พนันหัวใจใต้ปีกรัก ตอนที่ 7 มาแล้วค่ะ :)

ขณะที่นั่งจิบเครื่องดื่มสีแดงเลือดนกอยู่นั้น เธอก็อดคิดถึงช่วงเวลาปีสองปีที่ผ่านมาไม่ได้
เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่เธอมีความสุขมากกับการทำงานในโรงพยาบาลจันทรักษ์ แต่
ขณะเดียวกันก็แอบปวดหัวมากเมื่อต้องเจอคนไข้ที่ชื่อติณณ์ซึ่งต้องมาทำกายภาพบำบัด
กับเธอถึงสิบครั้งหลังออกกำลังกายผิดท่าจนหลังเดี้ยง

คนที่ชอบป่วนนักกายภาพบำบัดขอนัดทำกายภาพบำบัดในตอนบ่ายซึ่งเป็นช่วงเวลาที่
ไม่ค่อยมีคนไข้คนอื่น และเมื่อเห็นนามสกุลบนแฟ้มประวัติคนไข้ เธอก็อดอุทานขึ้นมาในใจ
ไม่ได้

นี่มันนามสกุลหมอมาร์ชนี่ อย่าบอกนะว่าคนไข้พิเศษที่หมอฝากมาให้ดูแลก็คือ...

ยังไม่ทันจะคิดอะไรต่อ เจ้าของแฟ้มประวัติในชุดนักบินสีเขียวก็ผลักเปิดประตูเข้ามาในแผนก
พร้อมด้วยรอยยิ้มอันหล่อเหลา สำหรับสาวๆ คนอื่น คงทำให้หัวใจแทบละลาย แต่สำหรับเธอแล้ว
มันช่างดูเป็นรอยยิ้มที่ขวางหูขวางตาเสียเหลือเกิน

‘อ้าว น้องเหยิน’

ยิ่งกล่าวทักทายแบบนี้ก็ยิ่งทำให้อารมณ์เธอเริ่มจะไต่ระดับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

‘ฉันชื่อไม้ ไม่ใช่น้องเหยิน’

‘อุต๊ะ นักกายภาพดุ๊ดุ แซ็วเล่นนิดแซ็วเล่นหน่อยก็ไม่ได้’

‘จะทำไหมกายภาพน่ะ ถ้าไม่ทำก็กลับไปเลยไป’

‘ทำสิ ว่าแต่เธอรักษาฉันได้ใช่ไหม ไม่ใช่ว่าไม่ชอบหน้าคนไข้แล้วจะทำให้ฉันพิการไปนะ’
ติณณ์เอ่ยถามอย่างนึกหวาดๆ เพราะรู้ดีว่าภีรณีเกลียดเขาอย่างกับไส้เดือนกิ้งกือ

‘ฉันมีจรรยาบรรณมากพอที่จะไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องงาน แต่ถ้านายป๊อด จะขอ
เปลี่ยนเป็นนักกายภาพบำบัดคนอื่นก็บอกได้นะ ฉันจะรีบเปลี่ยนให้เลย’ หญิงสาวพูดด้วย
น้ำเสียงเป็นการเป็นงานพร้อมกับส่งรอยยิ้มเชิงเหยียดปนท้าทายมาให้ติณณ์

‘ไม่ต้องเปลี่ยนหรอก เสียเวลา อุตส่าห์นัดเวลาเอาไว้แล้ว แล้วอีกอย่างนะ ฉันก็อยากจะรู้
เหมือนกันว่าเธอเป็นนักกายภาพบำบัดที่เก่งเหมือนที่ไอ้มาร์ชชมหรือเปล่า งั้นลองรักษา
ฉันดูแล้วกัน ถ้าฉันหายดี ฉันถึงจะเชื่อ’

พูดไปพลางก็ส่งสายตาในเชิงท้าทายกลับไปให้ ทำเอาภีรณีซึ่งเป็นคนที่ไม่ยอมใครจ้องตา
เขากลับ วินาทีนั้นเธอตั้งใจว่าจะลบคำพูดในเชิงสบประมาทด้วยฝีมือการรักษาของเธอ
เพื่อทำให้เขาเงียบปากไปให้ได้

‘งั้นก็ถอดเสื้อ แล้วเดี๋ยวฉันจะเข้ามาตรวจอาการนาย’

พูดจบก็ปิดม่านสีฟ้าและออกไปเข็นชั้นสีเงินที่มีเครื่องอัลตราซาวนด์มาใกล้ๆ ม่าน

‘นายถอดเสร็จแล้วหรือยัง’ ภีรณีตะโกนถาม

‘ถอดเสร็จแล้ว’

สิ้นคำตอบนั้น คนถามก็เปิดม่านและเข็นชั้นเข้ามา แต่ดันเผลอเดินเตะล้อของชั้นสีเงิน
ทำให้ชายหนุ่มที่นั่งรออยู่บนเตียงอดขำไม่ได้กับความซุ่มซ่ามของนักกายภาพบำบัดสาว
จึงเอ่ยแซ็วพร้อมด้วยรอยยิ้มกวนๆ

‘นั่นแน่ ตะลึงกับหุ่นฉันละสิ ถึงได้เดินเตะข้าวของแบบนี้เนี่ย’

‘ตะลึงบ้าบออะไร ไม่เกี่ยวกับหุ่นนายสักหน่อย’ ภีรณีแก้ตัวออกมาพร้อมกับการกลอกตา
มองบนอย่างนึกระอาใจในความหลงตัวเองของชายหนุ่ม

เมื่อจัดการเข็นชั้นไปอยู่ข้างเตียงเรียบร้อยก็ใช้แอลกอฮอล์ทำความสะอาดมือทั้งสองข้าง
ก่อนจะค่อยๆ ใช้นิ้วมือกดไล่ไปบนผิวและกล้ามเนื้อแขนอันหนั่นแน่นของคนตัวใหญ่เพื่อ
ตรวจหาจุดที่เขาบาดเจ็บ

จู่ๆ ภีรณีก็อดรู้สึกหัวใจเต้นแรงขึ้นมาไม่ได้เมื่อได้สบสายตากับคนตรงหน้า ผิดกับคนไข้อื่น
ที่เธอจะรู้สึกเฉยๆ เพราะรู้สึกว่ามันเป็นแค่งาน และยิ่งถูกติณณ์นั่งมองหน้าด้วยแววตาที่ดู
ยิ้มขำแบบแปลกๆ อย่างนี้ หัวใจเจ้ากรรมก็ยิ่งเต้นรัวแรง แถมยังรู้สึกแก้มร้อนผ่าวอย่างบอกไม่ถูก

ติณณ์ซึ่งนั่งมองใบหน้าหวานของนักกายภาพบำบัดสาวอยู่ก็รับรู้ได้ว่าเธอกำลังเขินเพราะ
สีแก้มอันแดงระเรื่อมากขึ้นเรื่อยๆ และเขาก็คิดว่าเธอนั้นไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าแก้มของตนกำลัง
เปลี่ยนสีจนขึ้นสีจัด

หญิงสาวรีบสลัดความรู้สึกแปลกๆ ออกไป และตั้งใจตรวจดูอาการบาดเจ็บที่หัวไหล่ บ่า และ
สะบักทางด้านหลังของชายหนุ่ม ก่อนจะเอ่ยถามติณณ์

‘ไปทำอะไรมาล่ะ ถึงได้แขนกับไหล่เดี้ยงแบบนี้’

‘ออกกำลังกายแล้วเกิดอุบัติเหตุน่ะ พอดีวิดพื้นอยู่แล้วโดนน้องหมาวิ่งมาชน ตอนแรกก็คิดว่า
เดี๋ยวคงหาย แต่นี่ก็น่าจะเกินสองสัปดาห์แล้วยังไม่หายสักที’ คนที่ถูกแก๊งสุนัขที่บ้านวิ่งไล่กวด
กันมาชนขณะวิดพื้นเอ่ยตอบ

“อ๋อเหรอ”

ภีรณีพูดเสียงสูงจนติณณ์รู้ได้เลยว่าหญิงสาวกำลังคิดอะไรอยู่

สงสัยคงคิดว่าเราไปทำอย่างอื่นมาสินะ

‘ทำไม คิดว่าฉันไปออกกำลังกายในร่มกับสาวผิดท่ามางั้นเหรอ แอบหึงละสิ’

‘หึงบ้าหึงบออะไร พูดจามั่วซั่ว คนอย่างฉันเนี่ยนะจะหึงนาย’

‘อ้าว จะไปรู้เหรอ ก็เล่นซักเสียละเอียดยิบอย่างกับเมียซักผัว ได้ยินแบบนี้ก็เลยนึกว่าหึง’

‘เขาเรียกว่าซักประวัติและอาการของคนไข้ ไม่ได้ซักเพราะพิศวาส คนบ้าอะไรหลงตัวเองชะมัด
จะบอกให้นะ ไม่ว่ายังไงคนอย่างฉันก็ไม่มีทางสนนายหรอก’

‘แล้วอย่าเผลอมาหลงรักฉันเข้าแล้วกัน’ ติณณ์ยิ้มด้วยรอยยิ้มที่ดูมีเสน่ห์จนน่าหมั่นไส้

แต่แล้วเขาก็ยิ้มกวนประสาทอยู่ได้ไม่นาน เพราะทันทีที่โดนคลื่นจากเครื่องอัลตราซาวนด์จี้
เข้าไปตรงที่บาดเจ็บ ชายหนุ่มก็ได้แต่ร้องอุทาน และแม้ว่าเสียงนั้นจะไม่ได้ดังนัก แต่ก็ทำให้
ภีรณีอดแอบยิ้มสะใจออกมาไม่ได้เมื่อได้เห็นคนปากดีอย่างติณณ์กำลังนั่งทำสีหน้าเหยเก
เพราะรู้สึกเจ็บแบบนี้

สมน้ำหน้า ปากเสียดีนัก

และรอยยิ้มนั้นเองทำให้ติณณ์ที่กำลังถูกรักษาอยู่เอ่ยถามขึ้นมา

‘เป็นคนซาดิสม์หรือไง เห็นคนไข้เจ็บแล้วนั่งยิ้มอยู่ได้ หรือว่ากำลังแกล้งฉันอยู่กันแน่ อู๊ยๆ’

‘ไม่ได้ซาดิสม์หรอก ปกติก็สงสารคนไข้นะ แต่ไม่รู้ทำไมพอเป็นนายกลับรู้สึกดี๊ดี’

คิดถึงตรงนี้ก็ทำให้ภีรณีนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปเมื่อครู่ใหญ่ เมื่อติณณ์ยืนรอให้เธอเข้า
ห้องพักเรียบร้อยก่อน แล้วถึงค่อยเดินไปยังห้องของตัวเอง

ถึงติณณ์จะชอบกวนประสาทเธอ แต่การที่เขากระทำเช่นนี้ รวมถึงความเป็นสุภาพบุรุษที่ผ่านๆ มา
ก็ทำให้ภีรณีอดนึกถึงความดีของเขาในหลายๆ ครั้งขึ้นมาไม่ได้เช่นกัน และเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้
เธอรู้สึกประทับใจมากก็คือเรื่องราวดีๆ ของติณณ์ที่เธอได้รับรู้จากโลกอินเทอร์เน็ต

ในวันนั้นมีน้องคนหนึ่งในแผนกกายภาพบำบัดร้องเรียกให้พี่อีกคนในแผนกมาอ่านข่าวที่ปรากฏอยู่
บนหน้าจอมือถือของเธอ

‘พี่มน พี่มนเห็นโพสต์นี้หรือยัง มาดูสิ ครูติณณ์ดังใหญ่แล้ว มีใครก็ไม่รู้ส่งจดหมายมาถึงต้นสังกัดเลย’

น้ำเสียงของน้ำฝนดูตื่นเต้นมาก จนแม้แต่ภีรณีที่ไม่ลงรอยกับติณณ์ก็อดเอ่ยถามออกมาไม่ได้

‘มีเรื่องอะไรกันเหรอฝน’

    
‘ก็ครูติณณ์น่ะสิคะ...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่