ใครยังไม่ได้อ่าน Part 1 กดลิ้งนี้เลยครับ เพื่อความต่อเนื่องของเนื้อหา
https://pantip.com/topic/37610414
Part 2 จะเป็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นปีถึงกลางปี พ.ศ. 2559
ผมตอบตกลงกับปลายสายในทันที ว่าจะไปรายงานตัวตามวันเวลาที่กำหนด โดยไม่ได้คิดอะไรมาก ตอนนั้นรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบมันสวยงามไปหมด ไม่น่าเชื่อว่าเพียงแค่ความพยายาม จะทำให้คนโง่อย่างผมติดหมอได้ แต่หากมองดูดีๆ มันก็มีองค์ประกอบอย่างอื่นเหมือนกัน ที่ทำให้ผลสอบในสนามนี้ ต่างจากสนามที่ผ่านมา ปัจจัยหนึ่ง คือข้อสอบที่แตกต่างกัน หรือเรียกสั้นๆว่า “ดวง” นั่นเอง เจอข้อสอบตรงกับแนวโจทย์ที่ฝึกมาก็โชคดีไป ทั้งนี้วิธีการเตรียมตัวของผมในตอนซิ่ว ก็ต่างจากตอน ม.6 ด้วย
หลังจากวางสายไปได้สักพัก ผมถึงแอบลังเลในใจ เพราะก่อนหน้านี้ตัดใจจากอาชีพแพทย์ไปแล้ว และตั้งใจว่าจะเรียนวิศวฯต่อจนจบ บวกกับช่วงนั้น ด้วยเหตุที่เลิกอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบหมอไปราว 2 เดือน จึงทำให้ผมซึมซับเสน่ห์ของวงการจักรยานมากขึ้นไปอีก จนถอดตัวไม่ออกแล้ว
แต่ไม่รู้โชคดีหรือโชคร้าย ผมกลับเสียดายความพยายามในอดีตมากกว่าอิสรภาพในอนาคต และยกเหตุผลโง่ๆขึ้นมาบอกกับตัวเอง ว่ายังไงก็ต้องแบ่งเวลามาปั่นจักรยานได้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเลือกเรียนคณะอะไรก็ตาม ซึ่งถ้าถามผมในตอนนี้ ผมก็ยังคงคิดว่ามันไม่ใช่ความคิดที่ผิดอะไร แถมยังเป็นแผนที่ทำให้เกิดขึ้นจริงได้เสียด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าแผนที่ทำให้เกิดขึ้นจริงได้ ใช่ว่าจะเป็นแผนที่ฉลาดเสมอไป
“แผนที่ไม่ผิด” กับ “แผนที่ฉลาด” ต่างกันนะครับ แผนที่ไม่ผิด คือแผนอะไรก็ได้ที่ทำให้เราบรรลุเป้าหมายขั้นต่ำของชีวิต แม้ว่าจะต้องแลกมาด้วยความพยายามมากแค่ไหนก็ตาม มันอาจเหนื่อยจนเสียสุขภาพ หรือแย่ที่สุดก็คือ มันมีโอกาสที่แผนจะเป็นไปไม่ได้ด้วย แต่แผนที่ฉลาด คือแผนที่ทำให้ชีวิตทุกด้านสมดุล และก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง
การตัดสินใจครั้งนี้ สอนผมได้มากเลย ในเรื่องของการตัดสินใจนั้น อย่าปล่อยให้อดีตหรือ “ความเสียดาย” เข้ามาครอบงำจิตใจ เพราะชีวิตเราต้องดำเนินต่อไปในอนาคต ไม่ใช่วิ่งย้อนกลับไปในอดีต และสำหรับการวางแผนชีวิต อย่าไปให้น้ำหนักกับด้านใดด้านหนึ่งของชีวิตอย่างสุดโต้งจนเกินไป พลังของคนมีจำกัด ควรจะเลือกเส้นทางที่ไม่ฝืนกำลังตนเองจนเกินไป และอีกข้อหนึ่งที่จะทำให้เราวางแผนชีวิตได้อย่างมั่นใจ ก็คือการหาไลฟ์สไตล์ที่ใช่ให้เจอ ตั้งแต่อายุยังน้อย อย่าเอาแต่เรียนแบบไม่ลืมหูลืมตา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้นี่คือลิ้งบทความของผม เกี่ยวกับการซิ่วหมออย่างละเอียด มีทั้งเทคนิคการเตรียมตัวสอบ และการเลือกคณะ โดยใช้ไลฟ์สไตล์เป็นหลัก https://pantip.com/topic/37570985
สุดท้ายผมก็มารายงานตัวเข้าศึกษาในคณะแพทย์ ก่อนจะลาออกจากคณะวิศวฯ และมาปั่นจักรยานชิวๆอยู่บ้าน รอเวลาเปิดเทอมในอีก 6 เดือนข้างหน้า ช่วงนี้นี่เอง ที่ผมได้ฝึกซ้อมกีฬาจักรยานอย่างเต็มที่ ลาออกมาอยู่บ้านได้ไม่กี่เดือน ก็มีเพื่อนนักปั่นชวนไปร่วมงานแข่งจักรยานชิงถ้วยพระราชทาน ที่นครนายก ผมก็ไปด้วยความตื่นเต้น เพราะเป็นการแข่งจักรยานครั้งแรกในชีวิต ก่อนหน้านี้ผมไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าจักรยานมีการแข่งขันแบบนี้ด้วย
ผมแข่งในประเภทเสือภูเขา ส่วนน้องชายผมลงแข่งในประเภทเสือหมอบกับเพื่อนที่ชวนผมมา ตอนนั้นผมก็ไม่ได้จริงจังอะไรกับการแข่ง ไปแบบชิวๆ ก่อนออกสตาร์ทหัวใจเต้นแรง ตื่นสนาม ยิ่งตอนกรรมการนับถอยหลังนี่ เป็นอะไรที่บีบครั้นหัวใจมาก พอสิ้นเสียงแตร ทุกคนก็ปั่นออกไปแบบไม่เร็วนัก แต่พอผ่านโค้งแรกไปเท่านั้นแหละ ทุกคนยืนโยกรถกันจนผมตกใจ เร็วขนาดนี้ใครจะไปตามทันวะ แต่ด้วยความด้อยประสบการณ์ผมจึงต้องยอมให้พวกเขาแข่งกันไป ส่วนตัวผมก็ได้แต่ปั่นตามต้อยๆ อย่างโดดเดี่ยว ด้วยความเร็วของตัวเอง

งานแข่งจักรยานเขาชะโงก ชิงถ้วยพระราชทาน
แข่งจบได้อันดับรองบ๊วย จากจำนวนผู้เข้าแข่งขันเฉพาะในรุ่นของผม 11 คน ความรู้สึกตอนนั้นคือ ติดใจ อยากจะไปฝึกซ้อมมาแข่งอีกสักสองสามสนาม เพื่อทดสอบฝีมือตัวเองว่าจะพัฒนาไปได้ไกลสักแค่ไหน แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจจะแข่งจริงจัง เหมือนพวกมืออาชีพ เพราะยังไงสักวันก็ต้องติดภาระเรียนหมออยู่ดี แถมตอนนั้นผมยังติดภาพลักษณ์วงการจักรยาน ในด้านของการปั่นท่องเที่ยวเสียมากกว่า
ตอนนั้นการซ้อมปั่นของผมก็ยังไม่เป็นระบบ ทำแค่ปั่นไปวันๆเท่าที่กำลังขาจะพาไปได้ ขึ้นเขาใหญ่บ้าง ไปเขื่อนขุนด่านบ้าง นับเป็นช่วงหนึ่งที่มีความสุขที่สุดในชีวิต ไม่ต้องเรียน ไม่ต้องคิดมาก มีอิสรภาพในการทำสิ่งที่รัก จะมีเรื่องอื่นให้ทำบ้าง ก็แค่ธุรกิจขายตรงที่เพิ่งเริ่มทำ แต่ก็ไม่ได้เหนื่อยอะไรมาก เพราะมีเวลาพักเหลือล้นอยู่แล้ว
เวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ แม้จะเป็นเวลา 6 เดือน ทว่าในความรู้สึก เหมือนมันเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ซึ่งจะตราตรึงอยู่ในใจไปตลอดกาล ถ้าจำไม่ผิด ประมาณสองเดือนก่อนเปิดเทอม ผมก็ได้พบกับทีมจักรยานแถวบ้าน เป็นพวกสายแข่งขัน ต่างจากทีมเดิมของผม ที่เน้นปั่นท่องเที่ยวมากกว่า
ผมเอาเสือหมอบของน้องชายไปปั่นกับพวกเขาในครั้งแรก วันนั้นแอบกลัวปั่นตามเขาไม่ทันอยู่เหมือนกัน เพราะสองวันก่อนหน้านี้ปั่นหนักมาก หนึ่งวันก่อนปั่นก็หมดพลังไปกับการขึ้นเขาใหญ่ด้วย

อ่างเก็บน้ำสายศร อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
ช่วงปั่นออกจากชานเมือง เขาก็ปั่นกันแบบสบายๆ เป็นการวอร์มอัพไปในตัว ทว่าเมื่อพวกเขาเริ่มปั่นด้วยความเร็วเต็มกำลัง ผมก็เริ่มหอบ หายใจไม่ทัน ก่อนจะหลุดจากขบวนภายในระยะไม่กี่กิโลเมตร ตอนนั้นเริ่มอยากซ้อม อยากปั่นกับทีมนี้อีกครั้ง คราวหน้าถ้าร่างกายพร้อม น่าจะปั่นกับเขาได้ตลอดรอดฝั่ง
หลังจากนั้นฝีมือผมก็พัฒนาได้เร็วกว่าเดิม ต้องยอมรับว่า สภาพแวดล้อมมีผลต่อการพัฒนาตนเองอย่างมากจริงๆ ไม่ว่าจะสำหรับวงการไหนก็ตาม หากเราไม่มีพลังที่มากพอ ที่จะกระตุ้นตนเอง การเข้าไปอยู่กับกลุ่มคนที่เก่งกว่าเรา และมีไฟมากกกว่า เป็นวิธีที่ได้ผลดีเลยทีเดียว
เมื่อใกล้เปิดเทอม ผมก็ต้องรีบตักตวงผลประโยชน์จากอิสรภาพให้มากที่สุด ตอนนั้นคณะแพทย์พาไปทำกิจกรรมรับน้องก่อนเปิดเทอม การนั่งรถบัสจากมหาวิทยาลัยย่านชานเมืองโคราช ไปยังรีสอร์ทแถวอำเภอปากช่อง เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นความสวยงามของจังหวัดนครราชสีมา ด้วยภูมิประเทศแบบที่ราบสูง จึงไม่แปลกที่ถนนหนทางจะมีเนินอยู่แทบทุกแห่ง เป็นสภาพแวดล้อมอันเหมาะสมกับการซ้อมปั่นจักรยานอย่างมาก แถมยังมีวิวสวยๆให้ดูอีกด้วย โดยเฉพาะเขตอำเภอวังน้ำเขียว และปากช่อง ทว่าพอถึงเวลาเข้าศึกษาจริงๆ ผมคงไม่ได้เห็นวิวพวกนี้บ่อยนัก นอกจากจะได้ปั่นออกทริปในวันหยุดสุดสัปดาห์
พูดถึงตอนเข้าค่ายรับน้อง นั่นคงเป็นช่วงที่มีความสุขที่สุดในชีวิตนักศึกษาแพทย์แล้ว บรรยากาศแถวรีสอร์ท รายล้อมไปด้วยภูเขาน้อยใหญ่ ตามสไตล์ปากช่อง การเข้าค่ายนี่เอง ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผมปั่นจักรยานมาเที่ยวปากช่อง ในเวลาต่อมา ก่อนจะเปิดเทอม

จุดชมวิวเขาใหญ่ฝั่งปากช่อง
และนอกจากทริปปากช่องแล้ว 2 วันก่อนเปิดเทอม ผมกับเพื่อนนักปั่นวัยกลางคน ก็นัดกันปั่นขึ้นยอดเขาเขียว ซึ่งเป็นเขาอีกลูกหนึ่ง ที่ตั้งอยู่บนเขาใหญ่อีกที แม้ผมจะปั่นขึ้นเขาใหญ่หลายครั้งแล้ว ทว่าผมก็ยังไม่เคยปั่นขึ้นเขาเขียวเลยแม้แต่ครั้งเดียว นี่จึงเป็นเสมือนทริปส่งท้ายก่อนเปิดเทอม ทริปคนสองล้อพิชิตจุดสูงสุดของภาคกลาง 1200 กว่าเมตร เหนือระดับน้ำทะเล

ผาตรอมใจ ยอดเขาเขียว
เย็นวันสุดท้ายก่อนจะต้องเดินทางไปโคราช ผมปั่นจักรยานไปหน้าประตูอุทยานเขาใหญ่อีกครั้ง ราวกับเป็นการบอกลาบ้านอันแสนสุข ตอนนั้นใจหายเหมือนกัน ที่จะต้องทิ้งอิสรภาพเพื่อไปศึกษาต่อ ในอนาคตก็ไม่รู้ว่าจะทำสิ่งที่รักแบบนี้ต่อไปได้อีกนานแค่ไหน ชีวิตจะมีความสุขเหมือนตอนนี้หรือเปล่า ที่กลัวที่สุดคือ อาจต้องเลิกปั่นเพราะภาระหน้าที่ในอาชีพแพทย์
แต่อย่างไรเสีย ผมก็วางแผนเอาไว้แล้ว ตั้งแต่ตอนตัดสินใจไปรายงานตัวเข้าคณะแพทย์ ว่าต้องควบคุมบทบาทที่หลากหลายแบบนี้ให้ได้ ไม่ว่าจะต้องเหนื่อยแค่ไหนก็ตาม
ไว้จะกลับมาเยี่ยมบ่อยๆนะ เขาใหญ่
ฝากติดตามเพจผมด้วยนะครับ เป็นเพจให้ข้อคิดชีวิต
https://www.facebook.com/%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%9D%E0%B8%B1%E0%B8%99-848930048611946/
เมื่อกีฬาจักรยาน เปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดกาล Part 2 (2 Part จบ)
Part 2 จะเป็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นปีถึงกลางปี พ.ศ. 2559
ผมตอบตกลงกับปลายสายในทันที ว่าจะไปรายงานตัวตามวันเวลาที่กำหนด โดยไม่ได้คิดอะไรมาก ตอนนั้นรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบมันสวยงามไปหมด ไม่น่าเชื่อว่าเพียงแค่ความพยายาม จะทำให้คนโง่อย่างผมติดหมอได้ แต่หากมองดูดีๆ มันก็มีองค์ประกอบอย่างอื่นเหมือนกัน ที่ทำให้ผลสอบในสนามนี้ ต่างจากสนามที่ผ่านมา ปัจจัยหนึ่ง คือข้อสอบที่แตกต่างกัน หรือเรียกสั้นๆว่า “ดวง” นั่นเอง เจอข้อสอบตรงกับแนวโจทย์ที่ฝึกมาก็โชคดีไป ทั้งนี้วิธีการเตรียมตัวของผมในตอนซิ่ว ก็ต่างจากตอน ม.6 ด้วย
หลังจากวางสายไปได้สักพัก ผมถึงแอบลังเลในใจ เพราะก่อนหน้านี้ตัดใจจากอาชีพแพทย์ไปแล้ว และตั้งใจว่าจะเรียนวิศวฯต่อจนจบ บวกกับช่วงนั้น ด้วยเหตุที่เลิกอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบหมอไปราว 2 เดือน จึงทำให้ผมซึมซับเสน่ห์ของวงการจักรยานมากขึ้นไปอีก จนถอดตัวไม่ออกแล้ว
แต่ไม่รู้โชคดีหรือโชคร้าย ผมกลับเสียดายความพยายามในอดีตมากกว่าอิสรภาพในอนาคต และยกเหตุผลโง่ๆขึ้นมาบอกกับตัวเอง ว่ายังไงก็ต้องแบ่งเวลามาปั่นจักรยานได้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเลือกเรียนคณะอะไรก็ตาม ซึ่งถ้าถามผมในตอนนี้ ผมก็ยังคงคิดว่ามันไม่ใช่ความคิดที่ผิดอะไร แถมยังเป็นแผนที่ทำให้เกิดขึ้นจริงได้เสียด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าแผนที่ทำให้เกิดขึ้นจริงได้ ใช่ว่าจะเป็นแผนที่ฉลาดเสมอไป
“แผนที่ไม่ผิด” กับ “แผนที่ฉลาด” ต่างกันนะครับ แผนที่ไม่ผิด คือแผนอะไรก็ได้ที่ทำให้เราบรรลุเป้าหมายขั้นต่ำของชีวิต แม้ว่าจะต้องแลกมาด้วยความพยายามมากแค่ไหนก็ตาม มันอาจเหนื่อยจนเสียสุขภาพ หรือแย่ที่สุดก็คือ มันมีโอกาสที่แผนจะเป็นไปไม่ได้ด้วย แต่แผนที่ฉลาด คือแผนที่ทำให้ชีวิตทุกด้านสมดุล และก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง
การตัดสินใจครั้งนี้ สอนผมได้มากเลย ในเรื่องของการตัดสินใจนั้น อย่าปล่อยให้อดีตหรือ “ความเสียดาย” เข้ามาครอบงำจิตใจ เพราะชีวิตเราต้องดำเนินต่อไปในอนาคต ไม่ใช่วิ่งย้อนกลับไปในอดีต และสำหรับการวางแผนชีวิต อย่าไปให้น้ำหนักกับด้านใดด้านหนึ่งของชีวิตอย่างสุดโต้งจนเกินไป พลังของคนมีจำกัด ควรจะเลือกเส้นทางที่ไม่ฝืนกำลังตนเองจนเกินไป และอีกข้อหนึ่งที่จะทำให้เราวางแผนชีวิตได้อย่างมั่นใจ ก็คือการหาไลฟ์สไตล์ที่ใช่ให้เจอ ตั้งแต่อายุยังน้อย อย่าเอาแต่เรียนแบบไม่ลืมหูลืมตา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สุดท้ายผมก็มารายงานตัวเข้าศึกษาในคณะแพทย์ ก่อนจะลาออกจากคณะวิศวฯ และมาปั่นจักรยานชิวๆอยู่บ้าน รอเวลาเปิดเทอมในอีก 6 เดือนข้างหน้า ช่วงนี้นี่เอง ที่ผมได้ฝึกซ้อมกีฬาจักรยานอย่างเต็มที่ ลาออกมาอยู่บ้านได้ไม่กี่เดือน ก็มีเพื่อนนักปั่นชวนไปร่วมงานแข่งจักรยานชิงถ้วยพระราชทาน ที่นครนายก ผมก็ไปด้วยความตื่นเต้น เพราะเป็นการแข่งจักรยานครั้งแรกในชีวิต ก่อนหน้านี้ผมไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าจักรยานมีการแข่งขันแบบนี้ด้วย
ผมแข่งในประเภทเสือภูเขา ส่วนน้องชายผมลงแข่งในประเภทเสือหมอบกับเพื่อนที่ชวนผมมา ตอนนั้นผมก็ไม่ได้จริงจังอะไรกับการแข่ง ไปแบบชิวๆ ก่อนออกสตาร์ทหัวใจเต้นแรง ตื่นสนาม ยิ่งตอนกรรมการนับถอยหลังนี่ เป็นอะไรที่บีบครั้นหัวใจมาก พอสิ้นเสียงแตร ทุกคนก็ปั่นออกไปแบบไม่เร็วนัก แต่พอผ่านโค้งแรกไปเท่านั้นแหละ ทุกคนยืนโยกรถกันจนผมตกใจ เร็วขนาดนี้ใครจะไปตามทันวะ แต่ด้วยความด้อยประสบการณ์ผมจึงต้องยอมให้พวกเขาแข่งกันไป ส่วนตัวผมก็ได้แต่ปั่นตามต้อยๆ อย่างโดดเดี่ยว ด้วยความเร็วของตัวเอง
แข่งจบได้อันดับรองบ๊วย จากจำนวนผู้เข้าแข่งขันเฉพาะในรุ่นของผม 11 คน ความรู้สึกตอนนั้นคือ ติดใจ อยากจะไปฝึกซ้อมมาแข่งอีกสักสองสามสนาม เพื่อทดสอบฝีมือตัวเองว่าจะพัฒนาไปได้ไกลสักแค่ไหน แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจจะแข่งจริงจัง เหมือนพวกมืออาชีพ เพราะยังไงสักวันก็ต้องติดภาระเรียนหมออยู่ดี แถมตอนนั้นผมยังติดภาพลักษณ์วงการจักรยาน ในด้านของการปั่นท่องเที่ยวเสียมากกว่า
ตอนนั้นการซ้อมปั่นของผมก็ยังไม่เป็นระบบ ทำแค่ปั่นไปวันๆเท่าที่กำลังขาจะพาไปได้ ขึ้นเขาใหญ่บ้าง ไปเขื่อนขุนด่านบ้าง นับเป็นช่วงหนึ่งที่มีความสุขที่สุดในชีวิต ไม่ต้องเรียน ไม่ต้องคิดมาก มีอิสรภาพในการทำสิ่งที่รัก จะมีเรื่องอื่นให้ทำบ้าง ก็แค่ธุรกิจขายตรงที่เพิ่งเริ่มทำ แต่ก็ไม่ได้เหนื่อยอะไรมาก เพราะมีเวลาพักเหลือล้นอยู่แล้ว
เวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ แม้จะเป็นเวลา 6 เดือน ทว่าในความรู้สึก เหมือนมันเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ซึ่งจะตราตรึงอยู่ในใจไปตลอดกาล ถ้าจำไม่ผิด ประมาณสองเดือนก่อนเปิดเทอม ผมก็ได้พบกับทีมจักรยานแถวบ้าน เป็นพวกสายแข่งขัน ต่างจากทีมเดิมของผม ที่เน้นปั่นท่องเที่ยวมากกว่า
ผมเอาเสือหมอบของน้องชายไปปั่นกับพวกเขาในครั้งแรก วันนั้นแอบกลัวปั่นตามเขาไม่ทันอยู่เหมือนกัน เพราะสองวันก่อนหน้านี้ปั่นหนักมาก หนึ่งวันก่อนปั่นก็หมดพลังไปกับการขึ้นเขาใหญ่ด้วย
ช่วงปั่นออกจากชานเมือง เขาก็ปั่นกันแบบสบายๆ เป็นการวอร์มอัพไปในตัว ทว่าเมื่อพวกเขาเริ่มปั่นด้วยความเร็วเต็มกำลัง ผมก็เริ่มหอบ หายใจไม่ทัน ก่อนจะหลุดจากขบวนภายในระยะไม่กี่กิโลเมตร ตอนนั้นเริ่มอยากซ้อม อยากปั่นกับทีมนี้อีกครั้ง คราวหน้าถ้าร่างกายพร้อม น่าจะปั่นกับเขาได้ตลอดรอดฝั่ง
หลังจากนั้นฝีมือผมก็พัฒนาได้เร็วกว่าเดิม ต้องยอมรับว่า สภาพแวดล้อมมีผลต่อการพัฒนาตนเองอย่างมากจริงๆ ไม่ว่าจะสำหรับวงการไหนก็ตาม หากเราไม่มีพลังที่มากพอ ที่จะกระตุ้นตนเอง การเข้าไปอยู่กับกลุ่มคนที่เก่งกว่าเรา และมีไฟมากกกว่า เป็นวิธีที่ได้ผลดีเลยทีเดียว
เมื่อใกล้เปิดเทอม ผมก็ต้องรีบตักตวงผลประโยชน์จากอิสรภาพให้มากที่สุด ตอนนั้นคณะแพทย์พาไปทำกิจกรรมรับน้องก่อนเปิดเทอม การนั่งรถบัสจากมหาวิทยาลัยย่านชานเมืองโคราช ไปยังรีสอร์ทแถวอำเภอปากช่อง เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นความสวยงามของจังหวัดนครราชสีมา ด้วยภูมิประเทศแบบที่ราบสูง จึงไม่แปลกที่ถนนหนทางจะมีเนินอยู่แทบทุกแห่ง เป็นสภาพแวดล้อมอันเหมาะสมกับการซ้อมปั่นจักรยานอย่างมาก แถมยังมีวิวสวยๆให้ดูอีกด้วย โดยเฉพาะเขตอำเภอวังน้ำเขียว และปากช่อง ทว่าพอถึงเวลาเข้าศึกษาจริงๆ ผมคงไม่ได้เห็นวิวพวกนี้บ่อยนัก นอกจากจะได้ปั่นออกทริปในวันหยุดสุดสัปดาห์
พูดถึงตอนเข้าค่ายรับน้อง นั่นคงเป็นช่วงที่มีความสุขที่สุดในชีวิตนักศึกษาแพทย์แล้ว บรรยากาศแถวรีสอร์ท รายล้อมไปด้วยภูเขาน้อยใหญ่ ตามสไตล์ปากช่อง การเข้าค่ายนี่เอง ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผมปั่นจักรยานมาเที่ยวปากช่อง ในเวลาต่อมา ก่อนจะเปิดเทอม
และนอกจากทริปปากช่องแล้ว 2 วันก่อนเปิดเทอม ผมกับเพื่อนนักปั่นวัยกลางคน ก็นัดกันปั่นขึ้นยอดเขาเขียว ซึ่งเป็นเขาอีกลูกหนึ่ง ที่ตั้งอยู่บนเขาใหญ่อีกที แม้ผมจะปั่นขึ้นเขาใหญ่หลายครั้งแล้ว ทว่าผมก็ยังไม่เคยปั่นขึ้นเขาเขียวเลยแม้แต่ครั้งเดียว นี่จึงเป็นเสมือนทริปส่งท้ายก่อนเปิดเทอม ทริปคนสองล้อพิชิตจุดสูงสุดของภาคกลาง 1200 กว่าเมตร เหนือระดับน้ำทะเล
เย็นวันสุดท้ายก่อนจะต้องเดินทางไปโคราช ผมปั่นจักรยานไปหน้าประตูอุทยานเขาใหญ่อีกครั้ง ราวกับเป็นการบอกลาบ้านอันแสนสุข ตอนนั้นใจหายเหมือนกัน ที่จะต้องทิ้งอิสรภาพเพื่อไปศึกษาต่อ ในอนาคตก็ไม่รู้ว่าจะทำสิ่งที่รักแบบนี้ต่อไปได้อีกนานแค่ไหน ชีวิตจะมีความสุขเหมือนตอนนี้หรือเปล่า ที่กลัวที่สุดคือ อาจต้องเลิกปั่นเพราะภาระหน้าที่ในอาชีพแพทย์
แต่อย่างไรเสีย ผมก็วางแผนเอาไว้แล้ว ตั้งแต่ตอนตัดสินใจไปรายงานตัวเข้าคณะแพทย์ ว่าต้องควบคุมบทบาทที่หลากหลายแบบนี้ให้ได้ ไม่ว่าจะต้องเหนื่อยแค่ไหนก็ตาม
ไว้จะกลับมาเยี่ยมบ่อยๆนะ เขาใหญ่
ฝากติดตามเพจผมด้วยนะครับ เป็นเพจให้ข้อคิดชีวิต https://www.facebook.com/%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%9D%E0%B8%B1%E0%B8%99-848930048611946/