แล้วก็มาถึง เรื่องสั้น เรื่องแรกของไตรมาสที่ 2...
ขอทบทวนกฏ กติกา อีกสักครั้งนะครับ
จากนี้ไป การให้คะแนนสำหรับเจ้าของถุงมือ ให้เป็นดังนี้
1. หลังจากผู้อ่าน อ่านงานของเจ้าของถุงมือแล้ว อย่าเพิ่งทายว่าใครเขียน ให้ตัดสินใจ "ให้เกรด" แก่งานนั้น คือ A B C D โดยมีความหมาย ดังนี้
A = ชอบมาก (ไม่เกี่ยวกับว่า
ดี หรือ
ไม่ดี เอาความชอบเข้าว่า!)
B = ชอบ
C = ก็โอเคน่ะ!
D = เฉยๆ
เกรดเหล่านี้ จะมีผล เมื่อคะแนนเท่ากัน เวลาตัดสินครับ ใครได้ A มากกว่าก็จะให้คนนั้นอยู่ในอันดับเหนือกว่า
และเกรดที่ให้ จะใส่เครื่องหมาย บวก หรือ ลบ เช่น A+ B- ได้ เพื่อความละเอียดยิ่งขึ้นได้นะครับ
ป.ล. การให้เกรดนี้ กรรมการ ขอ "ทดลองใช้" ไปก่อนสักระยะ หากเห็นว่าไม่เวิร์ค ก็จะยกเลิกครับ
2. ส่วนการทาย
ถ้าทายถูกคนเดียว 30 คะแนนเหมือนเดิม
ถ้าถูก 2 คน คนละ 15 คะแนน
ถ้าถูก 3 คนขึ้นไป ให้เครดิตคนถูกคนแรกสุด (ทายก่อนเพื่อน) 20 คะแนน คนอื่นๆที่ตามมา คนละ 10 คะแนน
*** พิเศษ
ถ้าทายก่อนภาพปริศนาหรือปริศนาอื่นๆจะมา และทายถูก และไม่เปลี่ยนคำตอบ จะคูณสอง !! ***
เอาละครับ เตรียมอ่านเรื่องสั้นเรื่องแรก ประเดิมไตรมาสที่ 2 กันเลย...
เรื่องนี้จะแหวกแนวในการนำเสนอ เพราะจะไม่จบบริบูรณ์ และเป็น "เรื่องสั้นขนาดยาว" เรื่องแรก ยาวที่สุดละครับ เท่าที่เคยมีมา
เพื่อมิให้เสียเวลา มาอ่านกันเลยครับ แล้วค่อยหาคนเขียนทีหลัง....


[1]
เสียงของประตูเหล็กค่อย ๆ เลื่อนขึ้นจากรอก เมื่อฉันลืมตาและเพ่งมองไปยังสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ร่างของนายอสูรเยื้องผ่านคบไฟ เหล่าบริวารลูกน้องต่างคุกเข่า ไม่นานนัก เจ้าชายอสูรคนนี้นั่งลงอยู่ตรงหน้าฉัน มีเพียงแค่รั้วไม้ที่กั้นระหว่างฉันและเขา ฉันถูกขังอยู่ข้างในพร้อมโซ่ตรวนพันธนาการ
“พวกเจ้าออกไปก่อน” เขาโบกมือไล่ เหล่าบริวารพลันถืออาวุธออกจากคุกใต้ดิน ในตอนนี้ เจ้าชายอสูรนั่งลงข้างหน้าฉัน เอาเข่าชันขึ้น มีเพียงแค่เขาและฉัน กับความหวาดกลัวเมื่อฉันมองไปยังดวงตาที่คล้ายดั่งเพลิงซึ่งลุกโชน
“เจ้าหญิงนาตาเซีย ข้ามาเพื่อพบท่าน” เสียงอันทรงพลังและบารมีเปล่งออกจากลำคอทำให้ฉันตัวสั่นกว่าเดิม
“ข้าชื่อไซเยฟ” เขาเว้นวรรค “บุตรของกษัตริย์อาเตน”
“ท่านไม่ต้องกลัว ข้ามาดี ข้าเพียงแค่อยากพบกับท่าน” แม้ว่าใบหน้าของเขาจะไม่ปรากฏรอยยิ้ม แต่ด้วยท่าทีที่ไม่เกรี้ยวกราด ฉันพอจะกล้าสบตาเขาได้
“ท่านต้องการอะไร” ฉันถาม พลางกอดเข่าใต้ผ้าห่มอันเบาบาง เพราะความหนาวในคืนนี้ ความกลัว และความสับสน ฉันคิดถึงท่านพ่อและท่านแม่ ป่านนี้พวกท่านคงสั่งให้กองทัพอันศักดิ์สิทธิ์ออกตามหาตัวฉัน แต่ใครเล่าจะรู้ว่าฉันถูกจับตั้งแต่เมื่อคืนนี้ ขณะที่ฉันเดินทางออกตามหาบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์นอกเขตบราตสก์เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของแม่ทัพคนสำคัญ เพราะพรจากพระผู้เป็นเจ้า ฉันจึงเป็นเพียงคนเดียวที่ค้นหาบ่อน้ำนั้นได้
“ข้าเองก็กังวลใจไม่น้อย” เจ้าชายไซเยฟเริ่มต้นเล่า “สงครามระหว่างพวกฉันและเธอดำเนินมากว่าสองปีแล้ว ความรุนแรง บาดหมาง มันเริ่มขึ้นเพราะคำทำนาย เรื่องนี้เราต่างรู้” ใช่ ฉันรู้ ถึงแม้ว่าฉันจะไม่พยักหน้า แต่ฉันกลับเห็นด้วยภายในใจ เพราะเนิ่นนาน ศัตรูของฉันเพียงผู้เดียวที่ฉันจำความได้นั้นคือพวกอสูรกาย ฉันได้รับคำบอกกล่าวอย่างหยาบ ๆ ว่าเผ่าอสูรซึ่งน่ารังเกียจและเป็นศัตรูของพระผู้เป็นเจ้ากำลังจะยึดครองดินแดนของพวกเราเข้าสักวัน แต่ถึงแม้ว่าพวกมันจะเป็นศัตรูที่น่ารังเกียจและต้องถูกกำจัดในไม่ช้า แต่เผ่าอสูรและกลุ่มนักบวชต่างขีดเส้นแบ่งเขตแดนไว้ซึ่งกันและกัน ทั้งเราและมันต่างรอคอยคำทำนายที่จะอนุญาตให้เราทำศึกสงครามได้ คำทำนายนั้นบอกกับเราว่าจุดจบของโลกกำลังจะสิ้นสุดลงเมื่อแสงแห่งดวงอาทิตย์เริ่มอ่อนกำลังลง ปรากฏการณ์นี้เริ่มขึ้นเมื่อสามปีที่แล้ว เมื่อทุกคนต่างสังเกตว่าดวงอาทิตย์ตกเร็วกว่าปกติ และในทุก ๆ วัน ดวงอาทิตย์จะตกเร็วกว่าปกติหนึ่งนาที จนกระทั่งเมื่อเวลาผ่านไปประมาณครึ่งปี เสด็จพ่อของฉันทรงนำคณะบิชอปออกมาประกาศท่ามกลางปวงชนของพระผู้เป็นเจ้า
“แสงอาทิตย์เริ่มอ่อนกำลังเรื่อย ๆ คำทำนายนั้นเป็นจริงแล้ว พวกเราต้องทำสงครามห้ำหั่นกับพวกมัน และกลุ่มของเราจะต้องเป็นกลุ่มสุดท้ายที่เหลืออยู่บนโลกแห่งนี้”
คำประกาศซึ่งเปล่งออกไปนั้นทำให้เกิดสองท่าที หนึ่งนั้นคือปวงชนของพระผู้เป็นเจ้าต่างดีใจที่จะกำจัดเหล่าอสูรนั้นได้ สองคือความรู้สึกที่ว่าพวกเขารู้ตัวดีว่าจุดจบของโลกกำลังจะมาถึงในไม่ช้า พวกเราทุกคนจะต้องตายจากกันไป หากแต่คำทำนายกล่าวไว้ว่าชนกลุ่มใดที่เหลือรอดจนวันสุดท้ายของโลก ผู้นั้นจะถูกเลือกขึ้นเพื่ออยู่กับพระผู้เป็นเจ้าของตน ใช่ พระผู้เป็นเจ้าของตนในทัศนะของพวกเราคือพระผู้เป็นเจ้าในสรวงสวรรค์ หาใช่ซาตานในนรกไม่ หลังจากสิ้นสุรเสียงกังวาลไปทั่วทั้งเขตแดนแคว้นบราตสก์ และระฆังแห่งสงครามดังลั่น เราต่างใช้เวลาทั้งสิ้นหกเดือนในการเตรียมอาวุธและเสบียง ฉันไม่รู้ว่าสงครามจะยืดเยื้ออีกนานเท่าใด ตราบใดที่ใจกลางปราสาทซึ่งพระผู้เป็นเจ้าสถิตอยู่ยังถูกปกป้องไว้ได้ เรายังมีความหวัง แต่เงื่อนไขที่สุดจะกล้ำกลืนได้ลงและขวางทางโค่นผู้นำอสูรนั้นคือ แสงอาทิตย์ที่มอดไหม้จะทำให้พลังแห่งแสงสว่างในกองทัพอ่อนลง เรากำลังเผชิญหน้ากับความเป็นจริงนั้น เมื่อความมืดเข้าปกคลุมเรื่อย ๆ นานวันเข้า เหล่าอสูรกลับมีพละกำลังที่แข็งแกร่ง จนกระทั่งในวันสุดท้ายของโลก พวกเราต่างกังวลและหวาดหวั่นว่าอสูรจะเป็นฝ่ายได้ชัย และพวกเราถูกทอดทิ้งจากพระผู้เป็นเจ้า ตกนรกอเวจี
“เจ้าหญิงฯ ท่านมีความฝันคล้ายกับข้าหรือเปล่า” เจ้าชายไซเยฟเปล่งวาจาด้วยความสนเท่ห์ เช่นเดียวกับม่านตาของฉันที่ขยายออก ฉันไม่นึกฝันว่าเขาจะรับรู้เรื่องราวที่เป็นความลับสุดยอดเช่นนี้ ฉันเก็บอาการอยากรู้ไว้ไม่อยู่ ร่างกายของฉันสั่นเทิ้ม เนื้อตัวตามร่างกายและรูขุมขนลุกซู่ ทว่าเบื้องหน้าของฉันคืออริมั่น ฉันจึงเก็บวาจาโต้ตอบนั้นไว้ เบือนหน้าไปทางอื่น
“เจ้าหญิงฯ” เขาว่า มือทั้งสองกำรั้วไม้มั่น “ท่านเองก็เป็นเช่นนั้นใช่หรือไม่ ความฝันนั้นอยู่บนโลกที่ข้าไม่รู้ความหมายใด ๆ ข้าฝันถึงมันมาตลอด” ฉันยังคงแน่นิ่งไม่ไหวเอน
“ตอบข้าเถิด ขอร้องล่ะ” เจ้าชายไซเยฟก้มหน้า “ข้าสับสนปละปั่นป่วนไปหมด ทั้งตัวของข้า และตัวของท่าน แน่นอน ข้าฝันเห็นท่าน เจ้าหญิงนาตาเซีย หากว่าไม่ใช่ท่านในรูปเชิงแบบนี้ ข้าไม่รู้ว่าจักนิยามท่านในความฝันนั้นว่าอย่างไร”
“โปรดแจงคำบรรยายของท่านมาเถิด ข้าจะรอฟัง” ฉันเชิดหน้าขึ้น จดจ้องไปยังใบหน้าของเขาอีกครั้ง
“บนความฝันนั้น มีทั้งตัวข้า และตัวท่าน เราอยู่บนโลกที่ข้าอธิบายไม่ได้...โลก ที่เต็มไปด้วยเกวียนเหล็กน้อยใหญ่ลอยได้ ป้อมปราการสูงเฉียดฟ้าแทงทะลุฟ้าเมฆเต็มไปหมด มันน่าสะพรึงกลัวต่อความยิ่งใหญ่นั้น เหล่าผู้คนก็แต่งตัวประหลาด พวกเขาเดินไปมาในป้อมปราการ พูดภาษาซึ่งข้าไม่อาจเข้าใจ บนโลกที่ควันและฝุ่นสีแดงจากทรายแห้ง ๆ ตลบไปทั้งพื้นดิน ข้ามองไม่เห็นพื้นดิน หรืออาจมองได้ไม่ชัดเจนนัก หากแต่ข้าสัมผัสได้ว่ามันร้อนทุรนทุราย ผู้คนบนโลกนั้นรวมทั้งตัวข้าไม่อาจทนต่อสภาพอากาศเช่นนั้นได้นานนัก” เจ้าชายไซเยฟกล่าวความจบไปหนึ่งวรรค เขากลืนน้ำลายลงคอ ภาพของความร้อนแผ่ซ่านมายังจิตใจของฉัน
“ข้าหลบอยู่ในห้องลับใต้ถุนพื้นดินนั้น ข้าตระหนักได้ถึงความอันตรายบางอย่างบนโลกแห่งนั้นเช่นกัน นอกเหนือจากสภาพอากาศที่รวนเร ข้าเองต้องอยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ อึดอัดใจ และรู้สึกสูญเสีย ข้าไม่รู้ว่าก่อนหน้านั้นเกิดอะไรขึ้น แต่ข้าก็ยังมุ่งมั่นกับการตั้งใจหลบซ่อนและเก็บบางสิ่งไว้ มันเป็นภาระซึ่งข้าต้องสำเร็จจงได้”
“ข้าเห็นท่าน เจ้าหญิงนาตาเซีย” เขาสัมผัสกับสถานการณนั้นอย่างจริงจัง “บนความฝันนั้น ข้าเห็นท่านอย่างชัดเจนบนสิ่งพิมพ์บางอย่าง ผมสีทอง กับดวงตาเย็นชาของท่าน ข้าเห็นท่านทุกวันบนข่าวสารบางอย่าง มันโจมตีจิตใจของข้า”
ฉันอยากมองหน้าเขาและเฝ้าติดตามทีท่า แต่อากัปกิริยาของฉันแน่นิ่ง แม้ภายในใจของฉันมันร้อนรนไปด้วยความอยากรู้ เช่นกันที่ความฝันของฉันเกิดขึ้นในมุมมองเดียวกับเขา ฉันอยากจะสนทนากับเขาให้มันชัดเจนกว่านี้ แต่ในตอนนี้ ฉันมิอาจมีปฏิสันถารกับพวกอสูรได้ มิใช่เพราะฉันเกลียดพวกเขา แต่ช่องว่างระหว่างเผ่าพันธุ์นั้นมากเกินไป ฉันเกรงว่าหากมีใครรู้เรื่องนี้เข้าจะบั่นทอนพวกเรามากกว่า
ฉันตัดสินใจเบือนหน้าหนี พลางพูดกับเขาว่า
“ท่านพูดเรื่องอะไรหรือ”
“เจ้าหญิงนาตาเซีย ข้าอยากรู้เรื่องของท่าน ข้ามั่นใจว่าท่านจักต้องรู้เรื่องนี้เป็นแน่” เจ้าชายไซเยฟกระตือรือร้น เขาสนใจเรื่องนี้มากกว่าความเป็นไปในสงครามอันศักดิ์สิทธิ์
“เจ้าชายไซเยฟ ท่านควรเสด็จกลับไปเถิด เรามิควรต้องมาสนทนากันแบบนี้”
“เจ้าหญิงฯ ข้าขอร้องเถอะ” แววตาของเขาเว้าวอน
“โปรดบอกมันด้วยความสัตย์จริง หากว่าท่านคิดว่าข้าอุปาทานไปเอง ท่านก็แค่เอ่ยวาจา ข้าจักรีบไปจากท่านโดยเร็วพลัน” ฉันลังเลและหนักใจ เพราะฉันมิอาจโกหกใครได้ ฉันปล่อยให้ความเงียบดำเนินเรื่องราว อากาศหนาวที่แผ่ลงมาคลุมคุกเชลยชั้นใต้ดินปล่อยให้ฉันอ้างว้าง
“เจ้าชายไซเยฟ”
“ตัวข้านั้น...” เขาเบิกตาโพลง เฝ้ารอคำตอบจากฉัน
“ข้ามีความฝันคล้ายกับท่าน” อาการของเขาประหลาดใจ เขาอุทานออกมาจากลำคอ
“ได้โปรด เจ้าหญิง เล่าเรื่องของท่านให้ข้าฟัง”
“ข้าไม่รู้อะไรนัก” ฉันกล่าวไปตามความจริง ด้วยความทรงจำอันสับสนระหว่างความจริงและความฝัน ฉันชันเข่าลง คุกเข่าและบิดขาเป็นท่านั่งพับเพียบ มือยันพื้นดินซึ่งเต็มไปด้วยกองฟางแห้ง ๆ ผืนหนึ่ง “ในความฝันนั้น มันอ้างว้าง ฉันเป็นใครสักคนหนึ่งซึ่งอยู่บนหอคอยสูง คอยกำกับผู้คนด้วยถ้อยคำบางอย่างซึ่งฉันไม่ทราบ ความเด็ดเดี่ยว มุ่งมั่น และแข็งแกร่งปรากฏในตัวตนของข้า ดวงตาอันมั่นคง ไม่แกว่งไกว ไม่โอนเอน ใจซึ่งมั่นคงดั่งหินผา ข้ากลายเป็นหญิงสาวซึ่งมีท่อนเหล็กในตัว”
“ใช่แล้ว” เขาอุทานด้วยความนึกคิดเห็นพ้อง “ข้าสัมผัสได้ว่าท่านในความฝันเป็นหญิงแกร่ง เธอควบคุมทุกอย่างเบ็ดเสร็จ”
“แต่มันจะมีประโยชน์อันใดหรือเจ้าชายไซเยฟ บุตรแห่งจอมอสูรอาเตน ความฝันนั้นมิบังเกิดผลดีอะไรกับเรา มันอาจเป็นแค่นิมิตแปลกปลอมซึ่งไม่มีเค้าลางความจริง ท่านจะยึดติดความคิดเช่นนี้ไปทำไมกัน”
“เจ้าหญิง ข้าเห็นอะไรบางอย่างในนั้น...” คราวนี้ เป็นตัวฉันเองที่ใคร่สงสัย เขามีสิ่งใดที่ดูมีความสนใจ และความสนใจของเขานั้นกลับมีพลังเต็มล้นทีเดียว
“ท่ามกลางสงครามและความขัดแย้งที่มีมาเนิ่นนาน บางสิ่งบางอย่างในนั้นกำลังบอกข้าว่ามันไม่มีเหตุผลที่เราจะดิ้นรนต่อสู้กันอย่างนี้เลย” ฉันคิดตามคำพูดของเขา
“ไม่มีใครอยากเริ่มสงคราม เพราะสงครามนำมาซึ่งความสูญเสียทั้งตัวข้าและท่าน” ฉันกล่าว “สงครามเป็นเวลาที่ถอยหลังให้เราต้องอยู่รอด แต่สถานการณ์ในตอนนี้ เราต่างรู้ว่าไม่มีอะไรฉุดรั้งแสงของดวงอาทิตย์ได้ มันกำลังดับลง และพวกเราทุกจะตายหมด หากแต่ทั้งหมดก็เป็นไปตามบัญญัติมิใช่หรือ บัญญัตินั้นบอกกับเราว่าจุดสิ้นสุดบนโลกนี้ หลังจากที่เราต่างถูกจองจำบนโลกนี้มาเนิ่นนาน บรรพบุรุษ ญาติพี่น้อง วงวารซึ่งเกิดและตายมานับรอบไม่ได้ เรากำลังจะหลุดพ้นวัฎฯนี้ด้วยสงครามไม่ใช่หรือ”
(มีต่อครับ)
💖💦⚡️ THE WEEKLY GLOVES วีคที่ 14 เรื่องสั้น#26 "เหนือเส้นขอบฟ้า ที่ที่ความฝันและจินตนาการเร้นหาย" ⚡️💦💖
แล้วก็มาถึง เรื่องสั้น เรื่องแรกของไตรมาสที่ 2...
ขอทบทวนกฏ กติกา อีกสักครั้งนะครับ
จากนี้ไป การให้คะแนนสำหรับเจ้าของถุงมือ ให้เป็นดังนี้
1. หลังจากผู้อ่าน อ่านงานของเจ้าของถุงมือแล้ว อย่าเพิ่งทายว่าใครเขียน ให้ตัดสินใจ "ให้เกรด" แก่งานนั้น คือ A B C D โดยมีความหมาย ดังนี้
A = ชอบมาก (ไม่เกี่ยวกับว่า ดี หรือ ไม่ดี เอาความชอบเข้าว่า!)
B = ชอบ
C = ก็โอเคน่ะ!
D = เฉยๆ
เกรดเหล่านี้ จะมีผล เมื่อคะแนนเท่ากัน เวลาตัดสินครับ ใครได้ A มากกว่าก็จะให้คนนั้นอยู่ในอันดับเหนือกว่า
และเกรดที่ให้ จะใส่เครื่องหมาย บวก หรือ ลบ เช่น A+ B- ได้ เพื่อความละเอียดยิ่งขึ้นได้นะครับ
ป.ล. การให้เกรดนี้ กรรมการ ขอ "ทดลองใช้" ไปก่อนสักระยะ หากเห็นว่าไม่เวิร์ค ก็จะยกเลิกครับ
2. ส่วนการทาย
ถ้าทายถูกคนเดียว 30 คะแนนเหมือนเดิม
ถ้าถูก 2 คน คนละ 15 คะแนน
ถ้าถูก 3 คนขึ้นไป ให้เครดิตคนถูกคนแรกสุด (ทายก่อนเพื่อน) 20 คะแนน คนอื่นๆที่ตามมา คนละ 10 คะแนน
*** พิเศษ ถ้าทายก่อนภาพปริศนาหรือปริศนาอื่นๆจะมา และทายถูก และไม่เปลี่ยนคำตอบ จะคูณสอง !! ***
เอาละครับ เตรียมอ่านเรื่องสั้นเรื่องแรก ประเดิมไตรมาสที่ 2 กันเลย...
เรื่องนี้จะแหวกแนวในการนำเสนอ เพราะจะไม่จบบริบูรณ์ และเป็น "เรื่องสั้นขนาดยาว" เรื่องแรก ยาวที่สุดละครับ เท่าที่เคยมีมา
เพื่อมิให้เสียเวลา มาอ่านกันเลยครับ แล้วค่อยหาคนเขียนทีหลัง....
[1]
เสียงของประตูเหล็กค่อย ๆ เลื่อนขึ้นจากรอก เมื่อฉันลืมตาและเพ่งมองไปยังสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ร่างของนายอสูรเยื้องผ่านคบไฟ เหล่าบริวารลูกน้องต่างคุกเข่า ไม่นานนัก เจ้าชายอสูรคนนี้นั่งลงอยู่ตรงหน้าฉัน มีเพียงแค่รั้วไม้ที่กั้นระหว่างฉันและเขา ฉันถูกขังอยู่ข้างในพร้อมโซ่ตรวนพันธนาการ
“พวกเจ้าออกไปก่อน” เขาโบกมือไล่ เหล่าบริวารพลันถืออาวุธออกจากคุกใต้ดิน ในตอนนี้ เจ้าชายอสูรนั่งลงข้างหน้าฉัน เอาเข่าชันขึ้น มีเพียงแค่เขาและฉัน กับความหวาดกลัวเมื่อฉันมองไปยังดวงตาที่คล้ายดั่งเพลิงซึ่งลุกโชน
“เจ้าหญิงนาตาเซีย ข้ามาเพื่อพบท่าน” เสียงอันทรงพลังและบารมีเปล่งออกจากลำคอทำให้ฉันตัวสั่นกว่าเดิม
“ข้าชื่อไซเยฟ” เขาเว้นวรรค “บุตรของกษัตริย์อาเตน”
“ท่านไม่ต้องกลัว ข้ามาดี ข้าเพียงแค่อยากพบกับท่าน” แม้ว่าใบหน้าของเขาจะไม่ปรากฏรอยยิ้ม แต่ด้วยท่าทีที่ไม่เกรี้ยวกราด ฉันพอจะกล้าสบตาเขาได้
“ท่านต้องการอะไร” ฉันถาม พลางกอดเข่าใต้ผ้าห่มอันเบาบาง เพราะความหนาวในคืนนี้ ความกลัว และความสับสน ฉันคิดถึงท่านพ่อและท่านแม่ ป่านนี้พวกท่านคงสั่งให้กองทัพอันศักดิ์สิทธิ์ออกตามหาตัวฉัน แต่ใครเล่าจะรู้ว่าฉันถูกจับตั้งแต่เมื่อคืนนี้ ขณะที่ฉันเดินทางออกตามหาบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์นอกเขตบราตสก์เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของแม่ทัพคนสำคัญ เพราะพรจากพระผู้เป็นเจ้า ฉันจึงเป็นเพียงคนเดียวที่ค้นหาบ่อน้ำนั้นได้
“ข้าเองก็กังวลใจไม่น้อย” เจ้าชายไซเยฟเริ่มต้นเล่า “สงครามระหว่างพวกฉันและเธอดำเนินมากว่าสองปีแล้ว ความรุนแรง บาดหมาง มันเริ่มขึ้นเพราะคำทำนาย เรื่องนี้เราต่างรู้” ใช่ ฉันรู้ ถึงแม้ว่าฉันจะไม่พยักหน้า แต่ฉันกลับเห็นด้วยภายในใจ เพราะเนิ่นนาน ศัตรูของฉันเพียงผู้เดียวที่ฉันจำความได้นั้นคือพวกอสูรกาย ฉันได้รับคำบอกกล่าวอย่างหยาบ ๆ ว่าเผ่าอสูรซึ่งน่ารังเกียจและเป็นศัตรูของพระผู้เป็นเจ้ากำลังจะยึดครองดินแดนของพวกเราเข้าสักวัน แต่ถึงแม้ว่าพวกมันจะเป็นศัตรูที่น่ารังเกียจและต้องถูกกำจัดในไม่ช้า แต่เผ่าอสูรและกลุ่มนักบวชต่างขีดเส้นแบ่งเขตแดนไว้ซึ่งกันและกัน ทั้งเราและมันต่างรอคอยคำทำนายที่จะอนุญาตให้เราทำศึกสงครามได้ คำทำนายนั้นบอกกับเราว่าจุดจบของโลกกำลังจะสิ้นสุดลงเมื่อแสงแห่งดวงอาทิตย์เริ่มอ่อนกำลังลง ปรากฏการณ์นี้เริ่มขึ้นเมื่อสามปีที่แล้ว เมื่อทุกคนต่างสังเกตว่าดวงอาทิตย์ตกเร็วกว่าปกติ และในทุก ๆ วัน ดวงอาทิตย์จะตกเร็วกว่าปกติหนึ่งนาที จนกระทั่งเมื่อเวลาผ่านไปประมาณครึ่งปี เสด็จพ่อของฉันทรงนำคณะบิชอปออกมาประกาศท่ามกลางปวงชนของพระผู้เป็นเจ้า
“แสงอาทิตย์เริ่มอ่อนกำลังเรื่อย ๆ คำทำนายนั้นเป็นจริงแล้ว พวกเราต้องทำสงครามห้ำหั่นกับพวกมัน และกลุ่มของเราจะต้องเป็นกลุ่มสุดท้ายที่เหลืออยู่บนโลกแห่งนี้”
คำประกาศซึ่งเปล่งออกไปนั้นทำให้เกิดสองท่าที หนึ่งนั้นคือปวงชนของพระผู้เป็นเจ้าต่างดีใจที่จะกำจัดเหล่าอสูรนั้นได้ สองคือความรู้สึกที่ว่าพวกเขารู้ตัวดีว่าจุดจบของโลกกำลังจะมาถึงในไม่ช้า พวกเราทุกคนจะต้องตายจากกันไป หากแต่คำทำนายกล่าวไว้ว่าชนกลุ่มใดที่เหลือรอดจนวันสุดท้ายของโลก ผู้นั้นจะถูกเลือกขึ้นเพื่ออยู่กับพระผู้เป็นเจ้าของตน ใช่ พระผู้เป็นเจ้าของตนในทัศนะของพวกเราคือพระผู้เป็นเจ้าในสรวงสวรรค์ หาใช่ซาตานในนรกไม่ หลังจากสิ้นสุรเสียงกังวาลไปทั่วทั้งเขตแดนแคว้นบราตสก์ และระฆังแห่งสงครามดังลั่น เราต่างใช้เวลาทั้งสิ้นหกเดือนในการเตรียมอาวุธและเสบียง ฉันไม่รู้ว่าสงครามจะยืดเยื้ออีกนานเท่าใด ตราบใดที่ใจกลางปราสาทซึ่งพระผู้เป็นเจ้าสถิตอยู่ยังถูกปกป้องไว้ได้ เรายังมีความหวัง แต่เงื่อนไขที่สุดจะกล้ำกลืนได้ลงและขวางทางโค่นผู้นำอสูรนั้นคือ แสงอาทิตย์ที่มอดไหม้จะทำให้พลังแห่งแสงสว่างในกองทัพอ่อนลง เรากำลังเผชิญหน้ากับความเป็นจริงนั้น เมื่อความมืดเข้าปกคลุมเรื่อย ๆ นานวันเข้า เหล่าอสูรกลับมีพละกำลังที่แข็งแกร่ง จนกระทั่งในวันสุดท้ายของโลก พวกเราต่างกังวลและหวาดหวั่นว่าอสูรจะเป็นฝ่ายได้ชัย และพวกเราถูกทอดทิ้งจากพระผู้เป็นเจ้า ตกนรกอเวจี
“เจ้าหญิงฯ ท่านมีความฝันคล้ายกับข้าหรือเปล่า” เจ้าชายไซเยฟเปล่งวาจาด้วยความสนเท่ห์ เช่นเดียวกับม่านตาของฉันที่ขยายออก ฉันไม่นึกฝันว่าเขาจะรับรู้เรื่องราวที่เป็นความลับสุดยอดเช่นนี้ ฉันเก็บอาการอยากรู้ไว้ไม่อยู่ ร่างกายของฉันสั่นเทิ้ม เนื้อตัวตามร่างกายและรูขุมขนลุกซู่ ทว่าเบื้องหน้าของฉันคืออริมั่น ฉันจึงเก็บวาจาโต้ตอบนั้นไว้ เบือนหน้าไปทางอื่น
“เจ้าหญิงฯ” เขาว่า มือทั้งสองกำรั้วไม้มั่น “ท่านเองก็เป็นเช่นนั้นใช่หรือไม่ ความฝันนั้นอยู่บนโลกที่ข้าไม่รู้ความหมายใด ๆ ข้าฝันถึงมันมาตลอด” ฉันยังคงแน่นิ่งไม่ไหวเอน
“ตอบข้าเถิด ขอร้องล่ะ” เจ้าชายไซเยฟก้มหน้า “ข้าสับสนปละปั่นป่วนไปหมด ทั้งตัวของข้า และตัวของท่าน แน่นอน ข้าฝันเห็นท่าน เจ้าหญิงนาตาเซีย หากว่าไม่ใช่ท่านในรูปเชิงแบบนี้ ข้าไม่รู้ว่าจักนิยามท่านในความฝันนั้นว่าอย่างไร”
“โปรดแจงคำบรรยายของท่านมาเถิด ข้าจะรอฟัง” ฉันเชิดหน้าขึ้น จดจ้องไปยังใบหน้าของเขาอีกครั้ง
“บนความฝันนั้น มีทั้งตัวข้า และตัวท่าน เราอยู่บนโลกที่ข้าอธิบายไม่ได้...โลก ที่เต็มไปด้วยเกวียนเหล็กน้อยใหญ่ลอยได้ ป้อมปราการสูงเฉียดฟ้าแทงทะลุฟ้าเมฆเต็มไปหมด มันน่าสะพรึงกลัวต่อความยิ่งใหญ่นั้น เหล่าผู้คนก็แต่งตัวประหลาด พวกเขาเดินไปมาในป้อมปราการ พูดภาษาซึ่งข้าไม่อาจเข้าใจ บนโลกที่ควันและฝุ่นสีแดงจากทรายแห้ง ๆ ตลบไปทั้งพื้นดิน ข้ามองไม่เห็นพื้นดิน หรืออาจมองได้ไม่ชัดเจนนัก หากแต่ข้าสัมผัสได้ว่ามันร้อนทุรนทุราย ผู้คนบนโลกนั้นรวมทั้งตัวข้าไม่อาจทนต่อสภาพอากาศเช่นนั้นได้นานนัก” เจ้าชายไซเยฟกล่าวความจบไปหนึ่งวรรค เขากลืนน้ำลายลงคอ ภาพของความร้อนแผ่ซ่านมายังจิตใจของฉัน
“ข้าหลบอยู่ในห้องลับใต้ถุนพื้นดินนั้น ข้าตระหนักได้ถึงความอันตรายบางอย่างบนโลกแห่งนั้นเช่นกัน นอกเหนือจากสภาพอากาศที่รวนเร ข้าเองต้องอยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ อึดอัดใจ และรู้สึกสูญเสีย ข้าไม่รู้ว่าก่อนหน้านั้นเกิดอะไรขึ้น แต่ข้าก็ยังมุ่งมั่นกับการตั้งใจหลบซ่อนและเก็บบางสิ่งไว้ มันเป็นภาระซึ่งข้าต้องสำเร็จจงได้”
“ข้าเห็นท่าน เจ้าหญิงนาตาเซีย” เขาสัมผัสกับสถานการณนั้นอย่างจริงจัง “บนความฝันนั้น ข้าเห็นท่านอย่างชัดเจนบนสิ่งพิมพ์บางอย่าง ผมสีทอง กับดวงตาเย็นชาของท่าน ข้าเห็นท่านทุกวันบนข่าวสารบางอย่าง มันโจมตีจิตใจของข้า”
ฉันอยากมองหน้าเขาและเฝ้าติดตามทีท่า แต่อากัปกิริยาของฉันแน่นิ่ง แม้ภายในใจของฉันมันร้อนรนไปด้วยความอยากรู้ เช่นกันที่ความฝันของฉันเกิดขึ้นในมุมมองเดียวกับเขา ฉันอยากจะสนทนากับเขาให้มันชัดเจนกว่านี้ แต่ในตอนนี้ ฉันมิอาจมีปฏิสันถารกับพวกอสูรได้ มิใช่เพราะฉันเกลียดพวกเขา แต่ช่องว่างระหว่างเผ่าพันธุ์นั้นมากเกินไป ฉันเกรงว่าหากมีใครรู้เรื่องนี้เข้าจะบั่นทอนพวกเรามากกว่า
ฉันตัดสินใจเบือนหน้าหนี พลางพูดกับเขาว่า
“ท่านพูดเรื่องอะไรหรือ”
“เจ้าหญิงนาตาเซีย ข้าอยากรู้เรื่องของท่าน ข้ามั่นใจว่าท่านจักต้องรู้เรื่องนี้เป็นแน่” เจ้าชายไซเยฟกระตือรือร้น เขาสนใจเรื่องนี้มากกว่าความเป็นไปในสงครามอันศักดิ์สิทธิ์
“เจ้าชายไซเยฟ ท่านควรเสด็จกลับไปเถิด เรามิควรต้องมาสนทนากันแบบนี้”
“เจ้าหญิงฯ ข้าขอร้องเถอะ” แววตาของเขาเว้าวอน
“โปรดบอกมันด้วยความสัตย์จริง หากว่าท่านคิดว่าข้าอุปาทานไปเอง ท่านก็แค่เอ่ยวาจา ข้าจักรีบไปจากท่านโดยเร็วพลัน” ฉันลังเลและหนักใจ เพราะฉันมิอาจโกหกใครได้ ฉันปล่อยให้ความเงียบดำเนินเรื่องราว อากาศหนาวที่แผ่ลงมาคลุมคุกเชลยชั้นใต้ดินปล่อยให้ฉันอ้างว้าง
“เจ้าชายไซเยฟ”
“ตัวข้านั้น...” เขาเบิกตาโพลง เฝ้ารอคำตอบจากฉัน
“ข้ามีความฝันคล้ายกับท่าน” อาการของเขาประหลาดใจ เขาอุทานออกมาจากลำคอ
“ได้โปรด เจ้าหญิง เล่าเรื่องของท่านให้ข้าฟัง”
“ข้าไม่รู้อะไรนัก” ฉันกล่าวไปตามความจริง ด้วยความทรงจำอันสับสนระหว่างความจริงและความฝัน ฉันชันเข่าลง คุกเข่าและบิดขาเป็นท่านั่งพับเพียบ มือยันพื้นดินซึ่งเต็มไปด้วยกองฟางแห้ง ๆ ผืนหนึ่ง “ในความฝันนั้น มันอ้างว้าง ฉันเป็นใครสักคนหนึ่งซึ่งอยู่บนหอคอยสูง คอยกำกับผู้คนด้วยถ้อยคำบางอย่างซึ่งฉันไม่ทราบ ความเด็ดเดี่ยว มุ่งมั่น และแข็งแกร่งปรากฏในตัวตนของข้า ดวงตาอันมั่นคง ไม่แกว่งไกว ไม่โอนเอน ใจซึ่งมั่นคงดั่งหินผา ข้ากลายเป็นหญิงสาวซึ่งมีท่อนเหล็กในตัว”
“ใช่แล้ว” เขาอุทานด้วยความนึกคิดเห็นพ้อง “ข้าสัมผัสได้ว่าท่านในความฝันเป็นหญิงแกร่ง เธอควบคุมทุกอย่างเบ็ดเสร็จ”
“แต่มันจะมีประโยชน์อันใดหรือเจ้าชายไซเยฟ บุตรแห่งจอมอสูรอาเตน ความฝันนั้นมิบังเกิดผลดีอะไรกับเรา มันอาจเป็นแค่นิมิตแปลกปลอมซึ่งไม่มีเค้าลางความจริง ท่านจะยึดติดความคิดเช่นนี้ไปทำไมกัน”
“เจ้าหญิง ข้าเห็นอะไรบางอย่างในนั้น...” คราวนี้ เป็นตัวฉันเองที่ใคร่สงสัย เขามีสิ่งใดที่ดูมีความสนใจ และความสนใจของเขานั้นกลับมีพลังเต็มล้นทีเดียว
“ท่ามกลางสงครามและความขัดแย้งที่มีมาเนิ่นนาน บางสิ่งบางอย่างในนั้นกำลังบอกข้าว่ามันไม่มีเหตุผลที่เราจะดิ้นรนต่อสู้กันอย่างนี้เลย” ฉันคิดตามคำพูดของเขา
“ไม่มีใครอยากเริ่มสงคราม เพราะสงครามนำมาซึ่งความสูญเสียทั้งตัวข้าและท่าน” ฉันกล่าว “สงครามเป็นเวลาที่ถอยหลังให้เราต้องอยู่รอด แต่สถานการณ์ในตอนนี้ เราต่างรู้ว่าไม่มีอะไรฉุดรั้งแสงของดวงอาทิตย์ได้ มันกำลังดับลง และพวกเราทุกจะตายหมด หากแต่ทั้งหมดก็เป็นไปตามบัญญัติมิใช่หรือ บัญญัตินั้นบอกกับเราว่าจุดสิ้นสุดบนโลกนี้ หลังจากที่เราต่างถูกจองจำบนโลกนี้มาเนิ่นนาน บรรพบุรุษ ญาติพี่น้อง วงวารซึ่งเกิดและตายมานับรอบไม่ได้ เรากำลังจะหลุดพ้นวัฎฯนี้ด้วยสงครามไม่ใช่หรือ”
(มีต่อครับ)