดนตี เราเจ็บและชามือมาก
เป็นการลงโทษที่ฝังใจเราเลย แม่มักจะขู่เราเสมอ อย่างเช่น ถ้าเราสอบเข้าม.1 โรงเรียนที่แม่อยากให้เข้าไม่ได้จะไม่เลี้ยงเราต่อไป
จะให้แม่ น.เลี้ยง เรารู้สึกแย่นะ เพราะเราจะไปหาแม่ น.ก็ไม่ได้ เพราะสามีใหม่แม่ น.ไม่ชอบเด็ก จะว่าไปแม้แต่ตอนนี้ก็ไม่ชอบเรา
ตั้งแต่เด็กจนก่อนเราป่วยเราเข้ากับแม่ไม่ได้เลย แม่จะดุมากที่สุดสำหรับเรา บางทีแม่ก็โกรธเราโดยไม่มีเหตุผล อาจจะมีแต่ไม่เคย
อธิบายให้เราฟัง เชื่อมั้ยเราจะดีใจมากถ้าแม่ป่วย แล้วเข้านอนเร็ว เราจะได้ทำอะไรก็ได้ที่เราชอบทำตอนกลางคืน เพราะเราโดน
แม่ควบคุมทุกอย่าง ส่วนมากจะด้วยมือและไม้ หลังเราป่วยแม่ดีกับเรามาก พยายามเข้าใจเรา ส่วนแม่ น.กลายเป็นคนที่ทำให้เรา
เสียใจที่สุด เพราะแม่มักบอกกับเราเสมอว่าเราเป็นชอบสร้างปัญหาและเห็นแก่ตัว แม่ น. ไม่คิดว่าเราป่วย แต่คิดว่าเราเหงา
เพราะไม่มีเพื่อนเฉยๆ มีครั้งนึงถึงขั้นส่งรูปมาบอกว่าเป็นโรคซึมเศร้า ถ้ามีเงินก็จะหายทันทีประมาณนี้ค่ะ เรารู้สึกไม่ดีมากๆ
หรือตอนที่เราเจอกัน แม่ก็จะล้อที่เราอ้วนอะไรต่างๆนาๆ แม่ น.ไม่รู้เลยว่ามันรู้สึกแย่แค่ไหนที่น้ำหนักขึ้นเพราะยาที่ใช้รักษา
พอเราบอกความในใจว่าเราไม่โอเคที่แม่ น.พูดหลายๆครั้ง แม่ก็บอกแค่แซวเล่น พูดเล่น  แต่เราไม่รู้สึกสนุกด้วยเลยค่ะ จากนั้นแม่ น.
ก็จะบ่นเราเป็นชุดว่าไม่ใช้วิจารณญาณในการคิดบ้าง จะให้เราพูดอะไรดีล่ะ คำพูดจากปากแม่มันทำร้ายลูกได้เสมอ เพราะเรารักแม่ไง
เลยแคร์แม่ ตอนนี้ใครจะว่าเราอกตัญญูก็ไม่เป็นไรค่ะ เราเลิกติดต่อกับแม่ น.แล้ว และเลี่ยงที่จะเจอด้วย เราต้องรักษาจิตใจเราก่อนค่ะ
แม่ น.เคยเลี้ยงเราแค่3เดือนแรกแต่มาตัดสินเราขนาดนี้
สรุป เรายังต้องพึ่งยานอนหลับทุกคืน คืนละ2ม.+ยาระงับความกังวลค่ะ และยาต้านซึมเศร้าวันละ3เม็ดค่ะ ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้นะคะ
ปล. ที่แท็กห้องชานเรือนเพราะการเลี้ยงดูลูกส่งผลต่ออนาคตลูกมากค่ะ ความรุนแรงไม่ช่วยอะไรให้ดีขึ้นค่ะ นอกจากความกลัวที่ก่อขึ้นในลูกของคุณ
ปล.2 ถามคนเป็นโรคซึมเศร้าค่ะ ใครกินยาต้านโรคซึมเศร้าไม่ตรงเวลาแล้วมีอาการแบบเราบ้างคะ คือปวดหัว วิงเวียน คลื่นไส้ อาเจียน เราขาดยาไม่ได้เลยค่ะ ไม่กินนี่เหมือนตายทั้งเป็น อาการหนักจริงๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่