เมื่อเห็นคนประสบความสำเร็จ หลายคนมักพูดว่า “เขาโชคดีจังเลยเนอะ” ทว่าสำหรับผม ผมอยากจะพูดว่า “เขาคนนั้นตัดสินใจเลือกได้ดีต่างหาก”
ทุกคนเกิดมา ต้องเริ่มต้นจากการที่ไม่รู้ว่าความฝันของตนเองคืออะไร หลายคนได้ค้นพบตนเองตั้งแต่อายุยังน้อย และพัฒนาความถนัด จนสามารถใช้มันสำหรับการประกอบอาชีพที่ชอบได้ คนเหล่านี้จะได้ทั้ง “เงิน” และ “ความสุข” ไปพร้อมๆกัน ช่างเป็นชีวิตที่น่าอิจฉาเสียจริง
ทว่ายังมีอีกหลายคนที่ไม่ได้ค้นพบตนเองเร็วขนาดนั้น บางคนไปค้นพบเอาตอน ม.ปลาย หรือช่วงชีวิตมหาวิทยาลัย แย่กว่านั้น คือไปค้นพบในวัยทำงาน หรือวัยชรา เวลาในการตามล่าความฝันก็จะเหลือน้อยลงไปอีก
ตอนนี้ผมเรียนแพทย์อยู่ปี 2 มองย้อนกลับไปในอดีตก็มีหลายอย่างที่อยากจะย้อนกลับไปแก้ไข ครั้งหนึ่งผมเคยคิดว่าเดินถูกทางแล้ว แถมยังมั่นใจในตัวเองมากเสียด้วย จึงยากที่ผมจะเปลี่ยนความคิด พอถึงเวลาที่อยากเปลี่ยน มันก็สายเกินไปแล้ว แต่อย่างไรเสีย การที่ผมเลือกเดินทางนี้ก็พอจะมีเรื่องราวดีๆเกิดขึ้นอยู่เหมือนกัน ซึ่งถ้าเลือกเดินทางอื่น ผมก็คงไม่ได้พบเจอเหตุการณ์ ที่หล่อหลอมตัวผมให้เป็นผมในทุกวันนี้
ต้องออกตัวก่อนว่า เดิมทีในสมัยประถม ผมเป็นคนไม่มีความสามารถ ไม่เอาไหน ไม่คิดอะไรกับชีวิต ไม่มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี แถมยังขี้เกียจสันหลังยาว จนพ่อแม่ต้องบ่นกรอกหูอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ว่าทำไมไม่ตั้งใจเรียนเหมือนชาวบ้านเขาบ้าง ไปโรงเรียนก็โดนเพื่อนแกล้งเป็นประจำ เป็นปมด้วยของห้อง เรียนบ๊วย กีฬาอ่อน ดนตรีด้อย วันหนึ่งก็สะสมจนเกิดเป็นปมในใจ ว่าคนอย่างผมคงเอาดีไม่ได้สักเรื่องในชาตินี้
สมัยเรียนประถม ก็เป็นอีกช่วงหนึ่งของชีวิต ที่ผมอยากจะย้อนกลับไปแก้ไข ผมไม่ได้อยากให้ตัวผมในวัยประถมเป็นหัวกะทิประจำโรงเรียนแต่อย่างใด เพียงแค่อยากจะให้ใส่ใจกับการทำกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อจะได้ค้นหาตนเองเจอตั้งแต่อายุยังน้อย
เมื่อถึงคราวต้องสอบขึ้นชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ผมบอกเลยว่านั่นแหละ เป็นครั้งแรก ที่ผมจำใจต้องหยิบหนังสือเรียนขึ้นมานั่งอ่าน ตอนนั้นรู้สึกฝืนตัวเองมาก ออกจะมีอาการเคอะเขินเล็กน้อยเสียด้วยซ้ำ เวลามีคนในบ้านเดินมาเห็นว่าผมนั่งอ่านหนังสือ พอถึงวันสอบเข้าจริงๆ ผมก็ใช้สกิลการเดาเสียมากกว่า ความรู้ที่อ่านมาเพียงน้อยนิด ก็พอจะใช้ประโยชน์ได้บ้างแค่ไม่กี่ข้อ ผลออกมา ปรากฏว่าสอบได้ในลำดับที่เกือบจะไม่ติดซะแล้ว เส้นยาแดงผ่าแปดจริงๆ
และแล้วผมก็ได้เข้ามาเรียนในห้องเรียนธรรมดา ไม่มีเด็กสายเนิร์ดให้เห็น แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผลการเรียนของผมก็ยังอยู่ในเกณฑ์กลุ่มคนรั้งท้ายอยู่ดี แค่เทอมแรกก็ฟาด 0 ไปสองตัวแล้ว ต้องวิ่งสอบซ่อมเป็นว่าเล่น
แต่ในชีวิตอันตกอับ ก็ไม่ได้มืดบอดไปเสียทุกด้าน เมื่อวันหนึ่งผมไปหยิบหนังสือการ์ตูนวิทยาศาสตร์มาอ่าน ตามประสาคนที่อ่านได้ทุกอย่างยกเว้นหนังสือเรียน นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าวิทยาศาสตร์ไม่ได้ยากอย่างที่คิด พอทัศนคติเป็นบวก ผลการเรียนในวิชาวิทย์ก็ดีขึ้น ก่อนที่ผมจะนำทักษะนี้ไปปรับใช้กับวิชาอื่น ซึ่งก็ได้ผลดีตามคาด เว้นเสียแต่วิชาภาษาอังกฤษ ที่ยังคงเป็นไม่เบื่อไม้เมาของผมมาจนถึงทุกวันนี้
และด้วยชีวิตก่อนหน้านี้ ที่เอาดีไม่ได้สักเรื่อง เมื่อผมเห็นว่าสามารถเอาดีทางสายวิทย์ได้ ก็รีบคว้าโอกาสไว้ทันที โดยไม่ได้คิดอะไรมาก และตั้งใจเรียนทางสายนี้ เพื่อเสริมวิชาที่ถนัดให้ดูเด่นยิ่งขึ้นไปอีก
สมัย ม.ต้น ก็เป็นอีกช่วงหนึ่ง ซึ่งผมอยากจะย้อนกลับไปแก้ไข ตอนนั้นผมคิดว่าอาชีพรับราชการ น่าจะเป็นเป้าหมายที่ดีสำหรับชีวิตผม เพราะมีความมั่นคง ทว่ายังไม่ทันที่ผมจะได้ศึกษาอาชีพสายอื่น อย่างธุรกิจส่วนตัว หรือเจ้าของกิจการ ผมกลับด่วนสรุปในทันทีว่าอยากจะรับราชการ โดยไม่ได้สนใจว่า มันจะให้ชีวิตในแบบที่ผมต้องการหรือเปล่า
และเนื่องด้วยการเริ่มต้นพัฒนาตัวเองตั้งแต่ชั้นมัธยมต้นนี่เอง จึงทำให้ผมสอบเข้าห้องเรียนลำดับดีๆ ในชั้นมัธยมปลายได้ ผมตั้งเป้าหมายคณะให้ฝันสูงขึ้น ทว่าก็ยังลังเลว่าจะเลือกหมอหรือวิศวกร แต่แล้วด้วยความที่ถนัดฟิสิกส์ คณิต ก็ทำให้ผมตัดสินได้เด็ดขาดในชั้น ม.5 ว่าจะเลือกวิศวฯ
ตอนนั้นผมมีความสุขกับชีวิตมาก แถมได้เป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งทักษะวิชาการหลายครั้ง รู้สึกเหมือนพัฒนาตนเองมาจนถึงจุดที่พอใจแล้ว ทว่าก็ยังคงขยันทำโจทย์ พยายามใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์มากที่สุด แต่แล้ววันหนึ่ง เมื่อทัศนคติผมเริ่มเปิดกว้าง ก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับอาชีพในวงการอื่นๆที่ไม่ใช่สายวิทย์ ก่อนจะเกิดความสนใจในวงการบันเทิงขึ้นมา ตอนนั้นผมเองก็เริ่มลังเลกับเส้นทางชีวิต เพราะถ้าจะเปลี่ยนสายไปเลย พ่อแม่ต้องไม่ยอมแน่ๆ ผมจึงไปค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ก็พบว่ามีดารานักแสดงหลายคนที่ไม่ได้จบนิเทศฯโดยตรง ผมเลยเลือกมุ่งเป้าสอบเข้าวิศวฯตามที่พ่อแม่ต้องการไปก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยวางแผนใช้ทักษะการแบ่งเวลา มาช่วยในการไล่ตามความฝันก็ยังได้
ถ้าก่อนจะขึ้นชั้น ม.ปลาย ผมจริงจังกับการค้นหา “ไลฟ์สไตล์” ที่ใช่ อย่างที่ควรจะทำตั้งแต่สมัยประถม ผมอาจรู้จักตัวเองมากพอ จนกล้าตัดสินใจเลือกคณะนิเทศศาสตร์ ทว่าความจริงคือ พ่อแม่เห็นผมเอาแต่เรียนมาตั้งแต่ ม.ต้น แล้ว อยู่ๆจะมาเปลี่ยนสาย ท่านคงไม่ยอมแน่ๆ แถมผมก็ยังรู้จักตัวเองน้อยเกินกว่าที่จะพูดได้อย่างเต็มปาก ว่าไม่ได้เกิดมาเพื่อทำอาชีพสายวิทย์ สุดท้ายผมก็ยังต้องยึดคณะยอดฮิตของเด็กเรียนเป็นเป้าหมายหลัก ในการเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย
เมื่อขึ้นชั้น ม.6 ก็เป็นอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งผมตัดสินใจเปลี่ยนหลักการที่ใช้ในการเลือกคณะ ก่อนหน้านี้ผมเลือกโดยอิงจากวิชาที่ชอบ แต่ไม่ได้สนใจเลยว่าเมื่อเรียนจบไปแล้ว การงานจะเป็นอย่างที่ผมอยากได้หรือเปล่า คิดได้แบบนี้ ผมจึงหันกลับไปมองคณะแพทย์อีกครั้ง ทว่าหากเลือกแพทย์แล้วละก็ ความฝันในวงการบันเทิงอาจต้องถูกระงับไปนานพอตัวเลยทีเดียว แม้จะมีตัวอย่างแพทย์ที่เป็นนักแสดงให้เห็นอยู่ไม่น้อย แต่อย่างไรเสีย การแบ่งเวลาไปทำตามความฝันนี้ในช่วงที่กำลังเรียนอยู่คงทำไม่ได้แน่
สุดท้ายแล้วผมต้องเลือกทิ้งไปสักอย่าง คืนนั้นเป็นคืนที่เสียน้ำตาหนักมาก เพราะต้องตัดใจจากความฝันในวงการบันเทิง เพื่อจะได้ทุ่มเทให้กับการสอบหมออย่างเต็มกำลัง กับเวลาที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดในช่วงชั้น ม.6 เพราะที่ผ่านมาก็มัวแต่ลังเล จนเสียเวลาเตรียมตัวอย่างถูกจุดไปถึงสองปีเลยทีเดียว
หลังจากนั้นผมก็ลืมฝันในวงการบันเทิงไปเสียสนิทเลย เพราะทุ่มพลังสมองทั้งหมดไปที่การอ่านหนังสือสอบจนหมด เป็นช่วงที่ผมรู้สึกว่ามีความลังเลในใจน้อยที่สุด ภาพในหัวชัดเจนว่าจะต้องเป็นหมอให้ได้ ทว่าการสอบผ่านไปสนามแล้วสนามเล่า ผลสอบก็ยังคงต่ำเตี้ยเรี่ยดิน พยายามพัฒนาตนเอง หาโจทย์ยากๆมาทำ และศึกษากลเม็ดเทคนิคจากเฉลยต่างๆ ทั้งจากหนังสือ และสถาบันกวดวิชา แต่ผลสอบก็ไม่ได้เพิ่มมากขึ้นตามที่ต้องการ สุดท้ายแล้วผมสอบไม่ติดหมอในชั้น ม.6 ตอนนั้นเสียใจ และพักสมองไปสองอาทิตย์ ก่อนจะกลับมาคิดทบทวนอีกครั้ง ว่าจะเรียนคณะอื่นไปก่อน แล้วซิ่วเอาปีหน้า หรือตัดใจจากอาชีพแพทย์ไปเลย
ติดตาม part 2 ได้ที่
https://pantip.com/topic/37571160
ความผิดพลาดของนักศึกษาแพทย์คนหนึ่ง Part 1
ทุกคนเกิดมา ต้องเริ่มต้นจากการที่ไม่รู้ว่าความฝันของตนเองคืออะไร หลายคนได้ค้นพบตนเองตั้งแต่อายุยังน้อย และพัฒนาความถนัด จนสามารถใช้มันสำหรับการประกอบอาชีพที่ชอบได้ คนเหล่านี้จะได้ทั้ง “เงิน” และ “ความสุข” ไปพร้อมๆกัน ช่างเป็นชีวิตที่น่าอิจฉาเสียจริง
ทว่ายังมีอีกหลายคนที่ไม่ได้ค้นพบตนเองเร็วขนาดนั้น บางคนไปค้นพบเอาตอน ม.ปลาย หรือช่วงชีวิตมหาวิทยาลัย แย่กว่านั้น คือไปค้นพบในวัยทำงาน หรือวัยชรา เวลาในการตามล่าความฝันก็จะเหลือน้อยลงไปอีก
ตอนนี้ผมเรียนแพทย์อยู่ปี 2 มองย้อนกลับไปในอดีตก็มีหลายอย่างที่อยากจะย้อนกลับไปแก้ไข ครั้งหนึ่งผมเคยคิดว่าเดินถูกทางแล้ว แถมยังมั่นใจในตัวเองมากเสียด้วย จึงยากที่ผมจะเปลี่ยนความคิด พอถึงเวลาที่อยากเปลี่ยน มันก็สายเกินไปแล้ว แต่อย่างไรเสีย การที่ผมเลือกเดินทางนี้ก็พอจะมีเรื่องราวดีๆเกิดขึ้นอยู่เหมือนกัน ซึ่งถ้าเลือกเดินทางอื่น ผมก็คงไม่ได้พบเจอเหตุการณ์ ที่หล่อหลอมตัวผมให้เป็นผมในทุกวันนี้
ต้องออกตัวก่อนว่า เดิมทีในสมัยประถม ผมเป็นคนไม่มีความสามารถ ไม่เอาไหน ไม่คิดอะไรกับชีวิต ไม่มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี แถมยังขี้เกียจสันหลังยาว จนพ่อแม่ต้องบ่นกรอกหูอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ว่าทำไมไม่ตั้งใจเรียนเหมือนชาวบ้านเขาบ้าง ไปโรงเรียนก็โดนเพื่อนแกล้งเป็นประจำ เป็นปมด้วยของห้อง เรียนบ๊วย กีฬาอ่อน ดนตรีด้อย วันหนึ่งก็สะสมจนเกิดเป็นปมในใจ ว่าคนอย่างผมคงเอาดีไม่ได้สักเรื่องในชาตินี้
สมัยเรียนประถม ก็เป็นอีกช่วงหนึ่งของชีวิต ที่ผมอยากจะย้อนกลับไปแก้ไข ผมไม่ได้อยากให้ตัวผมในวัยประถมเป็นหัวกะทิประจำโรงเรียนแต่อย่างใด เพียงแค่อยากจะให้ใส่ใจกับการทำกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อจะได้ค้นหาตนเองเจอตั้งแต่อายุยังน้อย
เมื่อถึงคราวต้องสอบขึ้นชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ผมบอกเลยว่านั่นแหละ เป็นครั้งแรก ที่ผมจำใจต้องหยิบหนังสือเรียนขึ้นมานั่งอ่าน ตอนนั้นรู้สึกฝืนตัวเองมาก ออกจะมีอาการเคอะเขินเล็กน้อยเสียด้วยซ้ำ เวลามีคนในบ้านเดินมาเห็นว่าผมนั่งอ่านหนังสือ พอถึงวันสอบเข้าจริงๆ ผมก็ใช้สกิลการเดาเสียมากกว่า ความรู้ที่อ่านมาเพียงน้อยนิด ก็พอจะใช้ประโยชน์ได้บ้างแค่ไม่กี่ข้อ ผลออกมา ปรากฏว่าสอบได้ในลำดับที่เกือบจะไม่ติดซะแล้ว เส้นยาแดงผ่าแปดจริงๆ
และแล้วผมก็ได้เข้ามาเรียนในห้องเรียนธรรมดา ไม่มีเด็กสายเนิร์ดให้เห็น แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผลการเรียนของผมก็ยังอยู่ในเกณฑ์กลุ่มคนรั้งท้ายอยู่ดี แค่เทอมแรกก็ฟาด 0 ไปสองตัวแล้ว ต้องวิ่งสอบซ่อมเป็นว่าเล่น
แต่ในชีวิตอันตกอับ ก็ไม่ได้มืดบอดไปเสียทุกด้าน เมื่อวันหนึ่งผมไปหยิบหนังสือการ์ตูนวิทยาศาสตร์มาอ่าน ตามประสาคนที่อ่านได้ทุกอย่างยกเว้นหนังสือเรียน นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าวิทยาศาสตร์ไม่ได้ยากอย่างที่คิด พอทัศนคติเป็นบวก ผลการเรียนในวิชาวิทย์ก็ดีขึ้น ก่อนที่ผมจะนำทักษะนี้ไปปรับใช้กับวิชาอื่น ซึ่งก็ได้ผลดีตามคาด เว้นเสียแต่วิชาภาษาอังกฤษ ที่ยังคงเป็นไม่เบื่อไม้เมาของผมมาจนถึงทุกวันนี้
และด้วยชีวิตก่อนหน้านี้ ที่เอาดีไม่ได้สักเรื่อง เมื่อผมเห็นว่าสามารถเอาดีทางสายวิทย์ได้ ก็รีบคว้าโอกาสไว้ทันที โดยไม่ได้คิดอะไรมาก และตั้งใจเรียนทางสายนี้ เพื่อเสริมวิชาที่ถนัดให้ดูเด่นยิ่งขึ้นไปอีก
สมัย ม.ต้น ก็เป็นอีกช่วงหนึ่ง ซึ่งผมอยากจะย้อนกลับไปแก้ไข ตอนนั้นผมคิดว่าอาชีพรับราชการ น่าจะเป็นเป้าหมายที่ดีสำหรับชีวิตผม เพราะมีความมั่นคง ทว่ายังไม่ทันที่ผมจะได้ศึกษาอาชีพสายอื่น อย่างธุรกิจส่วนตัว หรือเจ้าของกิจการ ผมกลับด่วนสรุปในทันทีว่าอยากจะรับราชการ โดยไม่ได้สนใจว่า มันจะให้ชีวิตในแบบที่ผมต้องการหรือเปล่า
และเนื่องด้วยการเริ่มต้นพัฒนาตัวเองตั้งแต่ชั้นมัธยมต้นนี่เอง จึงทำให้ผมสอบเข้าห้องเรียนลำดับดีๆ ในชั้นมัธยมปลายได้ ผมตั้งเป้าหมายคณะให้ฝันสูงขึ้น ทว่าก็ยังลังเลว่าจะเลือกหมอหรือวิศวกร แต่แล้วด้วยความที่ถนัดฟิสิกส์ คณิต ก็ทำให้ผมตัดสินได้เด็ดขาดในชั้น ม.5 ว่าจะเลือกวิศวฯ
ตอนนั้นผมมีความสุขกับชีวิตมาก แถมได้เป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งทักษะวิชาการหลายครั้ง รู้สึกเหมือนพัฒนาตนเองมาจนถึงจุดที่พอใจแล้ว ทว่าก็ยังคงขยันทำโจทย์ พยายามใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์มากที่สุด แต่แล้ววันหนึ่ง เมื่อทัศนคติผมเริ่มเปิดกว้าง ก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับอาชีพในวงการอื่นๆที่ไม่ใช่สายวิทย์ ก่อนจะเกิดความสนใจในวงการบันเทิงขึ้นมา ตอนนั้นผมเองก็เริ่มลังเลกับเส้นทางชีวิต เพราะถ้าจะเปลี่ยนสายไปเลย พ่อแม่ต้องไม่ยอมแน่ๆ ผมจึงไปค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ก็พบว่ามีดารานักแสดงหลายคนที่ไม่ได้จบนิเทศฯโดยตรง ผมเลยเลือกมุ่งเป้าสอบเข้าวิศวฯตามที่พ่อแม่ต้องการไปก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยวางแผนใช้ทักษะการแบ่งเวลา มาช่วยในการไล่ตามความฝันก็ยังได้
ถ้าก่อนจะขึ้นชั้น ม.ปลาย ผมจริงจังกับการค้นหา “ไลฟ์สไตล์” ที่ใช่ อย่างที่ควรจะทำตั้งแต่สมัยประถม ผมอาจรู้จักตัวเองมากพอ จนกล้าตัดสินใจเลือกคณะนิเทศศาสตร์ ทว่าความจริงคือ พ่อแม่เห็นผมเอาแต่เรียนมาตั้งแต่ ม.ต้น แล้ว อยู่ๆจะมาเปลี่ยนสาย ท่านคงไม่ยอมแน่ๆ แถมผมก็ยังรู้จักตัวเองน้อยเกินกว่าที่จะพูดได้อย่างเต็มปาก ว่าไม่ได้เกิดมาเพื่อทำอาชีพสายวิทย์ สุดท้ายผมก็ยังต้องยึดคณะยอดฮิตของเด็กเรียนเป็นเป้าหมายหลัก ในการเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย
เมื่อขึ้นชั้น ม.6 ก็เป็นอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งผมตัดสินใจเปลี่ยนหลักการที่ใช้ในการเลือกคณะ ก่อนหน้านี้ผมเลือกโดยอิงจากวิชาที่ชอบ แต่ไม่ได้สนใจเลยว่าเมื่อเรียนจบไปแล้ว การงานจะเป็นอย่างที่ผมอยากได้หรือเปล่า คิดได้แบบนี้ ผมจึงหันกลับไปมองคณะแพทย์อีกครั้ง ทว่าหากเลือกแพทย์แล้วละก็ ความฝันในวงการบันเทิงอาจต้องถูกระงับไปนานพอตัวเลยทีเดียว แม้จะมีตัวอย่างแพทย์ที่เป็นนักแสดงให้เห็นอยู่ไม่น้อย แต่อย่างไรเสีย การแบ่งเวลาไปทำตามความฝันนี้ในช่วงที่กำลังเรียนอยู่คงทำไม่ได้แน่
สุดท้ายแล้วผมต้องเลือกทิ้งไปสักอย่าง คืนนั้นเป็นคืนที่เสียน้ำตาหนักมาก เพราะต้องตัดใจจากความฝันในวงการบันเทิง เพื่อจะได้ทุ่มเทให้กับการสอบหมออย่างเต็มกำลัง กับเวลาที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดในช่วงชั้น ม.6 เพราะที่ผ่านมาก็มัวแต่ลังเล จนเสียเวลาเตรียมตัวอย่างถูกจุดไปถึงสองปีเลยทีเดียว
หลังจากนั้นผมก็ลืมฝันในวงการบันเทิงไปเสียสนิทเลย เพราะทุ่มพลังสมองทั้งหมดไปที่การอ่านหนังสือสอบจนหมด เป็นช่วงที่ผมรู้สึกว่ามีความลังเลในใจน้อยที่สุด ภาพในหัวชัดเจนว่าจะต้องเป็นหมอให้ได้ ทว่าการสอบผ่านไปสนามแล้วสนามเล่า ผลสอบก็ยังคงต่ำเตี้ยเรี่ยดิน พยายามพัฒนาตนเอง หาโจทย์ยากๆมาทำ และศึกษากลเม็ดเทคนิคจากเฉลยต่างๆ ทั้งจากหนังสือ และสถาบันกวดวิชา แต่ผลสอบก็ไม่ได้เพิ่มมากขึ้นตามที่ต้องการ สุดท้ายแล้วผมสอบไม่ติดหมอในชั้น ม.6 ตอนนั้นเสียใจ และพักสมองไปสองอาทิตย์ ก่อนจะกลับมาคิดทบทวนอีกครั้ง ว่าจะเรียนคณะอื่นไปก่อน แล้วซิ่วเอาปีหน้า หรือตัดใจจากอาชีพแพทย์ไปเลย
ติดตาม part 2 ได้ที่ https://pantip.com/topic/37571160