ความเดิมตอนที่แล้ว
กระบี่รันทด หลังจากถูกจับตัวไปเป็นลูกเขยหมู่ตึกไร้รัก ก็พยายามหลบหนีออกมาอย่างสุดชีวิต เพราะเรื่องจะจบแน่นอนถ้าหนีไม่ได้
เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป เชิญท่านติดตาม ณ บัดนาว
บทที่ผ่านมา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
บทที่ 1
https://pantip.com/topic/37667276
บทที่ 2
https://pantip.com/topic/37674255
บทที่ 3
https://pantip.com/topic/37682542
บุรุษหนุ่มเร่งฝีเท้าไปถึงลำธารสายหนึ่ง มีสะพานหินโค้งข้ามสายน้ำ บนสะพานมีทารกทาริกาคู่หนึ่งยืนนิ่งอยู่ สายตาจับจ้องมองยังผู้หลบหนีงานวิวาห์ไม่กะพริบ บุรุษหนุ่มแม้ว่ามึนงงสงสัย แต่ไม่ปรารถนาตอแยกับสตรีและเด็ก ดังนั้นพลันวิ่งอ้อมไปด้านข้าง
มิคาดว่าพอเฉียดใกล้ ทารกพลันตะปบมือคว้าใส่ข้อมือ
เคยมีคนบอกว่าทารกทาริกาวัยเยาว์ คว้าจับใส่สิ่งใดต่างคว้าจับไว้อย่างแนบแน่น เนื่องเพราะทารกย่อมมีจิตใจบริสุทธิ์ไร้เดียงสา พอกระทำเรื่องราวใดล้วนใจจดจ่ออยู่กับเรื่องนั้น แต่มือของทารกคนนี้ทั้งแข็งทั้งเย็นผิดปกติ เรื่องเช่นนี้ไม่มีใครเคยบอกมาก่อน
ความสงสัยเพิ่งปะทุ ข้อมือข้อทารกบิดหมุน ยกร่างของกระบี่รันทดขึ้นลอยคว้างกลางอากาศ ขณะทาริกาหญิงเคลื่อนร่างตรงมาอย่างรวดเร็ว มือทั้งคู่พุ่งเข้าใส่คอหอยของ มือคู่ที่แฝงพลังเกรี้ยวกราดไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าปลายทวนทมิฬของยอดฝีมือยุทธภพ
ท่วงท่าพิกลพิสดารของสองทารกทาริกา บันดาลให้ผู้คนพบเห็นแตกตื่นจนหัวใจแทบกระดอนจากปาก
กระบี่รันทดแม้กำสรดเศร้าหมองก็ไม่เคยทำร้ายเด็กและสตรี หรือสตรีมีครรภ์ เพียงลังเลวูบเดียวความตายก็มาเรียกขานหน้าบ้านแล้ว พลันมีเงาร่างสายหนึ่งในชุดสีดำคลุมหน้าโฉบมาราวปักษา ใช้สันมือฟันใส่ข้อมือของทาริกาขาดสะบั้น ราวกับถูกคมกระบี่คมกริบฟันใส่
ร่างของบุรุษหนุ่มหลุดพ้นจากแรงเหวี่ยงกระแทกราวสะพาน ยังไม่ทันตั้งหลักเงาร่างผู้มาใหม่ก็ฉุดแขนให้ลุกขึ้น กระชากออกวิ่งพร้อมเสียงร้องดังข้างหู
“ตามมา ถ้าคิดจะรอดพ้นจากสถานที่นี้”
“ท่านตัดแขนทารก”
“แขนทารกใด ท่านซกมกมากที่ดูไม่ออกว่านั่นเป็นหุ่นกลเท่านั้น”
“หุ่นกล?”
“ท่านดู…”
เหลียวหันไปมอง ทันเห็นหุ่นทารกพอแขนขาดคล้ายเสียศูนย์ เอียงหมุนเข้าหาหุ่นทาริกาน้อย จึงถูกมือพิฆาตปักลงทรวงอกจนเกิดประกายไฟพะเนียงปะทุไม่ขาดสาย ไม่น่าเชื่อว่าวิทยาการของหมู่ตึกไร้รักจะสามารถสร้างหุ่นกลเคลื่อนไหวได้ราวมีชีวิต
“หมู่ตึกไร้รักเต็มไปด้วยกับดักค่ายกล ท่านไม่มีทางหลบรอด หากไม่ตามข้ามา”
คนลึกลับคล้ายชำนาญสถานที่ยิ่ง พาอีกฝ่ายกระโดดปราดไปหาลัดเลาะตามสุมทุมพุ่มไม้จนทะลุออกทางด้านหลังหมู่ตึกมุ่งหน้าสู่ประตูบานใหญ่ที่ปิดสนิท กำแพงสูงดูท่าไม่มีที่ให้ปีนป่าย
แต่คนลึกลับมีลูกกุญแจสอดใส่กุญแจดอกใหญ่ เปิดออกอย่างง่ายดาย
ไม่ทันที่จะซักถาม คนลึกลับผู้นั้นก็คว้ามือพาวิ่งออกไปจนถึงเนินดินกลางดงสน ห่างหมู่ตึกออกไปหลายลี้ ท่ามกลางความงุนงงสงสัยของคนถูกนำทางว่า บุคคลผู้มีน้ำใจช่วยตนเอาไว้เป็นใครและมีจุดประสงค์เช่นไรกัน
จันทร์ยามดึกสวยงามนวลตาเย็นใจ ลูบไล้พื้นพิภพปลอบประโลมใจไออุ่นยามลมหนาวทักทาย เจ้าบ่าวหนีวิวาห์จวบจนบัดนี้ จึงเห็นหน้าคนลึกลับเมื่อผ้าคลุมหน้าปลดเปลื้องปลิดปลิวลอยหายลับกับสายลมในเงามืดแมกไม้ จันทร์นวลใยลูบไล้ใบหน้าผุดผาดขาวนวลน่าชม ยิ่งกว่าดวงจันทร์หลายเท่า
ธิดาหมู่ตึกไร้รัก ดรุณีน้อยคู่วิวาห์นั่นเอง
กระบี่รันทดตะลึงลาน
คนซึ่งควรเหนี่ยวรั้งมันไว้มากที่สุดของที่สุด กลับเป็นคนพามันหนีออกมา เรื่องราวเช่นนี้สุดครุ่นคิดคำคำนวณ นอกเหนือเหตุผลใด คนใช่กลับไม่ใช่... คนไม่ควรใช่กลับใช่... คนที่ไม่ควรมากลับมาปรากฏ... ดรุณีน้อยจ้องมองมายังมันอย่างซึมเซาลม ยามดึกกระโชกวูบ เงาทิวสนสะบัดใบร่ายรำตามลำนำบทเพลงประสานเสียงแห่งสายลม ใบสนหล่นโรยรายโปรยปรายในแสงจันทร์ราวมายาภาพฝัน
กระบี่รันทดก็พาลยืนจ้องมองนางเนิ่นนานเช่นกัน สรรพสิ่งเงียบงันราวเอียงหูเตรียมสดับรับฟังเสียงกระซิบสั่ง ประกายตาของนางพร่างพรายราวดาราราย กระซิบแสงแสนเศร้าชนิดออกมา แต่นางยังสามารถฝืนยิ้มที่แฝงด้วยความเศร้า เต็มไปด้วยการปลอบประโลมผสมความอาวรณ์ และการเข้าใจสถานการณ์กระจ่างชัด
“เป็นท่าน….” บุรุษหนุ่มปากออกมาได้ยากลำบากยากเย็น มิทราบว่าควรเศร้าหรือควรร่าเริงดี
“เป็นข้าเอง” นางเอ่ยตอบด้วยเสียงหม่นเศร้าชวนให้จิตใจแตกแหลกสลาย นางคล้ายจะสั่นไหวหายลับไปกับสายลมยามวิกาลได้ตลอดเวลา
กระบี่รันทดเงียบงันครู่หนึ่งจึงเอ่ยเบาๆ อีกว่า
“ท่านทราบข้าอย่างไรก็ต้องไป”
“ข้าทราบท่านอย่างไรต้องไป”
การพลัดพรากจากลาเป็นเรื่องคล้ายธรรมดาสามัญ แต่เรื่องธรรมดาสามัญเช่นนี้บางทีเป็นโศกนาฏกรรมบทหนึ่งของมนุษยชาติตลอดกาลนาน มีพบ มีจาก... ไม่มีพบ ไม่มีจาก.. ไม่พบ ไม่จาก..ไม่โศก ไม่เศร้า.. ไม่ร้าว ไม่เจ็บ... ทว่าชีวิตไร้ความรู้สึกแบบนั้น บางทีคงอ้างว้าง....เหลือแต่คราบสังขารว่างเปล่า
กระบี่รันทดไม่กล่าวกระไรอีก ยืนจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยเดินถอยหลัง... กระทั่งหายไปในความมืดมนอนธการแห่งเงาไม้หนา ดรุณีน้อยพลันสร้างม่านน้ำตาขึ้นมาผืนหนึ่ง ม่านน้ำตาเลือนรางสั่นไหวพร่างพรูราวสายฝน
มุมมืดของเงาไม้พลันปรากฏร่างบุรุษหนุ่มเดินตรงกลับมาอีกครั้ง
มันใช้สายตาอ่อนโยนจับจ้องมองผ่านม่านน้ำตา เสียงสั่นไหวคล้ายภาพพร่าพรายกลางสายฝน ทว่ากระจ่างชัดทุกถ้อยคำ
“ท่านทราบข้าอย่างไรต้องไป ก็สมควรทราบอย่างไรข้าต้องกลับมาหาท่าน”
ดรุณีน้อยยิ้มทั้งน้ำตา เอ่ยวาจาแผ่วเบาราวกระซิบ “ข้าทราบท่านต้องไป ดังนั้นจึงทราบว่าท่านต้องกลับมา”
ดรุณีเติบใหญ่สามารถยิ้มทั้งน้ำตาได้มีไม่มากนัก ดรุณีเติบใหญ่ยิ้มทั้งน้ำตาแล้วน่าชมดูยิ่งไม่น้อยกว่าน้อย นางทราบคนผู้หนึ่งคิดไป มิอาจรั้งมิให้ไป ต่อให้รั้งกายได้ก็ไม่มีทางยั้งใจเอาไว้
นางพลันเอ่ยต่อว่า “ท่านก็ควรทราบท่านไปสามปีข้าจะรอท่านสามปี ท่านไปสิบปีข้าจะรอท่านสิบปี ท่านไปชั่วชีวิตข้าจะรอท่านชั่วชีวิต...ท่านไม่มา ข้าจะยินยอมน้อมกายใจรอพบท่านชาติหน้า”
กระบี่รันทดความจริงในในชีวิตของมันยิ้มแย้มน้อยครั้ง เพราะยิ้มคราใดพลังกายใจลดถอย บัดนี้มันถึงกลับคล้ายยิ้มแย้มเล็กน้อยแล้ว
“ข้าทราบดี…ดังนั้นช้าเร็วข้าจะกลับมา” เป็นวาจาที่หนักแน่นที่สุดเท่าที่มันเคยเอ่ยปาก
“เราก็ทราบ ช้าเร็วท่านต้องกลับมา” ดรุณีน้อยเอ่ยอย่างอ้อยอิ่ง
“เพียงมีชีวิตเราต้องกลับมา”
“ท่านต้องมีชีวิตกลับมาแน่นอน”
“เราต้องไปแล้ว”
“ท่านไปได้แล้ว”
ถึงเวลาไป มิอาจไม่ไป เมฆดำพัดผ่านจันทร์หลบลี้หนีหน้าทิ้งเงามืดดำโอบอุ้มพื้นพิภพ กระบี่รันทดมาแล้วมิอาจไม่ไป... ใช่แส่หาเรื่องใส่ตัวหรือไม่... ชักนำเรื่องร้าวรันทดเข้าหาตัวหรือไม่...กระทั่งมันยังไม่อาจตอบคำถามที่วางบนความว่างเปล่านี้ได้
บุรุษหนุ่มเดินถอยหลัง... หายไปในเงามืดของแมกไม้ จากไปอีกครั้ง
นางยังคงยืนที่เดิม เงาจันทร์ผ่านพ้น คนเพิ่งเดินถอยหลังจากไป เดินหน้ากลับมาอีกครั้ง
ในมือของมันมีดอกไม้ เป็นดอกราตรี มันยืนมองดรุณีน้อยครู่หนึ่งพลันกระทำเรื่องราวที่อาจหาญที่สุดในชีวิต ค่อยบรรจงปักดอกราตรีแซมม่านผมดำขลับเหนือหูของดรุณีน้อย กับมันแล้วการกระทำเช่นนี้ยากยิ่งกว่าปักกระบี่ลงในอกของศัตรูมากมายหลายเท่า เพียงแต่ดอกราตรีช่อนี้ไม่ได้ปักลงบนเส้นผมของนางเท่านั้น ยังปักลงกลางใจของนางด้วยดอกราตรีธรรมดา พลันกลับกลายมีคุณค่าทางใจมหาศาล
“ดึกแล้วท่านควรรีบกลับบ้านเข้านอน จะได้โตเร็ว ๆ” เอ่ยเสียงราบเรียบ ฟังดูอบอุ่นยิ่ง
ดรุณีน้อยลูบคลำช่อราตรีแผ่วเบา...แล้วพยักหน้าอย่างว่าง่าย กล่าวเสียงหนักแน่นใบหน้าคล้ายกึ่งยิ้มกึ่งบึ้งพูดว่า
“ดึกแล้วข้าจะกลับบ้านเข้านอน ท่านถนอมตัวด้วย ไปแล้วไม่ต้องเดินกลับไปกลับมา ถอยหน้าถอยหลังเป็นผีบ้าผีบออีกนะ... เดี๋ยวจะซ้ำซากกลับไปกลับมามากเกินไป... หันหลังเดินออกไปดี ๆ แล้วห้ามหันมามอง ใครหันกลับไปมองขอให้คนนั้นเป็นบ้า”
บุรุษหนุ่มฝืนยิ้ม ถ้าอีกฝ่ายไม่ห้าม ท่าทางของมันคงเดินกลับไปกลับมาอีกหลายรอบ โดยไม่อาจตัดใจง่ายดายเพราะรู้สึกเหมือนกำลังเดินหนีจากหัวใจของตนเอง ทั้งคู่สบตามองหน้ากับครู่หนึ่ง ในที่สุดต่างหันหลังให้กันแล้วค่อยก้าวหายไปในเงามืด หัวใจพลันหม่นมัวมืดมน ทว่ายังแฝงความปลาบปลื้มประโลมใจ ความรักสามารถบันดาลเรื่องราวทั้งรอยยิ้มและคราบน้ำตาในคราเดียวกัน
กระบี่รันทดยังมีภารกิจของมันจะต้องกระทำให้ลุล่วง ความร้าวรันทดกระตุ้นเลือดลมปะทุเดือดพล่านด้วยพลังรันทดบันดาลให้มันกลับคืนสภาพสุดยอดของฝีมืออีกครั้ง
และอ้างว้างเดียวดายอีกครั้ง ในคืนอันอ้างว้างเยือกเย็น
นั่นเป็นความรักครั้งแรกของกระบี่รันทด แต่มันมิอาจอยู่เพื่อรัก เพราะเรื่องจะจบลงทันที ดังนั้นจึงต้องเดินทางต่อไปปฏิบัติตามคำสั่งของ ‘เฒ่ารันทด’ ผู้เป็นอาจารย์
หลายวันหลังจากนั้น หนึ่งชีวิตหนึ่งกระบี่หล่อหลอมกันด้วยพลังลึกล้ำของความรันทดและกับการเดินทางยาวไกล เบื้องหลังเป็นทิวเขาแมกไม้ ด้านข้างเป็นป่าดงรกชัฏ ข้างหน้าเป็นชานเมืองเล็ก ๆ โรงเตี๊ยมหนึ่งเดียวท้ายเมืองเป็นหมายสุดท้ายของวันนี้ คนเดินทางทางผ่านไปมาไม่มากไม่น้อย ไม่จัดเป็นเส้นทางคึกคักมากมาย แต่ก็ไม่ไร้ความหมายจนขาดผู้คนสัญจร
บุรุษหนุ่มหิวโหยปางตายดังนั้นพอมาถึงโรงเตี๊ยมก็จับจองโต๊ะสั่งข้าวปลาอาหารมาดื่มกินเป็นการใหญ่ มันมีเงินติดตัวไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป ประหยัดสามารถอยู่ได้นับเดือน ฟุ่มเฟือยก็ยังอยู่ได้หลายวัน
น้ำฃาผ่านไปครึ่งป้าน จิตใจของมันแจ่มใสขึ้นครึ่งส่วน
ครึ่งส่วนไม่มากไม่น้อย..
มากกว่านี้จะลดทอนพลังภายใน น้อยกว่านี้ก็จะอ่อนล้า จำเป็นต้องรักษาสภาพสมดุลของความมากน้อยไว้อย่างระมัดระวัง ท้องอิ่มจึงมีเวลาเงยหน้ามองสิ่งของผู้คน
ถ้ามีคนวิ่งมาแล้วมุดลงไปไต้โต๊ะของท่าน คนที่ไม่เคยพบพานรู้จัก ท่านจะทำประการใด ขณะบุรุษหนุ่มกำลังนั่งดื่มกิน คนผู้หนึ่งก็วิ่งเข้ามาทางประตู และมุดเข้าไปใต้โต๊ะของมัน
กระบี่รันทดขมวดคิ้ว เลิกผ้าปูโต๊ะขึ้นอ้าปากจะดุด่าว่ากล่าวออกไปหลายคำแต่แล้วก็ชะงัก
เป็นท่านหากพบพานดรณีน้อยเยาว์วัยวิ่งมาแล้วมุดลงไปใต้โต๊ะของท่าน ดรุณีที่ไม่เคยรู้จัก ท่านก็คงเป็นเช่นกับมัน ท่านยังคงคิดจะดุด่าดรุณีน้อยน่ารักน่าชังนางหนึ่งได้ลงคอ ต่อให้ท่านคิดด่านาง เกรงว่าปากของท่านผนึกค้าง
.
กระบี่รันทด 4.........(กระบี่แสนหล่อ)
กระบี่รันทด หลังจากถูกจับตัวไปเป็นลูกเขยหมู่ตึกไร้รัก ก็พยายามหลบหนีออกมาอย่างสุดชีวิต เพราะเรื่องจะจบแน่นอนถ้าหนีไม่ได้
เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป เชิญท่านติดตาม ณ บัดนาว
บทที่ผ่านมา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
บุรุษหนุ่มเร่งฝีเท้าไปถึงลำธารสายหนึ่ง มีสะพานหินโค้งข้ามสายน้ำ บนสะพานมีทารกทาริกาคู่หนึ่งยืนนิ่งอยู่ สายตาจับจ้องมองยังผู้หลบหนีงานวิวาห์ไม่กะพริบ บุรุษหนุ่มแม้ว่ามึนงงสงสัย แต่ไม่ปรารถนาตอแยกับสตรีและเด็ก ดังนั้นพลันวิ่งอ้อมไปด้านข้าง
มิคาดว่าพอเฉียดใกล้ ทารกพลันตะปบมือคว้าใส่ข้อมือ
เคยมีคนบอกว่าทารกทาริกาวัยเยาว์ คว้าจับใส่สิ่งใดต่างคว้าจับไว้อย่างแนบแน่น เนื่องเพราะทารกย่อมมีจิตใจบริสุทธิ์ไร้เดียงสา พอกระทำเรื่องราวใดล้วนใจจดจ่ออยู่กับเรื่องนั้น แต่มือของทารกคนนี้ทั้งแข็งทั้งเย็นผิดปกติ เรื่องเช่นนี้ไม่มีใครเคยบอกมาก่อน
ความสงสัยเพิ่งปะทุ ข้อมือข้อทารกบิดหมุน ยกร่างของกระบี่รันทดขึ้นลอยคว้างกลางอากาศ ขณะทาริกาหญิงเคลื่อนร่างตรงมาอย่างรวดเร็ว มือทั้งคู่พุ่งเข้าใส่คอหอยของ มือคู่ที่แฝงพลังเกรี้ยวกราดไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าปลายทวนทมิฬของยอดฝีมือยุทธภพ
ท่วงท่าพิกลพิสดารของสองทารกทาริกา บันดาลให้ผู้คนพบเห็นแตกตื่นจนหัวใจแทบกระดอนจากปาก
กระบี่รันทดแม้กำสรดเศร้าหมองก็ไม่เคยทำร้ายเด็กและสตรี หรือสตรีมีครรภ์ เพียงลังเลวูบเดียวความตายก็มาเรียกขานหน้าบ้านแล้ว พลันมีเงาร่างสายหนึ่งในชุดสีดำคลุมหน้าโฉบมาราวปักษา ใช้สันมือฟันใส่ข้อมือของทาริกาขาดสะบั้น ราวกับถูกคมกระบี่คมกริบฟันใส่
ร่างของบุรุษหนุ่มหลุดพ้นจากแรงเหวี่ยงกระแทกราวสะพาน ยังไม่ทันตั้งหลักเงาร่างผู้มาใหม่ก็ฉุดแขนให้ลุกขึ้น กระชากออกวิ่งพร้อมเสียงร้องดังข้างหู
“ตามมา ถ้าคิดจะรอดพ้นจากสถานที่นี้”
“ท่านตัดแขนทารก”
“แขนทารกใด ท่านซกมกมากที่ดูไม่ออกว่านั่นเป็นหุ่นกลเท่านั้น”
“หุ่นกล?”
“ท่านดู…”
เหลียวหันไปมอง ทันเห็นหุ่นทารกพอแขนขาดคล้ายเสียศูนย์ เอียงหมุนเข้าหาหุ่นทาริกาน้อย จึงถูกมือพิฆาตปักลงทรวงอกจนเกิดประกายไฟพะเนียงปะทุไม่ขาดสาย ไม่น่าเชื่อว่าวิทยาการของหมู่ตึกไร้รักจะสามารถสร้างหุ่นกลเคลื่อนไหวได้ราวมีชีวิต
“หมู่ตึกไร้รักเต็มไปด้วยกับดักค่ายกล ท่านไม่มีทางหลบรอด หากไม่ตามข้ามา”
คนลึกลับคล้ายชำนาญสถานที่ยิ่ง พาอีกฝ่ายกระโดดปราดไปหาลัดเลาะตามสุมทุมพุ่มไม้จนทะลุออกทางด้านหลังหมู่ตึกมุ่งหน้าสู่ประตูบานใหญ่ที่ปิดสนิท กำแพงสูงดูท่าไม่มีที่ให้ปีนป่าย
แต่คนลึกลับมีลูกกุญแจสอดใส่กุญแจดอกใหญ่ เปิดออกอย่างง่ายดาย
ไม่ทันที่จะซักถาม คนลึกลับผู้นั้นก็คว้ามือพาวิ่งออกไปจนถึงเนินดินกลางดงสน ห่างหมู่ตึกออกไปหลายลี้ ท่ามกลางความงุนงงสงสัยของคนถูกนำทางว่า บุคคลผู้มีน้ำใจช่วยตนเอาไว้เป็นใครและมีจุดประสงค์เช่นไรกัน
จันทร์ยามดึกสวยงามนวลตาเย็นใจ ลูบไล้พื้นพิภพปลอบประโลมใจไออุ่นยามลมหนาวทักทาย เจ้าบ่าวหนีวิวาห์จวบจนบัดนี้ จึงเห็นหน้าคนลึกลับเมื่อผ้าคลุมหน้าปลดเปลื้องปลิดปลิวลอยหายลับกับสายลมในเงามืดแมกไม้ จันทร์นวลใยลูบไล้ใบหน้าผุดผาดขาวนวลน่าชม ยิ่งกว่าดวงจันทร์หลายเท่า
ธิดาหมู่ตึกไร้รัก ดรุณีน้อยคู่วิวาห์นั่นเอง
กระบี่รันทดตะลึงลาน
คนซึ่งควรเหนี่ยวรั้งมันไว้มากที่สุดของที่สุด กลับเป็นคนพามันหนีออกมา เรื่องราวเช่นนี้สุดครุ่นคิดคำคำนวณ นอกเหนือเหตุผลใด คนใช่กลับไม่ใช่... คนไม่ควรใช่กลับใช่... คนที่ไม่ควรมากลับมาปรากฏ... ดรุณีน้อยจ้องมองมายังมันอย่างซึมเซาลม ยามดึกกระโชกวูบ เงาทิวสนสะบัดใบร่ายรำตามลำนำบทเพลงประสานเสียงแห่งสายลม ใบสนหล่นโรยรายโปรยปรายในแสงจันทร์ราวมายาภาพฝัน
กระบี่รันทดก็พาลยืนจ้องมองนางเนิ่นนานเช่นกัน สรรพสิ่งเงียบงันราวเอียงหูเตรียมสดับรับฟังเสียงกระซิบสั่ง ประกายตาของนางพร่างพรายราวดาราราย กระซิบแสงแสนเศร้าชนิดออกมา แต่นางยังสามารถฝืนยิ้มที่แฝงด้วยความเศร้า เต็มไปด้วยการปลอบประโลมผสมความอาวรณ์ และการเข้าใจสถานการณ์กระจ่างชัด
“เป็นท่าน….” บุรุษหนุ่มปากออกมาได้ยากลำบากยากเย็น มิทราบว่าควรเศร้าหรือควรร่าเริงดี
“เป็นข้าเอง” นางเอ่ยตอบด้วยเสียงหม่นเศร้าชวนให้จิตใจแตกแหลกสลาย นางคล้ายจะสั่นไหวหายลับไปกับสายลมยามวิกาลได้ตลอดเวลา
กระบี่รันทดเงียบงันครู่หนึ่งจึงเอ่ยเบาๆ อีกว่า
“ท่านทราบข้าอย่างไรก็ต้องไป”
“ข้าทราบท่านอย่างไรต้องไป”
การพลัดพรากจากลาเป็นเรื่องคล้ายธรรมดาสามัญ แต่เรื่องธรรมดาสามัญเช่นนี้บางทีเป็นโศกนาฏกรรมบทหนึ่งของมนุษยชาติตลอดกาลนาน มีพบ มีจาก... ไม่มีพบ ไม่มีจาก.. ไม่พบ ไม่จาก..ไม่โศก ไม่เศร้า.. ไม่ร้าว ไม่เจ็บ... ทว่าชีวิตไร้ความรู้สึกแบบนั้น บางทีคงอ้างว้าง....เหลือแต่คราบสังขารว่างเปล่า
กระบี่รันทดไม่กล่าวกระไรอีก ยืนจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยเดินถอยหลัง... กระทั่งหายไปในความมืดมนอนธการแห่งเงาไม้หนา ดรุณีน้อยพลันสร้างม่านน้ำตาขึ้นมาผืนหนึ่ง ม่านน้ำตาเลือนรางสั่นไหวพร่างพรูราวสายฝน
มุมมืดของเงาไม้พลันปรากฏร่างบุรุษหนุ่มเดินตรงกลับมาอีกครั้ง
มันใช้สายตาอ่อนโยนจับจ้องมองผ่านม่านน้ำตา เสียงสั่นไหวคล้ายภาพพร่าพรายกลางสายฝน ทว่ากระจ่างชัดทุกถ้อยคำ
“ท่านทราบข้าอย่างไรต้องไป ก็สมควรทราบอย่างไรข้าต้องกลับมาหาท่าน”
ดรุณีน้อยยิ้มทั้งน้ำตา เอ่ยวาจาแผ่วเบาราวกระซิบ “ข้าทราบท่านต้องไป ดังนั้นจึงทราบว่าท่านต้องกลับมา”
ดรุณีเติบใหญ่สามารถยิ้มทั้งน้ำตาได้มีไม่มากนัก ดรุณีเติบใหญ่ยิ้มทั้งน้ำตาแล้วน่าชมดูยิ่งไม่น้อยกว่าน้อย นางทราบคนผู้หนึ่งคิดไป มิอาจรั้งมิให้ไป ต่อให้รั้งกายได้ก็ไม่มีทางยั้งใจเอาไว้
นางพลันเอ่ยต่อว่า “ท่านก็ควรทราบท่านไปสามปีข้าจะรอท่านสามปี ท่านไปสิบปีข้าจะรอท่านสิบปี ท่านไปชั่วชีวิตข้าจะรอท่านชั่วชีวิต...ท่านไม่มา ข้าจะยินยอมน้อมกายใจรอพบท่านชาติหน้า”
กระบี่รันทดความจริงในในชีวิตของมันยิ้มแย้มน้อยครั้ง เพราะยิ้มคราใดพลังกายใจลดถอย บัดนี้มันถึงกลับคล้ายยิ้มแย้มเล็กน้อยแล้ว
“ข้าทราบดี…ดังนั้นช้าเร็วข้าจะกลับมา” เป็นวาจาที่หนักแน่นที่สุดเท่าที่มันเคยเอ่ยปาก
“เราก็ทราบ ช้าเร็วท่านต้องกลับมา” ดรุณีน้อยเอ่ยอย่างอ้อยอิ่ง
“เพียงมีชีวิตเราต้องกลับมา”
“ท่านต้องมีชีวิตกลับมาแน่นอน”
“เราต้องไปแล้ว”
“ท่านไปได้แล้ว”
ถึงเวลาไป มิอาจไม่ไป เมฆดำพัดผ่านจันทร์หลบลี้หนีหน้าทิ้งเงามืดดำโอบอุ้มพื้นพิภพ กระบี่รันทดมาแล้วมิอาจไม่ไป... ใช่แส่หาเรื่องใส่ตัวหรือไม่... ชักนำเรื่องร้าวรันทดเข้าหาตัวหรือไม่...กระทั่งมันยังไม่อาจตอบคำถามที่วางบนความว่างเปล่านี้ได้
บุรุษหนุ่มเดินถอยหลัง... หายไปในเงามืดของแมกไม้ จากไปอีกครั้ง
นางยังคงยืนที่เดิม เงาจันทร์ผ่านพ้น คนเพิ่งเดินถอยหลังจากไป เดินหน้ากลับมาอีกครั้ง
ในมือของมันมีดอกไม้ เป็นดอกราตรี มันยืนมองดรุณีน้อยครู่หนึ่งพลันกระทำเรื่องราวที่อาจหาญที่สุดในชีวิต ค่อยบรรจงปักดอกราตรีแซมม่านผมดำขลับเหนือหูของดรุณีน้อย กับมันแล้วการกระทำเช่นนี้ยากยิ่งกว่าปักกระบี่ลงในอกของศัตรูมากมายหลายเท่า เพียงแต่ดอกราตรีช่อนี้ไม่ได้ปักลงบนเส้นผมของนางเท่านั้น ยังปักลงกลางใจของนางด้วยดอกราตรีธรรมดา พลันกลับกลายมีคุณค่าทางใจมหาศาล
“ดึกแล้วท่านควรรีบกลับบ้านเข้านอน จะได้โตเร็ว ๆ” เอ่ยเสียงราบเรียบ ฟังดูอบอุ่นยิ่ง
ดรุณีน้อยลูบคลำช่อราตรีแผ่วเบา...แล้วพยักหน้าอย่างว่าง่าย กล่าวเสียงหนักแน่นใบหน้าคล้ายกึ่งยิ้มกึ่งบึ้งพูดว่า
“ดึกแล้วข้าจะกลับบ้านเข้านอน ท่านถนอมตัวด้วย ไปแล้วไม่ต้องเดินกลับไปกลับมา ถอยหน้าถอยหลังเป็นผีบ้าผีบออีกนะ... เดี๋ยวจะซ้ำซากกลับไปกลับมามากเกินไป... หันหลังเดินออกไปดี ๆ แล้วห้ามหันมามอง ใครหันกลับไปมองขอให้คนนั้นเป็นบ้า”
บุรุษหนุ่มฝืนยิ้ม ถ้าอีกฝ่ายไม่ห้าม ท่าทางของมันคงเดินกลับไปกลับมาอีกหลายรอบ โดยไม่อาจตัดใจง่ายดายเพราะรู้สึกเหมือนกำลังเดินหนีจากหัวใจของตนเอง ทั้งคู่สบตามองหน้ากับครู่หนึ่ง ในที่สุดต่างหันหลังให้กันแล้วค่อยก้าวหายไปในเงามืด หัวใจพลันหม่นมัวมืดมน ทว่ายังแฝงความปลาบปลื้มประโลมใจ ความรักสามารถบันดาลเรื่องราวทั้งรอยยิ้มและคราบน้ำตาในคราเดียวกัน
กระบี่รันทดยังมีภารกิจของมันจะต้องกระทำให้ลุล่วง ความร้าวรันทดกระตุ้นเลือดลมปะทุเดือดพล่านด้วยพลังรันทดบันดาลให้มันกลับคืนสภาพสุดยอดของฝีมืออีกครั้ง
และอ้างว้างเดียวดายอีกครั้ง ในคืนอันอ้างว้างเยือกเย็น
นั่นเป็นความรักครั้งแรกของกระบี่รันทด แต่มันมิอาจอยู่เพื่อรัก เพราะเรื่องจะจบลงทันที ดังนั้นจึงต้องเดินทางต่อไปปฏิบัติตามคำสั่งของ ‘เฒ่ารันทด’ ผู้เป็นอาจารย์
หลายวันหลังจากนั้น หนึ่งชีวิตหนึ่งกระบี่หล่อหลอมกันด้วยพลังลึกล้ำของความรันทดและกับการเดินทางยาวไกล เบื้องหลังเป็นทิวเขาแมกไม้ ด้านข้างเป็นป่าดงรกชัฏ ข้างหน้าเป็นชานเมืองเล็ก ๆ โรงเตี๊ยมหนึ่งเดียวท้ายเมืองเป็นหมายสุดท้ายของวันนี้ คนเดินทางทางผ่านไปมาไม่มากไม่น้อย ไม่จัดเป็นเส้นทางคึกคักมากมาย แต่ก็ไม่ไร้ความหมายจนขาดผู้คนสัญจร
บุรุษหนุ่มหิวโหยปางตายดังนั้นพอมาถึงโรงเตี๊ยมก็จับจองโต๊ะสั่งข้าวปลาอาหารมาดื่มกินเป็นการใหญ่ มันมีเงินติดตัวไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป ประหยัดสามารถอยู่ได้นับเดือน ฟุ่มเฟือยก็ยังอยู่ได้หลายวัน
น้ำฃาผ่านไปครึ่งป้าน จิตใจของมันแจ่มใสขึ้นครึ่งส่วน
ครึ่งส่วนไม่มากไม่น้อย..
มากกว่านี้จะลดทอนพลังภายใน น้อยกว่านี้ก็จะอ่อนล้า จำเป็นต้องรักษาสภาพสมดุลของความมากน้อยไว้อย่างระมัดระวัง ท้องอิ่มจึงมีเวลาเงยหน้ามองสิ่งของผู้คน
ถ้ามีคนวิ่งมาแล้วมุดลงไปไต้โต๊ะของท่าน คนที่ไม่เคยพบพานรู้จัก ท่านจะทำประการใด ขณะบุรุษหนุ่มกำลังนั่งดื่มกิน คนผู้หนึ่งก็วิ่งเข้ามาทางประตู และมุดเข้าไปใต้โต๊ะของมัน
กระบี่รันทดขมวดคิ้ว เลิกผ้าปูโต๊ะขึ้นอ้าปากจะดุด่าว่ากล่าวออกไปหลายคำแต่แล้วก็ชะงัก
เป็นท่านหากพบพานดรณีน้อยเยาว์วัยวิ่งมาแล้วมุดลงไปใต้โต๊ะของท่าน ดรุณีที่ไม่เคยรู้จัก ท่านก็คงเป็นเช่นกับมัน ท่านยังคงคิดจะดุด่าดรุณีน้อยน่ารักน่าชังนางหนึ่งได้ลงคอ ต่อให้ท่านคิดด่านาง เกรงว่าปากของท่านผนึกค้าง
.