จากกระทู้ที่ผมตั้งไปแล้ว
https://pantip.com/topic/37275977 ได้รับเสียงสะท้อนกลับส่วนใหญ่เป็นอย่างดี ส่วนใหญ่จะหลังไมค์มาขอบคุณกระทู้นั้น นั่นคงจะเนื่องด้วยว่าไม่อยากพัวพันมาม่าที่มีอยู่ตอนนี้ (เพราะผมได้ประกาศข้างไว้อย่างชัดเจน จึงไม่อยากติดร่างแห) ดีแล้วล่ะครับ....ไม่จำเป็นต้องกดอีโมใดๆ ก็ได้สำหรับกระทู้นั้นของผม ผมตั้งใจเขียนเป็นวิทยาทานจริงๆ เกี่ยวกับความรู้และเบื้องหลังการทำงานของระบบเน็ตเวิร์ค จะช่วยให้เราๆ ท่านๆ ระมัดระวังตัวขึ้นเกี่ยวกับการโพสต์ข้อความหรือรูปภาพต่างบนโซเชี่ยล บางประเทศเขาไปไกลถึงขั้นห้ามถ่ายรูปในสถานที่ๆ หรือคนหรือกลุ่มคนที่ยังไม่บรรลุนิติเลยล่ะ เป็นการ "ตัดไฟแต่ต้นลม" การป้องกันว่ารูปนั้นจะถูกนำมาลงบนอินเตอร์เน็ตซึ่งพ่อแม่ของเด็กบางคนอาจจะไม่รู้ เสียงสะท้อนกลับในแง่ลบที่ส่งไปถึงผมก็มีสำหรับกระทู้นั้นว่าผม ตั้งเหมือนทำนองจะข่มขู่?? ซึ่งเป็นการเข้าใจผิดไปกันเอง
มีสมาชิกบางท่านถามผมลึกลงไปอีกชั้นหนึ่งว่า เจ้าหน้าที่เขาจะรู้ได้ยังไงว่าใครคือเจ้าของโพสต์จากต้นทางและปลาย? คืออย่างนี้ครับ การสื่อสารบนเน็ตเวิร์กในโลกนี้ส่วนใหญ่ใช้เป็นระบบที่เรียกว่า TCP/IP เจ้าตัวนี้ฉลาดมาก....มันจะส่งสัญญาณไปควานหา "จุดหมายปลายทาง" ทั่วโลกก่อนด้วยความเร็วเพียงเสี้ยววินาทีเดียว เมื่อเจอจุดหมายปลายทางแล้ว มันก็จะย้อนกลับมาที่ "ต้นทาง" คือตัวคอมพิวเตอร์ที่เราจะส่งเพื่อลำเลียงส่งข้อความ รูปภาพ และเสียงที่เราต้องการส่งผ่านระบบเน็ตเวิร์ก ถ้าข้อความ ไฟล์ภาพและเสียงที่เราต้องการส่งนั้นมีขนาดใหญ่ ไฟล์เหล่านั้นก็จะถูกซอยเป็นส่วนขนาดเล็กแล้วถูกทะยอยส่งไปยังจุดหมายปลายทาง แล้วส่วนเล็กส่วนน้อยเหล่านั้นจะถูกรวมตัวกันไปไฟล์เหมือน "ต้นฉบับ" ที่ถูกส่งจากต้นทางอีกที ยกตัวอย่างเช่น รูปภาพ รูปภาพขนาดใหญ่จะถูกส่งจากเครื่องหนึ่งไปเครื่องหนึ่งทีเดียวไม่ได้ ในระบบคอมพ์ ภาพนั้นจะถูกซอยเป็นส่วนๆ หลายร้อยหรือสิบหรือพันส่วน แล้วค่อยๆ ทะยอยส่งไปยังเครื่อง "ปลายทาง" เจ้าตัว TCP/IP ตัวนี้เป็นตัวการันตีว่า ไฟล์ทุกส่วนจะต้องถึงเครื่องคอมพ์คือ "จุดหมายปลาย" เว้นไว้แต่ว่าเกิดไฟฟ้าดับ หรือสัญญาณไวไฟหรือเน็ตเวิร์คหลุด ถ้าไฟล์ขาดหายไประหว่างทาง มันก็จะย้อนกลับไปเอาไฟล์ที่ขาดหายไปที่ต้นทางได้และส่งใหม่อีกครั้ง ถ้าท่านสังเกตุ เวลาเราโหลดรูปภาพ...บางทีภาพจะปรากฏบนจอพรึ่บเดียว บางทีภาพจะค่อยๆ ปรากฏบนจอจนครบ นั่นแหละคือการทำงานของ TCP/IP ช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับความเร็วของเน็ตเวิร์คและขนาดของไฟล์
จุดสำคัญที่ผมอยากจะโฟกัสแล้วโยงเข้าหาการรู้ตัว "อวตาร" หรือ "แฮคเกอร์" ได้ก็คือ การการันตีของระบบ TCP/IP ว่าไฟล์ทุกส่วนที่ถูกส่งจาก "ต้นทาง" จะไปถึง "ปลายทาง" ไฟล์ทุกส่วนไม่ว่าจะถูกซอยเป็นไฟล์เล็กๆ เพื่อทะยอยส่งไปยังจุดหมายปลายทางเขาเรียกว่า packet และเจ้า packet ทุกตัวจะต้องบรรทุก "ที่อยู่" ซึ่งในที่นี้ก็คือไอพี IP address (หรือ Mac Addressในบางกรณี) ของ "ต้นทาง" และ "ปลายทาง" ไปด้วย ย้ำว่า packet ทุกตัวจะมีข้อมูลคือไอพีของต้นทางและปลายทางไปด้วย เผื่อไฟล์ตัวนั้นหายไประหว่างทางในกรณีที่สัญญาณเน็ตเวิร์กไม่ดีหรือขาดๆ หายๆ มันก็จะย้อนกลับไปเอาไฟล์ที่ต้นทางเดิมได้ถูกแล้วส่งกลับไปยังหลายทางได้สมบูรณ์ ถ้าจะเปรียบให้เห็นภาพก็คือ เหมือนการส่งจดหมายที่มีที่อยู่ของผู้รับและของผู้ส่ง แตกต่างกันแค่ตรงที่ระบบเน็ตเวิร์คจะถูกสั่งการหรือตั้งค่าให้ส่งไฟล์ไปต้นทางใหม่จนกว่าปลายทางจะส่งสัญญาณกลับไปบอกว่าได้รับไฟล์อย่างสมบูรณ์แล้ว ตรงนี้จะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องยากเลยสำหรับแอดมินที่ดูแลเน็ตเวิร์กจะรู้ว่าใครเป็นใคร? และทำอะไร? เมื่อไหร่? เพราะpacket ทุกตัวจะมี ID ของต้นทางและปลายทางติดตัวมันตลอดเวลา แอดมินจะดูมันตอนไหนก็ได้!!
ปล. การทำงานของสื่อสารบนเน็ตเวิร์คที่ผมอธิบายตรงนี้ ผมอธิบายในลักษณะ "สโลว์โมชั่น" ในความเป็นจริง การสื่อสารผ่านสายแลน ไวไฟ หรือใยแก้วสังเคราะห์นั้นเร็วมาก เพียงเสี้ยววินาทีเดียว ไฟล์ ภาพ หรือเสียงก็สามารถถูกส่งจาก "ต้นทาง" ไป "ปลายทาง" ได้อย่างรวดเร็ว
เขียนเสร็จ ก็รีบลุกออกจากเครื่องไปหาหมอฟัน.......ได้ยินเสียงเพลงแว่วครวญจากฟันซี่หนึ่งในปากว่า "เหงือกจ๋าฟันลาก่อน" ต้องไปถอนฟันแระ
...รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม สำหรับท่านที่ชอบอวตาร2.../วัชรานนท์
มีสมาชิกบางท่านถามผมลึกลงไปอีกชั้นหนึ่งว่า เจ้าหน้าที่เขาจะรู้ได้ยังไงว่าใครคือเจ้าของโพสต์จากต้นทางและปลาย? คืออย่างนี้ครับ การสื่อสารบนเน็ตเวิร์กในโลกนี้ส่วนใหญ่ใช้เป็นระบบที่เรียกว่า TCP/IP เจ้าตัวนี้ฉลาดมาก....มันจะส่งสัญญาณไปควานหา "จุดหมายปลายทาง" ทั่วโลกก่อนด้วยความเร็วเพียงเสี้ยววินาทีเดียว เมื่อเจอจุดหมายปลายทางแล้ว มันก็จะย้อนกลับมาที่ "ต้นทาง" คือตัวคอมพิวเตอร์ที่เราจะส่งเพื่อลำเลียงส่งข้อความ รูปภาพ และเสียงที่เราต้องการส่งผ่านระบบเน็ตเวิร์ก ถ้าข้อความ ไฟล์ภาพและเสียงที่เราต้องการส่งนั้นมีขนาดใหญ่ ไฟล์เหล่านั้นก็จะถูกซอยเป็นส่วนขนาดเล็กแล้วถูกทะยอยส่งไปยังจุดหมายปลายทาง แล้วส่วนเล็กส่วนน้อยเหล่านั้นจะถูกรวมตัวกันไปไฟล์เหมือน "ต้นฉบับ" ที่ถูกส่งจากต้นทางอีกที ยกตัวอย่างเช่น รูปภาพ รูปภาพขนาดใหญ่จะถูกส่งจากเครื่องหนึ่งไปเครื่องหนึ่งทีเดียวไม่ได้ ในระบบคอมพ์ ภาพนั้นจะถูกซอยเป็นส่วนๆ หลายร้อยหรือสิบหรือพันส่วน แล้วค่อยๆ ทะยอยส่งไปยังเครื่อง "ปลายทาง" เจ้าตัว TCP/IP ตัวนี้เป็นตัวการันตีว่า ไฟล์ทุกส่วนจะต้องถึงเครื่องคอมพ์คือ "จุดหมายปลาย" เว้นไว้แต่ว่าเกิดไฟฟ้าดับ หรือสัญญาณไวไฟหรือเน็ตเวิร์คหลุด ถ้าไฟล์ขาดหายไประหว่างทาง มันก็จะย้อนกลับไปเอาไฟล์ที่ขาดหายไปที่ต้นทางได้และส่งใหม่อีกครั้ง ถ้าท่านสังเกตุ เวลาเราโหลดรูปภาพ...บางทีภาพจะปรากฏบนจอพรึ่บเดียว บางทีภาพจะค่อยๆ ปรากฏบนจอจนครบ นั่นแหละคือการทำงานของ TCP/IP ช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับความเร็วของเน็ตเวิร์คและขนาดของไฟล์
จุดสำคัญที่ผมอยากจะโฟกัสแล้วโยงเข้าหาการรู้ตัว "อวตาร" หรือ "แฮคเกอร์" ได้ก็คือ การการันตีของระบบ TCP/IP ว่าไฟล์ทุกส่วนที่ถูกส่งจาก "ต้นทาง" จะไปถึง "ปลายทาง" ไฟล์ทุกส่วนไม่ว่าจะถูกซอยเป็นไฟล์เล็กๆ เพื่อทะยอยส่งไปยังจุดหมายปลายทางเขาเรียกว่า packet และเจ้า packet ทุกตัวจะต้องบรรทุก "ที่อยู่" ซึ่งในที่นี้ก็คือไอพี IP address (หรือ Mac Addressในบางกรณี) ของ "ต้นทาง" และ "ปลายทาง" ไปด้วย ย้ำว่า packet ทุกตัวจะมีข้อมูลคือไอพีของต้นทางและปลายทางไปด้วย เผื่อไฟล์ตัวนั้นหายไประหว่างทางในกรณีที่สัญญาณเน็ตเวิร์กไม่ดีหรือขาดๆ หายๆ มันก็จะย้อนกลับไปเอาไฟล์ที่ต้นทางเดิมได้ถูกแล้วส่งกลับไปยังหลายทางได้สมบูรณ์ ถ้าจะเปรียบให้เห็นภาพก็คือ เหมือนการส่งจดหมายที่มีที่อยู่ของผู้รับและของผู้ส่ง แตกต่างกันแค่ตรงที่ระบบเน็ตเวิร์คจะถูกสั่งการหรือตั้งค่าให้ส่งไฟล์ไปต้นทางใหม่จนกว่าปลายทางจะส่งสัญญาณกลับไปบอกว่าได้รับไฟล์อย่างสมบูรณ์แล้ว ตรงนี้จะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องยากเลยสำหรับแอดมินที่ดูแลเน็ตเวิร์กจะรู้ว่าใครเป็นใคร? และทำอะไร? เมื่อไหร่? เพราะpacket ทุกตัวจะมี ID ของต้นทางและปลายทางติดตัวมันตลอดเวลา แอดมินจะดูมันตอนไหนก็ได้!!
ปล. การทำงานของสื่อสารบนเน็ตเวิร์คที่ผมอธิบายตรงนี้ ผมอธิบายในลักษณะ "สโลว์โมชั่น" ในความเป็นจริง การสื่อสารผ่านสายแลน ไวไฟ หรือใยแก้วสังเคราะห์นั้นเร็วมาก เพียงเสี้ยววินาทีเดียว ไฟล์ ภาพ หรือเสียงก็สามารถถูกส่งจาก "ต้นทาง" ไป "ปลายทาง" ได้อย่างรวดเร็ว
เขียนเสร็จ ก็รีบลุกออกจากเครื่องไปหาหมอฟัน.......ได้ยินเสียงเพลงแว่วครวญจากฟันซี่หนึ่งในปากว่า "เหงือกจ๋าฟันลาก่อน" ต้องไปถอนฟันแระ