โรคอ้วนไม่ใช่แค่เรื่องของน้ำหนักตัว แต่เป็นภาวะทางการแพทย์ที่สามารถนำไปสู่ปัญหาสุขภาพร้ายแรงอื่นๆ
การทำความเข้าใจสาเหตุ การวินิจฉัย และแนวทางการจัดการโรคอ้วนอย่างถูกวิธีจึงเป็นสิ่งสำคัญ
เพื่อให้คนไข้สามารถดูแลสุขภาพของตนเองและคนที่คุณรักได้อย่างยั่งยืน
วันนี้พี่หมอฝั่งธน..จะมาให้ความรู้
โรคอ้วน ภัยเงียบใกล้ตัวที่คุณควรรู้และวิธีจัดการอย่างยั่งยืน 
สถานการณ์โรคอ้วนและอ้วนลงพุงในประเทศไทย : ทำไมเราถึงอ้วนขึ้น 
ปัจจุบันคนไทยจำนวน 1 ใน 5 มีภาวะน้ำหนักเกินและเป็นโรคอ้วน และคนไทยจำนวน 1 ใน 3 มีภาวะอ้วนลงพุง
ทั้งนี้เกิดจากพฤติกรรมการกินที่เปลี่ยนไปและการออกกำลังกายที่น้อยลง
โรคอ้วนในเด็ก
ปัญหาโรคอ้วนไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในกลุ่มผู้ใหญ่เท่านั้น แต่ยังพบเพิ่มขึ้นในเด็ก
โดยพบภาวะอ้วนในเด็กเพิ่มขึ้นถึง 1 ใน 10 ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนที่น่าเป็นห่วง
เนื่องจากเด็กที่อ้วนมีแนวโน้มที่จะเป็นผู้ใหญ่อ้วนและเสี่ยงต่อโรคต่างๆ ในอนาคต
โรคอ้วนคืออะไร 
โรคอ้วนเป็นโรคเรื้อรังชนิดหนึ่ง เกิดจากปริมาณไขมันในร่างกาย (body fat) ที่มากกว่าปกติ
จนกระทบต่อสุขภาพ นอกจากนี้การกระจายตัวของไขมันภายในร่างกาย (body fat distribution)
ยังเป็นปัจจัยที่มีผลต่อสุขภาพ โดยแบ่งเป็น
1.โรคอ้วนทั้งตัว(General obesity)
ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีไขมันทั้งร่างกายที่มากกว่าปกติ โดยไม่ได้จำกัดที่บริเวณใดโดยเฉพาะ
2.โรคอ้วนลงพุง(Central/ visceral obesity)
ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีไขมันของอวัยวะภายในช่องท้องมากกว่าปกติ กลุ่มนี้มักเพิ่มโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ, โรคเบาหวาน เป็นต้น
สาเหตุหลักของโรคอ้วน โรคอ้วนไม่ได้เกิดจากแค่พฤติกรรมการกินอย่างเดียว แต่มีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลกระทบ:
• พันธุกรรม: โรคทางพันธุกรรมสามารถทำให้เกิดโรคอ้วนร่วมได้ เช่น โรคพราเดอร์-วิลลี่ มักจะพบตั้งแต่วัยเด็ก
นอกจากนั้นพันธุกรรมยังมีความสัมพันธ์กับปริมาณไขมันในร่างกาย, การเผาพลาญพลังงาน
• พฤติกรรมการกินและกิจกรรมทางกาย: การที่ร่างกายใช้พลังงานไปน้อยกว่าพลังงานที่ได้รับเข้าไปนานๆ
ทำให้เกิดไขมันเพิ่มขึ้นสะสมมากขึ้น สุดท้ายทำให้เกิดโรคอ้วนได้
• โรคประจำตัวและยาบางชนิด : ยาบางประเภท เช่น ยาที่ใช้รักษาโรคซึมเศร้า, ยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์,
ยาคุมกำเนิดและยากันชัก มีผลข้างเคียงทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้
• การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน: เช่น ภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ ทำให้มีภาวะน้ำหนักเกินได้เนื่องจากระบบเผาผลาญลดลง
การวินิจฉัยโรคอ้วน: มาตรฐานคือ BMIการวินิจฉัย โรคอ้วน สามารถวินิจฉัยได้โดยการวัดปริมาณไขมันในร่างกาย
ปัจจุบันมีการใช้เทคนิคและเครื่องมือต่างๆ เพื่อใช้ในการวัดปริมาณไขมันในร่างกาย
เช่น การวัดองค์ประกอบของร่างกายจากความต้านทานไฟฟ้า (Bioelectrical impedance analysis (BIA)), DEXA, MRI
ซึ่งมีข้อจำกัดและค่าใช้จ่ายที่สูง จึงมีการใช้ ดัชนีมวลกาย (BMI) ซึ่งคำนวณจากน้ำหนัก (กิโลกรัม) หารด้วยส่วนสูง (เมตร) ยกกำลังสอง
และ เส้นรอบเอว มาเป็นเกณฑ์ง่ายๆ เพื่อวินิจฉัยโรคอ้วน ( ในผู้ใหญ่อายุตั้งแต่ 20ปี )
เกณฑ์ตัดสินที่ใช้ในคนไทย
• BMI เกิน 23-24.9 กก/ม2: ถือว่าอยู่ในภาวะน้ำหนักเกิน (Overweight)
• BMI เกิน 25-34.9 กก/ม2: ถือว่าเป็นภาวะอ้วน ระดับ 1
• BMI เกิน 35-39.9 กก/ม2: ถือว่าเป็นภาวะอ้วน ระดับ 2
• BMI เกิน 40 กก/ม2: ถือว่าเป็นภาวะอ้วน ระดับ 3( โรคอ้วนรุนแรง)
เกณฑ์ตัดสินภาวะอ้วนลงพุงในคนไทย
สามารถประเมินง่ายๆ ด้วยการวัดเส้นรอบเอวตรงระดับกึ่งกลางระหว่างขอบล่างของกระดูกซี่โครงและขอบบนของกระดูกเชิงกราน
สามารถทำนายการเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคอ้วนได้ดีกว่าดัชนีมวลกาย โดยมีเกณฑ์มาตรฐานดังนี้
• ผู้ชาย เส้นรอบเอว ≥ 90 เซนติเมตร
• ผู้หญิง เส้นรอบเอว ≥ 80 เซนติเมตร
ผลกระทบต่อสุขภาพเมื่อเป็นโรคอ้วน ผลร้ายของโรคอ้วนต่อสุขภาพแบ่งเป็น 4 กลุ่มใหญ่ ดังนี้
1. กลุ่มโรคเรื้อรังที่สัมพันธ์กับโรคอ้วน: โรคความดันโลหิตสูง, โรคหัวใจและหลอดเลือด,
ภาวะหัวใจล้มเหลว,โรคเบาหวาน, ภาวะถุงน้ำในรังไข่, ภาวะไขมันผิดปกติ, โรคไตเรื้อรัง, โรคกรดไหลย้อน, ภาวะไขมันพอกตับ เป็นต้น
2. กลุ่มโรคมะเร็ง: โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่, โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก, โรคมะเร็งเต้านม, โรคมะเร็งถุงน้ำดี
3. กลุ่มโรคหรืออาการที่เกิดจากน้ำหนักและไขมันในร่างกายมากเกินไป: โรคข้อเสื่อมและเก๊าท์, มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ(obstructive sleep apnea, OSA), โรคหอบหืด
4. กลุ่มปัญหาทางสังคมและจิตใจที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน
แนวทางการรักษาและป้องกันโรคอ้วนอย่างมีประสิทธิภาพ ในผู้ป่วยที่มีภาวะโรคอ้วน ควรค้นหาสาเหตุที่ทำให้เกิดโรค ร่วมกับการปรับพฤติกรรมและการใช้ยารักษาที่เหมาะสม
วิธีการลดน้าหนักตัวในผู้ป่วยโรคอ้วนแบ่งเป็น 5ประเภท คือ
1.การควบคุมอาหาร :
ลดปริมาณแคลอรี่: การควบคุมปริมาณแคลอรี่ที่ได้รับต่อวันให้เหมาะสม
โดยรูปแบบอาหารขึ้นอยู่กับวิถีชีวิตและโรคประจำตัวของผู้ป่วย
เลือกคุณภาพของอาหาร: เน้นอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก โปรตีนไม่ติดมัน
ลดการบริโภคอาหารแปรรูป น้ำตาล และไขมันอิ่มตัว
2.การออกกาลังกาย :
สร้างไลฟ์สไตล์ที่แอคทีฟ: พยายามเคลื่อนไหวร่างกายในชีวิตประจำวันให้มากขึ้น
ออกกาลังกายอย่างสม่าเสมอ: ออกกำลังกายแบบแอโรบิคต่อเนื่อง
ร่วมกับการออกกำลังกายแบบมีแรงต้าน ช่วงแรกอาจจะแบ่งออกครั้งละ 10-15นาที สะสมจนถึง 30 นาทีต่อวัน และค่อยๆเพิ่มขึ้น
3.ปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร: มีการวางแผนในการรับประทานอาหาร
4.การใช้ยาทางการแพทย์ (ภายใต้การดูแลของแพทย์): เกณฑ์พิจารณาใช้ยาลดน้ำหนัก
สำหรับผู้ที่มี BMI ≥ 27 กก/ม2 แพทย์อาจพิจารณาการใช้ยาลดน้ำหนัก
เมื่อรักษาด้วยการควบคุมอาหารและออกกำลังกายไม่ได้ผล
สำหรับผู้ที่มี BMI ≥ 25 กก/ม2 ที่มีโรคร่วม เบาหวาน, ความดันโลหิตสูง
แพทย์อาจพิจารณาการใช้ยาลดน้ำหนักเมื่อรักษาด้วยการควบคุมอาหารและออกกำลังกายไม่ได้ผล
ปัจจุบันมียาลดน้ำหนักที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.)
ทั้งรูปแบบรับประทานและฉีดใต้ผิวหนัง มีความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพในการลดน้ำหนักตั้งแต่ 5-22%
แต่การใช้ยาลดน้ำหนักควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสาเหตุ และวางแผนการรักษาร่วมกัน
สิ่งสำคัญ การใช้ยาลดน้ำหนักต้องทำควบคู่กับการคุมอาหาร และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเสมอ
การผ่าตัดรักษาโรคอ้วน: พิจารณาในผู้ป่วยโรคอ้วนที่ภาวะโรคอ้วนรุนแรง
( BMI >40กก/ม2) หรือ BMI > 35กก/ม2ร่วมกับมีภาวะแทรกซ้อนของโรคอ้วน
การรับรู้ถึงความสำคัญของโรคอ้วน จะเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการดูแลสุขภาพของคุณให้แข็งแรงและห่างไกลจากภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้
ความรุ้เพิ่มเติม
ผู้เขียน พญ.วินิตา กมลเพชร แพทย์ผู้ชำนาญการโรคต่อมไร้ท่อ
https://www.thonburihospital.com/%E0%B8%B4bariatric-surgery/
https://www.thonburihospital.com/obesity-a-silent-danger-how-to-manage/
https://www.thonburihospital.com/package/bariatric-surgery/
https://www.youtube.com/@ThonburiHospitalchannel
โรคอ้วน ภัยเงียบใกล้ตัวที่คุณควรรู้และวิธีจัดการอย่างยั่งยืน
ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีไขมันทั้งร่างกายที่มากกว่าปกติ โดยไม่ได้จำกัดที่บริเวณใดโดยเฉพาะ
2.โรคอ้วนลงพุง(Central/ visceral obesity)
ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีไขมันของอวัยวะภายในช่องท้องมากกว่าปกติ กลุ่มนี้มักเพิ่มโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ, โรคเบาหวาน เป็นต้น
• พันธุกรรม: โรคทางพันธุกรรมสามารถทำให้เกิดโรคอ้วนร่วมได้ เช่น โรคพราเดอร์-วิลลี่ มักจะพบตั้งแต่วัยเด็ก
• พฤติกรรมการกินและกิจกรรมทางกาย: การที่ร่างกายใช้พลังงานไปน้อยกว่าพลังงานที่ได้รับเข้าไปนานๆ
• โรคประจำตัวและยาบางชนิด : ยาบางประเภท เช่น ยาที่ใช้รักษาโรคซึมเศร้า, ยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์,
• การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน: เช่น ภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ ทำให้มีภาวะน้ำหนักเกินได้เนื่องจากระบบเผาผลาญลดลง
• BMI เกิน 23-24.9 กก/ม2: ถือว่าอยู่ในภาวะน้ำหนักเกิน (Overweight)
• BMI เกิน 25-34.9 กก/ม2: ถือว่าเป็นภาวะอ้วน ระดับ 1
• BMI เกิน 35-39.9 กก/ม2: ถือว่าเป็นภาวะอ้วน ระดับ 2
• BMI เกิน 40 กก/ม2: ถือว่าเป็นภาวะอ้วน ระดับ 3( โรคอ้วนรุนแรง)
สามารถประเมินง่ายๆ ด้วยการวัดเส้นรอบเอวตรงระดับกึ่งกลางระหว่างขอบล่างของกระดูกซี่โครงและขอบบนของกระดูกเชิงกราน
• ผู้ชาย เส้นรอบเอว ≥ 90 เซนติเมตร
• ผู้หญิง เส้นรอบเอว ≥ 80 เซนติเมตร
1. กลุ่มโรคเรื้อรังที่สัมพันธ์กับโรคอ้วน: โรคความดันโลหิตสูง, โรคหัวใจและหลอดเลือด,
2. กลุ่มโรคมะเร็ง: โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่, โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก, โรคมะเร็งเต้านม, โรคมะเร็งถุงน้ำดี
3. กลุ่มโรคหรืออาการที่เกิดจากน้ำหนักและไขมันในร่างกายมากเกินไป: โรคข้อเสื่อมและเก๊าท์, มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ(obstructive sleep apnea, OSA), โรคหอบหืด
4. กลุ่มปัญหาทางสังคมและจิตใจที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน