บทนำ
"โลกธรรม 8" (อัฏฐ โลกธรรม) คือสภาวะธรรม 8 ประการที่หมุนเวียนอยู่คู่กับโลกและชีวิตของมนุษย์ทุกคน เป็นความจริงสากลที่ไม่มีผู้ใดหลีกเลี่ยงพ้น โลกธรรมทั้ง 8 นี้แบ่งออกเป็นสองฝ่าย คือฝ่ายที่นำมาซึ่งความพอใจยินดี 4 ประการ และฝ่ายที่นำมาซึ่งความไม่พอใจความเกลียดชัง 4 ประการ การทำความเข้าใจและกำหนดรู้โลกธรรม 8 อย่างถ่องแท้ตามแนวทางของพระพุทธศาสนาจึงเป็นกุญแจสำคัญสู่การมีชีวิตที่สงบสุข ไม่หวั่นไหว และมุ่งสู่การหลุดพ้นจากกองทุกข์
1. ฝ่ายน่าพอใจ 4 ประการ (อิฏฐารมณ์)
โลกธรรมฝ่ายที่น่าพอใจและเป็นที่ปรารถนาของมนุษย์ทุกคนมี 4 ประการ ซึ่งเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่มักแสวงหา ยึดมั่น และดีใจเมื่อได้มา:
1.1 ลาภ (ได้ลาภ)
ลาภในที่นี้หมายถึงการได้มาซึ่งสิ่งที่เป็นประโยชน์และเป็นที่ต้องการ ทั้งทรัพย์สินเงินทอง ชื่อเสียง ตำแหน่ง หรือผลประโยชน์ต่าง ๆ ตามพระไตรปิฎกและอรรถกถา ลาภเป็นโลกธรรมประการแรกที่มนุษย์ยินดีเมื่อประสบพบเจอ เมื่อได้ลาภก็เกิดความสุข ความอิ่มเอมใจ ความกระหยิ่มยิ้มย่อง ซึ่งเป็นอาการของโลกที่เข้ามาย้อมใจให้ติดอยู่ในความเพลิดเพลิน ความดีใจนี้จึงเป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้ว่ามันไม่เที่ยงแท้และยั่งยืน
1.2 ยศ (ได้ยศ)
ยศหมายถึงความมีตำแหน่ง หน้าที่ อำนาจ ความเป็นใหญ่ หรือการได้รับยกย่องนับถือจากสังคม การได้ยศเป็นเครื่องยืนยันถึงความสำคัญและสถานะในกลุ่มชน ทำให้เกิดความภาคภูมิใจ ความเคารพนบนอบจากผู้อื่น เมื่อมีผู้สรรเสริญยกย่อง ก็เป็นเหตุให้เกิดความพึงพอใจและติดอยู่ในมานะทิฐิ การกำหนดรู้ยศจึงเป็นการเห็นตามความเป็นจริงว่ายศเป็นเพียงสมมติที่อาจเสื่อมลงได้ตลอดเวลา
1.3 สรรเสริญ (ได้สรรเสริญ)
สรรเสริญคือการกล่าวถ้อยคำชื่นชม ชมเชย ยกย่องคุณความดีทั้งต่อหน้าและลับหลัง เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงกำลังใจและเพิ่มความมั่นใจให้แก่ผู้ที่ได้รับ ผู้ที่ได้รับสรรเสริญมักรู้สึกเป็นสุข เบิกบานใจ และปรารถนาที่จะได้รับคำสรรเสริญเช่นนี้อยู่เสมอ อรรถกถากล่าวถึงสรรเสริญว่าเป็นการบำรุงจิตใจอย่างหนึ่ง แต่หากไม่กำหนดรู้ ย่อมทำให้เกิดความทะนงตน และหวั่นไหวเมื่อถูกนินทา
1.4 สุข (ได้สุข)
สุขคือความสบายกายสบายใจ ความรู้สึกดี เป็นความพอใจที่ได้รับจากการสัมผัสกับอารมณ์อันน่าปรารถนา เช่น การได้รับความเพลิดเพลินทางประสาทสัมผัส การปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ หรือการได้รับความสำเร็จตามที่หวัง สุขเป็นสิ่งที่โลกแสวงหา แต่เป็นสุขที่อาศัยปัจจัยปรุงแต่ง (สังขาร) จึงมีลักษณะไม่เที่ยงแท้ การกำหนดรู้สุขคือการเห็นว่าสุขนั้นเป็นเพียงชั่วคราว มีเกิดแล้วก็มีดับไป
2. ฝ่ายน่าชัง 4 ประการ (อนิฏฐารมณ์)
โลกธรรมฝ่ายที่ไม่น่าพอใจและเป็นสิ่งที่มนุษย์พยายามหลีกหนี มี 4 ประการ ซึ่งเป็นสิ่งที่นำมาซึ่งความทุกข์ ความโศกเศร้า และความคับข้องใจเมื่อประสบพบเจอ:
2.1 เสื่อมลาภ (เสียลาภ)
เสื่อมลาภคือการสูญเสียผลประโยชน์ ทรัพย์สินเงินทอง ตำแหน่ง หรือสิ่งที่เคยได้มาให้หมดไป เช่น การขาดทุน การถูกยึดทรัพย์ การถูกปลดออกจากตำแหน่ง การเสื่อมลาภนำมาซึ่งความวิตกกังวล ความเสียดาย และความทุกข์ใจอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ยึดติดในลาภนั้น การกำหนดรู้เสื่อมลาภคือการตระหนักว่าสิ่งเหล่านี้เป็นของกลาง เป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
2.2 เสื่อมยศ (เสียยศ)
เสื่อมยศคือการสูญเสียตำแหน่ง หน้าที่ อำนาจ หรือความเคารพจากผู้อื่น เช่น การถูกลดตำแหน่ง การถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม การไม่มีใครให้ความสำคัญ การเสื่อมยศเป็นสิ่งที่ทำลายความภาคภูมิใจและอาจนำไปสู่ความอับอายและความคับแค้นใจอย่างรุนแรง การกำหนดรู้เสื่อมยศคือการเห็นว่ายศเป็นสมมติที่ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขทางสังคม เมื่อเงื่อนไขเปลี่ยน ยศก็เปลี่ยนตาม
2.3 นินทา (ถูกนินทา)
นินทาคือการกล่าวโทษ ติเตียน หรือกล่าวคำที่ไม่ดีเกี่ยวกับผู้อื่นทั้งต่อหน้าและลับหลัง การถูกนินทาเป็นเครื่องบั่นทอนกำลังใจ สร้างความขุ่นเคืองใจ และความไม่พอใจในตนเอง โดยธรรมชาติแล้วมนุษย์มักไม่ชอบถูกวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ลบ คัมภีร์ต่าง ๆ สอนว่าบุคคลผู้ไม่ถูกนินทาเลยนั้นไม่มีในโลก การกำหนดรู้นินทาคือการมีสติรับรู้ว่าคำนินทาเป็นเพียงเสียง เป็นเพียงลมปาก มิได้ทำให้คุณค่าความเป็นคนลดลง และใช้คำนินทานั้นเป็นเครื่องพิจารณาตนเอง
2.4 ทุกข์ (ได้ทุกข์)
ทุกข์คือความไม่สบายกายไม่สบายใจ ความอึดอัดขัดข้อง ความรู้สึกไม่ดี เป็นผลมาจากการสัมผัสกับอารมณ์อันไม่น่าปรารถนา เช่น การเจ็บป่วยทางร่างกาย ความผิดหวังในชีวิต ความเศร้าโศกเสียใจ ทุกข์เป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่อยากประสบและพยายามหลีกหนี การกำหนดรู้ทุกข์คือการเห็นความจริงตามอริยสัจ 4 ว่าทุกข์เป็นของธรรมดาที่เกิดจากการปรุงแต่งและมีอยู่ในตัวตนของเราทุกคน
3. เคล็ดที่ไม่ลับสำหรับการตามเจริญสติกำหนดรู้โลกธรรม: กิจในอริยสัจ 4
พระพุทธองค์ทรงแสดงหลักการปฏิบัติที่เหนือโลก (โลกุตตระ) ซึ่งอยู่คู่ขนานไปกับโลกธรรม (โลกียะ) การตามเจริญสติกำหนดรู้โลกธรรม 8 ประการอย่างแท้จริงนั้น คือการทำกิจในอริยสัจ 4 ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์โดยไม่ทึกทักเอาเอง แต่เป็นไปตามความเป็นจริง (ยถาภูตญาณทัสสนะ)
3.1 การกำหนดรู้โลกธรรมฝ่ายน่าชังในฐานะทุกขสัจจะ
โลกธรรมฝ่ายน่าชังทั้ง 4 ประการ ได้แก่ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา และทุกข์นั้น เมื่อพิจารณาด้วยปัญญา จะเห็นว่ามันมีลักษณะเป็น ทุกขสัจจะ คือความจริงอันประเสริฐของความทุกข์ การประสบกับสิ่งที่ไม่อยากได้ การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก การถูกกดดันบีบคั้นจากสภาวะเหล่านี้คือ "ความทุกข์" โดยตรง การทำกิจในทุกขสัจจะคือการ กำหนดรู้ (ปริญญา) ว่าสภาวะเหล่านี้คือความจริงแห่งทุกข์ที่ต้องยอมรับ ไม่ใช่การหลีกหนีหรือปฏิเสธ เมื่อกำหนดรู้ตามจริง จิตจะเริ่มคลายความพยายามที่จะควบคุมสภาวะที่ควบคุมไม่ได้
3.2 การละความยึดในโลกธรรมฝ่ายน่าพอใจในฐานะสมุทัยสัจจะ
เมื่อเราเห็นความจริงอันเจ็บปวดและไม่เที่ยงของโลกธรรมฝ่ายน่าชัง (ทุกขสัจจะ) อย่างแจ่มแจ้งแล้ว สติปัญญาจะย้อนมาพิจารณาโลกธรรมฝ่ายน่าพอใจ (ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข) ว่าสิ่งเหล่านี้คือ สมุทัยสัจจะ คือต้นเหตุแห่งการเกิดทุกข์ เพราะความอยากได้ อยากมี อยากเป็น (ตัณหา) ในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข คือตัวการที่ทำให้เกิดความทุกข์รุนแรงเมื่อมันเสื่อมไป (ฝ่ายน่าชัง) การทำกิจในสมุทัยสัจจะคือการ ละ (ปหานะ) หรือการคลายความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งน่าพอใจเหล่านั้น การละนี้เกิดขึ้นโดยอาศัยการเห็นโทษจากฝ่ายตรงข้าม เมื่อเห็นทุกข์อย่างลึกซึ้ง จึงละเหตุแห่งทุกข์ได้อย่างจริงใจ
3.3 การทำกิจในอริยสัจ 4 ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์
เมื่อปฏิบัติการ "กำหนดรู้" ในทุกขสัจจะ (ฝ่ายน่าชัง) และ "ละ" ในสมุทัยสัจจะ (ฝ่ายน่าพอใจ) ได้อย่างนี้ เท่ากับได้ดำเนินอยู่บน มรรคสัจจะ (อริยมรรคมีองค์ 8) โดยมีสติเป็นเครื่องนำทาง ซึ่งผลของการทำกิจทั้งสองอย่างพร้อมกันย่อมนำไปสู่ นิโรธสัจจะ (ความดับทุกข์) คือจิตใจที่ตั้งมั่นอยู่กลางอุเบกขา ไม่หวั่นไหวเมื่อโลกธรรมฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเกิดขึ้นหรือตั้งอยู่ ดังนั้น การเจริญสติกำหนดรู้โลกธรรมทั้ง 8 จึงเป็นทางลัดสู่การทำกิจในอริยสัจ 4 ได้อย่างครบถ้วนและบริบูรณ์ตามความเป็นจริง ไม่ใช่เพียงการนึกหรือทึกทักเอา แต่เป็นญาณทัสสนะที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติ (อสัทธรรม คือธรรมอันไม่แท้จริงจะถูกละไปด้วยปัญญานี้)
4. บทสรุป
โลกธรรม 8 ประการนี้เป็นความจริงที่ปรากฏอยู่เป็นนิตย์ในชีวิตของเราทุกคน การเวียนว่ายอยู่ในโลกย่อมต้องพบเจอทั้งส่วนที่น่าพอใจและส่วนที่น่าชังสลับกันไป พระพุทธเจ้าทรงสอนให้กำหนดรู้โลกธรรม 8 โดยไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น ไม่ดีใจจนเกินไปเมื่อได้ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข และไม่เสียใจจนเกินไปเมื่อประสบกับความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์
ผู้มีปัญญาเมื่อประสบกับโลกธรรมจะพิจารณาด้วยโยนิโสมนสิการว่า "โลกธรรมเหล่านี้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา" ดังที่ปรากฏในพระไตรปิฎก การกำหนดรู้เช่นนี้ทำให้จิตใจมั่นคง ไม่ถูกโลกธรรมครอบงำ เป็นบ่อเกิดแห่งความสงบเย็น และเป็นหนทางสำคัญที่นำไปสู่ความหลุดพ้นจากวัฏสงสารในที่สุด
เพื่อความสะดวกในการจดจำและแบ่งปันแก่นธรรมแห่งโลกธรรม 8 สามารถใช้แฮชแท็กเหล่านี้ในการเผยแผ่และเตือนตนเอง:
#โลกธรรม8 #อัฏฐโลกธรรม #ธรรมะเพื่อชีวิต #ความไม่เที่ยง #อนิจจัง #กำหนดรู้ #การปล่อยวาง #สติ #หนทางพ้นทุกข์ #พระพุทธศาสนา
โลกธรรม 8: ธรรมควรกำหนดรู้เพื่อการดำเนินชีวิต (เอไอ สร้าง)
"โลกธรรม 8" (อัฏฐ โลกธรรม) คือสภาวะธรรม 8 ประการที่หมุนเวียนอยู่คู่กับโลกและชีวิตของมนุษย์ทุกคน เป็นความจริงสากลที่ไม่มีผู้ใดหลีกเลี่ยงพ้น โลกธรรมทั้ง 8 นี้แบ่งออกเป็นสองฝ่าย คือฝ่ายที่นำมาซึ่งความพอใจยินดี 4 ประการ และฝ่ายที่นำมาซึ่งความไม่พอใจความเกลียดชัง 4 ประการ การทำความเข้าใจและกำหนดรู้โลกธรรม 8 อย่างถ่องแท้ตามแนวทางของพระพุทธศาสนาจึงเป็นกุญแจสำคัญสู่การมีชีวิตที่สงบสุข ไม่หวั่นไหว และมุ่งสู่การหลุดพ้นจากกองทุกข์
1. ฝ่ายน่าพอใจ 4 ประการ (อิฏฐารมณ์)
โลกธรรมฝ่ายที่น่าพอใจและเป็นที่ปรารถนาของมนุษย์ทุกคนมี 4 ประการ ซึ่งเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่มักแสวงหา ยึดมั่น และดีใจเมื่อได้มา:
1.1 ลาภ (ได้ลาภ)
ลาภในที่นี้หมายถึงการได้มาซึ่งสิ่งที่เป็นประโยชน์และเป็นที่ต้องการ ทั้งทรัพย์สินเงินทอง ชื่อเสียง ตำแหน่ง หรือผลประโยชน์ต่าง ๆ ตามพระไตรปิฎกและอรรถกถา ลาภเป็นโลกธรรมประการแรกที่มนุษย์ยินดีเมื่อประสบพบเจอ เมื่อได้ลาภก็เกิดความสุข ความอิ่มเอมใจ ความกระหยิ่มยิ้มย่อง ซึ่งเป็นอาการของโลกที่เข้ามาย้อมใจให้ติดอยู่ในความเพลิดเพลิน ความดีใจนี้จึงเป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้ว่ามันไม่เที่ยงแท้และยั่งยืน
1.2 ยศ (ได้ยศ)
ยศหมายถึงความมีตำแหน่ง หน้าที่ อำนาจ ความเป็นใหญ่ หรือการได้รับยกย่องนับถือจากสังคม การได้ยศเป็นเครื่องยืนยันถึงความสำคัญและสถานะในกลุ่มชน ทำให้เกิดความภาคภูมิใจ ความเคารพนบนอบจากผู้อื่น เมื่อมีผู้สรรเสริญยกย่อง ก็เป็นเหตุให้เกิดความพึงพอใจและติดอยู่ในมานะทิฐิ การกำหนดรู้ยศจึงเป็นการเห็นตามความเป็นจริงว่ายศเป็นเพียงสมมติที่อาจเสื่อมลงได้ตลอดเวลา
1.3 สรรเสริญ (ได้สรรเสริญ)
สรรเสริญคือการกล่าวถ้อยคำชื่นชม ชมเชย ยกย่องคุณความดีทั้งต่อหน้าและลับหลัง เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงกำลังใจและเพิ่มความมั่นใจให้แก่ผู้ที่ได้รับ ผู้ที่ได้รับสรรเสริญมักรู้สึกเป็นสุข เบิกบานใจ และปรารถนาที่จะได้รับคำสรรเสริญเช่นนี้อยู่เสมอ อรรถกถากล่าวถึงสรรเสริญว่าเป็นการบำรุงจิตใจอย่างหนึ่ง แต่หากไม่กำหนดรู้ ย่อมทำให้เกิดความทะนงตน และหวั่นไหวเมื่อถูกนินทา
1.4 สุข (ได้สุข)
สุขคือความสบายกายสบายใจ ความรู้สึกดี เป็นความพอใจที่ได้รับจากการสัมผัสกับอารมณ์อันน่าปรารถนา เช่น การได้รับความเพลิดเพลินทางประสาทสัมผัส การปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ หรือการได้รับความสำเร็จตามที่หวัง สุขเป็นสิ่งที่โลกแสวงหา แต่เป็นสุขที่อาศัยปัจจัยปรุงแต่ง (สังขาร) จึงมีลักษณะไม่เที่ยงแท้ การกำหนดรู้สุขคือการเห็นว่าสุขนั้นเป็นเพียงชั่วคราว มีเกิดแล้วก็มีดับไป
2. ฝ่ายน่าชัง 4 ประการ (อนิฏฐารมณ์)
โลกธรรมฝ่ายที่ไม่น่าพอใจและเป็นสิ่งที่มนุษย์พยายามหลีกหนี มี 4 ประการ ซึ่งเป็นสิ่งที่นำมาซึ่งความทุกข์ ความโศกเศร้า และความคับข้องใจเมื่อประสบพบเจอ:
2.1 เสื่อมลาภ (เสียลาภ)
เสื่อมลาภคือการสูญเสียผลประโยชน์ ทรัพย์สินเงินทอง ตำแหน่ง หรือสิ่งที่เคยได้มาให้หมดไป เช่น การขาดทุน การถูกยึดทรัพย์ การถูกปลดออกจากตำแหน่ง การเสื่อมลาภนำมาซึ่งความวิตกกังวล ความเสียดาย และความทุกข์ใจอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ยึดติดในลาภนั้น การกำหนดรู้เสื่อมลาภคือการตระหนักว่าสิ่งเหล่านี้เป็นของกลาง เป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
2.2 เสื่อมยศ (เสียยศ)
เสื่อมยศคือการสูญเสียตำแหน่ง หน้าที่ อำนาจ หรือความเคารพจากผู้อื่น เช่น การถูกลดตำแหน่ง การถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม การไม่มีใครให้ความสำคัญ การเสื่อมยศเป็นสิ่งที่ทำลายความภาคภูมิใจและอาจนำไปสู่ความอับอายและความคับแค้นใจอย่างรุนแรง การกำหนดรู้เสื่อมยศคือการเห็นว่ายศเป็นสมมติที่ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขทางสังคม เมื่อเงื่อนไขเปลี่ยน ยศก็เปลี่ยนตาม
2.3 นินทา (ถูกนินทา)
นินทาคือการกล่าวโทษ ติเตียน หรือกล่าวคำที่ไม่ดีเกี่ยวกับผู้อื่นทั้งต่อหน้าและลับหลัง การถูกนินทาเป็นเครื่องบั่นทอนกำลังใจ สร้างความขุ่นเคืองใจ และความไม่พอใจในตนเอง โดยธรรมชาติแล้วมนุษย์มักไม่ชอบถูกวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ลบ คัมภีร์ต่าง ๆ สอนว่าบุคคลผู้ไม่ถูกนินทาเลยนั้นไม่มีในโลก การกำหนดรู้นินทาคือการมีสติรับรู้ว่าคำนินทาเป็นเพียงเสียง เป็นเพียงลมปาก มิได้ทำให้คุณค่าความเป็นคนลดลง และใช้คำนินทานั้นเป็นเครื่องพิจารณาตนเอง
2.4 ทุกข์ (ได้ทุกข์)
ทุกข์คือความไม่สบายกายไม่สบายใจ ความอึดอัดขัดข้อง ความรู้สึกไม่ดี เป็นผลมาจากการสัมผัสกับอารมณ์อันไม่น่าปรารถนา เช่น การเจ็บป่วยทางร่างกาย ความผิดหวังในชีวิต ความเศร้าโศกเสียใจ ทุกข์เป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่อยากประสบและพยายามหลีกหนี การกำหนดรู้ทุกข์คือการเห็นความจริงตามอริยสัจ 4 ว่าทุกข์เป็นของธรรมดาที่เกิดจากการปรุงแต่งและมีอยู่ในตัวตนของเราทุกคน
3. เคล็ดที่ไม่ลับสำหรับการตามเจริญสติกำหนดรู้โลกธรรม: กิจในอริยสัจ 4
พระพุทธองค์ทรงแสดงหลักการปฏิบัติที่เหนือโลก (โลกุตตระ) ซึ่งอยู่คู่ขนานไปกับโลกธรรม (โลกียะ) การตามเจริญสติกำหนดรู้โลกธรรม 8 ประการอย่างแท้จริงนั้น คือการทำกิจในอริยสัจ 4 ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์โดยไม่ทึกทักเอาเอง แต่เป็นไปตามความเป็นจริง (ยถาภูตญาณทัสสนะ)
3.1 การกำหนดรู้โลกธรรมฝ่ายน่าชังในฐานะทุกขสัจจะ
โลกธรรมฝ่ายน่าชังทั้ง 4 ประการ ได้แก่ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา และทุกข์นั้น เมื่อพิจารณาด้วยปัญญา จะเห็นว่ามันมีลักษณะเป็น ทุกขสัจจะ คือความจริงอันประเสริฐของความทุกข์ การประสบกับสิ่งที่ไม่อยากได้ การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก การถูกกดดันบีบคั้นจากสภาวะเหล่านี้คือ "ความทุกข์" โดยตรง การทำกิจในทุกขสัจจะคือการ กำหนดรู้ (ปริญญา) ว่าสภาวะเหล่านี้คือความจริงแห่งทุกข์ที่ต้องยอมรับ ไม่ใช่การหลีกหนีหรือปฏิเสธ เมื่อกำหนดรู้ตามจริง จิตจะเริ่มคลายความพยายามที่จะควบคุมสภาวะที่ควบคุมไม่ได้
3.2 การละความยึดในโลกธรรมฝ่ายน่าพอใจในฐานะสมุทัยสัจจะ
เมื่อเราเห็นความจริงอันเจ็บปวดและไม่เที่ยงของโลกธรรมฝ่ายน่าชัง (ทุกขสัจจะ) อย่างแจ่มแจ้งแล้ว สติปัญญาจะย้อนมาพิจารณาโลกธรรมฝ่ายน่าพอใจ (ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข) ว่าสิ่งเหล่านี้คือ สมุทัยสัจจะ คือต้นเหตุแห่งการเกิดทุกข์ เพราะความอยากได้ อยากมี อยากเป็น (ตัณหา) ในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข คือตัวการที่ทำให้เกิดความทุกข์รุนแรงเมื่อมันเสื่อมไป (ฝ่ายน่าชัง) การทำกิจในสมุทัยสัจจะคือการ ละ (ปหานะ) หรือการคลายความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งน่าพอใจเหล่านั้น การละนี้เกิดขึ้นโดยอาศัยการเห็นโทษจากฝ่ายตรงข้าม เมื่อเห็นทุกข์อย่างลึกซึ้ง จึงละเหตุแห่งทุกข์ได้อย่างจริงใจ
3.3 การทำกิจในอริยสัจ 4 ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์
เมื่อปฏิบัติการ "กำหนดรู้" ในทุกขสัจจะ (ฝ่ายน่าชัง) และ "ละ" ในสมุทัยสัจจะ (ฝ่ายน่าพอใจ) ได้อย่างนี้ เท่ากับได้ดำเนินอยู่บน มรรคสัจจะ (อริยมรรคมีองค์ 8) โดยมีสติเป็นเครื่องนำทาง ซึ่งผลของการทำกิจทั้งสองอย่างพร้อมกันย่อมนำไปสู่ นิโรธสัจจะ (ความดับทุกข์) คือจิตใจที่ตั้งมั่นอยู่กลางอุเบกขา ไม่หวั่นไหวเมื่อโลกธรรมฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเกิดขึ้นหรือตั้งอยู่ ดังนั้น การเจริญสติกำหนดรู้โลกธรรมทั้ง 8 จึงเป็นทางลัดสู่การทำกิจในอริยสัจ 4 ได้อย่างครบถ้วนและบริบูรณ์ตามความเป็นจริง ไม่ใช่เพียงการนึกหรือทึกทักเอา แต่เป็นญาณทัสสนะที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติ (อสัทธรรม คือธรรมอันไม่แท้จริงจะถูกละไปด้วยปัญญานี้)
4. บทสรุป
โลกธรรม 8 ประการนี้เป็นความจริงที่ปรากฏอยู่เป็นนิตย์ในชีวิตของเราทุกคน การเวียนว่ายอยู่ในโลกย่อมต้องพบเจอทั้งส่วนที่น่าพอใจและส่วนที่น่าชังสลับกันไป พระพุทธเจ้าทรงสอนให้กำหนดรู้โลกธรรม 8 โดยไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น ไม่ดีใจจนเกินไปเมื่อได้ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข และไม่เสียใจจนเกินไปเมื่อประสบกับความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์
ผู้มีปัญญาเมื่อประสบกับโลกธรรมจะพิจารณาด้วยโยนิโสมนสิการว่า "โลกธรรมเหล่านี้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา" ดังที่ปรากฏในพระไตรปิฎก การกำหนดรู้เช่นนี้ทำให้จิตใจมั่นคง ไม่ถูกโลกธรรมครอบงำ เป็นบ่อเกิดแห่งความสงบเย็น และเป็นหนทางสำคัญที่นำไปสู่ความหลุดพ้นจากวัฏสงสารในที่สุด
เพื่อความสะดวกในการจดจำและแบ่งปันแก่นธรรมแห่งโลกธรรม 8 สามารถใช้แฮชแท็กเหล่านี้ในการเผยแผ่และเตือนตนเอง:
#โลกธรรม8 #อัฏฐโลกธรรม #ธรรมะเพื่อชีวิต #ความไม่เที่ยง #อนิจจัง #กำหนดรู้ #การปล่อยวาง #สติ #หนทางพ้นทุกข์ #พระพุทธศาสนา