เปิดเรื่อง
เดือนยี่ ขึ้น 9 ค่ำ ปีกุน พุทธศักราช 2310
ก่อนกรุงศรีอยุธยาเสียกรุงแก่พม่าข้าศึก ณ วัดพิชัยตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของพระบรมมหาพระราชวังในค่ำคืนเงียบสงัดนี้ จะหามีผู้ใดทั้งภิกษุหรือราษฎรย์สักคนในบริเวณวัดแห่งนี้ก็หามีไม่ ต่างรู้ถึงภัยหายนะจากศัตรูที่จะมาถึงตัวในไม่ช้านี้พากันหลบหนีไปสถานที่ต่างๆที่คิดว่าปลอดภัยเสียสิ้น มีเพียงบุรุษสองนายปรากฏตัวอยู่ด้านหน้าพระเจดีย์องใหญ่ข้างวิหารด้านทิศใต้ ทั้งคู่มีอาการร้อนลนบุรุษหนึ่งนั่งอยู่บนหลังม้าศึกสีทองแดงตัวใหญ่ดูอาวุโสกว่า สังเกตจากลักษณะการแต่งกายและกริยาท่าทางคงจะเป็นเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่หรือแม่ทัพ อีกบุรุษหนึ่งในชุดลบเต็มอัตราศึกนั่งคุกเข่าสงบนิ่งอยู่เบื้องหน้าคาดว่าเป็นขุนศึกคู่ใจ และแล้วผู้อาวุโสก็เอยปากแทรกเสียงยิงปืนใหญ่ที่ดังแว่วมาแต่ไกล
“มาบัดนี้ ข้าได้ตรึกตรองแล้วกรุงศรีอยุธยาคงจะเสียแก่พม่าไม่พ้นสงกรานต์นี้เป็นแน่แท้ เรามีเวลาหรือน้อยเต็มที ที่จะคิดการสิ่งใด อันจะช่วยบ้านเมืองให้พ้นภัยพินาศได้ ” เสียงพูดหยุดชะงักลง หากเป็นเวลากลางวันคงจะเห็นน้ำตาที่เอ่อท่วมดวงตาทั้งสองของเขา
“เจ้าจงฝังให้ดีภายในพระเจดีย์องค์นี้ข้าได้ซุกซ่อนทรัพย์สมบัติมีค่าของแผ่นดินเอาไว้ข้าคิดว่าเป็นสถานที่ปลอดภัยเพราะเป็นองค์พระเจดีย์สำคัญ ไอพวกศัตรูคงจะไม่กล้าขุดค้นทำลายเพราะพวกมันก็อยู่ในพระพุทธศาสนาเช่นเดียวกับเรา”
“ข้าขอมอบหน้าที่สำคัญให้เจ้าเฝ้าปกป้องทรัพย์สมบัติเหล่านี้ไว้ เมื่อถึงเวลาอันสมควรเราจะกลับมาใช้เป็นทรัพย์กู้บ้านกู้เมืองในภายหน้า”
ฉับพลันมีเสียงระเบิดของลูกปืนใหญ่ดังก่องสะท้านมาจากทางด้านทิศเหนือของวัดผู้อาวุโสพยามบังคับม้าที่ตื่นตระหนกให้สงบลง ส่วนบุรุษหนุ่มลุกขึ้นนั่งชันเขาลักษณะระแวดระวังภัย
“ข้าจะมอบสิ่งศักดิ์สิทธ์นี้ไว้ให้คุมภัยตัวเจ้า และจงใช้สติปัญญารักษาทรัพย์สมบัติของแผ่นดินนี้ให้ไว้จงได้” ผู้อาวุโสกล่าวเสียงไม่สะทกสะท้านภัยใกล้ตัว
บุรุษหนุ่มลุกขึ้นยืนเอื้อมไปรับสิ่งศักดิ์สิทธ์จากมือของบุรุษอาวุโสแล้วยกขึ้นไหว้จบเหนือศีรษะ
“ข้าจะปกป้องรักษาทรัพย์สมบัติของแผ่นดินนี้ไว้เทียบเท่ากับชีวิตของข้าพเจ้า นายท่านจงวางใจ”
สิ้นเสียงกล่าวรับภารกิจได้เกิดลมภายุกระโชกแรงสียงฟ้าคำรามก้องแสงสายฟ้าแลบส่องให้เห็นร่างของบุรุษหนุ่มยืนทะมึนนิ่งดุจรูปสลักศิลา ภาระหน้าที่ของบุรุษผู้นี้ได้เริ่มขึ้นแล้วหรือไฉน
คำมั่นสัญญาเปิดประตูสู่ขุมทรัพย์
อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา วันศุกร์ เวลาประมาณ 9 นาฬิกา
อากาศช่วงเวลาเช้าของต้นเดือนพฤศจิกายนกำลังเย็นสบายลมหนาวพัดมาเอื่อยๆ ที่บริเวณลานจอดรถโดยสารสำหรับนักท่องเที่ยวคราค่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศรวมทั้งเด็กนักเรียนจากโรงเรียนต่างเดินทางทยอยเข้ามาเที่ยวชมสถานที่แห่งนี้หนาตาขึ้นเรื่อยๆ บรรยากาศเช่นนี้ดูจะเป็นเรื่องปกติของผู้ทำมาค้าขายแถวนี้ ทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคมโรงเรียนต่างๆทั่วประเทศนิยมพาเด็กนัดเรียนมาทัศนะศึกษาประวัติศาสตร์ของกรุงศรีอยุธยา แต่วันนี้ค่อนข้างจะพิเศษหน่อยตรงที่มีนักท่องเที่ยวคณะหนึ่งเป็นเด็กนักเรียนชายหญิงวัยกำลังอยากรู้อยากเห็นอายุประมาณเจ็ดถึงสิบสองปี ปี ไม่ต่ำกว่าสี่ร้อยคน คนมารวมเที่ยวชมด้วยเสียงพูดคุย หัวเราะ เสียงเรียกหากันตลอดจนการเล่นหยอกล้อก็เป็นพิเศษตามไปด้วย บรรยากาศวันนี้จึงดูออกจะวุ่นวายมากกว่าเรียกว่าคึกคัก
บริเวณข้างรถโดยสารปรับอากาศทั้งแปด คัน คุณครูชายหญิงกำลังช่วยกันต้อนเด็กนักเรียนมาเข้าแถวเพื่อความเป็นระเบียบในการเที่ยวชม ซึ่งดูแล้วเป็นภารกิจที่ง่ายๆเพราะการเข้าแถวเป็นกิจวัติประจำวันของเด็กนักเรียนอยู่แล้วแต่สำหรับวันนี้เรื่องง่ายๆก็กลับกลายเป็นอยากเพราะนักโบราณคดีตัวน้อยเหล่านี้ต่างรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่มองเห็นเบื้องหน้า ซากโบราณสถานที่ตั้งตระหง่านสูงเฉียดเมฆชั่งดูยิ่งใหญ่และลึกลับเอาเสียจริงๆ ทำให้สารพันคำถามผุดขึ้นมาในหัวของเด็กๆต่างเข้ารุมล้อมซักถามคุณครูเกี่ยวกับสิ่งนี้โดยไม่แยแสการเข้าแถว เหมือนทุกคนจะรู้ว่าการเข้าแถวให้เป็นระเบียบไม่ได้ช่วยให้ความกระจางในเรื่องนี้ได้เลย ร้านค้าโบราณวัตถุมีชื่อบนเกาะฮ่องกง
9.10 นาฬิกา ชาววันศุกร์ ภายในร้านเงียบสงบจนรู้สึกวังเวงมีเพียงบุรุษสามคนอยู่ในที่นี้ สองคนยื่นนิ่งสงบเสมือนรูปหล่อสำริดโบราณที่ตั้งโชว์อยู่ทั่วห้อง มีเพียงดวงตาที่กรอกไปมาบ่งบอกให้รู้ว่าทั้งสองเป็นสิ่งมีชีวิต ดวงตาของคนทั้งคู่จับจ้องมองตามอีกหนึ่งบุรุษอยู่ตลอดเวลา เป็นชายสูงอายุท่าทางภูมิฐานลักษณะเป็นคนเอเชียเวลานี้เขากำลังเพ่งมองดูโบราณวัตถุชิ้นหนึ่งทำด้วยทองคำประดับหินอัญมณีมีค่าหลากชนิดพร้อมทั้งพลิกหนังสือที่ถืออยู่ในมือค้นหาบ่างสิ่งตามไปด้วยอย่างสนใจเป็นพิเศษ
อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา
เช้าวันศุกร์ เวลาประมาณ 9.20 นาฬิกา ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังยืนมองดูซากพระบรมมหาราชวังกรุงศรีอยุธยาเปรียบเทียบกับภาพจำลองของวังแห่งนี้ที่สมบูรณ์ในหนังสือที่ถืออยู่ในมืออย่างสนใจ เขาเดินทางมา ณ สถานที่แห่งนี้นับครั้งแทบไม่ถ้วน แต่สำหรับวันนี่ข่ารู้สึกสบายอกสบายใจแปลกกว่าทุกครั้งเขาคิดว่าอาจเป็นเพราะอากาศที่เริ่มเย็นของช่วงปลายฤดูฝนต้นฤดูหนาว และเสียงเจี้ยวจ้าวแต่ฟังแล้วรู้สึกน่าเอ็นดูของเด็กนักเรียนชายหญิงตัวน้อยกลุ่มใหญ่ที่พากันเดินผ่านมาในบริเวณนี้ก็เป็นได้ เข้ายิ้มโบกมือทักทายเด็ก
“คุณครูค่ะแล้วทรัพย์สมบัติถูกไฟไหม้ไปหมดด้วยรึป่าวค่ะ”
“ไม่หรอกจ๊ะ”คุณครูตอบพร้อมกับจูงมือเด็กไปเรื่อย ๆ
ชายหนุ่มเงยหน้าจากหนังสือก็พบเด็กนักเรียนหญิงตัวน้อยกลุ่มใหญ่พร้อมกับคุณครูมายืนอยู่ตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
เด็กหญิงคนเดิมซักต่อ “แล้วทำไมเขาไม่เอามาตั้งแสดงให้พวกเราดูละค่ะ”
“คุณครูก็อยากเห็นเหมือนกับหนูนั้นแหละ แต่ข้าศึกที่มาตีกรุงศรีอยุธยาแตกนะสิ เอากลับบ้านเมืองของเขาไปหมดแล้ว”
คำตอบของคุณครูสาวสร้างความผิดหวังให้กับเด็กๆอย่างเห็นได้ชัด
ร้านค้าโบราณวัตถุแห่งเดิมบนเกาะฮ่องกง
เวลาผ่านไปร่วมครึ่งชั่วโมงบุรุษหนึ่งซึ่งเป็นพนักงานขายประจำร้านเริ่มเคลื่อนไหวเป็นครั้งแรกเขายกเก้าอี้บุหนังอย่างดีไปให้บุรุษสูงอายุพร้อมเชื่อเชิญให้นั่งอย่างสุภาพเพราะเห็นยืนดูโบราณวัตถุชิ้นนั้นอยู่เป็นเวลานาน
“ราคาเท่าไร” บุรุษสูงอายุถามขณะหย่อนก้นลงบนเก้าอี้
“กรุณารอสักครู่คับทั่ง” พนักงานขายตอบด้วยภาษาไทยสำเนียงจีนพร้องแสดงอาการนอบน้อมอย่างสุดๆ แล้วหมุนตัวเดินกลับไปที่เคาเตอร์เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ดูข้อมูลบางสิ่งชั่วครู่เขาถือเอกสารที่หุ้มด้วยปกหนังอย่างดีกลับมายื่นให้กับบุรุษสูงอายุ เขารับมาเปิดดูแววตาบ่งบอกถึงความสมหวังในสิ่งที่ต้องประสงค์
“สมบัติของกรุงศรีอยุธยาชิ้นนี้คงไม่หนักเกินกว่าที่เราจะยกกลับเมืองไทยได้ใช้ไหม พินิต ” เขาถามเลขาโดยไม่หันไปมอง
“ครับท่าน” พินิตเลขาประจำตัวของบุรุษสูงอายุตอบพร้อมเผยยิ้มอย่างรู้ใจเจ้านาย
อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา
แม้เวลาจะล่วงเลยผ่านมาเกือบสองชั่วโมงชายหนุ่มก็ยังวนเวียนอยู่บริเวณโบราณสถานของพระบรมมหาราชวังเหมือนไม่รู้จักเบื่อ จนกระทั่งนักเรียนกลุ่มเดิมกลับมาพบเขาอีก เด็กนักเรียนหญิงตัวน้อยท่าทางช่างพูดคนหนึ่งมองเขาอย่างสงสัยเหมือนจะจำเขาได้ทั้งคู่ยิ้มให้กัน
“คุณอาชอบที่นี้มากหรือค่ะ” เด็กหญิงยื่นไมตรีทักทายก่อน
“อาชอบมากมาเกือบทุกอาทิตย์เลย” ชายหนุ่มยิ้มให้อย่างเอ็นดูพร้อมกับเดินเข้าไปหา
“มาดูภาพนี่สิ นี่เหละพระบรมมหาราชวังของกรุงศรีอยุธยาที่สมบูรณ์แบบก่อนที่จะถูกไฟไหม้ ” เขาพูดขณะยื่นหนังสือให้เด็กน้อยดู
หนูน้อยเข้ามาใกล้ดูภาพนั้นในหนังสือเธอแสดงอาการทึ่งระคนประหลาดใจ
“โอโฮ สวยและใหญ่โตจังเลยนะค่ะ พวกข้าศึกไม่น่าเผาเลยเสียดายจังแถมยังเอาสมบัติไปอีกนะค่ะ” เด็กน้อยพูดยาว ชายหนุ่มยิ้มชื่นชมในความชั่งพูดของเธอเขาทรุดตัวลงนั่งใบหน้าของทั้งสองอยู่ตรงเสมอกันและสบตากันอยู่ชั่วครู่
“หนูต้องการเห็นสมบัติเหล่านั้นมั๊ย” เขาถามทั้งที่รู้ว่าหนูน้อยจะตอบว่ายังไร
“อยากเห็นสิค่ะแต่ว่าข้าศึกขนเอาไปบ้านเค้าหมดแล้วนี่ ใครจะไปเอามาให้ดูได้ละค่ะ”
ชายหนุ่มชี้นิ้วมาที่ตัวเอง “มีสิก็อานี่งัย”
ทั้งคู่มองสบตากันอีกครั้งในใจของเด็กน้อยไม่มีความลังเลเลยที่จะเชื่ออาคนนี้ เธอหันไปมองกลุ่มเพื่อนที่กำลังเดินไกลออกไปแล้วหันกลับมาถามเสียงจริงจัง “สัญญานะค่ะ”
ชายหนุ่มยกมือพร้อมชูนิ้วสองนิ้วทำท่าเหมือนปฏิญาณตนของลูกเสือ “อาสัญญา”
เด็กน้อยจ้องมองหน้าเขานิ่งจากแววตาของหนูน้อยชายหนุ่มรู้ทันที่ว่าคำตอบของเขาสร้างคำถามตามมาอีกแน่เข่ารีบพูดตัดบท
“โอเคนะ นู้นคุณครูและเพื่อนๆรออยู่นะจ๊ะ”
“สวัสดีค่ะ” พูดจบหนูน้อยวิ่งไปสมทบกับเพื่อนๆแต่ก็ยังหันกลับมาตะโกนย้ำคำสัญญา “หนูจะกลับมาดู เอากับคืนมาให้ได้นะค่ะ”
ชายหนุ่มไม่ตอบแต่ยิ้มอย่างเชื่อมั่นที่จะปฏิบัติตามคำสัญญาที่ได้ให้ไว้
โศกนาฏกรรมเปิดประตูสู่ขุมทรัพย์
หลังจากนั้นชายหนุ่มได้เดินสำรวจไปทั่วบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์ฯ จนกระทั้งถึงเวลาเย็นก่อนที่จะเดินทางกลับขณะที่เขายืนอยู่บริเวณซากวัดโบราณแห่งหนึ่งซึ่งในบริเวณนั้นไม่มีใครหรือนักท่องเที่ยวอยู่แม้แต่คนเดียว ในขณะที่เขากำลังจะกดชัทเตอร์ถ่ายภาพองค์พระเจดีย์ เขารู้สึกวินเวียนศีรษะขึ้นมาทันทีทันใด สายตาที่มองผ่านเลนพร่ามัว ฉับพลันอากาศเริ่มเย็นลงมีหมอกปกคลุมไปทั่วและแล้วเขามองเห็นการณ์อันแปลกประหลาดจนสะดุ้งตกใจเขาลดกล้องลงเอามือขยี้ตาจ้องมองไปที่เหตุการณ์นั้นมันเริ่มปรากฏเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนขึ้นเรื่อยๆทั้งภาพและเสียง ในขณะที่ท้องฟ้าค่อยๆมืดคลึ้มลงจนเป็นเวลาค่ำคืน
ท่ามกลางแสงจันทร์ข้างขึ้นใกล้เดือนเพ็ญ มองเห็นยอดพระเจดีย์องใหญ่รวมทั้งหมู่โบสถ์วิหารทอแสงทองมาเรืองรองตระการตาและเงียบสงบอย่างลึกซึ้ง ตรงกันข้ามกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นเบื้องล่าง ทั่วบริเวณลานวัดคราค่ำไปด้วยเหล่านักรบโบราณกำลังสู้รบกันสับสน อลม่าน เสียงอาวุธกระทบกันเสียงตระโกนสั่งการณ์รวมทั้งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังประสมประสานกันฟังแล้วโหดสยองชวนขวัญผวายิ่งนัก
ชายหนุ่มพยายามจะเบนหน้าหนีจากเหตุการณ์ขวัญสยองเบื้องหน้าแต่ไม่สามารถกระทำได้เหมือนต้องมนต์สะกด การสู้รบคงดำเนินไปอย่างดุเดือดเขาพอจะคาดเดาได้จากอาพรชุดรบที่เหล่าทหารทั้งสองฝ่ายสวมใส่ เป็นการสู้รบกันระหว่างทหารกรุงศรีอยุธยากับทหารพม่าซึ่งฝ่ายหลังมีกำลังมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด และสถานการณ์ที่กำลังเป็นไป ณ ขณะนี้อยากที่ทหารกรุงศรีอยุธยาจะต้านทานผู้รุกรานได้
“ล่าขุมทรัพย์อสูร” EP2
เดือนยี่ ขึ้น 9 ค่ำ ปีกุน พุทธศักราช 2310
ก่อนกรุงศรีอยุธยาเสียกรุงแก่พม่าข้าศึก ณ วัดพิชัยตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของพระบรมมหาพระราชวังในค่ำคืนเงียบสงัดนี้ จะหามีผู้ใดทั้งภิกษุหรือราษฎรย์สักคนในบริเวณวัดแห่งนี้ก็หามีไม่ ต่างรู้ถึงภัยหายนะจากศัตรูที่จะมาถึงตัวในไม่ช้านี้พากันหลบหนีไปสถานที่ต่างๆที่คิดว่าปลอดภัยเสียสิ้น มีเพียงบุรุษสองนายปรากฏตัวอยู่ด้านหน้าพระเจดีย์องใหญ่ข้างวิหารด้านทิศใต้ ทั้งคู่มีอาการร้อนลนบุรุษหนึ่งนั่งอยู่บนหลังม้าศึกสีทองแดงตัวใหญ่ดูอาวุโสกว่า สังเกตจากลักษณะการแต่งกายและกริยาท่าทางคงจะเป็นเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่หรือแม่ทัพ อีกบุรุษหนึ่งในชุดลบเต็มอัตราศึกนั่งคุกเข่าสงบนิ่งอยู่เบื้องหน้าคาดว่าเป็นขุนศึกคู่ใจ และแล้วผู้อาวุโสก็เอยปากแทรกเสียงยิงปืนใหญ่ที่ดังแว่วมาแต่ไกล
“มาบัดนี้ ข้าได้ตรึกตรองแล้วกรุงศรีอยุธยาคงจะเสียแก่พม่าไม่พ้นสงกรานต์นี้เป็นแน่แท้ เรามีเวลาหรือน้อยเต็มที ที่จะคิดการสิ่งใด อันจะช่วยบ้านเมืองให้พ้นภัยพินาศได้ ” เสียงพูดหยุดชะงักลง หากเป็นเวลากลางวันคงจะเห็นน้ำตาที่เอ่อท่วมดวงตาทั้งสองของเขา
“เจ้าจงฝังให้ดีภายในพระเจดีย์องค์นี้ข้าได้ซุกซ่อนทรัพย์สมบัติมีค่าของแผ่นดินเอาไว้ข้าคิดว่าเป็นสถานที่ปลอดภัยเพราะเป็นองค์พระเจดีย์สำคัญ ไอพวกศัตรูคงจะไม่กล้าขุดค้นทำลายเพราะพวกมันก็อยู่ในพระพุทธศาสนาเช่นเดียวกับเรา”
“ข้าขอมอบหน้าที่สำคัญให้เจ้าเฝ้าปกป้องทรัพย์สมบัติเหล่านี้ไว้ เมื่อถึงเวลาอันสมควรเราจะกลับมาใช้เป็นทรัพย์กู้บ้านกู้เมืองในภายหน้า”
ฉับพลันมีเสียงระเบิดของลูกปืนใหญ่ดังก่องสะท้านมาจากทางด้านทิศเหนือของวัดผู้อาวุโสพยามบังคับม้าที่ตื่นตระหนกให้สงบลง ส่วนบุรุษหนุ่มลุกขึ้นนั่งชันเขาลักษณะระแวดระวังภัย
“ข้าจะมอบสิ่งศักดิ์สิทธ์นี้ไว้ให้คุมภัยตัวเจ้า และจงใช้สติปัญญารักษาทรัพย์สมบัติของแผ่นดินนี้ให้ไว้จงได้” ผู้อาวุโสกล่าวเสียงไม่สะทกสะท้านภัยใกล้ตัว
บุรุษหนุ่มลุกขึ้นยืนเอื้อมไปรับสิ่งศักดิ์สิทธ์จากมือของบุรุษอาวุโสแล้วยกขึ้นไหว้จบเหนือศีรษะ
“ข้าจะปกป้องรักษาทรัพย์สมบัติของแผ่นดินนี้ไว้เทียบเท่ากับชีวิตของข้าพเจ้า นายท่านจงวางใจ”
สิ้นเสียงกล่าวรับภารกิจได้เกิดลมภายุกระโชกแรงสียงฟ้าคำรามก้องแสงสายฟ้าแลบส่องให้เห็นร่างของบุรุษหนุ่มยืนทะมึนนิ่งดุจรูปสลักศิลา ภาระหน้าที่ของบุรุษผู้นี้ได้เริ่มขึ้นแล้วหรือไฉน
คำมั่นสัญญาเปิดประตูสู่ขุมทรัพย์
อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา วันศุกร์ เวลาประมาณ 9 นาฬิกา
อากาศช่วงเวลาเช้าของต้นเดือนพฤศจิกายนกำลังเย็นสบายลมหนาวพัดมาเอื่อยๆ ที่บริเวณลานจอดรถโดยสารสำหรับนักท่องเที่ยวคราค่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศรวมทั้งเด็กนักเรียนจากโรงเรียนต่างเดินทางทยอยเข้ามาเที่ยวชมสถานที่แห่งนี้หนาตาขึ้นเรื่อยๆ บรรยากาศเช่นนี้ดูจะเป็นเรื่องปกติของผู้ทำมาค้าขายแถวนี้ ทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคมโรงเรียนต่างๆทั่วประเทศนิยมพาเด็กนัดเรียนมาทัศนะศึกษาประวัติศาสตร์ของกรุงศรีอยุธยา แต่วันนี้ค่อนข้างจะพิเศษหน่อยตรงที่มีนักท่องเที่ยวคณะหนึ่งเป็นเด็กนักเรียนชายหญิงวัยกำลังอยากรู้อยากเห็นอายุประมาณเจ็ดถึงสิบสองปี ปี ไม่ต่ำกว่าสี่ร้อยคน คนมารวมเที่ยวชมด้วยเสียงพูดคุย หัวเราะ เสียงเรียกหากันตลอดจนการเล่นหยอกล้อก็เป็นพิเศษตามไปด้วย บรรยากาศวันนี้จึงดูออกจะวุ่นวายมากกว่าเรียกว่าคึกคัก
บริเวณข้างรถโดยสารปรับอากาศทั้งแปด คัน คุณครูชายหญิงกำลังช่วยกันต้อนเด็กนักเรียนมาเข้าแถวเพื่อความเป็นระเบียบในการเที่ยวชม ซึ่งดูแล้วเป็นภารกิจที่ง่ายๆเพราะการเข้าแถวเป็นกิจวัติประจำวันของเด็กนักเรียนอยู่แล้วแต่สำหรับวันนี้เรื่องง่ายๆก็กลับกลายเป็นอยากเพราะนักโบราณคดีตัวน้อยเหล่านี้ต่างรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่มองเห็นเบื้องหน้า ซากโบราณสถานที่ตั้งตระหง่านสูงเฉียดเมฆชั่งดูยิ่งใหญ่และลึกลับเอาเสียจริงๆ ทำให้สารพันคำถามผุดขึ้นมาในหัวของเด็กๆต่างเข้ารุมล้อมซักถามคุณครูเกี่ยวกับสิ่งนี้โดยไม่แยแสการเข้าแถว เหมือนทุกคนจะรู้ว่าการเข้าแถวให้เป็นระเบียบไม่ได้ช่วยให้ความกระจางในเรื่องนี้ได้เลย ร้านค้าโบราณวัตถุมีชื่อบนเกาะฮ่องกง
9.10 นาฬิกา ชาววันศุกร์ ภายในร้านเงียบสงบจนรู้สึกวังเวงมีเพียงบุรุษสามคนอยู่ในที่นี้ สองคนยื่นนิ่งสงบเสมือนรูปหล่อสำริดโบราณที่ตั้งโชว์อยู่ทั่วห้อง มีเพียงดวงตาที่กรอกไปมาบ่งบอกให้รู้ว่าทั้งสองเป็นสิ่งมีชีวิต ดวงตาของคนทั้งคู่จับจ้องมองตามอีกหนึ่งบุรุษอยู่ตลอดเวลา เป็นชายสูงอายุท่าทางภูมิฐานลักษณะเป็นคนเอเชียเวลานี้เขากำลังเพ่งมองดูโบราณวัตถุชิ้นหนึ่งทำด้วยทองคำประดับหินอัญมณีมีค่าหลากชนิดพร้อมทั้งพลิกหนังสือที่ถืออยู่ในมือค้นหาบ่างสิ่งตามไปด้วยอย่างสนใจเป็นพิเศษ
อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา
เช้าวันศุกร์ เวลาประมาณ 9.20 นาฬิกา ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังยืนมองดูซากพระบรมมหาราชวังกรุงศรีอยุธยาเปรียบเทียบกับภาพจำลองของวังแห่งนี้ที่สมบูรณ์ในหนังสือที่ถืออยู่ในมืออย่างสนใจ เขาเดินทางมา ณ สถานที่แห่งนี้นับครั้งแทบไม่ถ้วน แต่สำหรับวันนี่ข่ารู้สึกสบายอกสบายใจแปลกกว่าทุกครั้งเขาคิดว่าอาจเป็นเพราะอากาศที่เริ่มเย็นของช่วงปลายฤดูฝนต้นฤดูหนาว และเสียงเจี้ยวจ้าวแต่ฟังแล้วรู้สึกน่าเอ็นดูของเด็กนักเรียนชายหญิงตัวน้อยกลุ่มใหญ่ที่พากันเดินผ่านมาในบริเวณนี้ก็เป็นได้ เข้ายิ้มโบกมือทักทายเด็ก
“คุณครูค่ะแล้วทรัพย์สมบัติถูกไฟไหม้ไปหมดด้วยรึป่าวค่ะ”
“ไม่หรอกจ๊ะ”คุณครูตอบพร้อมกับจูงมือเด็กไปเรื่อย ๆ
ชายหนุ่มเงยหน้าจากหนังสือก็พบเด็กนักเรียนหญิงตัวน้อยกลุ่มใหญ่พร้อมกับคุณครูมายืนอยู่ตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
เด็กหญิงคนเดิมซักต่อ “แล้วทำไมเขาไม่เอามาตั้งแสดงให้พวกเราดูละค่ะ”
“คุณครูก็อยากเห็นเหมือนกับหนูนั้นแหละ แต่ข้าศึกที่มาตีกรุงศรีอยุธยาแตกนะสิ เอากลับบ้านเมืองของเขาไปหมดแล้ว”
คำตอบของคุณครูสาวสร้างความผิดหวังให้กับเด็กๆอย่างเห็นได้ชัด
ร้านค้าโบราณวัตถุแห่งเดิมบนเกาะฮ่องกง
เวลาผ่านไปร่วมครึ่งชั่วโมงบุรุษหนึ่งซึ่งเป็นพนักงานขายประจำร้านเริ่มเคลื่อนไหวเป็นครั้งแรกเขายกเก้าอี้บุหนังอย่างดีไปให้บุรุษสูงอายุพร้อมเชื่อเชิญให้นั่งอย่างสุภาพเพราะเห็นยืนดูโบราณวัตถุชิ้นนั้นอยู่เป็นเวลานาน
“ราคาเท่าไร” บุรุษสูงอายุถามขณะหย่อนก้นลงบนเก้าอี้
“กรุณารอสักครู่คับทั่ง” พนักงานขายตอบด้วยภาษาไทยสำเนียงจีนพร้องแสดงอาการนอบน้อมอย่างสุดๆ แล้วหมุนตัวเดินกลับไปที่เคาเตอร์เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ดูข้อมูลบางสิ่งชั่วครู่เขาถือเอกสารที่หุ้มด้วยปกหนังอย่างดีกลับมายื่นให้กับบุรุษสูงอายุ เขารับมาเปิดดูแววตาบ่งบอกถึงความสมหวังในสิ่งที่ต้องประสงค์
“สมบัติของกรุงศรีอยุธยาชิ้นนี้คงไม่หนักเกินกว่าที่เราจะยกกลับเมืองไทยได้ใช้ไหม พินิต ” เขาถามเลขาโดยไม่หันไปมอง
“ครับท่าน” พินิตเลขาประจำตัวของบุรุษสูงอายุตอบพร้อมเผยยิ้มอย่างรู้ใจเจ้านาย
อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา
แม้เวลาจะล่วงเลยผ่านมาเกือบสองชั่วโมงชายหนุ่มก็ยังวนเวียนอยู่บริเวณโบราณสถานของพระบรมมหาราชวังเหมือนไม่รู้จักเบื่อ จนกระทั่งนักเรียนกลุ่มเดิมกลับมาพบเขาอีก เด็กนักเรียนหญิงตัวน้อยท่าทางช่างพูดคนหนึ่งมองเขาอย่างสงสัยเหมือนจะจำเขาได้ทั้งคู่ยิ้มให้กัน
“คุณอาชอบที่นี้มากหรือค่ะ” เด็กหญิงยื่นไมตรีทักทายก่อน
“อาชอบมากมาเกือบทุกอาทิตย์เลย” ชายหนุ่มยิ้มให้อย่างเอ็นดูพร้อมกับเดินเข้าไปหา
“มาดูภาพนี่สิ นี่เหละพระบรมมหาราชวังของกรุงศรีอยุธยาที่สมบูรณ์แบบก่อนที่จะถูกไฟไหม้ ” เขาพูดขณะยื่นหนังสือให้เด็กน้อยดู
หนูน้อยเข้ามาใกล้ดูภาพนั้นในหนังสือเธอแสดงอาการทึ่งระคนประหลาดใจ
“โอโฮ สวยและใหญ่โตจังเลยนะค่ะ พวกข้าศึกไม่น่าเผาเลยเสียดายจังแถมยังเอาสมบัติไปอีกนะค่ะ” เด็กน้อยพูดยาว ชายหนุ่มยิ้มชื่นชมในความชั่งพูดของเธอเขาทรุดตัวลงนั่งใบหน้าของทั้งสองอยู่ตรงเสมอกันและสบตากันอยู่ชั่วครู่
“หนูต้องการเห็นสมบัติเหล่านั้นมั๊ย” เขาถามทั้งที่รู้ว่าหนูน้อยจะตอบว่ายังไร
“อยากเห็นสิค่ะแต่ว่าข้าศึกขนเอาไปบ้านเค้าหมดแล้วนี่ ใครจะไปเอามาให้ดูได้ละค่ะ”
ชายหนุ่มชี้นิ้วมาที่ตัวเอง “มีสิก็อานี่งัย”
ทั้งคู่มองสบตากันอีกครั้งในใจของเด็กน้อยไม่มีความลังเลเลยที่จะเชื่ออาคนนี้ เธอหันไปมองกลุ่มเพื่อนที่กำลังเดินไกลออกไปแล้วหันกลับมาถามเสียงจริงจัง “สัญญานะค่ะ”
ชายหนุ่มยกมือพร้อมชูนิ้วสองนิ้วทำท่าเหมือนปฏิญาณตนของลูกเสือ “อาสัญญา”
เด็กน้อยจ้องมองหน้าเขานิ่งจากแววตาของหนูน้อยชายหนุ่มรู้ทันที่ว่าคำตอบของเขาสร้างคำถามตามมาอีกแน่เข่ารีบพูดตัดบท
“โอเคนะ นู้นคุณครูและเพื่อนๆรออยู่นะจ๊ะ”
“สวัสดีค่ะ” พูดจบหนูน้อยวิ่งไปสมทบกับเพื่อนๆแต่ก็ยังหันกลับมาตะโกนย้ำคำสัญญา “หนูจะกลับมาดู เอากับคืนมาให้ได้นะค่ะ”
ชายหนุ่มไม่ตอบแต่ยิ้มอย่างเชื่อมั่นที่จะปฏิบัติตามคำสัญญาที่ได้ให้ไว้
โศกนาฏกรรมเปิดประตูสู่ขุมทรัพย์
หลังจากนั้นชายหนุ่มได้เดินสำรวจไปทั่วบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์ฯ จนกระทั้งถึงเวลาเย็นก่อนที่จะเดินทางกลับขณะที่เขายืนอยู่บริเวณซากวัดโบราณแห่งหนึ่งซึ่งในบริเวณนั้นไม่มีใครหรือนักท่องเที่ยวอยู่แม้แต่คนเดียว ในขณะที่เขากำลังจะกดชัทเตอร์ถ่ายภาพองค์พระเจดีย์ เขารู้สึกวินเวียนศีรษะขึ้นมาทันทีทันใด สายตาที่มองผ่านเลนพร่ามัว ฉับพลันอากาศเริ่มเย็นลงมีหมอกปกคลุมไปทั่วและแล้วเขามองเห็นการณ์อันแปลกประหลาดจนสะดุ้งตกใจเขาลดกล้องลงเอามือขยี้ตาจ้องมองไปที่เหตุการณ์นั้นมันเริ่มปรากฏเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนขึ้นเรื่อยๆทั้งภาพและเสียง ในขณะที่ท้องฟ้าค่อยๆมืดคลึ้มลงจนเป็นเวลาค่ำคืน
ท่ามกลางแสงจันทร์ข้างขึ้นใกล้เดือนเพ็ญ มองเห็นยอดพระเจดีย์องใหญ่รวมทั้งหมู่โบสถ์วิหารทอแสงทองมาเรืองรองตระการตาและเงียบสงบอย่างลึกซึ้ง ตรงกันข้ามกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นเบื้องล่าง ทั่วบริเวณลานวัดคราค่ำไปด้วยเหล่านักรบโบราณกำลังสู้รบกันสับสน อลม่าน เสียงอาวุธกระทบกันเสียงตระโกนสั่งการณ์รวมทั้งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังประสมประสานกันฟังแล้วโหดสยองชวนขวัญผวายิ่งนัก
ชายหนุ่มพยายามจะเบนหน้าหนีจากเหตุการณ์ขวัญสยองเบื้องหน้าแต่ไม่สามารถกระทำได้เหมือนต้องมนต์สะกด การสู้รบคงดำเนินไปอย่างดุเดือดเขาพอจะคาดเดาได้จากอาพรชุดรบที่เหล่าทหารทั้งสองฝ่ายสวมใส่ เป็นการสู้รบกันระหว่างทหารกรุงศรีอยุธยากับทหารพม่าซึ่งฝ่ายหลังมีกำลังมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด และสถานการณ์ที่กำลังเป็นไป ณ ขณะนี้อยากที่ทหารกรุงศรีอยุธยาจะต้านทานผู้รุกรานได้