ความผิดพลาดของนักศึกษาแพทย์คนหนึ่ง Part 2 (2 Part จบ)

ใครยังไม่ได้อ่าน Part 1 เชิญอ่านที่ link: https://pantip.com/topic/37570985 ก่อนนะครับ เพื่อความต่อเนื่องของเนื้อหา

        สุดท้ายแล้ว ด้วยความดันทุลังจะเอาให้ได้ ผมตัดสินเลือกคณะวิศวฯไปก่อน แล้วค่อยไปสอบหมอเอาปีหน้า ช่วงปิดเทอมหลังจบ ม.6 ก่อนขึ้นมหาวิทยาลัย ผมใช้เวลาอยู่กับหนังสือเสียใหญ่ แม้มันจะน่าเบื่อสำหรับตัวผมในตอนนี้ แต่ตอนนั้นไม่รู้อะไรเข้าสิง ทนอ่านมันอยู่นั้นแหละ
        พอช่วงปิดเทอมใกล้จะหมดลง ก็ถึงเวลาต้องไปเรียนวิศวฯแล้ว ผมเริ่มลังเลอีกครั้ง ถ้าซิ่วติดขึ้นมาจริงๆ มันจะคุ้มเหรอ ที่ต้องเสียเวลาไป 1 ปีเต็ม เพื่อไปเริ่มต้นเรียนในคณะใหม่ ถ้าไม่นับตอนเรียนปี 1 ในคณะวิศวฯ ผมเหลืออีก 3 ปี ก็จะได้ใบปริญญาไปฝากพ่อฝากแม่ แต่ถ้าซิ่วไปเริ่มใหม่ในคณะแพทย์ ผมจะต้องเรียนอีก 6 ปี ถึงจะมีอาชีพทำมาหากินเป็นของตัวเอง

        สุดท้ายผมก็ตัดสินใจซิ่วตามแนวคิดเดิม แต่คนอย่างผมคงไม่อาจหาญพอที่จะลาออกจากวิศวฯ เพื่ออ่านหนังสือสอบอย่างเดียว ตอนนั้นผมคิดว่าเรียนไปด้วยอ่านหนังสือไปด้วย คงเป็นทางที่ปลอดภัยที่สุด ทว่าเรียนไปได้ 3 สัปดาห์ ผมเริ่มสังเกตเห็นว่า ผมมีจุดอ่อนอยู่สองวิชา คือ คณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นเหตุให้ผมสอบไม่ติดมานักต่อนักแล้ว และขืนยังเรียนไปด้วย อ่านหนังสือไปด้วยแบบนี้ ผมคงกำจัดจุดอ่อนทั้งสองวิชานี้ไม่ทันเป็นแน่
        คิดได้ดังนั้นผมจึงปรึกษาพ่อแม่ทันที ซึ่งก็แน่นอนอยู่แล้ว ไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากจะให้ลูกทิ้งความมั่นคง เพื่อไปตามล่าความฝันลมๆแล้งๆ ที่แทบจะไม่มีโอกาสสำเร็จเลยแม้แต่น้อย สงครามกลางบ้านจึงปะทุขึ้นอย่างรุนแรง ตอนนั้นผมเองก็ขาดสติ มองเห็นแต่เพียงเป้าหมายของตนเอง มีแต่ความเดือดดาลที่บันดาลออกมาจากริมฝีปาก ทว่าในความโชคร้ายก็ยังพอมีโชคดีเป็นแสงส่องทางอยู่บ้าง
        ผมได้รับคำแนะนำจากพี่รหัส ว่ามันไม่จำเป็นต้องลาออก เพราะนักศึกษาสามารถดรอปเรียนเป็นรายวิชาได้ เพียงแค่อย่าดรอปจนหน่วยกิตรวมต่ำกว่า 9 หน่วยกิต เท่านั้นเอง มิฉะนั้นก็ต้องพ้นสภาพนักศึกษา ไปตามระเบียบมหาวิทยาลัย
        หลังจากนั้นผมก็เข้าเรียนแค่สัปดาห์ละ 3 คาบ เวลาอื่นๆก็หมดไปกับการอ่านหนังสือตามเคย เพียงแค่จัดระเบียบการอ่านให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำสรุปทุกวิชาและทุกบท เพื่อจะได้รู้ว่าตรงไหนอ่านแล้ว ตรงไหนยังไม่ได้อ่าน ตรงไหนยังไม่แม่น ต่างจากตอน ม.6 ซึ่งแม้จะอ่านมากกว่าตอนซิ่ว ทว่าเป็นการอ่านอย่างสะเปะสะปะ หลายจุดถูกอ่านซ้ำ ในขณะที่หลายจุดไม่ได้แตะเลย  
        ช่วงซิ่วเป็นช่วงหนึ่ง ที่ผมเหนื่อยที่สุดในชีวิต แม้แต่เวลานั่งรถไฟไปเรียนก็ยังต้องอ่านหนังสือ ทำสรุปลงกระดาษ ที่เขาว่ากันว่า “เดิมพันยิ่งสูง ยิ่งมีพลัง” คงเป็นจริง เพราะถ้าผมซิ่วไม่สำเร็จ ผมก็ต้องเรียนวิศวฯต่อ แถมยังต้องตามเรียนวิชาที่ดรอปไปด้วยอีกหลายวิชา
        ทว่าสอบไปสนามแล้วสนามเล่า ผลสอบก็แทบจะไม่ต่างจากตอน ม.6 เลย บางสนามยังแย่กว่าด้วยซ้ำ ตอนนั้นผิดหวังมาก และรับตัวเองไม่ได้ขั้นรุนแรง พอถึงวันสอบวิชาเฉพาะ ซึ่งผมคาดหวังไว้สูง และใช้เวลาเตรียมตัวมาพอสมควร พาร์ทเชาน์ปัญญาผมทำได้มากกว่าตอน ม.6 เล็กน้อย ส่วนจริยธรรมแทบจะไม่ต่างจาก ม.6 เลย ความหวังของผมจึงตกไปอยู่พาร์ทเชื่อมโยง ซึ่งเป็นพาร์ทที่มั่นใจมาก ทว่าพอสอบเสร็จ เปิดเฟสบุ๊คดูกลุ่มติวกลุ่มหนึ่ง ปรากฏว่า ผมตอบผิดในส่วนที่สำคัญมากๆในพาร์ทเชื่อมโยง ยังผลให้คะแนนหายไปครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว กลายเป็นว่าวิชาเฉพาะของผมปีนี้ ได้คะแนนรวมน้อยกว่าตอน ม.6 เสียอย่างนั้น
         การสอบครั้งนี้ แทบจะทำให้ผมล้มเลิกเป้าหมายซิ่วหมอเลยทีเดียว แต่พอหัวหายร้อน ผมจึงคิดเอาซะว่าไหนๆก็เหลืออีกสองสนาม ที่สมัครสอบไปแล้ว แต่ยังไม่ถึงวันสอบ ลองไปดูหน่อยก็คงไม่เสียหาย
        ผมก็ไม่รู้จะขอบคุณหรือด่าตัวเองดี ที่มีนิสัยไม่ยอมแพ้ ต่อทุกบททดสอบในชีวิต ถ้าผมไม่ยอมไปสอบในสนามต่อไป วันนี้ผมคงกำลังเรียนวิศวฯอยู่ปี 3 อีกปีเดียวก็เรียนจบ มีงานทำ หาเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้ ทว่าผมกลับทำตรงกันข้าม อดทนสอบจนถึงสนามที่ผมสอบติด และได้เรียนแพทย์สมใจอยาก ตอนแรกมีความสุขกับชีวิตมาก แต่พอวันเวลาผ่านไป และด้วยชีวิตที่ไม่ต้องมานั่งอ่านหนังสือ เพื่อแข่งขันกับคนทั่วประเทศ ผมจึงมีเวลาอยู่กับตนเองมากขึ้น
        ถ้าจะให้พูดตรงๆ การค้นหาตนเอง ที่ควรจะทำตั้งแต่สมัยประถม ผมดันมาทำเอาหลังจากสอบติดแพทย์ไปแล้ว ผมเพิ่งจะรู้ตัว เมื่อเรียนแพทย์ไปได้ครึ่งปี ว่า “ไลฟ์สไตล์” ที่เหมาะกับตัวผมนั้น ไม่สามารถหาได้ในอาชีพแพทย์

        ตอนนั้นผมมีสองทางเลือกหลักๆ คือ
        1.ลาออกจากคณะแพทย์ไปทำอย่างอื่น หรือเรียนคณะอื่น
        2.ทนเรียนแพทย์ต่อให้จบ จากนั้นจะทำอาชีพแพทย์ต่อ หรือไปทำอาชีพอื่นตามใจอยาก ก็ย่อมได้
        ผมเลือกข้อ 2. เพราะสุดท้ายแล้ว ต่อให้ไปทำอย่างอื่น หรือเรียนอย่างอื่น ก็อาจเจอสิ่งที่ไม่ชอบได้อยู่ดี เพราะผมก็ยังค้นหาตนเองได้ไม่มากพอ ที่จะทำแบบนั้น และข้อดีอีกอย่างของการเลือกข้อ 2. คือยังมีเวลาให้ค้นหาตนเองเพิ่มเติม และหลังเรียนจบ สถานะทางการเงินของอาชีพแพทย์ จะเอื้อต่อการเริ่มต้นทำอย่างอื่นที่ชอบ แถมยังมีโอกาสเอาเงินไปลงทุนอีกหลายตัวเลือก ซึ่งจะทำให้ชีวิตมีเวลามากขึ้นไปอีก
        หรือถ้าไปทำอย่างอื่นแล้วล้มเหลวขึ้นมา ก็ยังมีอาชีพแพทย์ให้ทำหาเลี้ยงชีพอยู่ดี
        ที่ยากที่สุดตอนนี้คือ ทำยังไงให้เรียนจบ 555

        พอนึกถึงตอนที่ลาออกจากวิศวฯ นั่นก็เป็นอีกจุดหนึ่ง ซึ่งผมอยากจะย้อนกลับแก้ไข ช่วงนั้นผมคิดว่าทุกสนามที่สอบไป คงสอบไม่ติดสักสนาม ผมยอมถอดใจจากอาชีพแพทย์ และหันมาตั้งใจเรียนวิศวฯอย่างเต็มที่ อย่างน้อยเรียนคณะนี้ ก็ยังมีอิสระมากกกว่าคณะแพทย์ แบ่งเวลาไปทำงานอดิเรกได้มากกว่า แถมยังใช้เวลาเรียนน้อยกว่าอีกด้วย
        แต่แล้ววันหนึ่งผมก็ได้รับสายจากคณะแพทยศาสตร์แห่งหนึ่ง ว่าสอบติดตัวสำรอง ผมจึงตอบตกลงกับปลายสายไปในทันที ทว่าก็ยังแอบลังเลอยู่ในใจ เพราะแพลนไว้แล้ว ว่าจะเรียนวิศวฯต่อจนจบ อีกใจหนึ่งก็เสียดายความพยายาม ที่ทุ่มเทอ่านหนังสือสอบหมอไปเป็นเวลาปีครึ่ง
        สุดท้ายแล้ว ผมเลือกแพทย์ เพราะเห็นแก่ความพยายามก่อนหน้านี้  

        ผมนึกทบทวนถึงความคิดตนเองตอน ม.6 ตอนนั้นผมเลือกเรียนหมอ เพราะเป็นอาชีพที่ได้ช่วยเหลือผู้คน ประกอบกับสื่อรอบตัวที่แนะนำให้นักเรียนเลือกคณะอย่างที่ใจต้องการ… ผมได้ยินมาอย่างนี้ก็เลยจัดไปโดยไม่คิดอะไรมาก
        แต่ถ้าให้ผมแนะนำนักเรียน ม.ปลาย ละก็ ผมอยากจะบอกว่ามันไม่ได้ผิดอะไร ถ้าเราจะเลือกคณะอย่างที่ใจต้องการ ออกจะดีด้วยซ้ำ แต่ก่อนจะไปถึงขั้นนั้น สิ่งที่ควรทำเป็นอันดับแรกเลย คือ การค้นหา “ไลฟ์สไตล์” ที่ใช่ ให้เจอเสียก่อน เพราะทุกคณะย่อมมีทั้ง “สิ่งที่เราชอบ” และ “สิ่งที่เราไม่ชอบ” การค้นหาไลฟ์สไตล์ที่ใช่นี่เอง ที่จะทำให้เราหลีกเลี่ยงคณะที่มี "สิ่งที่เราไม่ชอบ" ได้ดีที่สุด
        นักเรียนไทยหลายคนอาจพลาดจุดนี้ไป เป็นเหตุให้หาตัวเองไม่เจอ เพราะด้วยสภาพสังคมที่ปลูกฝังให้ตั้งหน้าตั้งตาเรียนเพียงอย่างเดียว ตั้งแต่ชั้นประถม จึงไม่แปลกที่หลายคนจะมองข้ามการค้นหา “ไลฟ์สไตล์” ที่ใช่ และทุมเทพลังไปกับการไล่ล่าเป้าหมาย ที่สังคมเห็นว่าดี
ทั้งที่จริงๆแล้ว เราไม่จำเป็นต้องตั้งใจเรียน หรือเป็นเด็กเนิร์ด ตลอดเวลาในช่วงชีวิตนักเรียนนักศึกษา แต่ขอเพียงแค่ “ตั้งใจในช่วงเวลาที่สำคัญ” เช่น 1 ปีก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัย เป็นต้น
        ส่วนเวลาอื่นๆนั้น สมควรที่จะใช้ทบทวนความคิด ค้นหาไลฟ์สไตล์ และจุดอ่อนจุดแข็งของตนเองเสียมากกว่า
        หลายคนกลัว และพะวงถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ซึ่งเป็นธรรมชาติของมนุษย์อยู่แล้ว มันไม่ได้ผิดอะไร ผมเองก็เคยเป็นเหมือนกัน (หรือตอนนี้ก็อาจเป็นโดยไม่รู้ตัว) นี่อาจเป็นสาเหตุอีกข้อ ที่เราไม่กล้าแบ่งเวลามาค้นหาตนเอง มัวแต่ตั้งตั้งตาเรียนตามสภาพแวดล้อมรอบตัว เพราะทำแล้วรู้สึกปลอดภัย รู้สึกมั่นใจ เป็นธรรมชาติของคนเราอีกข้อเช่นกัน
        แต่ถ้าถามผม การเตรียมตัวสอบที่มีประสิทธิภาพจริงๆ ไม่จำเป็นต้องใช้เวลามากถึงสี่ซ่าห้าปี คนที่เตรียมตัวมานาน ใช่ว่าจะมีความพร้อมมากกว่าคนที่เตรียมตัวมาแค่ครึ่งปี ทว่ามันขึ้นอยู่กับการโฟกัส และการเตรียมตัวอย่างถูกจุดมากกว่า จะทำแบบนั้นได้ ก็ต้องรู้จุดอ่อนจุดแข็ง รู้ว่าตรงไหนอ่านแล้ว ตรงไหนยังไม่ได้อ่าน วิชาไหนต้องเรียนพิเศษเพิ่ม หรือวิชาไหนไม่จำเป็นต้องเรียน การวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็ง และสร้างแผนการพัฒนาตนเอง ที่ทำให้เราพร้อมก่อนวันสอบจริงสัก 1 เดือนก่อนสอบ มีประสิทธิภาพ มากกว่าการนั่งเรียนไปทุกวิชา จนไม่มีเวลาทบทวนเนื้อหาเสียอีก ส่วนที่เวลาเหลืออีก 1 เดือนก่อนสอบ ก็ทบทวนจากสรุปของแต่ละวิชา (ซึ่งทุกคนสมควรจะทำไว้ จะได้เช็คไปในตัวด้วย ว่าตรงไหนบ้าง ที่อ่านไปแล้ว ตรงไหนยังไม่ได้อ่าน)

        พูดถึง "ความพร้อม" ตรงนี้เป็นคีย์เวิร์ดสำคัญอีกอย่างหนึ่ง ที่มำให้ผมก้าวมาถึงจุดนี้ ก่อนจะซิ่วผมคิดเพียงว่าต้องหาโจทย์ยากๆมาฝึก เพื่อทำให้ตัวเองเก่งขึ้น แต่วันแล้ววันเล่า ผมก็ยังไปไม่ถึงไหนเสียที จนคืนหนึ่งพ่อพูดขึ้นมาว่า "บางที การล้มเหลวบ่อยๆแบบนี้ อาจเกิดจากความไม่พร้อม" ซึ่งพ่อไม่ได้บอกว่า "ผมไม่เก่ง"
        ผมก็เพิ่งรู้ตัวในคืนนั้นเอง ว่าที่ผ่านมา ผมมัวแต่หิวกระหาย อยากจะแก้โจท์ยากๆให้ได้ โดยลืมตรวจเช็คพื้นฐานของตนเองไปเสียสนิทเลย บางทีก่อนจะแก้โจทย์ชั้นสูงขึ้นไป เราก็ต้องย้อนกลับมามองพื้นฐานเสียก่อน สนามสอบบางที่ ก็คัด "คนพร้อม" มากกกว่า "คนเก่ง"

        ร่ายยาวมาซะขนาดนี้ ผมจะแถม Flow chart ให้ก็แล้วกัน เผื่อกระทู้นี้จะเข้าใจง่ายขึ้น

        
        ตอนนี้ผมก็มีงานอดิเรก ทำเพจแนวให้กำลังใจชีวิต ยังไงฝากติดตามด้วยนะครับ
        https://www.facebook.com/%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%9D%E0%B8%B1%E0%B8%99-848930048611946/
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่