จินดามณี : ๒ โดย พาฝัน
๒
คำโปรย “เมื่ออัญมณีศักดิ์สิทธิ์สูญหายไปพร้อมกับผู้ครอบครอง เทพธิดาน้อยจึงต้องแบกรับหน้าที่ออกตามหามิตรรักและของวิเศษยังโลกมนุษย์ เพื่อนำดวงแก้ววิเศษกลับคืนสู่สวรรค์อีกครั้ง ก่อนที่เทวาสุรสงครามจะสิ้นสุดลง!!!”
ล่วงมาแล้วสองวันหลังจากที่ ทิพย์อัปสร พบและสนทนากับ เกสรมณฑา ทิพย์อัปสร ยังคงเพียรนั่งบำเพ็ญสมาธิอยู่ที่สระจุลนันทาโบกขรณีอยู่เช่นเดิม ขณะที่กำลังเข้าสู่ห้วงจิตที่แน่วแน่อยู่นั้น พลันเกสรมณฑา ก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหานางพร้อมกับส่งเสียงร้องเรียกอย่างร้อนรน
“ทิพย์อัปสร..ทิพย์อัปสร!!!” ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใดถึงได้ทำให้นางฟ้ารูปร่างอรชร ต้องรีบวิ่งกระหืดกระหอบมาหาทิพย์อัปสรเช่นนี้
“มีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ เกสรมณฑา ทำไมเจ้าถึงส่งเสียงเรียกข้าดังลั่นเช่นนี้?” ทิพย์อัปสร ถูกเสียงของ เกสรมณฑา รบกวนจนไม่อาจจะสมาธิได้อีกต่อไป จึงออกจากฌานสมาบัติพร้อมกับถามออกไป
“ทิพย์....อัปสร...อสูร..ข้าเจอพวกอสูร!!!” เกสรมณฑา สำลักพูดออกมาด้วยความหอบโยน
“อะไรนะ!!! เกสรมณฑา...เจ้าเจอพวกอสูรอย่างนั้นหรือ!!!” ทิพย์อัปสรตกใจ รีบเข้ามาประคองเกสรมณฑาเมื่อเห็นนางวิ่งเข้ามาอย่างเหนื่อยหอบ
“ใช่...ทิพย์อัปสร ข้าเจอ......อสูร....ข้าเห็นพวกมัน...มากับตา...ของข้าเอง...” เกสรมณฑาตอบทั้งๆ ที่ยังหอบไม่หยุด
“เจ้าไปเจอพวกอสูรที่ไหนกัน?” ทิพย์อัปสรรีบถามด้วยความใคร่รู้
“...ข้าเจอพวกอสูรที่...สัณบริภัณฑคีรี..”
“สัณบริภัณฑคีรี!!! .....เจ้าลงไปทำอะไรที่นั้น?” ทิพย์อัปสรถามด้วยความแปลกใจว่าเหตุใด เกสรมณฑา ถึงลงไปยังเกือบถึงเบื้องล่างตรีกูฏคีรีเช่นนี้ ตามปกติแล้วการจะลงไปยังเบื้องล่างของดาวดึงส์ได้จะต้องได้รับการอนุญาตจากอรชุนเทพบุตรเสียก่อน และหากไม่มีกิจอันใดจะไม่มีเทพบุตร หรือ นางฟ้าองค์ใด คิดย่างกรายเข้าไปที่นั้นเลยแม้แต่องค์เดียว ด้วยเหตุเพราะ สัณบริภัณฑคีรี คือ ทิวทั้งเจ็ดซึ่งอยู่ใต้ ตรีกูฏคีรี และยังอยู่ใกล้กับนครสุทัศน์แห่งใหม่ของพวกอสูร หากเกสรมณฑาจะพบเจอพวกอสูรที่นั้นก็คงมิใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ที่แปลกก็คือทำไมนางถึงต้องลงไปที่นั้นมากกว่า
(****ตรีกูฏคีรี คือ ภูเขาสามลูก ซึ่งใช้เป็นฐานรองรับเขา “พระสุเมรุ” บางครั้งก็เรียกว่า ภูเขาสามเส้า หรือ ภูเขาสามยอด****)
(**** สัณบริภัณฑคีรี คือ ทิวเขาที่ล้อมรอบ “ตรีกูฏคีรี” มีจำนวนทั้งหมดเจ็ดทิวเขา ประกอบด้วย ทิวเขายุคนธร กรวิก อิสินธร สุทัศ เนมินธร วินตก และอัสกัณ****)
เกสรมณฑา ย่อมเข้าใจความหมายที่ทิพย์อัปสรถาม เพราะรู้อยู่แล้วว่าทิพย์อัปสรต้องสงสัยเป็นแน่ว่าทำไม นางถึงต้องลงไปถึงยังสัณบริภัณฑคีรีจึงรีบอธิบายให้ ทิพย์อัปสร เข้าใจ
“ที่ข้าลงไปถึงสัณบริภัณฑคีรี เพราะข้าแอบตามเทพบุตรสามองค์ที่ออกจากไพชยนต์มหาปราสาท ไปยังเขากรวิก” เกสรมณฑาตอบ
“นี้เจ้าแอบตามเทพบุตรลงไปยังเบื้องล่างของดาวดึงส์หรือ‼‼ เจ้าคิดอะไรของเจ้ากัน หากถูกจับได้เจ้ารู้หรือไม่ว่าจะต้องโทษจองจำ” ทิพย์อัปสร อดต่อว่า เกสรมณฑา ไม่ได้นางทำไมถึงได้ทำอะไรวู่วามเช่นนี้
“ข้ารู้ว่าลงไปยังเบื้องล่างดาวดึงส์จะมีโทษสถานใด แต่ข้าอดสงสัยไม่ได้ว่าเทพบุตรเหล่านั้นจู่ๆ ถึงได้รับอนุญาตให้ลงไปไปยังเขากรวิก พอข้าแอบตามก็เห็นพวกเทพบุตรกำลังแอบสุ่มดูพวกอสูรอยู่ ข้าก็เลยแอบดูพวกเขาอยู่บริเวณซอกหินใกล้ๆ กัน ข้ามองตามพวกเทพบุตรไปก็เห็นพวกอสูรกำลังเริ่มระดมไพร่พลกันอยู่บางส่วนก็เริ่มฝึกซ้อมอาวุธด้วยแล้ว”
“ระดมไพร่พล ......ฝึกซ้อมอาวุธ .....เจ้าหมายความว่า..... ‼??‼” ทิพย์อัปสร ตกตะลึงมิคาดคิดว่า สิ่งที่พวกนางได้สนทนากันเมื่อสองวันที่แล้วจะเป็นเรื่องจริง
“ใช่แล้ว...ข้ากำลังคิดว่าอาจจะเกิดเทวาสุรสงครามขึ้นในเร็ววันนี้”
คำพูดของ เกสรมณฑา สร้างความตื่นตระหนก ให้แก่ ทิพย์อัปสร ไม่น้อย หากเกิดเทวาสุรสงครามขึ้นจริง ก็ย่อมต้องหมายความว่า ทิพย์อัปสร จะต้องเข้าร่วมสงครามในครั้งนี้ด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะนางคือผู้ครอบครองดวงแก้ววิเศษ แม้นางจะเป็นถึงผู้ครอบครองจินดามณีก็ตาม แต่ก็มิเคยรบทัพจับศึกมาก่อน ครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรกที่นางจะต้องเข้าในสงครามระหว่างความเป็นความตายของเหล่าเทพและอสูร ย่อมจะเกิดความหวาดกลัวต่อสงครามขึ้นเป็นธรรมดา
“แล้วเจ้าเห็นพวกอสูรราวซักกี่มากน้อย” ทิพย์อัปสร ซักถามต่อ ในเมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างน้อยเวลานี้นางก็ควรจะรู้บ้างว่าอสูรที่ เกสรมณฑา พบเห็นมีจำนวนซักเท่าไรกันแน่
“ข้ากลัวเทพบุตรสามองค์จะพบเห็นข้าเข้า ข้าก็เลยรีบหนีออกมาจากที่นั้นเสียก่อน แต่เท่าที่ข้ามองดู ข้าเดาว่าคงมีกำลังไม่หย่อนกว่าหนึ่งพัน” เกสรมณฑา บอกตามที่นางรู้เห็นออกไป
“อสูรที่เจ้าเห็นก็มีจำนวนไม่มาก อาจจะเป็นแค่พวกอสูรด่านหน้า หรือไม่ก็พวกอสูรที่ฝึกซ้อมอาวุธกันตามปกติก็ได้ เหตุใดเจ้าถึงเชื่อว่าจะเกิดเทวาสุรสงครามขึ้นจริงๆ” ทิพย์อัปสร สงสัยจึงถามขึ้น เพราะจำนวนอสูรเพียงเท่านี้อาจจะเป็นพวกอสูรที่คอยรักษาเขตแดนตามปกติก็เป็นได้
“ตอนแรก ข้าก็คิดเหมือนกับเจ้าเช่นกัน หากแต่ถ้าข้าไม่บังเอิญไปได้ยินเทพบุตรทั้งสามสนทนากันว่าจะรีบนำความเรื่องนี้ขึ้นไปกราบทูลให้องค์อินทราทรงทราบเสียก่อน ก็เลยทำให้ข้ามั่นใจว่ากำลังจะเกิดเทวาสุรสงครามขึ้นแน่ๆ อีกทั้งเทพบุตรทั้งสามก็เพิ่งจะออกมาจากไพชยนต์มหาปราสาท หากไม่ใช่ออกมาสืบข่าวเกี่ยวกับเรื่องเทวาสุรสงครามจะเป็นเรื่องใดได้อีก ข้าคิดว่าองค์อินทราอาจจะทรงรับสั่งให้เทพบุตรเหล่าออกมาสืบข่าวก็เป็นได้ ป่านนี้พวกเขาคงจะกลับมาถึงไพชยนต์มหาปราสาท และเข้าเฝ้าองค์อินทราเพื่อกราบทูลเรื่องการศึกแล้ว”
เมื่อได้ฟังตามที่เกสรมณฑา กล่าว ทิพย์อัปสร ก็เริ่มคล้อยตาม พลางคิดในใจว่าในเมื่อใกล้จะเกิดเทวาสุรสงครามขึ้นจริงดังที่คาดการณ์แล้ว นางเองก็ควรจะทำอะไรซักอย่าง เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อดาวดึงส์สวรรค์บ้าง หลังจากคิดทบทวนอยู่ครู่ใหญ่นางจึงบอกกับเกสรมณฑาว่า
“ข้าจะลงไปยังสัณบริภัณฑคีรี” ทิพย์อัปสรบอกกับเกสรมณฑาด้วยสีหน้าที่มุ่งมั่นกว่าทุกครั้ง
“อะไรนะ!!! เจ้าจะไปยังสัณบริภัณฑคีรีอย่างนั้นหรือ เจ้าจะลงไปทำไมกันในเมื่อตอนนี้เจ้าก็รู้อยู่แล้วว่าพวกอสูรกำลังระดมไพร่พลกันอยู่ที่นั้น หากเจ้าจงลงไปอาจจะเกิดอันตรายขึ้นกับเจ้าก็ได้ ทางที่ดีข้าว่าเจ้าควรรั้งอยู่ที่ดาวดึงส์จะดีกว่า อีกอย่างถ้าหากถูกจับได้เจ้าอาจจะต้องรับโทษถูกจองจำก็ได้นะ” เกสรมณฑา เอามือทาบอกด้วยความตกใจไม่รู้ว่านางคิดอย่างไรถึงจะลงไปยังในที่อันตรายเช่นนั้น
“ข้ารู้ แต่ข้าสงสัยว่า อสูรอาจจะไม่ระดมพลอยู่ที่เขากรวิกเพียงแค่แห่งเดียว อาจจะมีที่อื่นที่พวกมันใช้เป็นที่ระดมพลอยู่อีก ข้าอยากจะลงไปสืบหาที่อยู่ของพวกมันให้แน่ชัด” ทิพย์อัปสรตอบ
“เจ้าจะบ้าไปแล้วหรือ ที่อันตรายแบบนั้นเจ้าจงลงไปได้อย่างไร อีกอย่างองค์อินทราอาจจะทรงมอบหมายให้เหล่าเทพบุตรดำเนินการสืบอย่างลับๆ อยู่แล้ว ข้าไม่เห็นด้วยที่เจ้าจะเอาตัวเข้าไปเสี่ยงเช่นนี้” เกสรมณฑา ทักท้วงไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งที่เกสรมณฑาจะลงไปยังสัณบริภัณฑคีรีในเวลานี้
“แต่ข้าทนอยู่เช่นนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว เกสรมณฑา อย่างไรข้าก็ต้องสืบให้รู้ให้ได้ว่าพวกอสูรจะรวมไพร่พลกัน ณ ที่แห่งใดกันแน่ หากข้ารู้จะได้นำความมากราบทูลองค์อินทราให้ทรงทราบ พระองค์จะได้ทรงยกทัพไปปรามพวกมันก่อนที่จะเกิดเทวาสุรสงครามขึ้น ดีกว่าจะปล่อยให้พวกมันจัดกระบวนทัพแล้วเข้ามาบุกยึดดาวดึงส์ดังเช่นที่ผ่านมา” ด้วยนิสัยของทิพย์อัปสร หากนางตั้งใจจะทำสิ่งใดแล้วไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงความคิดของนางได้ง่ายๆ เกสรมณฑา เองก็รู้ว่าไม่สามารถเหนี่ยวรั้งนางได้แน่ จึงพูดกับนางว่า
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะลงไปยังสัณบริภัณฑคีรีพร้อมกับเจ้าด้วย”
ทิพย์อัปสร ได้ยินเช่นนั้น ก็รู้โดยแจ้งว่า เกสรมณฑา เป็นห่วงนาง เพราะกลัวว่านางจะได้รับอันตรายจากพวกอสูร แต่ถ้าหาก เกสรมณฑา ติดตามนางไปด้วย เกสรมณฑา อาจจะได้รับอันตรายไปด้วยเช่นกัน จึงคิดจะออกปากห้ามไม่ให้ เกสรมณฑา ติดตามลงไป แต่ทว่า เกสรมณฑา รู้ทันจึงชิงพูดดักขึ้นเสียก่อน
“อ๊ะๆ ...ข้ารู้นะ ทิพย์อัปสร ว่าจะเจ้าจะพูดอะไร อย่าห้ามข้าเสียให้ยากเลย อย่างไรข้าก็จะไม่ยอมให้เจ้าลงไปที่นั้นคนเดียวเด็ดขาด อีกอย่างภาษิตกล่าวไว้ว่าสองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว อีกทั้งตัวข้าเองก็เคยเจอพวกอสูรที่นั้นมาก่อน สามารถที่จะช่วยเจ้าแกะรอยพวกอสูรเหล่านั้นได้”
ทิพย์อัปสร นิ่งคิดตรึกตรองดู ไหนๆ เรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว หากเนิ่นช้าไปจะไม่ทันการ อีกทั้งที่ เกสรมณฑา กล่าวก็มีเหตุผล หากให้ เกสรมณฑา มาช่วยตามแกะรอยพวกอสูรย่อมจะเป็นประโยชน์ไม่น้อย ดีกว่าให้ตัวเองต้องมาเสียเวลาค้นหาพวกอสูรให้เหนื่อยยาก เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้วจึงตัดสินใจให้เกสรมณฑาร่วมเดินทางไปกับนางด้วย
“ก็ได้...งั้นเราสองคนรีบไปกันเถอะ คืนชักช้าจะไม่ทันการณ์ อีกอย่างถ้าเกิดเทพทวารบาลสวรรค์มาพบเราสองคนขณะแอบลงไปยังเบื้องล่างเข้า เราจะไม่มีโอกาสลงไปยังสัณบริภัณฑคีรีได้อีกแน่ ฉวยโอกาสที่ยังไม่มีใครรู้รีบลงไปยังสัณบริภัณฑคีรีกันเถอะ”
เกสรมณฑา พยักหน้ารับ ก่อนที่ทั้งสองจะหันมองดูซ้ายขวา เร่งเดินทางไปยังประตูทางเข้าสวรรค์โดยเร็ว เพื่อแอบลงไปยังสัณบริภัณฑคีรีให้เร็วที่สุด ก่อนที่พวกนางจะถูกใครพบเจอเข้า ไม่เช่นนั้นโอกาสที่พวกนางจะลงไปยังเบื้องล่างของดาวดึงส์คงเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว ทิพย์อัปสร รีบเร่งเดินไปยังประตูทางเข้าสวรรค์ โดยมี เกสรมณฑา เดินตามติดๆ ไป โดยไม่ทันสังเกตว่าสีหน้าของ เกสรมณฑา ปรากฏรอยยิ้มเล็กๆ ปนอยู่ด้วย
-----------------------------------------------------------
“ฉับๆๆๆ”
เสียงการก้าวย่างเดินอย่างเป็นระเบียบของเทพอารักขาดังขึ้นอยู่เบื้องหลังของวิชุเทพบุตร สีหน้าของเทพบุตรรูปงามในยามนี้ช่างดุดันและน่าเกรงขาม ต่างจากสีหน้าที่ดูเยือกเย็นและอ่อนโยนในยามปกติ บรรดาเหล่าเทพบุตรนางฟ้าที่กำลังเดินกันอย่างขวักไขว้อยู่ในนครไตรตรึงษ์ต่างพากันหลีกทางให้กับวิชุเทพบุตรทั้งสิ้น เพราะต่างทราบดีว่าวิชุเทพบุตร คงนำเทพอารักขา ไปทำภารกิจตามรับสั่งของพระอินทร์เป็นแน่ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเป็นภารกิจสิ่งใดก็ตาม แต่คงมีความสำคัญมากถึงทำให้วิชุเทพบุตรต้องนำเทพอารักขาออกมาด้วยตนเองเช่นนี้ และด้วยความเกรงเทพอาญาจึงไม่มีผู้ใดกล้าที่จะชักช้าหรือขวางทางวิชุเทพบุตรแม้แต่องค์เดียว
“พวกเจ้าอย่าชักช้ารีบตามข้าไปยังสระจุลนันทาโบกขรณีโดยเร็ว ข้าจะต้องรีบไปพา ทิพย์อัปสร น้องสาวข้ามาเข้าเฝ้าองค์อินทราให้เร็วที่สุด” วิชุเทพบุตร สั่งย้ำ เวลานี้จะมั่วชักช้าอยู่มิได้ สถานการณ์เป็นตายกำลังรออยู่เบื้องหน้าเขาต้องรีบนำตัว ทิพย์อัปสร มายังไพชยนต์มหาปราสาทให้เร็วที่สุด
“ขอรับ” เทพอารักขาขานรับเสียงดัง พร้อมกระชับอาวุธในมือมั่น ต่างรีบเร่งไปยังสระจุลนันทาโบกขรณีให้เร็วที่สุด ขณะที่กำลังเร่งเดินทางกันอยู่ในนั้นเอง วิชุเทพบุตร กลับบังเอิญชนใครคนหนึ่งเข้าอย่างจัง
“โอ๊ย!!!” นางฟ้าแสนสวยส่งเสียงร้องขึ้นด้วยความตกใจ เนื่องจากเกิดอาการซวนเซจนเกือบจะหกล้มเพราะถูกวิชุเทพบุตรชนเข้า ดีที่ว่าวิชุเทพบุตร รีบคว้าแขนของนางเอาไว้ได้ทันก่อน จึงทำให้นางไม่หกล้มลงไป
“ท่านวิชุเทพบุตร!!!” นางฟ้าน้อยเบิกตากลมโตมองมายังเทพบุตรหนุ่มมิคาดว่าจะพบเจอกับคนที่นางรู้จัก
“เกสรมณฑา!!!!..... เจ้าเองหรือ ข้านึกว่าใคร” วิชุเทพบุตร ไม่คาดว่าจะพบกับ เกสรมณฑา ที่นี้เช่นกัน ยังนึกว่านางคงอยู่กับ ทิพย์อัปสร ผู้เป็นน้องสาวของเขาเสียอีก
“เจ้ามาทำอะไรที่นี้” วิชุเทพบุตรถาม
“ข้าเอามาลัยที่ร้อยมาถวายกราบนมัสการต่อจุฬามณีเจดีย์ นี้ไงข้าร้อยมาสองพวงเลย ท่านว่าสวยหรือเปล่า?” เกสรมณฑาชูพวงมาลัยสองพวงในมือของนางให้วิชุเทพบุตรดู
“ทำไมเจ้าถึงร้อยมาลัยมาตั้งสองพวง อีกพวงเจ้าร้อยมาให้ใครกัน?” วิชุเทพบุตร แปลกใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมนางถึงต้องร้อยมาลัยมาสองพวงเช่นนี้
“อีกพวงหนึ่งข้าร้อยมาให้ ทิพย์อัปสร ข้าเห็นว่าหมู่นี้นางมีเรื่องไม่ค่อยสบายใจ ก็เลยจะชวนนางมานมัสการจุฬามณีเจดีย์ด้วยกัน” เกสรมณฑา ตอบพลางยิ้มมองพวงมาลัยที่นางร้อยมา
จินดามณี : ๒ โดย พาฝัน
คำโปรย “เมื่ออัญมณีศักดิ์สิทธิ์สูญหายไปพร้อมกับผู้ครอบครอง เทพธิดาน้อยจึงต้องแบกรับหน้าที่ออกตามหามิตรรักและของวิเศษยังโลกมนุษย์ เพื่อนำดวงแก้ววิเศษกลับคืนสู่สวรรค์อีกครั้ง ก่อนที่เทวาสุรสงครามจะสิ้นสุดลง!!!”
ล่วงมาแล้วสองวันหลังจากที่ ทิพย์อัปสร พบและสนทนากับ เกสรมณฑา ทิพย์อัปสร ยังคงเพียรนั่งบำเพ็ญสมาธิอยู่ที่สระจุลนันทาโบกขรณีอยู่เช่นเดิม ขณะที่กำลังเข้าสู่ห้วงจิตที่แน่วแน่อยู่นั้น พลันเกสรมณฑา ก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหานางพร้อมกับส่งเสียงร้องเรียกอย่างร้อนรน
“ทิพย์อัปสร..ทิพย์อัปสร!!!” ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใดถึงได้ทำให้นางฟ้ารูปร่างอรชร ต้องรีบวิ่งกระหืดกระหอบมาหาทิพย์อัปสรเช่นนี้
“มีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ เกสรมณฑา ทำไมเจ้าถึงส่งเสียงเรียกข้าดังลั่นเช่นนี้?” ทิพย์อัปสร ถูกเสียงของ เกสรมณฑา รบกวนจนไม่อาจจะสมาธิได้อีกต่อไป จึงออกจากฌานสมาบัติพร้อมกับถามออกไป
“ทิพย์....อัปสร...อสูร..ข้าเจอพวกอสูร!!!” เกสรมณฑา สำลักพูดออกมาด้วยความหอบโยน
“อะไรนะ!!! เกสรมณฑา...เจ้าเจอพวกอสูรอย่างนั้นหรือ!!!” ทิพย์อัปสรตกใจ รีบเข้ามาประคองเกสรมณฑาเมื่อเห็นนางวิ่งเข้ามาอย่างเหนื่อยหอบ
“ใช่...ทิพย์อัปสร ข้าเจอ......อสูร....ข้าเห็นพวกมัน...มากับตา...ของข้าเอง...” เกสรมณฑาตอบทั้งๆ ที่ยังหอบไม่หยุด
“เจ้าไปเจอพวกอสูรที่ไหนกัน?” ทิพย์อัปสรรีบถามด้วยความใคร่รู้
“...ข้าเจอพวกอสูรที่...สัณบริภัณฑคีรี..”
“สัณบริภัณฑคีรี!!! .....เจ้าลงไปทำอะไรที่นั้น?” ทิพย์อัปสรถามด้วยความแปลกใจว่าเหตุใด เกสรมณฑา ถึงลงไปยังเกือบถึงเบื้องล่างตรีกูฏคีรีเช่นนี้ ตามปกติแล้วการจะลงไปยังเบื้องล่างของดาวดึงส์ได้จะต้องได้รับการอนุญาตจากอรชุนเทพบุตรเสียก่อน และหากไม่มีกิจอันใดจะไม่มีเทพบุตร หรือ นางฟ้าองค์ใด คิดย่างกรายเข้าไปที่นั้นเลยแม้แต่องค์เดียว ด้วยเหตุเพราะ สัณบริภัณฑคีรี คือ ทิวทั้งเจ็ดซึ่งอยู่ใต้ ตรีกูฏคีรี และยังอยู่ใกล้กับนครสุทัศน์แห่งใหม่ของพวกอสูร หากเกสรมณฑาจะพบเจอพวกอสูรที่นั้นก็คงมิใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ที่แปลกก็คือทำไมนางถึงต้องลงไปที่นั้นมากกว่า
(****ตรีกูฏคีรี คือ ภูเขาสามลูก ซึ่งใช้เป็นฐานรองรับเขา “พระสุเมรุ” บางครั้งก็เรียกว่า ภูเขาสามเส้า หรือ ภูเขาสามยอด****)
(**** สัณบริภัณฑคีรี คือ ทิวเขาที่ล้อมรอบ “ตรีกูฏคีรี” มีจำนวนทั้งหมดเจ็ดทิวเขา ประกอบด้วย ทิวเขายุคนธร กรวิก อิสินธร สุทัศ เนมินธร วินตก และอัสกัณ****)
เกสรมณฑา ย่อมเข้าใจความหมายที่ทิพย์อัปสรถาม เพราะรู้อยู่แล้วว่าทิพย์อัปสรต้องสงสัยเป็นแน่ว่าทำไม นางถึงต้องลงไปถึงยังสัณบริภัณฑคีรีจึงรีบอธิบายให้ ทิพย์อัปสร เข้าใจ
“ที่ข้าลงไปถึงสัณบริภัณฑคีรี เพราะข้าแอบตามเทพบุตรสามองค์ที่ออกจากไพชยนต์มหาปราสาท ไปยังเขากรวิก” เกสรมณฑาตอบ
“นี้เจ้าแอบตามเทพบุตรลงไปยังเบื้องล่างของดาวดึงส์หรือ‼‼ เจ้าคิดอะไรของเจ้ากัน หากถูกจับได้เจ้ารู้หรือไม่ว่าจะต้องโทษจองจำ” ทิพย์อัปสร อดต่อว่า เกสรมณฑา ไม่ได้นางทำไมถึงได้ทำอะไรวู่วามเช่นนี้
“ข้ารู้ว่าลงไปยังเบื้องล่างดาวดึงส์จะมีโทษสถานใด แต่ข้าอดสงสัยไม่ได้ว่าเทพบุตรเหล่านั้นจู่ๆ ถึงได้รับอนุญาตให้ลงไปไปยังเขากรวิก พอข้าแอบตามก็เห็นพวกเทพบุตรกำลังแอบสุ่มดูพวกอสูรอยู่ ข้าก็เลยแอบดูพวกเขาอยู่บริเวณซอกหินใกล้ๆ กัน ข้ามองตามพวกเทพบุตรไปก็เห็นพวกอสูรกำลังเริ่มระดมไพร่พลกันอยู่บางส่วนก็เริ่มฝึกซ้อมอาวุธด้วยแล้ว”
“ระดมไพร่พล ......ฝึกซ้อมอาวุธ .....เจ้าหมายความว่า..... ‼??‼” ทิพย์อัปสร ตกตะลึงมิคาดคิดว่า สิ่งที่พวกนางได้สนทนากันเมื่อสองวันที่แล้วจะเป็นเรื่องจริง
“ใช่แล้ว...ข้ากำลังคิดว่าอาจจะเกิดเทวาสุรสงครามขึ้นในเร็ววันนี้”
คำพูดของ เกสรมณฑา สร้างความตื่นตระหนก ให้แก่ ทิพย์อัปสร ไม่น้อย หากเกิดเทวาสุรสงครามขึ้นจริง ก็ย่อมต้องหมายความว่า ทิพย์อัปสร จะต้องเข้าร่วมสงครามในครั้งนี้ด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะนางคือผู้ครอบครองดวงแก้ววิเศษ แม้นางจะเป็นถึงผู้ครอบครองจินดามณีก็ตาม แต่ก็มิเคยรบทัพจับศึกมาก่อน ครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรกที่นางจะต้องเข้าในสงครามระหว่างความเป็นความตายของเหล่าเทพและอสูร ย่อมจะเกิดความหวาดกลัวต่อสงครามขึ้นเป็นธรรมดา
“แล้วเจ้าเห็นพวกอสูรราวซักกี่มากน้อย” ทิพย์อัปสร ซักถามต่อ ในเมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างน้อยเวลานี้นางก็ควรจะรู้บ้างว่าอสูรที่ เกสรมณฑา พบเห็นมีจำนวนซักเท่าไรกันแน่
“ข้ากลัวเทพบุตรสามองค์จะพบเห็นข้าเข้า ข้าก็เลยรีบหนีออกมาจากที่นั้นเสียก่อน แต่เท่าที่ข้ามองดู ข้าเดาว่าคงมีกำลังไม่หย่อนกว่าหนึ่งพัน” เกสรมณฑา บอกตามที่นางรู้เห็นออกไป
“อสูรที่เจ้าเห็นก็มีจำนวนไม่มาก อาจจะเป็นแค่พวกอสูรด่านหน้า หรือไม่ก็พวกอสูรที่ฝึกซ้อมอาวุธกันตามปกติก็ได้ เหตุใดเจ้าถึงเชื่อว่าจะเกิดเทวาสุรสงครามขึ้นจริงๆ” ทิพย์อัปสร สงสัยจึงถามขึ้น เพราะจำนวนอสูรเพียงเท่านี้อาจจะเป็นพวกอสูรที่คอยรักษาเขตแดนตามปกติก็เป็นได้
“ตอนแรก ข้าก็คิดเหมือนกับเจ้าเช่นกัน หากแต่ถ้าข้าไม่บังเอิญไปได้ยินเทพบุตรทั้งสามสนทนากันว่าจะรีบนำความเรื่องนี้ขึ้นไปกราบทูลให้องค์อินทราทรงทราบเสียก่อน ก็เลยทำให้ข้ามั่นใจว่ากำลังจะเกิดเทวาสุรสงครามขึ้นแน่ๆ อีกทั้งเทพบุตรทั้งสามก็เพิ่งจะออกมาจากไพชยนต์มหาปราสาท หากไม่ใช่ออกมาสืบข่าวเกี่ยวกับเรื่องเทวาสุรสงครามจะเป็นเรื่องใดได้อีก ข้าคิดว่าองค์อินทราอาจจะทรงรับสั่งให้เทพบุตรเหล่าออกมาสืบข่าวก็เป็นได้ ป่านนี้พวกเขาคงจะกลับมาถึงไพชยนต์มหาปราสาท และเข้าเฝ้าองค์อินทราเพื่อกราบทูลเรื่องการศึกแล้ว”
เมื่อได้ฟังตามที่เกสรมณฑา กล่าว ทิพย์อัปสร ก็เริ่มคล้อยตาม พลางคิดในใจว่าในเมื่อใกล้จะเกิดเทวาสุรสงครามขึ้นจริงดังที่คาดการณ์แล้ว นางเองก็ควรจะทำอะไรซักอย่าง เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อดาวดึงส์สวรรค์บ้าง หลังจากคิดทบทวนอยู่ครู่ใหญ่นางจึงบอกกับเกสรมณฑาว่า
“ข้าจะลงไปยังสัณบริภัณฑคีรี” ทิพย์อัปสรบอกกับเกสรมณฑาด้วยสีหน้าที่มุ่งมั่นกว่าทุกครั้ง
“อะไรนะ!!! เจ้าจะไปยังสัณบริภัณฑคีรีอย่างนั้นหรือ เจ้าจะลงไปทำไมกันในเมื่อตอนนี้เจ้าก็รู้อยู่แล้วว่าพวกอสูรกำลังระดมไพร่พลกันอยู่ที่นั้น หากเจ้าจงลงไปอาจจะเกิดอันตรายขึ้นกับเจ้าก็ได้ ทางที่ดีข้าว่าเจ้าควรรั้งอยู่ที่ดาวดึงส์จะดีกว่า อีกอย่างถ้าหากถูกจับได้เจ้าอาจจะต้องรับโทษถูกจองจำก็ได้นะ” เกสรมณฑา เอามือทาบอกด้วยความตกใจไม่รู้ว่านางคิดอย่างไรถึงจะลงไปยังในที่อันตรายเช่นนั้น
“ข้ารู้ แต่ข้าสงสัยว่า อสูรอาจจะไม่ระดมพลอยู่ที่เขากรวิกเพียงแค่แห่งเดียว อาจจะมีที่อื่นที่พวกมันใช้เป็นที่ระดมพลอยู่อีก ข้าอยากจะลงไปสืบหาที่อยู่ของพวกมันให้แน่ชัด” ทิพย์อัปสรตอบ
“เจ้าจะบ้าไปแล้วหรือ ที่อันตรายแบบนั้นเจ้าจงลงไปได้อย่างไร อีกอย่างองค์อินทราอาจจะทรงมอบหมายให้เหล่าเทพบุตรดำเนินการสืบอย่างลับๆ อยู่แล้ว ข้าไม่เห็นด้วยที่เจ้าจะเอาตัวเข้าไปเสี่ยงเช่นนี้” เกสรมณฑา ทักท้วงไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งที่เกสรมณฑาจะลงไปยังสัณบริภัณฑคีรีในเวลานี้
“แต่ข้าทนอยู่เช่นนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว เกสรมณฑา อย่างไรข้าก็ต้องสืบให้รู้ให้ได้ว่าพวกอสูรจะรวมไพร่พลกัน ณ ที่แห่งใดกันแน่ หากข้ารู้จะได้นำความมากราบทูลองค์อินทราให้ทรงทราบ พระองค์จะได้ทรงยกทัพไปปรามพวกมันก่อนที่จะเกิดเทวาสุรสงครามขึ้น ดีกว่าจะปล่อยให้พวกมันจัดกระบวนทัพแล้วเข้ามาบุกยึดดาวดึงส์ดังเช่นที่ผ่านมา” ด้วยนิสัยของทิพย์อัปสร หากนางตั้งใจจะทำสิ่งใดแล้วไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงความคิดของนางได้ง่ายๆ เกสรมณฑา เองก็รู้ว่าไม่สามารถเหนี่ยวรั้งนางได้แน่ จึงพูดกับนางว่า
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะลงไปยังสัณบริภัณฑคีรีพร้อมกับเจ้าด้วย”
ทิพย์อัปสร ได้ยินเช่นนั้น ก็รู้โดยแจ้งว่า เกสรมณฑา เป็นห่วงนาง เพราะกลัวว่านางจะได้รับอันตรายจากพวกอสูร แต่ถ้าหาก เกสรมณฑา ติดตามนางไปด้วย เกสรมณฑา อาจจะได้รับอันตรายไปด้วยเช่นกัน จึงคิดจะออกปากห้ามไม่ให้ เกสรมณฑา ติดตามลงไป แต่ทว่า เกสรมณฑา รู้ทันจึงชิงพูดดักขึ้นเสียก่อน
“อ๊ะๆ ...ข้ารู้นะ ทิพย์อัปสร ว่าจะเจ้าจะพูดอะไร อย่าห้ามข้าเสียให้ยากเลย อย่างไรข้าก็จะไม่ยอมให้เจ้าลงไปที่นั้นคนเดียวเด็ดขาด อีกอย่างภาษิตกล่าวไว้ว่าสองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว อีกทั้งตัวข้าเองก็เคยเจอพวกอสูรที่นั้นมาก่อน สามารถที่จะช่วยเจ้าแกะรอยพวกอสูรเหล่านั้นได้”
ทิพย์อัปสร นิ่งคิดตรึกตรองดู ไหนๆ เรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว หากเนิ่นช้าไปจะไม่ทันการ อีกทั้งที่ เกสรมณฑา กล่าวก็มีเหตุผล หากให้ เกสรมณฑา มาช่วยตามแกะรอยพวกอสูรย่อมจะเป็นประโยชน์ไม่น้อย ดีกว่าให้ตัวเองต้องมาเสียเวลาค้นหาพวกอสูรให้เหนื่อยยาก เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้วจึงตัดสินใจให้เกสรมณฑาร่วมเดินทางไปกับนางด้วย
“ก็ได้...งั้นเราสองคนรีบไปกันเถอะ คืนชักช้าจะไม่ทันการณ์ อีกอย่างถ้าเกิดเทพทวารบาลสวรรค์มาพบเราสองคนขณะแอบลงไปยังเบื้องล่างเข้า เราจะไม่มีโอกาสลงไปยังสัณบริภัณฑคีรีได้อีกแน่ ฉวยโอกาสที่ยังไม่มีใครรู้รีบลงไปยังสัณบริภัณฑคีรีกันเถอะ”
เกสรมณฑา พยักหน้ารับ ก่อนที่ทั้งสองจะหันมองดูซ้ายขวา เร่งเดินทางไปยังประตูทางเข้าสวรรค์โดยเร็ว เพื่อแอบลงไปยังสัณบริภัณฑคีรีให้เร็วที่สุด ก่อนที่พวกนางจะถูกใครพบเจอเข้า ไม่เช่นนั้นโอกาสที่พวกนางจะลงไปยังเบื้องล่างของดาวดึงส์คงเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว ทิพย์อัปสร รีบเร่งเดินไปยังประตูทางเข้าสวรรค์ โดยมี เกสรมณฑา เดินตามติดๆ ไป โดยไม่ทันสังเกตว่าสีหน้าของ เกสรมณฑา ปรากฏรอยยิ้มเล็กๆ ปนอยู่ด้วย
“ฉับๆๆๆ”
เสียงการก้าวย่างเดินอย่างเป็นระเบียบของเทพอารักขาดังขึ้นอยู่เบื้องหลังของวิชุเทพบุตร สีหน้าของเทพบุตรรูปงามในยามนี้ช่างดุดันและน่าเกรงขาม ต่างจากสีหน้าที่ดูเยือกเย็นและอ่อนโยนในยามปกติ บรรดาเหล่าเทพบุตรนางฟ้าที่กำลังเดินกันอย่างขวักไขว้อยู่ในนครไตรตรึงษ์ต่างพากันหลีกทางให้กับวิชุเทพบุตรทั้งสิ้น เพราะต่างทราบดีว่าวิชุเทพบุตร คงนำเทพอารักขา ไปทำภารกิจตามรับสั่งของพระอินทร์เป็นแน่ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเป็นภารกิจสิ่งใดก็ตาม แต่คงมีความสำคัญมากถึงทำให้วิชุเทพบุตรต้องนำเทพอารักขาออกมาด้วยตนเองเช่นนี้ และด้วยความเกรงเทพอาญาจึงไม่มีผู้ใดกล้าที่จะชักช้าหรือขวางทางวิชุเทพบุตรแม้แต่องค์เดียว
“พวกเจ้าอย่าชักช้ารีบตามข้าไปยังสระจุลนันทาโบกขรณีโดยเร็ว ข้าจะต้องรีบไปพา ทิพย์อัปสร น้องสาวข้ามาเข้าเฝ้าองค์อินทราให้เร็วที่สุด” วิชุเทพบุตร สั่งย้ำ เวลานี้จะมั่วชักช้าอยู่มิได้ สถานการณ์เป็นตายกำลังรออยู่เบื้องหน้าเขาต้องรีบนำตัว ทิพย์อัปสร มายังไพชยนต์มหาปราสาทให้เร็วที่สุด
“ขอรับ” เทพอารักขาขานรับเสียงดัง พร้อมกระชับอาวุธในมือมั่น ต่างรีบเร่งไปยังสระจุลนันทาโบกขรณีให้เร็วที่สุด ขณะที่กำลังเร่งเดินทางกันอยู่ในนั้นเอง วิชุเทพบุตร กลับบังเอิญชนใครคนหนึ่งเข้าอย่างจัง
“โอ๊ย!!!” นางฟ้าแสนสวยส่งเสียงร้องขึ้นด้วยความตกใจ เนื่องจากเกิดอาการซวนเซจนเกือบจะหกล้มเพราะถูกวิชุเทพบุตรชนเข้า ดีที่ว่าวิชุเทพบุตร รีบคว้าแขนของนางเอาไว้ได้ทันก่อน จึงทำให้นางไม่หกล้มลงไป
“ท่านวิชุเทพบุตร!!!” นางฟ้าน้อยเบิกตากลมโตมองมายังเทพบุตรหนุ่มมิคาดว่าจะพบเจอกับคนที่นางรู้จัก
“เกสรมณฑา!!!!..... เจ้าเองหรือ ข้านึกว่าใคร” วิชุเทพบุตร ไม่คาดว่าจะพบกับ เกสรมณฑา ที่นี้เช่นกัน ยังนึกว่านางคงอยู่กับ ทิพย์อัปสร ผู้เป็นน้องสาวของเขาเสียอีก
“เจ้ามาทำอะไรที่นี้” วิชุเทพบุตรถาม
“ข้าเอามาลัยที่ร้อยมาถวายกราบนมัสการต่อจุฬามณีเจดีย์ นี้ไงข้าร้อยมาสองพวงเลย ท่านว่าสวยหรือเปล่า?” เกสรมณฑาชูพวงมาลัยสองพวงในมือของนางให้วิชุเทพบุตรดู
“ทำไมเจ้าถึงร้อยมาลัยมาตั้งสองพวง อีกพวงเจ้าร้อยมาให้ใครกัน?” วิชุเทพบุตร แปลกใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมนางถึงต้องร้อยมาลัยมาสองพวงเช่นนี้
“อีกพวงหนึ่งข้าร้อยมาให้ ทิพย์อัปสร ข้าเห็นว่าหมู่นี้นางมีเรื่องไม่ค่อยสบายใจ ก็เลยจะชวนนางมานมัสการจุฬามณีเจดีย์ด้วยกัน” เกสรมณฑา ตอบพลางยิ้มมองพวงมาลัยที่นางร้อยมา