มีสรรเสริญมีนินทา สรรเสริญคือการกล่าวคำยกย่อง ชื่นชมคุณงามความดี ความรู้ความสามารถ รู้สึกประทับใจในความโดดเด่นที่ไม่มีใครเหมือน โดยคำสรรเสริญแบ่งได้เป็นรู้สึกชอบเป็นการส่วนตัว สังคมยกย่อง ได้รับประโยชน์ เห็นคุณค่าตามยุคสมัย
คำสรรเสริญเกิดจากตนเองได้แก่เอกลักษณ์การแต่งกาย ความคิด แตกต่างจากผู้อื่น ความสามารถในการแก้ปัญหาหรือประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตนทำ สังคมเห็นคุณค่าจากบุคลิกที่ประทับใจ การแข่งขันทำให้ความสามารถปรากฎแก่สายตา การสร้างภาพเพื่อให้สังคมชื่นชมหรือหวังผลบางอย่าง สถานการณ์บังคับให้เป็นพระเอกเมื่อตัดสินใจทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ฯลฯ
คำนินทา (รวมถึงคำกล่าวร้าย) คือการพูดจาใส่ร้ายเป็นผลเสียหายต่อตัวเราทั้งต่อหน้าและลับหลัง เยาะเย้ยให้เป็นตัวตลกในสายตา
ผู้อื่น สาเหตุของคำนินทามาจากตัวเราเองทำเรื่องเสื่อมเสีย ทำผิดกฎหมาย ทำผิดต่อจารีตสังคม ผู้อื่นอิจฉาความสามารถของเรา โกรธแค้น
(ไม่พอใจ ขัดผลประโยชน์ ทำให้ผู้อื่นอับอาย) การกระทำผิดพลาดทำให้ควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้ ความเข้าใจผิดเช่นเห็นการแสดงพฤติกรรมบางอย่างแต่ไม่สืบหาต้นเหตุที่แท้จริง โดดเด่นด้วยความคิดก้าวหน้าเกินสังคม แปลกจากสังคม ไม่ทำตัวตามกระแสสังคม ไม่พอใจเป็นการส่วนตัว รวมถึงไม่สมประโยชน์จึงโดนนินทา ฯลฯ
ในสังคมมนุษย์ หากพอใจก็สรรเสริญ ไม่พอใจก็นินทาเป็นธรรมดาที่ต้องเจอะเจอ ตัวอย่างคือ กาลิเลโอถูกคุมขังเพราะมีความคิดก้าวหน้าเกินยุค ในสมัยนั้นต่างกล่าวประนามเขาว่าเป็นคนนอกรีต แต่ยุคปัจจุบันกาลิเลโอได้รับยกย่องว่าเป็นผู้บุกเบิกความรู้ทางฟิสิกส์ โดยประวัติของ
กาลิเลโอมีดังนี้
กาลิเลโอ (เกิดปีค.ศ.1564 เสียชีวิตปี1642 ) เป็นชาวอิตาลี สำเร็จวิชาคณิตศาสตร์ สอนวิชาคณิตศาสตร์ มหาวิทยาลัยปิซาปี1591 และ
ในปีถัดมา พ่อตายจึงย้ายไปสอนมหาวิทยาลัยแพดัว สอนวิชาเรขาคณิต กลศาสตร์ และดาราศาสตร์ จนถึงปี1610ค้นพบวิชาจลนศาสตร์การเคลื่อนที่ ดาราศาสตร์ ความแข็งของวัตถุ เขาพัฒนากล้องโทรทรรศน์ที่สามารถส่องดูดวงจันทร์ของดาวพฤหัส
โดยปี1610 เขาค้นพบดวงจันทร์ของดาวพฤหัส พร้อมสนับสนุนทฤษฎีของโคเปอร์นิคัสซึ่งมองว่าโลกไม่ได้เป็นศูนย์กลางจักรวาล
เป็นความคิดตรงข้ามกับทฤษฎีของทอเลมีและอริสโตเติล ในปี1612เกิดการต่อต้านแนวคิดของกาลิเลโอ หลังจากนั้น2ปี กลุ่มศริสตจักร
(สมัยนั้นมีความเชื่อว่าโลกเป็นศูนย์กลางจักรวาลแต่ปัจจุบันยอมรับความคิดของกาลิเลโอ) โจมตีแนวคิดของเขาเป็นอันตรายต่อศาสนา (นอกรีต)
ทำให้กาลิเลโอต้องเดินทางไปขึ้นศาลศาสนา ศาลห้ามเผยแพร่ความคิดดังกล่าว ในปี1621เขาจึงใช้เวลาว่างแต่งตำราวิชาการ และในปี1623เผยแพร่หนังสืออิลซัจจาโตเร หลังจากนั้นจึงแต่งตำราDialogue Concerning the Two Chief World Systems (บทสนทนาว่าด้วย
โลกสองระบบซึ่งเขียนเสร็จปี1630) เมื่อเขียนเสร็จจึงเดินทางไปกรุงโรมเพื่อขออนุญาตพระสันตะปะปาผลิตหนังสือขาย ปี1632พิมพ์ขายที่เมืองฟลอเรนซ์ ซึ่งเดือนตุลาคมของปีเดียวกัน ศาลศาสนาเรียกตัวเขาสอบสวนจากข้อความในหนังสือดังกล่าว
ปี1633 ศาลมีคำพิพากษาว่าข้อความจากหนังสือขัดแย้งพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ให้กาลิเลโอยุติการเผยแพร่แนวคิดอันเป็นไม่เป็นไปตาม
หลักศาสนา และนำตัวกาลิเลโอคุมขัง แต่ภายหลังเขาได้รับความเมตตาจากอัสกานีโอ ปิกโกโลมีนี จากโทษคุมขังเปลี่ยนเป็นการห้ามออกนอกบ้านโดยเด็ดขาด (ที่เมืองอาร์เชตรี ใกล้เมืองฟลอเรนซ์) ทำให้กาลิเลโอรวบรวมผลงานเขียนตลอด40ปี เขียนหนังสือ2เล่มในชื่อ จลนศาสตร์ (kinematics) และความแข็งของวัตถุ(strength of materials) โดยเป็นช่วงบั้นปลายชีวิต เขาตาบอดและเสียชีวิตในปี1642 ด้วยความโดดเด่นของตำราทั้ง2เล่มทำให้เขาได้รับการยกย่องเป็นบิดาแห่งฟิสิกส์ยุคใหม่
ซึ่งคำสรรเสริญนินทาเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทางด้านบวกก็คือคำสรรเสริญ ทางด้านร้ายคือคำนินทาและการกล่าวร้ายจึงมีหลักในการพิจารณา
ดังนี้
1. คำสรรเสริญมีขึ้นเพราะเขาพอใจ ได้ประโยชน์ หากไม่พอใจ ไม่ได้ผลประโยชน์ก็แปรเปลี่ยนเป็นนินทาได้เช่นกัน
2. เมื่อมีคำสรรเสริญเกิดขึ้นจึงไม่ควรหลงยึดติดถ้อยคำเหล่านั้น เมื่อมีคำนินทาพึงพิจารณาว่าสิ่งนั้นจะทำประโยชน์ให้ตัวเราหรือไม่ หากไม่ก็ไม่ควร
ใส่ใจ
3. คำสรรเสริญเกิดจากมุมมองด้านบวก จึงต้องพิจารณาว่าเหตุใดจึงได้รับคำชื่นชม เก็บประสบการณ์ สิ่งดีๆ รักษาไว้เพื่อเป็นแนวทางความสุขของ
ตนเอง
4. การตอบโต้คำนินทาและการกล่าวร้าย ควรตอบโต้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับตัวเรา หากตอบโต้แล้วมีผลกระทบกับเราควรหลีกเลี่ยง เราจึงต้องควรหาสังคมที่ดี เพื่อนซึ่งแนะนำแนวทางแก้ไขปัญหา แนะหลักดำรงชีวิต
5. สาเหตุหนึ่งของกล่าวร้ายและนินทาเกิดจากอคติของผู้คน ดังนั้นเราทำดีแค่ไหนก็ต้องมีคนไม่พอใจเกิดขึ้น คำชื่นชมก็เช่นเดียวกัน หน้าที่ตัวเราจึงต้องแก้ไขปรับปรุงตนเอง พัฒนาตนเอง ใช้ชีวิตด้วยความสุข ไม่ทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่น
6. ดำรงตนอยู่ในทางถูกต้อง ไม่ประกอบอาชีพทุจริต ไม่ทำร้ายผู้อื่น เพื่อป้องกันความเสื่อมอื่นๆที่ตามมา
7. ฯลฯ ตามแต่ประสบการณ์แต่ละคน
หลักธรรมข้อนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสังคม จึงควรพิจารณาสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิต สิ่งที่ใดไม่เป็นประโยชน์ไม่ควรใส่ใจ
โปรดติดตามตอนที่4 มีสุขมีทุกข์
ย้อนกลับไปอ่านตอนที่1
https://pantip.com/topic/37510097
ย้อนกลับไปอ่านตอนที่2
https://pantip.com/topic/37510230
อ่านตอนที่4
https://pantip.com/topic/37529681
อ่านตอนจบ
https://pantip.com/topic/37529714
โลกธรรม8 (ตอนที่3 มีสรรเสริญมีนินทา) อุ้ยเสี่ยวมินเขียน
คำสรรเสริญเกิดจากตนเองได้แก่เอกลักษณ์การแต่งกาย ความคิด แตกต่างจากผู้อื่น ความสามารถในการแก้ปัญหาหรือประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตนทำ สังคมเห็นคุณค่าจากบุคลิกที่ประทับใจ การแข่งขันทำให้ความสามารถปรากฎแก่สายตา การสร้างภาพเพื่อให้สังคมชื่นชมหรือหวังผลบางอย่าง สถานการณ์บังคับให้เป็นพระเอกเมื่อตัดสินใจทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ฯลฯ
คำนินทา (รวมถึงคำกล่าวร้าย) คือการพูดจาใส่ร้ายเป็นผลเสียหายต่อตัวเราทั้งต่อหน้าและลับหลัง เยาะเย้ยให้เป็นตัวตลกในสายตา
ผู้อื่น สาเหตุของคำนินทามาจากตัวเราเองทำเรื่องเสื่อมเสีย ทำผิดกฎหมาย ทำผิดต่อจารีตสังคม ผู้อื่นอิจฉาความสามารถของเรา โกรธแค้น
(ไม่พอใจ ขัดผลประโยชน์ ทำให้ผู้อื่นอับอาย) การกระทำผิดพลาดทำให้ควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้ ความเข้าใจผิดเช่นเห็นการแสดงพฤติกรรมบางอย่างแต่ไม่สืบหาต้นเหตุที่แท้จริง โดดเด่นด้วยความคิดก้าวหน้าเกินสังคม แปลกจากสังคม ไม่ทำตัวตามกระแสสังคม ไม่พอใจเป็นการส่วนตัว รวมถึงไม่สมประโยชน์จึงโดนนินทา ฯลฯ
ในสังคมมนุษย์ หากพอใจก็สรรเสริญ ไม่พอใจก็นินทาเป็นธรรมดาที่ต้องเจอะเจอ ตัวอย่างคือ กาลิเลโอถูกคุมขังเพราะมีความคิดก้าวหน้าเกินยุค ในสมัยนั้นต่างกล่าวประนามเขาว่าเป็นคนนอกรีต แต่ยุคปัจจุบันกาลิเลโอได้รับยกย่องว่าเป็นผู้บุกเบิกความรู้ทางฟิสิกส์ โดยประวัติของ
กาลิเลโอมีดังนี้
กาลิเลโอ (เกิดปีค.ศ.1564 เสียชีวิตปี1642 ) เป็นชาวอิตาลี สำเร็จวิชาคณิตศาสตร์ สอนวิชาคณิตศาสตร์ มหาวิทยาลัยปิซาปี1591 และ
ในปีถัดมา พ่อตายจึงย้ายไปสอนมหาวิทยาลัยแพดัว สอนวิชาเรขาคณิต กลศาสตร์ และดาราศาสตร์ จนถึงปี1610ค้นพบวิชาจลนศาสตร์การเคลื่อนที่ ดาราศาสตร์ ความแข็งของวัตถุ เขาพัฒนากล้องโทรทรรศน์ที่สามารถส่องดูดวงจันทร์ของดาวพฤหัส
โดยปี1610 เขาค้นพบดวงจันทร์ของดาวพฤหัส พร้อมสนับสนุนทฤษฎีของโคเปอร์นิคัสซึ่งมองว่าโลกไม่ได้เป็นศูนย์กลางจักรวาล
เป็นความคิดตรงข้ามกับทฤษฎีของทอเลมีและอริสโตเติล ในปี1612เกิดการต่อต้านแนวคิดของกาลิเลโอ หลังจากนั้น2ปี กลุ่มศริสตจักร
(สมัยนั้นมีความเชื่อว่าโลกเป็นศูนย์กลางจักรวาลแต่ปัจจุบันยอมรับความคิดของกาลิเลโอ) โจมตีแนวคิดของเขาเป็นอันตรายต่อศาสนา (นอกรีต)
ทำให้กาลิเลโอต้องเดินทางไปขึ้นศาลศาสนา ศาลห้ามเผยแพร่ความคิดดังกล่าว ในปี1621เขาจึงใช้เวลาว่างแต่งตำราวิชาการ และในปี1623เผยแพร่หนังสืออิลซัจจาโตเร หลังจากนั้นจึงแต่งตำราDialogue Concerning the Two Chief World Systems (บทสนทนาว่าด้วย
โลกสองระบบซึ่งเขียนเสร็จปี1630) เมื่อเขียนเสร็จจึงเดินทางไปกรุงโรมเพื่อขออนุญาตพระสันตะปะปาผลิตหนังสือขาย ปี1632พิมพ์ขายที่เมืองฟลอเรนซ์ ซึ่งเดือนตุลาคมของปีเดียวกัน ศาลศาสนาเรียกตัวเขาสอบสวนจากข้อความในหนังสือดังกล่าว
ปี1633 ศาลมีคำพิพากษาว่าข้อความจากหนังสือขัดแย้งพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ให้กาลิเลโอยุติการเผยแพร่แนวคิดอันเป็นไม่เป็นไปตาม
หลักศาสนา และนำตัวกาลิเลโอคุมขัง แต่ภายหลังเขาได้รับความเมตตาจากอัสกานีโอ ปิกโกโลมีนี จากโทษคุมขังเปลี่ยนเป็นการห้ามออกนอกบ้านโดยเด็ดขาด (ที่เมืองอาร์เชตรี ใกล้เมืองฟลอเรนซ์) ทำให้กาลิเลโอรวบรวมผลงานเขียนตลอด40ปี เขียนหนังสือ2เล่มในชื่อ จลนศาสตร์ (kinematics) และความแข็งของวัตถุ(strength of materials) โดยเป็นช่วงบั้นปลายชีวิต เขาตาบอดและเสียชีวิตในปี1642 ด้วยความโดดเด่นของตำราทั้ง2เล่มทำให้เขาได้รับการยกย่องเป็นบิดาแห่งฟิสิกส์ยุคใหม่
ซึ่งคำสรรเสริญนินทาเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทางด้านบวกก็คือคำสรรเสริญ ทางด้านร้ายคือคำนินทาและการกล่าวร้ายจึงมีหลักในการพิจารณา
ดังนี้
1. คำสรรเสริญมีขึ้นเพราะเขาพอใจ ได้ประโยชน์ หากไม่พอใจ ไม่ได้ผลประโยชน์ก็แปรเปลี่ยนเป็นนินทาได้เช่นกัน
2. เมื่อมีคำสรรเสริญเกิดขึ้นจึงไม่ควรหลงยึดติดถ้อยคำเหล่านั้น เมื่อมีคำนินทาพึงพิจารณาว่าสิ่งนั้นจะทำประโยชน์ให้ตัวเราหรือไม่ หากไม่ก็ไม่ควร
ใส่ใจ
3. คำสรรเสริญเกิดจากมุมมองด้านบวก จึงต้องพิจารณาว่าเหตุใดจึงได้รับคำชื่นชม เก็บประสบการณ์ สิ่งดีๆ รักษาไว้เพื่อเป็นแนวทางความสุขของ
ตนเอง
4. การตอบโต้คำนินทาและการกล่าวร้าย ควรตอบโต้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับตัวเรา หากตอบโต้แล้วมีผลกระทบกับเราควรหลีกเลี่ยง เราจึงต้องควรหาสังคมที่ดี เพื่อนซึ่งแนะนำแนวทางแก้ไขปัญหา แนะหลักดำรงชีวิต
5. สาเหตุหนึ่งของกล่าวร้ายและนินทาเกิดจากอคติของผู้คน ดังนั้นเราทำดีแค่ไหนก็ต้องมีคนไม่พอใจเกิดขึ้น คำชื่นชมก็เช่นเดียวกัน หน้าที่ตัวเราจึงต้องแก้ไขปรับปรุงตนเอง พัฒนาตนเอง ใช้ชีวิตด้วยความสุข ไม่ทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่น
6. ดำรงตนอยู่ในทางถูกต้อง ไม่ประกอบอาชีพทุจริต ไม่ทำร้ายผู้อื่น เพื่อป้องกันความเสื่อมอื่นๆที่ตามมา
7. ฯลฯ ตามแต่ประสบการณ์แต่ละคน
หลักธรรมข้อนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสังคม จึงควรพิจารณาสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิต สิ่งที่ใดไม่เป็นประโยชน์ไม่ควรใส่ใจ
โปรดติดตามตอนที่4 มีสุขมีทุกข์
ย้อนกลับไปอ่านตอนที่1 https://pantip.com/topic/37510097
ย้อนกลับไปอ่านตอนที่2 https://pantip.com/topic/37510230
อ่านตอนที่4 https://pantip.com/topic/37529681
อ่านตอนจบ https://pantip.com/topic/37529714