การแนะนำทางจิตใจ แม่เมื่อแก่แล้วนอนติดเตียงบ่นเพ้อไม่อยากอยู่อยากตาย เป็นภาระแก่ลูกที่ต้องปูพื้นตั้งแต่แม่ยังไม่แก่มาก

การแนะนำทางจิตใจ  แม่เมื่อแก่แล้วนอนติดเตียงบ่นเพ้อไม่อยากอยู่อยากตาย เป็นภาระแก่ลูกที่ต้องปูพื้นตั้งแต่แม่ยังไม่แก่มาก

     (ตามที่เคยบอกว่าจะเขียนให้อ่านพิจารณา กันในกระทู้การดูแลคนแก่นอนติดเตียง ในกระทู้เก่า)
  
      ผมเห็นธรรมเข้าใจธรรมตั้งแต่อายุ 23-24 ปี จึงตอบแทนคุณแม่ในทางธรรมและบุญกุศลตั้งแต่นั้นมา แม้ผมจะยังจน(ในช่วงเวลาน้น) ไม่มีเงินส่งให้แม่ แต่ให้ท่านฝึกอ่านหนังสือเพราะท่านไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อน เมื่ออ่านออกก็ให้ท่านอ่านหนังสือสวดมนตร์ และไหว้พระก่อนนอน แนะนำให้ท่านทำบุญตักบาต จนท่านติดเป็นนิสัย ทำบุญเป็นประจำ   แล้วแนะนำให้ท่านให้ท่านปฏิบัติธรรม แรกก็ให้ฝึกสมาธิ ดูลมหายใจบ้าง พุทธโธบ้าง  จนท่านน้อมเข้ามา เมื่อมีผู้มาสอนการปฏิบัตธรรมในตัวจังหวัด ท่านจึงเริ่มเรียนรู้และไปปฏิบัติเองเป็นพื้นฐานเล็กๆ น้อย

          ผมจึงมีหน้าที่ค่อยสะกิดเตือนท่านให้ปฏิบัติให้ทำเป็นประจำ และแนะนำการเจริญสติบางเล็กน้อย   แม่ผมก็ประกองพื้นฐานนั้นยาวนานเป็นเวลา สิบๆ ปี  เพราะให้มากกว่านั้นท่านก็รับไม่ได้ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ของคนทั่วๆ ไป

          แต่เมื่อท่านแก่มากแล้ว 85-86 ปี ท่านก็กระจายเงินของท่านที่มีให้แก่ลูกๆ เท่ากันจนหมดเท่าๆ กัน ด้วยหวังว่าลูกทุกคนคงดูแลแกได้ ผมก็ไม่สามารถคัดค้านอะไรได้ ด้วยเป็นน้องคนสุดท้อง และรู้ว่าภาระนั้นต้องตกลงที่ผมตั้งแต่ต้น แม้สุขภาพผมไม่ดีก็ตาม เกิดสะโตร็กเข้าห้องไอชียู แต่โชคดีที่เส้นเลือดในสมองไม่แตก และอาการผมยังแข่วงๆ อยู่ ปีถัดมาแม่ผม เกิดเส้นเลืยดฝ่อยในสมองแตกเลือดกระจายเพียง 2-3 เชนตร์ จึงไม่ต้องผ่าตัดแต่เป็นอัมพฤตถาวร ภาระหลักในการจ่ายเงินจึงอยู่ที่ผม โดยให้พี่อีกคนหนึ่งไปดูแล   ทั้งที่ผมขณะนั้นก็ยังมีอาการแขว่งๆ อยู่ แต่ผมกลับไม่รู้สึกหนักหนาอะไร ที่หนักใจมากว่า เพราะรู้ว่าเมื่อแม่นอนติดเตียงเมื่อไหรคงไม่มีใครเอา และจิตใจของแม่จะบอบช้ำมาก  ซึ่งแม้ยังไม่นอนติดเตียงแม่ก็ยังบ่นอยู่เรื่อยว่า แม่เป็นอย่างนี้ ลูกๆ ลำบาก อายุก็มากแล้ว ตายไปเลยเสียดีกว่า   ผมก็ปลอบใจแม่ และแนะนำธรรมะอยู่เนื่องๆ ให้แม่สวดมนตร์กำหนดภาวนาตลอด ก็ช่วยได้บ้างเล็กน้อย

          แล้ววันที่แม่ต้องนอนติดเตียงมาถึง พี่ๆ ก็เริ่มไม่ถูกใจกันทะเราะกัน ผมก็ต้องอดทนยอมทนเห็นสภาพแม่ซึ่งไม่ดีแลย แต่ต้องประกองบัวก็ไม่ให้ซ้ำ น้าก็ไม่ให้ขุ่น กับพี่ๆ  เพราะผมก็ยังเป็นหนึ้ผ่อนบ้านอยู่ 2 หลัง และรถ ส่งลูกเรียนมหาลัยเหลืออีกคน ส่วนอาการของผมก็ยังแขว่งๆ ยังไม่สมบูรณ์แต่ดีขึ้นตามลำดับ
          สภาพจิตใจแม่ ย่ำแย่มากๆ แม้ข้อแนะนำธรรมะ และการสวดมนตร์ต่างๆ ของท่านก็เอาไม่อยู่เสียแล้ว  เร็วร้ายขึ้นทุกวัน ผมต้องทนเห็นสภาพนั้นอยู่เป็นปีๆ และภรรยาผมก็เข้าออกโรงพยาบาลเป็นประจำ ผมจึงต้องรีบผ่อนชำระบ้านให้หมดให้ไวขึ้น  จนผมผ่อนบ้านหลังสุดท้ายหมด จึงรีบนำแม่มาอยู่ศูนย์ดูแลผู้ป่วยหรือคนชราเอกชนในกรุงเทพฯ  ซึ่งราคาแพงมาก โดยผมตั้งงบไว้ให้แม่เกือบล้าน หรือจนผมเกษียณ (การที่ไม่เอามาดูแลที่บ้านผมเองเพราะ สุขภาพผมก็ไม่ค่อยดี ภรรยาก็แย่ และยังต้องทำงานกัน กลางวันจึงไม่มีคนคอยดูแล)  

           เมื่อมาอยู่ศูนย์ดูแล จากจิตใจที่บอบช้ำก็ค่อยๆ ปรับดีขึ้นขึ้น  แต่เรื่องการยากตายไม่อย่ากอยู่ ไม่อยากให้ลูกลำบาก ก็ยังบ่นอยู่เป็นประจำ ด้วยอายุ 91 ปี  ผมก็แนะนำธรรมปฏิบัติให้ท่านภาวนาอยู่ตลอด ดูลมหมายใจ พุทธโธ ส่วนมนตร์ นะโมตัสสะจนจบ แล้วน้อมนึกภาวนาอยู่ในใจว่า คนเรา เกิด  แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา นั้นไม่ใช่เรา นั้นไม่ใช่ของเรา นั้นไม่ใช่ตัวตนเของเรา ให้เข้าใจ
           และผมให้เหตุผลกับแม่บ่อยๆ ว่า   คนเราแม้อยากตายแต่ไม่ตาย ก็ย่อมเป็นทุกข์และเครียดเปล่าๆ  เช่นเดียวกันคนที่ไม่อยากตาย แต่กำลังจะตาย ก็เป็นทุกข์และเครียดไปเสียเปล่า ๆ   คนเราเมื่อถึงเวลาตายก็จะตายเองตามธรรมชาติของร่างกาย จะเร่งมันก็เป็นทุกข์ จะไม่ให้มันตายก็เป็นทุกข์เปล่าๆ  

           ต่อมาแม้จะอยู่ศูนย์ดูแลราคาแพง แต่แม่ก็ติดเชื้อ น้ำท่วมปอดจนได้ หายใจออกชีเจนไม่พอ ต้องให้ออกชีเจนจากเครื่องทำออกชีเจน ต้องเข้าโรงพยาบาล ตอนติดเชื่อก็เพ้อ และผมได้สัมผัสกับท่านที่เพ้อดี ขณะที่ไปเยียมท่าน ก็ให้ภาวนา พุทธ-โธ ตามที่เคยแนะนำให้ท่านฝึกเมื่อนานมาแล้ว  แล้วให้พิจารณาว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา นั้นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ให้เข้าใจ แม่ก็ทำบ้างไม่ทำบ้าง.

         ขณะที่นั่งคุยทั่วไปและบอกท่านอยู่  ท่านก็ถูมือตัวเองอยู่ แล้วท่านก็กระจายมือออก คล้ายกับรับหรือประกองอะไรสักอย่าง ปากท่านก็อุทานออกมาเบาๆ ว่า "อ่า ๆ ๆ " ตานั้นมองเหนือมือประกองอยู่  สักพัก ผมก็ถามท่านว่า  "เห็นอะไรหรือแม่" แม่ก็บอกว่า

     "เห็นดวงไฟสว่างใส ลอยขึ้น"

      หลังจากผมถามผู้ดุแลคนชราว่า "แม่เพ้อบ่อยไหม? "
      ผู้ดูแลบอกว่า "ไม่มาก แต่เริ่มเพ้อแล้ว"
      ผมถามว่า "ถามจริงๆ แม่ยังอยู่ได้นานใหม?"
      ผู้ดูแลบอกว่า "ตามประสบการณ์ที่ดูแลผู้ป่วยชรา ถ้าเริ่มเพ้อแล้วคงอยู่ไม่นาน"

      ผมก็ทำใจไว้แล้ว  แล้วย้ายแม่มาอยู่ที่ศูนย์ใหม่ที่ราคาถูกกว่า เพื่อประหยัดเพราะผมจ่ายไปหลายแสนแล้ว ผู้ดูแลที่ใหม่บอกว่า

      "คืนนั้นทั้งคืนแม่ เริ่มพูดคนเดียว มีคนโน้นคนนี้มาคุยแต่ไม่เห็น"

       แต่แม่ไม่เพ้อในเรื่องที่หวาดกลัว หรือกลัว
      ในวันต่อมาแม่ก็เป็นปกติแล้ว แต่สภาพร่างกายทรุดไปจากเดิมอีกมากด้วยโรคที่เป็นอยู่ หลับตานอนเป็นเสียส่วนมากไม่เพ้อแล้ว มีสติจำได้ดีคุยรู้เรื่อง แต่จะนอนหลับตาเป็นส่วนมาก.
  
        หมายเหตุ ตอนที่จะย้ายแม่มาที่ศูนย์ใหม่ ก็ได้ปรึกษาท่านแล้ว  เรื่องค่าใช้จ่ายลดลง แต่การดูแลอาจจะด้อยกว่าที่เดิมพอประมาณ แม่ก็บอกว่าแม่อยู่ได้ แล้วแต่ลูก  ผมจึงตัดสินใจย้ายเพราะด้วยเหตุต้องเอาเงินเก็บอันน้อยนั้นมาจ่ายแล้ว  ปัจจุบันแม่อาการดีขึ้นจากเดิมมาก มีสติดีจำได้ดีคุย รู้เรื่องฟังชัด แต่ร่างกายทรุดลงมากขึ้น และผมได้สอบถามแม่ว่า ที่ศูนย์ใหม่กับที่เก่า อะไรดีกว่า แม่บอกว่าที่เก่าดีกว่า ผมจึงถามว่า แล้วที่ใหม่กับที่อยู่กับพี่ที่ปักใต้อะไรดีกว่า แม่ตอบทันที่ว่า ที่นี้ดีกว่ามาก ผมจึงถามต่อไปว่า ที่นี้แม่อยู่ได้ใหม? แม่ก็บอกว่า อยู่ได้  แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว  

        ส่วนเรื่องไปโรงพยาบาล แม่ก็ไม่อยากไปแล้ว พี่ก็ไม่อยากพาไปแล้ว แต่จิตใจแม่ก็พัฒนาขึ้นแล้ว ไม่เป็นแบบเก่าแล้ว  คงเป็นช่วงวิกฤตที่แม่เพ้อ และอ่อนแรงลงแม่คงลืมภาวนา แล้วก็ผมได้บอกในช่วงที่แม่พอได้สติตอนที่ไปเยียม จากเหนื่อยมากลืมตาขึ้นหายใจกระสับกะส่ายมองดู ผมก็บอก  
        แม่อย่าลืมสติ รู้ลมหายใจ ภาวนา พุทธ-โธ เหมือนแม่รับฟังทำตาม หลับตานิ่ง ที่หายใจกระสับกระสายหายไป นานไปสักพักใหญ่ ก็ลืมตาขึ้นมา ผมเลยบอกแม่ต่อว่า  "มีสตินะแม่ ดูลมหายใจ พุทธ-โธ แล้วนึกในใจ ภาวนาว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา นั้นไม่ใช่เรา นั้นไม่ใช่ของเรา นั้นไม่ใช่ตัวตนของเรา"
         แม่ก็ฟังแล้วหลับตานิ่งไปอีก พักใหญ่ แล้วลืมตาขึ้นมาอีก แล้วแม่บอกว่าแม่เหนื่อยแล้ว แล้วหลับตานิ่งสักพักหนึ่ง ผมจึงบอกแม่ว่า

         "แม่นอนนะ ลูกจะกลับแล้วนะ อย่าลืมทำตามที่ลูกบอก " แม่พยักหน้าผมก็กลับ   แล้วคืนนั้นทั้งคืนแม่ เริ่มพูดคนเดียว มีคนโน้นคนนี้มาคุยแต่ไม่เห็น ตามที่คนดูแลบอก

         เวลาที่ผมไปเยียมแม่แม้ไม่ได้มากนักแต่เวลานั้นมีคุณค่า  เมื่อแม่ฟื้นปกติแล้วไม่หลับตาเหนื่อยเหมือนแต่ก่อน ผมได้ถามแม่ว่า แม่เครียดไหม แม่บอกไม่ได้เครียด ผมจึงถามใหม่ว่า เบื่อไหม แม่ตอบทำนองว่า "เบื่อมากเป็นอย่างนี้ แต่อยู่ตามเวลาของมัน"

         ผมก็ยิ้ม  แม่เข้าใจธรรมะ  ในยามวิกฤติ แห่งชีวิตแล้ว

          นี้ผ่านมาแม่ก็อายุ 93 ปีเต็มแล้ว  ตั้งแต่ย้ายมาศูนย์ดูแลที่ถูกกว่า แต่เม่ไม่เคยป่วยหนักเลย  ที่คิดว่าจะเสียแต่ไม่เสียยังอยู่ได้จนถึงปัจจุบัน ที่บ่นเพ้อว่าอยากตายให้พ้นๆ ก็ไม่บ่นให้ลูกได้ยินอีกแล้ว  แถมจิตใจดี ดูแลง่าย คนดูแลบอกให้ผมทราบโดยตลอด
          เมื่อผมถามแม่ว่ายังอยากตายอยู่ใหม?  ท่านตอบเป็นภาษาไต้ว่า  " ปรันพรือได้(ทำอย่างไรได้)  เมื่อเป็นเช่นนี้  ก็อยู่ไป จนมันสิ้นตายไปเองของมัน"

    ผมจึงไปเยี่ยมแม่โดยที่ผมไม่ต้องไปเครียด กับเรื่องที่แม่บ่นอยากตายอีกแล้วตั้งแต่นั้นมา  .
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่