คุณเคยถามตัวเองไหม ว่าชีวิตที่คุณต้องการเป็นแบบไหน?
หลังจากตั้งคำถามนี้ขึ้นมา ภาพคำตอบในหัวของเรา ก็คงหนีไม่พ้นไลฟ์สไตล์ของคนใกล้ตัว หรือคนดังในโลกโซเชี่ยล ที่เรายึดเป็นไอดอลในดวงใจ
แต่ถ้า… ไลฟ์สไตล์ที่ใช่สำหรับเรา เป็นไลฟ์สไตล์ที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนล่ะ?
เราก็อาจหาคำตอบให้ตัวเองไม่เจอ หรือคำตอบที่หามา อาจไม่ใช่สำหรับเราก็ได้ และกว่าจะรู้ตัว ว่ามันเป็นคำตอบที่ไม่เหมาะสม เราก็คงเสียเวลาในชีวิตไปมากมาย หรือเลือกเส้นทางที่ไม่ถูกกับไลฟ์สไตล์ไปแล้ว
part1 นี้ จะเป็นเรื่องช่วงกลางปีพ.ศ. 2558 - ต้นปี พ.ศ.2559
ผมยังจำได้แม่น คืนนั้นผมนั่งเรียนพิเศษ อยู่ในสถาบันกวดวิชาตามปกติ เป็นวงจรชีวิตซ้ำซากจำเจ สำหรับเด็กซิ่วคนหนึ่ง ที่ต้องใช้เวลาในช่วงปิดเทอมก่อนขึ้นปี 1 ให้หมดกับการเรียนกวดวิชา และอ่านหนังสือทำโจทย์ทบทวนเนื้อหา ม.ปลาย ถึงแม้จะน่าเบื่อ แต่มาถึงขนาดนี้แล้ว จะถอดใจไม่ได้เด็ดขาด และในคืนนี้นี่เอง ที่ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป
มันเป็นคืนที่แม่ผม ตัดสินใจซื้อจักรยานเสือภูเขาให้กับน้องชายผม และด้วยความที่ท่านอยากจะให้ความเท่าเทียมกับลูกทุกคน ผมจึงพลอยได้จักรยานคันใหม่ไปด้วย หลังจากนั้นสองวัน ก็เป็นการออกทริปจักรยานครั้งแรกของผมกับน้องชาย โดยมีนักปั่นวัยกลางคนอีกสองคน คอยดูแลความปลอดภัย และให้คำแนะนำเรื่องการใช้เกียร์ ตอนแรกพวกเขาจะพาผมกับน้องชาย ไปถึงแค่ตลาดย่านชานเมืองปราจีนบุรีแถบตีนเขาอีโต้ แต่แล้วด้วยความอยากรู้อยากลองตามประสาวัยรุ่น ผมจึงชวนพวกเขาขึ้นเขาอีโต้เสียเลย
เราปั่นขึ้นไปจนถึงจุดชมวิวผาหินซ้อน ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมาเที่ยวที่นี่ได้ด้วยจักรยาน เราขึ้นไปยืนบนโขดหินขนาดใหญ่ริมหน้าผา เพื่อชื่นชมผืนป่าเขียวขจีอันกว้างขวางบนพื้นราบ ก่อนจะถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก เพื่ออวดเพื่อนบนโลกโซเชี่ยล ตามประสานักปั่นยุคดิจิตอล

ผาหินซ้อน เขาอีโต้ ปราจีนบุรี

อ่างเก็บน้ำเขาอีโต้ ปราจีนบุรี
นั่นเป็นความประทับใจครั้งแรกของผม ในวงการจักรยาน ตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะปั่นจริงจัง เพราะคนอย่างผมไม่มีอะไรเด่นเลย นอกจากความโลเล แถมตอนนั้นยังติดภาระซิ่วหมออีกด้วย และเดิมทีก็ติดวิ่งจ็อกกิ้ง เป็นการออกกำลังกายอยู่แล้ว
ในช่วงแรกที่เริ่มปั่น ผมยังชอบวิ่งมากกว่า ปั่นได้สองสามสัปดาห์ ผมก็ต้องไปเรียนวิศวฯ ปี 1 ในกรุงเทพฯ ตามแผนที่วางไว้ ว่าจะเรียนไปด้วย และอ่านหนังสือซิ่วไปด้วย เผื่อซิ่วไม่ติดขึ้นมา จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปฟรีๆ 1 ปีเต็ม
ตอนนั้นผมก็ไม่ได้ใส่ใจกับการปั่นจักรยานมากนัก แถมยังใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ การออกกำลังที่ผมพอจะทำได้ ก็คือการวิ่งจ็อกกิ้ง อย่างที่เคยทำมาเป็นเวลา 6 ปี จักรยานจึงเป็นเพียงกิจกรรมยามว่าง เมื่อผมกลับบ้าน ในวันหยุดสุดสัปดาห์
ทว่าเรียนวิศวฯไปได้สามอาทิตย์ ผมก็ตัดสินใจดรอปเรียนเป็นรายวิชา จนเหลือเวลาเรียนแค่สัปดาห์ละ 3 คาบ เพื่อจะได้มีเวลาเตรียมตัวสอบหมอมากขึ้น เวลาส่วนใหญ่ของผม จึงหมดไปกับการอ่านหนังสืออยู่บ้าน จากเดิมที่ออกกำลังโดยการวิ่งเสียส่วนใหญ่ จึงได้เปลี่ยนมาจับจักรยานที่บ้านแทน
ในเวลาไม่นานนัก ผมก็กลายเป็นมนุษย์ผู้เสพติดการปั่นอย่างเต็มตัว การได้ปั่นไปในสถานที่ ซึ่งยังไม่เคยไปมาก่อน และมิตรภาพระหว่างทาง เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของจักรยาน ที่ดึงผมเข้ามาในวงการนี้
ตอนนั้นผมเน้นปั่นท่องเที่ยวในยามเช้า ของวันหยุดสุดสัปดาห์ อาทิตย์ละหนึ่งครั้ง เพราะออกปั่นตั้งแต่เช้ามืด และกลับบ้านช่วงสายๆนี่เอง เวลาปั่นจึงไม่รบกวนต่อเวลาอ่านหนังสือมากนัก ต่อให้ไม่ได้ปั่น เวลาในช่วงเช้าก็จะหมดไปกับการนอน อย่างที่เคยทำอยู่ทุกวัน วันธรรมดาก็จะออกปั่นระยะใกล้ในช่วงเย็นบ้าง เพื่อรีบูทสมองจากการอ่านหนังสือ
ปั่นไปปั่นมา ผมก็เริ่มซึมซับกลิ่นไอแห่งธรรมชาติ เมื่อได้ปั่นไปยังเขตอุทยาน มันทำให้รู้สึกถึงความสงบ อย่างที่หาไม่ได้ในสังคมเมืองปัจจุบัน และยังได้สัมผัสถึงสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด ซึ่งผมไม่เคยตระหนักถึงมันมาก่อน ทั้งที่ลึกๆแล้ว มนุษย์ทุกคนต้องการสิ่งนี้… “อิสรภาพ”

น้ำตกวังม่วง นครนายก

เขาอีโต้ ปราจีนบุรี
แต่อย่างไรเสีย ผมก็ยังต้องเรียนต่อ เพื่อทำงานหาเลี้ยงชีพหลังเรียนจบอยู่ดี ผมเคยคุยกับพี่พยาบาล ซึ่งเป็นเพื่อนนักปั่นในทีมเดียวกัน เกี่ยวกับเวลาว่างของอาชีพแพทย์ และคำตอบของเธอก็ไม่ได้ต่างจากที่ผมคาดเอาไว้ “อิสรภาพ” กับ “แพทย์” เป็นสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกัน อย่างที่ผมเคยได้ยินมาจริงๆ
แต่ด้วยความโลกสวย ผมจึงคิดว่าต้องแบ่งเวลาให้ตัวเองได้แน่ๆ เลยตัดสินใจซิ่วหมอตามแนวคิดเดิม เหตุผลส่วนหนึ่ง ก็เพราะเสียดายเวลา ซึ่งหมดไปกับการอ่านหนังสือ ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา มองย้อนกลับไปแล้ว ก็รู้สึกว่าตัวเองโง่มากถึงมากที่สุด เป็นความทรงจำที่นึกถึงแล้ว ต้องด่าตัวเองทุกที ใครมันจะโง่ได้ขนาดนี้
ทว่าหลังจากตระเวนสอบหมอไปหลายสนาม ผมก็เริ่มรู้ตัวแล้วว่าคงสอบไม่ติด แม้จะผิดหวังในตัวเอง แต่ลึกๆแล้ว ก็แอบดีใจ ที่จะได้เรียนวิศวฯต่อ เพราะจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปเริ่มต้นใหม่ในคณะแพทย์ ซึ่งต้องใช้เวลาเรียนมากถึง 6 ปี แถมวิศวฯยังมีอิสระมากกว่าแพทย์ นั่นหมายความว่าผมจะมีเวลาว่างไปปั่นจักรยานมากกว่าด้วย
หลังเรียนวิศวฯเทอมแรกจบ ผมก็ตัดใจจากอาชีพแพทย์ได้อย่างเด็ดขาด และลงเรียนเต็มเวลาในเทอมถัดไป แม้จะต้องตามเก็บวิชาเรียน ซึ่งดรอปไปในเทอมที่แล้วด้วย แต่มาคิดดูอีกที มันคงเป็นทางที่เหมาะสมที่สุดแล้ว ถ้าไม่นับปีหนึ่ง ผมเหลือเวลาอีกแค่ 3 ปี ก็จะเรียนจบ มีงานทำ หาเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้เร็วกว่าซิ่วไปเรียนหมอเสียด้วยซ้ำ สมมุติถ้าซิ่วสำเร็จจริงๆ ก็จะกลายเป็นว่า ผมใช้เวลามากถึง 7 ปี ในการซิ่วและเรียนต่ออีก 6 ปี แต่เรียนวิศวฯ ใช้เวลาเพียงแค่ 4 ปีเท่านั้น ต่างกันเกือบสองเท่าเลยทีเดียว
ระหว่างนั้นชีวิตในวงการจักรยานของผม จะอยู่ด้านการท่องเที่ยวเสียส่วนใหญ่ จะได้ปั่นแบบเร็วแรง ก็ตอนอยู่กรุงเทพฯ แล้วต้องไปปั่นในสนามฟ้า เจอเสือหมอบแรงๆมากันเป็นกลุ่ม ก็ไปผสมโรงกับเขา แต่ด้วยจักรยานที่เป็นเสือภูเขา ตามเขาได้ไม่นาน ก็ต้องร่วงลงมาตามระเบียบ ส่วนที่ปราจีนบุรี ก็จะมีขาแรงมารวมตัวกันในกิจกรรม Night ride ซึ่งจัดขึ้นทุกค่ำวันศุกร์ บนถนนเชื่อมเมืองปราจีนบุรีสู่ตีนเขาใหญ่ และด้วยการเดินทางจากชานเมืองกรุงเทพฝั่งตะวันออกมาปราจีนบุรีโดยรถไฟ ซึ่งใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมง ผมจึงได้กลับมาร่วมปั่น Night ride แทบจะทุกสัปดาห์

ปั่นยามเช้า ที่สนามฟ้า สุวรรณภูมิ

Night Ride
แต่แล้ววันหนึ่ง ความฝันที่ผมคิดว่ามันไม่มีทางเป็นจริงสำหรับผม ก็กลับกลายเป็นจริงขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ในขณะที่กำลังนั่งหาวอย่างเบื่อหน่ายอยู่ในห้องเลคเชอร์ ก็มีสายเรียกเข้าในมือถือของผม เมื่อรับสาย ผมเองก็ต้องตลึงกับข่าวที่ได้รับ
ผมสอบติดแพทย์ตัวสำรอง!!!
ติดตาม part2 ได้ที่ลิ้งนี้เลยครับ
https://pantip.com/topic/37611487
เมื่อกีฬาจักรยาน เปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดกาล part1
หลังจากตั้งคำถามนี้ขึ้นมา ภาพคำตอบในหัวของเรา ก็คงหนีไม่พ้นไลฟ์สไตล์ของคนใกล้ตัว หรือคนดังในโลกโซเชี่ยล ที่เรายึดเป็นไอดอลในดวงใจ
แต่ถ้า… ไลฟ์สไตล์ที่ใช่สำหรับเรา เป็นไลฟ์สไตล์ที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนล่ะ?
เราก็อาจหาคำตอบให้ตัวเองไม่เจอ หรือคำตอบที่หามา อาจไม่ใช่สำหรับเราก็ได้ และกว่าจะรู้ตัว ว่ามันเป็นคำตอบที่ไม่เหมาะสม เราก็คงเสียเวลาในชีวิตไปมากมาย หรือเลือกเส้นทางที่ไม่ถูกกับไลฟ์สไตล์ไปแล้ว
part1 นี้ จะเป็นเรื่องช่วงกลางปีพ.ศ. 2558 - ต้นปี พ.ศ.2559
ผมยังจำได้แม่น คืนนั้นผมนั่งเรียนพิเศษ อยู่ในสถาบันกวดวิชาตามปกติ เป็นวงจรชีวิตซ้ำซากจำเจ สำหรับเด็กซิ่วคนหนึ่ง ที่ต้องใช้เวลาในช่วงปิดเทอมก่อนขึ้นปี 1 ให้หมดกับการเรียนกวดวิชา และอ่านหนังสือทำโจทย์ทบทวนเนื้อหา ม.ปลาย ถึงแม้จะน่าเบื่อ แต่มาถึงขนาดนี้แล้ว จะถอดใจไม่ได้เด็ดขาด และในคืนนี้นี่เอง ที่ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป
มันเป็นคืนที่แม่ผม ตัดสินใจซื้อจักรยานเสือภูเขาให้กับน้องชายผม และด้วยความที่ท่านอยากจะให้ความเท่าเทียมกับลูกทุกคน ผมจึงพลอยได้จักรยานคันใหม่ไปด้วย หลังจากนั้นสองวัน ก็เป็นการออกทริปจักรยานครั้งแรกของผมกับน้องชาย โดยมีนักปั่นวัยกลางคนอีกสองคน คอยดูแลความปลอดภัย และให้คำแนะนำเรื่องการใช้เกียร์ ตอนแรกพวกเขาจะพาผมกับน้องชาย ไปถึงแค่ตลาดย่านชานเมืองปราจีนบุรีแถบตีนเขาอีโต้ แต่แล้วด้วยความอยากรู้อยากลองตามประสาวัยรุ่น ผมจึงชวนพวกเขาขึ้นเขาอีโต้เสียเลย
เราปั่นขึ้นไปจนถึงจุดชมวิวผาหินซ้อน ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมาเที่ยวที่นี่ได้ด้วยจักรยาน เราขึ้นไปยืนบนโขดหินขนาดใหญ่ริมหน้าผา เพื่อชื่นชมผืนป่าเขียวขจีอันกว้างขวางบนพื้นราบ ก่อนจะถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก เพื่ออวดเพื่อนบนโลกโซเชี่ยล ตามประสานักปั่นยุคดิจิตอล
นั่นเป็นความประทับใจครั้งแรกของผม ในวงการจักรยาน ตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะปั่นจริงจัง เพราะคนอย่างผมไม่มีอะไรเด่นเลย นอกจากความโลเล แถมตอนนั้นยังติดภาระซิ่วหมออีกด้วย และเดิมทีก็ติดวิ่งจ็อกกิ้ง เป็นการออกกำลังกายอยู่แล้ว
ในช่วงแรกที่เริ่มปั่น ผมยังชอบวิ่งมากกว่า ปั่นได้สองสามสัปดาห์ ผมก็ต้องไปเรียนวิศวฯ ปี 1 ในกรุงเทพฯ ตามแผนที่วางไว้ ว่าจะเรียนไปด้วย และอ่านหนังสือซิ่วไปด้วย เผื่อซิ่วไม่ติดขึ้นมา จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปฟรีๆ 1 ปีเต็ม
ตอนนั้นผมก็ไม่ได้ใส่ใจกับการปั่นจักรยานมากนัก แถมยังใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ การออกกำลังที่ผมพอจะทำได้ ก็คือการวิ่งจ็อกกิ้ง อย่างที่เคยทำมาเป็นเวลา 6 ปี จักรยานจึงเป็นเพียงกิจกรรมยามว่าง เมื่อผมกลับบ้าน ในวันหยุดสุดสัปดาห์
ทว่าเรียนวิศวฯไปได้สามอาทิตย์ ผมก็ตัดสินใจดรอปเรียนเป็นรายวิชา จนเหลือเวลาเรียนแค่สัปดาห์ละ 3 คาบ เพื่อจะได้มีเวลาเตรียมตัวสอบหมอมากขึ้น เวลาส่วนใหญ่ของผม จึงหมดไปกับการอ่านหนังสืออยู่บ้าน จากเดิมที่ออกกำลังโดยการวิ่งเสียส่วนใหญ่ จึงได้เปลี่ยนมาจับจักรยานที่บ้านแทน
ในเวลาไม่นานนัก ผมก็กลายเป็นมนุษย์ผู้เสพติดการปั่นอย่างเต็มตัว การได้ปั่นไปในสถานที่ ซึ่งยังไม่เคยไปมาก่อน และมิตรภาพระหว่างทาง เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของจักรยาน ที่ดึงผมเข้ามาในวงการนี้
ตอนนั้นผมเน้นปั่นท่องเที่ยวในยามเช้า ของวันหยุดสุดสัปดาห์ อาทิตย์ละหนึ่งครั้ง เพราะออกปั่นตั้งแต่เช้ามืด และกลับบ้านช่วงสายๆนี่เอง เวลาปั่นจึงไม่รบกวนต่อเวลาอ่านหนังสือมากนัก ต่อให้ไม่ได้ปั่น เวลาในช่วงเช้าก็จะหมดไปกับการนอน อย่างที่เคยทำอยู่ทุกวัน วันธรรมดาก็จะออกปั่นระยะใกล้ในช่วงเย็นบ้าง เพื่อรีบูทสมองจากการอ่านหนังสือ
ปั่นไปปั่นมา ผมก็เริ่มซึมซับกลิ่นไอแห่งธรรมชาติ เมื่อได้ปั่นไปยังเขตอุทยาน มันทำให้รู้สึกถึงความสงบ อย่างที่หาไม่ได้ในสังคมเมืองปัจจุบัน และยังได้สัมผัสถึงสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด ซึ่งผมไม่เคยตระหนักถึงมันมาก่อน ทั้งที่ลึกๆแล้ว มนุษย์ทุกคนต้องการสิ่งนี้… “อิสรภาพ”
แต่อย่างไรเสีย ผมก็ยังต้องเรียนต่อ เพื่อทำงานหาเลี้ยงชีพหลังเรียนจบอยู่ดี ผมเคยคุยกับพี่พยาบาล ซึ่งเป็นเพื่อนนักปั่นในทีมเดียวกัน เกี่ยวกับเวลาว่างของอาชีพแพทย์ และคำตอบของเธอก็ไม่ได้ต่างจากที่ผมคาดเอาไว้ “อิสรภาพ” กับ “แพทย์” เป็นสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกัน อย่างที่ผมเคยได้ยินมาจริงๆ
แต่ด้วยความโลกสวย ผมจึงคิดว่าต้องแบ่งเวลาให้ตัวเองได้แน่ๆ เลยตัดสินใจซิ่วหมอตามแนวคิดเดิม เหตุผลส่วนหนึ่ง ก็เพราะเสียดายเวลา ซึ่งหมดไปกับการอ่านหนังสือ ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา มองย้อนกลับไปแล้ว ก็รู้สึกว่าตัวเองโง่มากถึงมากที่สุด เป็นความทรงจำที่นึกถึงแล้ว ต้องด่าตัวเองทุกที ใครมันจะโง่ได้ขนาดนี้
ทว่าหลังจากตระเวนสอบหมอไปหลายสนาม ผมก็เริ่มรู้ตัวแล้วว่าคงสอบไม่ติด แม้จะผิดหวังในตัวเอง แต่ลึกๆแล้ว ก็แอบดีใจ ที่จะได้เรียนวิศวฯต่อ เพราะจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปเริ่มต้นใหม่ในคณะแพทย์ ซึ่งต้องใช้เวลาเรียนมากถึง 6 ปี แถมวิศวฯยังมีอิสระมากกว่าแพทย์ นั่นหมายความว่าผมจะมีเวลาว่างไปปั่นจักรยานมากกว่าด้วย
หลังเรียนวิศวฯเทอมแรกจบ ผมก็ตัดใจจากอาชีพแพทย์ได้อย่างเด็ดขาด และลงเรียนเต็มเวลาในเทอมถัดไป แม้จะต้องตามเก็บวิชาเรียน ซึ่งดรอปไปในเทอมที่แล้วด้วย แต่มาคิดดูอีกที มันคงเป็นทางที่เหมาะสมที่สุดแล้ว ถ้าไม่นับปีหนึ่ง ผมเหลือเวลาอีกแค่ 3 ปี ก็จะเรียนจบ มีงานทำ หาเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้เร็วกว่าซิ่วไปเรียนหมอเสียด้วยซ้ำ สมมุติถ้าซิ่วสำเร็จจริงๆ ก็จะกลายเป็นว่า ผมใช้เวลามากถึง 7 ปี ในการซิ่วและเรียนต่ออีก 6 ปี แต่เรียนวิศวฯ ใช้เวลาเพียงแค่ 4 ปีเท่านั้น ต่างกันเกือบสองเท่าเลยทีเดียว
ระหว่างนั้นชีวิตในวงการจักรยานของผม จะอยู่ด้านการท่องเที่ยวเสียส่วนใหญ่ จะได้ปั่นแบบเร็วแรง ก็ตอนอยู่กรุงเทพฯ แล้วต้องไปปั่นในสนามฟ้า เจอเสือหมอบแรงๆมากันเป็นกลุ่ม ก็ไปผสมโรงกับเขา แต่ด้วยจักรยานที่เป็นเสือภูเขา ตามเขาได้ไม่นาน ก็ต้องร่วงลงมาตามระเบียบ ส่วนที่ปราจีนบุรี ก็จะมีขาแรงมารวมตัวกันในกิจกรรม Night ride ซึ่งจัดขึ้นทุกค่ำวันศุกร์ บนถนนเชื่อมเมืองปราจีนบุรีสู่ตีนเขาใหญ่ และด้วยการเดินทางจากชานเมืองกรุงเทพฝั่งตะวันออกมาปราจีนบุรีโดยรถไฟ ซึ่งใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมง ผมจึงได้กลับมาร่วมปั่น Night ride แทบจะทุกสัปดาห์
แต่แล้ววันหนึ่ง ความฝันที่ผมคิดว่ามันไม่มีทางเป็นจริงสำหรับผม ก็กลับกลายเป็นจริงขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ในขณะที่กำลังนั่งหาวอย่างเบื่อหน่ายอยู่ในห้องเลคเชอร์ ก็มีสายเรียกเข้าในมือถือของผม เมื่อรับสาย ผมเองก็ต้องตลึงกับข่าวที่ได้รับ
ผมสอบติดแพทย์ตัวสำรอง!!!
ติดตาม part2 ได้ที่ลิ้งนี้เลยครับ https://pantip.com/topic/37611487