- อยู่ด้วยกันตลอดไป-
ทำไม...ห้องพักที่มีเพียงฉันเป็นผู้อาศัยคนเดียว จึงมีชายรูปงามมานั่งมองฉันอยู่ปลายเตียงได้
เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้า ฉันเพิ่งร้องไห้ฟูมฟายเพราะการเลิกราจากแฟนคนแรก
ฉันร่ำร้องและเอ่ยคำว่า 'ช่วยด้วย' กับอะไรก็ไม่รู้ เพราะเจ็บปวดในใจจนทรมาน
แต่เมื่อร้องจนน้ำตาแห้งเหือดไป สิ่งที่ปรากฏอยู่คือชายแปลกหน้า ที่รูปโฉมหล่อเหลา ประดับรอยยิ้มเย็นตา
ใคร? เป็นคำถามแรกในหัว ตามมาด้วยอีกหลายความสงสัย มาได้อย่างไร และทำไมจึงโผล่มา คำถามมากมายตีกันจนฉันเลือกไม่ถูกว่าควรถามอะไร
"ก็คุณร้องว่าช่วยด้วย" น้ำเสียงทุ้มนุ่มลึกน่าฟังเปล่งออกมา ก่อนที่เขาจะลุกจากเก้าอี้มาหาฉัน "น้ำตาแห้งไปแล้ว เสียดายจัง" เขาเอื้อมมือมาสัมผัสแก้มฉันอย่างแผ่วเบา
ท่วงท่า กิริยาการพูด ช่างนุ่มนวล เป็นสุภาพบุรุษ แบบนี้มัน...
"เจ้าชาย?"
"ปิ๊งป่อง ผมเป็นเจ้าชายของคุณ"
"เพ้อเจ้อ"
เขาทำหน้าเจื่อนกับคำพูดของฉัน หากเป็นตามปกติฉันจะระมัดระวังคำพูดกับคนที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก และคงรู้สึกผิดที่ทำให้เขาต้องแสดงสีหน้าเช่นนี้ออกมา แต่ว่า...สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ไม่ปกติ
ผู้ชายที่โผล่มาในห้องซึ่งถูกปิดล็อกอย่างดีและอยู่ชั้นห้าของตึก ถ้าไม่ใช่ผีหรือเทวดาก็คงเป็น...
'ภาพหลอน'
ฉันให้คำตอบกับตัวเอง มันเป็นไปได้มากกว่าจะเป็นผีหรือเทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะสงสารจนจำแลงกายมาหาหรือ ไม่มีทาง คนอกหักมีทั่วประเทศ ฉันไม่ได้พิเศษจนเทวดาหรือผีตัวไหนจะต้องมาสนใจ
แต่พอสรุปว่าเป็นสิ่งนั้น ในใจก็ตะหงิดๆ นี่...ฉันน่ะ...
ทำงานในแผนกจิตเวชนะ!
แล้วดันมาเห็นภาพหลอนเสียเอง ใช้ได้ที่ไหน!
"แปลกตรงไหนครับ หมอยังป่วยได้เลย"
ชายตรงหน้าตอบสิ่งที่อยู่ในใจฉัน นั่นยิ่งตอบย้ำว่าฉันคิดถูก!
"เทวดาก็อ่านใจได้นะครับ"
"ฉันก็หวังอยากให้นายเป็นเทวดาจริงๆ ฉันจึงเชื่อคำพูดนายไม่ได้..."
เพราะนั่นอาจเป็นเสียงจากก้นบึ้งในใจที่พยายามหลอกตัวเองอยู่...
"นอนดีกว่า" ฉันตัดบท ก่อนจะล้มตัวลงนอน
"ไม่อาบน้ำเหรอครับ"
ไม่...ฉันร้องตอบในใจก่อนจะหลับตาลง พอเริ่มเข้าภวังค์ก็รู้สึกถึงอ้อมแขนที่เข้ามาสวมกอด อุ่นจัง...ทั้งที่คิดว่าควรจะร้องไห้ถึงคนที่เพิ่งเลิกกันไป แต่ลืมตามาเจอเขาคนนี้ความเศร้าก็พลันหายไปหมด
ถึงจะเป็นภาพหลอน แต่อาจจะดีก็ได้...
"นี่...พี่คะ ถ้าคนไข้พอใจกับภาพหลอน แต่ไม่ว่ายังไงก็ต้องรักษา มันเพราะอะไรหรือคะ" ฉันถามกับรุ่นพี่ระหว่างพักรับประทานอาหารกลางวันในที่ทำงาน
รุ่นพี่ที่ฉันปรึกษา ทำงานมาก่อนฉันแล้วถึงสิบปี เป็นหญิงวัยกลางคนที่ดูสุขุมและใจดี เธอทำหน้าครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วจึงตอบฉัน
"เพราะยังไงมันก็ไม่ใช่ของจริง ถ้าปล่อยไว้ สุดท้ายเขาก็จะแยกไม่ออกระหว่างความจริงกับภาพหลอนที่เขาสร้างขึ้น เราก็เคยเห็นนี่ไข้ที่วิ่งหนีไปเพราะเห็นว่ามีคนไล่ตามทั้งที่ไม่มีใครสักคน...โชคดีที่อยู่ในโรงพยาบาล ถ้าเขาอยู่ข้างนอกแล้วเกิดวิ่งไปกลางถนน จะเกิดอะไรขึ้น..."
ฉันฟังคิดตามแล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย
"ผมไม่วิ่งไล่คุณนะ" เสียงจากชายที่นั่งอยู่ข้างๆ ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครเห็นหรือได้ยินเขานอกจากฉัน
"พี่คะ..." อยากบอกจัง ว่าตอนนี้มีภาพหลอนผู้ชายรูปหล่อมานั่งคุยเจื้อยแจ้วอยู่
"หืม?" รุ่นพี่เงยหน้าขึ้นมองฉันอย่างมีคำถาม หลังจากฉันเรียกเขาและเงียบไป
"เอ่อ...ฉัน เพิ่งเลิกกับแฟนน่ะค่ะ"
"อ้าว แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะ" เธอถามฉันด้วยสีหน้าเป็นห่วง
"ก็...ไม่แย่เท่าที่คิดค่ะ" คงเพราะมีภาพหลอนเป็นผู้ชายรูปหล่อมาอยู่ข้างๆแบบนี้...
"พูดแบบนี้ผมก็เขินแย่สิ" น้ำเสียงอารมณ์ดีกระซิบข้างหู "ไม่กินข้าวต่อล่ะ ผมป้อนให้ไหม"
ถ้าให้นายนี่ป้อนคนอื่นจะเห็นเป็นยังไงนะ คงเป็นภาพที่ฉันอ้าปากงับอากาศน่ะสิ...
คิดแล้ว ฉันเลือกที่จะเมินเฉยเขา รวมถึงไม่บอกเรื่องนี้กับรุ่นพี่เช่นกัน
"นี่ เย็นนี้ทำอะไรกินเหรอ" ภาพหลอนนั่งโยกตัวไปมาถามฉันเริงร่าหลังจากเลิกงานและกลับมาถึงหอพัก
"ต้มมาม่า" ฉันตอบพลางตั้งน้ำต้มในหม้อไฟฟ้า
"เผื่อผมด้วยนะ"
"เสียของ"
"ใจร้าย" เขาร้องก่อนจะลุกมาหา และสวมกอดฉันจากข้างหลัง
อบอุ่น...ถึงจะรู้ว่าเป็นแค่ภาพหลอนก็เถอะ
"น่ากิน กินด้วยไม่ได้เหรอครับ"
"กินได้ก็กินเถอะ"
เขาหยิบลูกชิ้นจากห่อที่ฉันเพิ่งซื้อมาเข้าปาก
"ยังไม่ได้ต้มเลยนะ!" ฉันดุ
"มันสุกอยู่แล้วน่า"
ไม่ระวังเอาเสียเลย ฉันคิดอย่างเหนื่อยใจ แต่ก็ช่างเถอะ ภาพหลอนป่วยไม่ได้อยู่แล้ว...
"พอแค่นั้นเลยนะ" ฉันแย่งถุงลูกชิ้นมาและเอามีดหั่นครึ่งทีละลูก ความคิดแผลงๆก็ผุดขึ้นมา ฉันจรดคมมีดลงบนปลายนิ้ว กดลงไปจนเลือดไหลซึม
"นี่..." ฉันยกมือมาให้เขาดู "มีดบาด"
เขาฉวยมือฉันไปและอมปลายนิ้วที่เป็นแผล
"นี่ สกปรกนะ!"
"พวกพระเอกชอบทำนี่...คุณก็ชอบไม่ใช่เหรอ"
"เพ้อฝันน่ะสิ"
"ว่าตัวเองเหรอครับ"
ฉันหลบสายตาเขา ก่อนที่นิ้วจะถูกฟันขบเบาๆ
"เจ็บนะ"
"ถ้าเจ็บก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นเรื่องจริงนี่ครับ"
ถึงแม้จะไม่ใช่ก็ตาม...ฉันต่อคำพูดเขาในใจ
"นายนี่ เหมือนตอบสนองใจฉันหมดเลยนะ"
"ใช่ครับ" เขาตอบก่อนขยับร่างเข้ามาใกล้ทำให้ฉันต้องถอยจนชนขอบโต๊ะ
"จะทำอะไร"
เขากระตุกยิ้ม "อยากให้ผมทำอะไรล่ะ"
หัวสมองฉันว่างเปล่าขณะไล่สายตาไปตามหน้าผาก ดวงตา สันจมูก ลงมาถึงปลายคาง ช่างหล่อเหลาราวกับภาพวาด ถ้าไม่ใช่ภาพหลอน คงไม่มีคนหน้าตาถูกใจฉันขนาดนี้แน่…
ใบหน้าคมคายจรดริมฝีปากลงบนหน้าผากฉัน ก่อนจะเลื่อนลงมาตรงคิ้ว ปลายจมูก และจบที่...ริมฝีปาก
อ้อมแขนที่กอดรัด พร้อมสัมผัสที่หวานซึ้ง ชวนให้เคลิบเคลิ้ม
เคลิ้มกับภาพหลอนของตัวเอง ฉันนี่...น่าเวทนาจริง
"ผู้ป่วยคนแรก คุณพาศิกานะครับ แอดมิทเมื่อคืน ด้วยอาการเห็นภาพหลอน คนที่บ้านเล่าว่าผู้ป่วยลงไปในน้ำบอกว่าลงไปช่วยลูกที่จมน้ำ คนในบ้านจึงช่วยกันห้ามแล้วก็รีบพามาส่งครับ”
ฉันนั่งฟังรายงานจากหมอหนุ่มคนหนึ่งระหว่างการประชุมเกี่ยวกับอาการคนไข้ของแผนกจิตเวชในช่วงเช้า การได้ยินเรื่องคนไข้ที่เห็นภาพหลอนเป็นเรื่องปกติในแผนกนี้ ทว่ามันแปลกไปสำหรับฉันที่เริ่มมีประสบการณ์ร่วม
รู้สึกเหมือนฟังเรื่องตัวเอง...
“เครียดอะไรหรือเปล่า”
“คะ?” ฉันร้องทวนรุ่นพี่ที่ถามฉันระหว่างเดินกลับห้องทำงานหลังประชุมเสร็จ
“ดูเหมือนกำลังคิดอะไร”
ฉันนิ่งคิด “เคสคุณพาศิกาน่ะค่ะ แปลกจังนะคะ ลูกชายตัวเองเสียไปแล้วแท้ๆ น่าจะรู้ว่านั่นคือภาพหลอนนี่นา”
รุ่นพี่พยักหน้าก่อนจะตอบฉัน “คนไข้ก็สามารถบกพร่องในการใช้สติวิเคราะห์แยกแยะทำให้ลืมไปว่านั่นคือภาพหลอนและทำตามสัญชาตญาณ”
“สัญชาตญาณที่ต้องช่วยคนสำคัญหรือคะ”
“อาจเป็นไปได้”
ความจริงมันน่าจะเป็นเรื่องที่ฉันรู้อยู่ แต่พอตัวเองประสบเองบ้างก็เกิดสงสัยขึ้นมาเสียอย่างนั้น...
ฉันแยกกับรุ่นพี่เมื่อถึงห้องทำงาน เปิดประตูเข้าไปในห้องทำงานขนาดกะทัดรัดที่มีแค่โต๊ะทำงานกับชั้นหนังสือหนึ่งชั้น เจอกับบุคคลที่เป็นต้นเหตุของความกลัดกลุ้มใจเล็ก ๆ นั่งฉีกยิ้มอยู่
“ประชุมเสร็จแล้วเหรอ”
“ห้ามนั่งโต๊ะ” ฉันเตือน ซึ่งร่างสูงก็ยอมลุกออกแต่โดยดี
“รอตั้งนานเบื่อจะแย่แล้ว ในนี้ก็มีแต่หนังสือยาก ๆ ” เขาบ่น
“เบื่อก็กลับไปสิ” ฉันพูดพลางนั่งลงที่โต๊ะเอาโน้ตบุ๊กออกมาเปิด
“ไม่เอาหรอก ก็อยากอยู่ด้วยนี่นา”
สายตาฉันเหลือบมองเขา “หมาเฝ้าเจ้านายรึไง”
เขาโยกหัวไปมาเหมือนสวมบทเป็นหมาอยู่จริงๆ “ผมเป็นหมาที่ซื่อสัตย์ไหมล่ะ”
ฉันยกยิ้มมุมปาก หัวเราะในลำคอรู้สึกเอ็นดูเขาจับใจ จนเผลอยกมือลูบศีรษะเขา
แต่เขาเริ่มเงยหน้าขึ้น เอาจมูกดุนมือฉันก่อนจะค่อยๆเลียจากปลายนิ้วมาถึงข้อมือ และเปลี่ยนเป็นจูบ ฉันเหม่อมองเขา สัมผัสนั้นทำให้รู้สึกดี แต่ฉันรู้ตัวว่ากำลังมองเขาด้วยสายตาอันว่างเปล่า กลับกัน เขามองตอบด้วยสายตาแพรวพราวคล้ายกำลังหยอกล้ออยู่
ฉันต้องการเขา ผู้ชายที่แม้ฉันจะเย็นชาเป็นผีดิบแต่เขายังคงเจิดจ้าสดใสเหมือนดวงอาทิตย์
เขาจะอยู่กับฉันตลอดไปหรือเปล่า
หรือหากสักวันต้องเห็นเขาตกอยู่ในอันตราย...
วันนั้นฉันอาจถูกภาพหลอนฉุดลากเข้าสู่ความตายพร้อมๆกัน
-----มีต่อค่ะ-----
เรื่องสั้นที่ไม่หวานอย่างชื่อ "อยู่ด้วยกันตลอดไป"
ทำไม...ห้องพักที่มีเพียงฉันเป็นผู้อาศัยคนเดียว จึงมีชายรูปงามมานั่งมองฉันอยู่ปลายเตียงได้
เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้า ฉันเพิ่งร้องไห้ฟูมฟายเพราะการเลิกราจากแฟนคนแรก
ฉันร่ำร้องและเอ่ยคำว่า 'ช่วยด้วย' กับอะไรก็ไม่รู้ เพราะเจ็บปวดในใจจนทรมาน
แต่เมื่อร้องจนน้ำตาแห้งเหือดไป สิ่งที่ปรากฏอยู่คือชายแปลกหน้า ที่รูปโฉมหล่อเหลา ประดับรอยยิ้มเย็นตา
ใคร? เป็นคำถามแรกในหัว ตามมาด้วยอีกหลายความสงสัย มาได้อย่างไร และทำไมจึงโผล่มา คำถามมากมายตีกันจนฉันเลือกไม่ถูกว่าควรถามอะไร
"ก็คุณร้องว่าช่วยด้วย" น้ำเสียงทุ้มนุ่มลึกน่าฟังเปล่งออกมา ก่อนที่เขาจะลุกจากเก้าอี้มาหาฉัน "น้ำตาแห้งไปแล้ว เสียดายจัง" เขาเอื้อมมือมาสัมผัสแก้มฉันอย่างแผ่วเบา
ท่วงท่า กิริยาการพูด ช่างนุ่มนวล เป็นสุภาพบุรุษ แบบนี้มัน...
"เจ้าชาย?"
"ปิ๊งป่อง ผมเป็นเจ้าชายของคุณ"
"เพ้อเจ้อ"
เขาทำหน้าเจื่อนกับคำพูดของฉัน หากเป็นตามปกติฉันจะระมัดระวังคำพูดกับคนที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก และคงรู้สึกผิดที่ทำให้เขาต้องแสดงสีหน้าเช่นนี้ออกมา แต่ว่า...สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ไม่ปกติ
ผู้ชายที่โผล่มาในห้องซึ่งถูกปิดล็อกอย่างดีและอยู่ชั้นห้าของตึก ถ้าไม่ใช่ผีหรือเทวดาก็คงเป็น...
'ภาพหลอน'
ฉันให้คำตอบกับตัวเอง มันเป็นไปได้มากกว่าจะเป็นผีหรือเทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะสงสารจนจำแลงกายมาหาหรือ ไม่มีทาง คนอกหักมีทั่วประเทศ ฉันไม่ได้พิเศษจนเทวดาหรือผีตัวไหนจะต้องมาสนใจ
แต่พอสรุปว่าเป็นสิ่งนั้น ในใจก็ตะหงิดๆ นี่...ฉันน่ะ...
ทำงานในแผนกจิตเวชนะ!
แล้วดันมาเห็นภาพหลอนเสียเอง ใช้ได้ที่ไหน!
"แปลกตรงไหนครับ หมอยังป่วยได้เลย"
ชายตรงหน้าตอบสิ่งที่อยู่ในใจฉัน นั่นยิ่งตอบย้ำว่าฉันคิดถูก!
"เทวดาก็อ่านใจได้นะครับ"
"ฉันก็หวังอยากให้นายเป็นเทวดาจริงๆ ฉันจึงเชื่อคำพูดนายไม่ได้..."
เพราะนั่นอาจเป็นเสียงจากก้นบึ้งในใจที่พยายามหลอกตัวเองอยู่...
"นอนดีกว่า" ฉันตัดบท ก่อนจะล้มตัวลงนอน
"ไม่อาบน้ำเหรอครับ"
ไม่...ฉันร้องตอบในใจก่อนจะหลับตาลง พอเริ่มเข้าภวังค์ก็รู้สึกถึงอ้อมแขนที่เข้ามาสวมกอด อุ่นจัง...ทั้งที่คิดว่าควรจะร้องไห้ถึงคนที่เพิ่งเลิกกันไป แต่ลืมตามาเจอเขาคนนี้ความเศร้าก็พลันหายไปหมด
ถึงจะเป็นภาพหลอน แต่อาจจะดีก็ได้...
"นี่...พี่คะ ถ้าคนไข้พอใจกับภาพหลอน แต่ไม่ว่ายังไงก็ต้องรักษา มันเพราะอะไรหรือคะ" ฉันถามกับรุ่นพี่ระหว่างพักรับประทานอาหารกลางวันในที่ทำงาน
รุ่นพี่ที่ฉันปรึกษา ทำงานมาก่อนฉันแล้วถึงสิบปี เป็นหญิงวัยกลางคนที่ดูสุขุมและใจดี เธอทำหน้าครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วจึงตอบฉัน
"เพราะยังไงมันก็ไม่ใช่ของจริง ถ้าปล่อยไว้ สุดท้ายเขาก็จะแยกไม่ออกระหว่างความจริงกับภาพหลอนที่เขาสร้างขึ้น เราก็เคยเห็นนี่ไข้ที่วิ่งหนีไปเพราะเห็นว่ามีคนไล่ตามทั้งที่ไม่มีใครสักคน...โชคดีที่อยู่ในโรงพยาบาล ถ้าเขาอยู่ข้างนอกแล้วเกิดวิ่งไปกลางถนน จะเกิดอะไรขึ้น..."
ฉันฟังคิดตามแล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย
"ผมไม่วิ่งไล่คุณนะ" เสียงจากชายที่นั่งอยู่ข้างๆ ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครเห็นหรือได้ยินเขานอกจากฉัน
"พี่คะ..." อยากบอกจัง ว่าตอนนี้มีภาพหลอนผู้ชายรูปหล่อมานั่งคุยเจื้อยแจ้วอยู่
"หืม?" รุ่นพี่เงยหน้าขึ้นมองฉันอย่างมีคำถาม หลังจากฉันเรียกเขาและเงียบไป
"เอ่อ...ฉัน เพิ่งเลิกกับแฟนน่ะค่ะ"
"อ้าว แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะ" เธอถามฉันด้วยสีหน้าเป็นห่วง
"ก็...ไม่แย่เท่าที่คิดค่ะ" คงเพราะมีภาพหลอนเป็นผู้ชายรูปหล่อมาอยู่ข้างๆแบบนี้...
"พูดแบบนี้ผมก็เขินแย่สิ" น้ำเสียงอารมณ์ดีกระซิบข้างหู "ไม่กินข้าวต่อล่ะ ผมป้อนให้ไหม"
ถ้าให้นายนี่ป้อนคนอื่นจะเห็นเป็นยังไงนะ คงเป็นภาพที่ฉันอ้าปากงับอากาศน่ะสิ...
คิดแล้ว ฉันเลือกที่จะเมินเฉยเขา รวมถึงไม่บอกเรื่องนี้กับรุ่นพี่เช่นกัน
"นี่ เย็นนี้ทำอะไรกินเหรอ" ภาพหลอนนั่งโยกตัวไปมาถามฉันเริงร่าหลังจากเลิกงานและกลับมาถึงหอพัก
"ต้มมาม่า" ฉันตอบพลางตั้งน้ำต้มในหม้อไฟฟ้า
"เผื่อผมด้วยนะ"
"เสียของ"
"ใจร้าย" เขาร้องก่อนจะลุกมาหา และสวมกอดฉันจากข้างหลัง
อบอุ่น...ถึงจะรู้ว่าเป็นแค่ภาพหลอนก็เถอะ
"น่ากิน กินด้วยไม่ได้เหรอครับ"
"กินได้ก็กินเถอะ"
เขาหยิบลูกชิ้นจากห่อที่ฉันเพิ่งซื้อมาเข้าปาก
"ยังไม่ได้ต้มเลยนะ!" ฉันดุ
"มันสุกอยู่แล้วน่า"
ไม่ระวังเอาเสียเลย ฉันคิดอย่างเหนื่อยใจ แต่ก็ช่างเถอะ ภาพหลอนป่วยไม่ได้อยู่แล้ว...
"พอแค่นั้นเลยนะ" ฉันแย่งถุงลูกชิ้นมาและเอามีดหั่นครึ่งทีละลูก ความคิดแผลงๆก็ผุดขึ้นมา ฉันจรดคมมีดลงบนปลายนิ้ว กดลงไปจนเลือดไหลซึม
"นี่..." ฉันยกมือมาให้เขาดู "มีดบาด"
เขาฉวยมือฉันไปและอมปลายนิ้วที่เป็นแผล
"นี่ สกปรกนะ!"
"พวกพระเอกชอบทำนี่...คุณก็ชอบไม่ใช่เหรอ"
"เพ้อฝันน่ะสิ"
"ว่าตัวเองเหรอครับ"
ฉันหลบสายตาเขา ก่อนที่นิ้วจะถูกฟันขบเบาๆ
"เจ็บนะ"
"ถ้าเจ็บก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นเรื่องจริงนี่ครับ"
ถึงแม้จะไม่ใช่ก็ตาม...ฉันต่อคำพูดเขาในใจ
"นายนี่ เหมือนตอบสนองใจฉันหมดเลยนะ"
"ใช่ครับ" เขาตอบก่อนขยับร่างเข้ามาใกล้ทำให้ฉันต้องถอยจนชนขอบโต๊ะ
"จะทำอะไร"
เขากระตุกยิ้ม "อยากให้ผมทำอะไรล่ะ"
หัวสมองฉันว่างเปล่าขณะไล่สายตาไปตามหน้าผาก ดวงตา สันจมูก ลงมาถึงปลายคาง ช่างหล่อเหลาราวกับภาพวาด ถ้าไม่ใช่ภาพหลอน คงไม่มีคนหน้าตาถูกใจฉันขนาดนี้แน่…
ใบหน้าคมคายจรดริมฝีปากลงบนหน้าผากฉัน ก่อนจะเลื่อนลงมาตรงคิ้ว ปลายจมูก และจบที่...ริมฝีปาก
อ้อมแขนที่กอดรัด พร้อมสัมผัสที่หวานซึ้ง ชวนให้เคลิบเคลิ้ม
เคลิ้มกับภาพหลอนของตัวเอง ฉันนี่...น่าเวทนาจริง
"ผู้ป่วยคนแรก คุณพาศิกานะครับ แอดมิทเมื่อคืน ด้วยอาการเห็นภาพหลอน คนที่บ้านเล่าว่าผู้ป่วยลงไปในน้ำบอกว่าลงไปช่วยลูกที่จมน้ำ คนในบ้านจึงช่วยกันห้ามแล้วก็รีบพามาส่งครับ”
ฉันนั่งฟังรายงานจากหมอหนุ่มคนหนึ่งระหว่างการประชุมเกี่ยวกับอาการคนไข้ของแผนกจิตเวชในช่วงเช้า การได้ยินเรื่องคนไข้ที่เห็นภาพหลอนเป็นเรื่องปกติในแผนกนี้ ทว่ามันแปลกไปสำหรับฉันที่เริ่มมีประสบการณ์ร่วม
รู้สึกเหมือนฟังเรื่องตัวเอง...
“เครียดอะไรหรือเปล่า”
“คะ?” ฉันร้องทวนรุ่นพี่ที่ถามฉันระหว่างเดินกลับห้องทำงานหลังประชุมเสร็จ
“ดูเหมือนกำลังคิดอะไร”
ฉันนิ่งคิด “เคสคุณพาศิกาน่ะค่ะ แปลกจังนะคะ ลูกชายตัวเองเสียไปแล้วแท้ๆ น่าจะรู้ว่านั่นคือภาพหลอนนี่นา”
รุ่นพี่พยักหน้าก่อนจะตอบฉัน “คนไข้ก็สามารถบกพร่องในการใช้สติวิเคราะห์แยกแยะทำให้ลืมไปว่านั่นคือภาพหลอนและทำตามสัญชาตญาณ”
“สัญชาตญาณที่ต้องช่วยคนสำคัญหรือคะ”
“อาจเป็นไปได้”
ความจริงมันน่าจะเป็นเรื่องที่ฉันรู้อยู่ แต่พอตัวเองประสบเองบ้างก็เกิดสงสัยขึ้นมาเสียอย่างนั้น...
ฉันแยกกับรุ่นพี่เมื่อถึงห้องทำงาน เปิดประตูเข้าไปในห้องทำงานขนาดกะทัดรัดที่มีแค่โต๊ะทำงานกับชั้นหนังสือหนึ่งชั้น เจอกับบุคคลที่เป็นต้นเหตุของความกลัดกลุ้มใจเล็ก ๆ นั่งฉีกยิ้มอยู่
“ประชุมเสร็จแล้วเหรอ”
“ห้ามนั่งโต๊ะ” ฉันเตือน ซึ่งร่างสูงก็ยอมลุกออกแต่โดยดี
“รอตั้งนานเบื่อจะแย่แล้ว ในนี้ก็มีแต่หนังสือยาก ๆ ” เขาบ่น
“เบื่อก็กลับไปสิ” ฉันพูดพลางนั่งลงที่โต๊ะเอาโน้ตบุ๊กออกมาเปิด
“ไม่เอาหรอก ก็อยากอยู่ด้วยนี่นา”
สายตาฉันเหลือบมองเขา “หมาเฝ้าเจ้านายรึไง”
เขาโยกหัวไปมาเหมือนสวมบทเป็นหมาอยู่จริงๆ “ผมเป็นหมาที่ซื่อสัตย์ไหมล่ะ”
ฉันยกยิ้มมุมปาก หัวเราะในลำคอรู้สึกเอ็นดูเขาจับใจ จนเผลอยกมือลูบศีรษะเขา
แต่เขาเริ่มเงยหน้าขึ้น เอาจมูกดุนมือฉันก่อนจะค่อยๆเลียจากปลายนิ้วมาถึงข้อมือ และเปลี่ยนเป็นจูบ ฉันเหม่อมองเขา สัมผัสนั้นทำให้รู้สึกดี แต่ฉันรู้ตัวว่ากำลังมองเขาด้วยสายตาอันว่างเปล่า กลับกัน เขามองตอบด้วยสายตาแพรวพราวคล้ายกำลังหยอกล้ออยู่
ฉันต้องการเขา ผู้ชายที่แม้ฉันจะเย็นชาเป็นผีดิบแต่เขายังคงเจิดจ้าสดใสเหมือนดวงอาทิตย์
เขาจะอยู่กับฉันตลอดไปหรือเปล่า
หรือหากสักวันต้องเห็นเขาตกอยู่ในอันตราย...
วันนั้นฉันอาจถูกภาพหลอนฉุดลากเข้าสู่ความตายพร้อมๆกัน
-----มีต่อค่ะ-----