สนทนาธรรม เรื่องสมาธิ กับหลวงตาจำปี วัดอโศการาม
วันที่ 30 สิงหาคม 2568 ถวายสังฆทาน น้ำปานะ น้ำผึ้ง ข้าวสาร ดอกไม้และเครื่องโกนผมไฟฟ้า แด่หลวงตาจำปี วัดอโศการาม
หลวงตาจำปีเป็น หลานแท้ๆ ของท่านพ่อลี ธัมมธโร แห่งวัดอโศการาม ท่านบวชเป็นเณรอยู่กับท่านพ่อลีตั้งแต่อายุ 15 ปี และปัจจุบันอายุ 84 ปี มีพรรษา 64 ปีแล้ว
ประสบการณ์ส่วนตัวของผม ยอมรับว่า หลวงตาจำปี มีเจโตปริยญาณ หรือ "ญาณที่รู้จิตใจของผู้อื่น" สามารถล่วงรู้สภาวะจิต อารมณ์ และความคิดของผู้อื่นได้ ชัดเจนมากๆ
วันนี้ผมยังได้มีโอกาสสนทนาธรรมและแลกเปลี่ยนประสบการณ์การภาวนาของผมกับหลวงตา ซึ่งเป็นโอวาทที่ลึกซึ้งและเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง จึงขอนำมาถ่ายทอดไว้ดังนี้
ผมผมถามหลวงตา: เวลาภาวนา พุทโธ หลวงตากำหนดดูลมหายใจเข้าออกด้วย หรือภาวนาพุทโธอย่างเดียว ไม่ดูลมหายใจครับ
หลวงตาตอบ: กำหนดดูลมหายใจเข้าออกด้วย ลมหายใจเข้า ภาวนา พุท ลมหายใจออก ภาวนา โธ
ผมถามหลวงตา: หลวงตากำหนดดูที่ ปลายจมูก หว่างคิ้ว หรือกลางกระหม่อมครับ
หลวงตาตอบ: ที่จุดไหนก็ได้ ที่สัมผัสลมกระทบได้ดี ไว้ที่ปลายจมูกก็ได้ ภาวนา พุท สูดลมหายใจลึกๆ ยาวๆ ดูลมหายใจจนสุดแล้วภาวนา โธ
สังเกตดีๆ เวลาเราโกรธ หายใจเข้าลึกๆ จิตจะสงบและหายโกรธ ภาวนาแบบนี้ไปเรื่อยๆ จะเกิดปีติและสุข
ผมถามหลวงตา: เวลาผมกำหนดดูลมหายใจไว้ที่กาย รู้สึกลมหายใจซาบซ่านไปทั้งตัว คืออะไรครับหลวงตา
หลวงตาตอบ: นั่นแหละเรียกว่าปีติ จะเกิดอาการซาบซ่านไปทั้งตัว น้ำตาไหล ขนลุกขนพอง ทำแบบนั้นแหละเป็นบุญกุศล ทำบ่อยๆ ได้บุญกุศลตลอดเวลา
ผมถามหลวงตา: เวลานั่งสมาธิแล้วกายดับ ลมหายใจดับ หลวงตากำหนดจิตไว้ที่ไหนครับ
หลวงตาตอบ: เวลาภาวนาจนลมหายใจและกายดับสนิท นั่นเรียกว่า จิตแยกออกจากกาย
ก่อนจะถึงสภาวะนี้เกิดทุกขเวทนาจากการนั่งนานๆ เมื่อกายดับสนิท ทุกขเวทนาจะหายไปหมดสิ้น เหลือแต่ตัวรู้และจิตตั้งมั่น เรียกว่า เอกัคคตา
ตอนนั้นคำภาวนาและลมหายใจ จิตไม่เอาแล้ว จิตจะอยู่กับความสงบและตัวรู้
สมาธิมี 3 ระดับ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ และอัปนาสมาธิ
นี่เป็นอัปนาสมาธิ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน นี่เรียกว่า จตุตถฌาน
ผมถามหลวงตา: เวลาถึงสมาธิระดับนี้ ออกจากสมาธิ ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้น ตุ๊บๆๆๆ ดังมากๆ คืออะไรครับ
หลวงตาตอบ: พอจิตละเอียดขึ้น จะสัมผัสถึงความเป็นทิพย์ ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้น ได้ยินเสียงหายใจคนอื่น ความคิดคนอื่น ได้ยินดังชัดเจนเพราะความละเอียดของจิต
ผมถามหลวงตา: หลังจากทำสมาธิถึงจตุตถฌาน พอมาภาวนาครั้งต่อๆ ไป เมื่อกำหนดดูลมหายใจพร้อมภาวนา พุทโธ เกิดสภาวะเหมือนชีพจรเต้นตุ๊บๆๆ ที่กลางหว่างคิ้ว คืออะไรครับหลวงตา
หลวงตาตอบ: นั่นแหละ จิต สติตัวรู้ เค้าบอกให้รู้ว่าเค้าอยู่ที่ไหน กำหนดดูที่จุดนั้นอย่างเดียว ไม่ต้องคิดอะไร เอาแค่รู้พอ แล้วจิตจะสงบเป็นสมาธิ
ผมถามหลวงตา: ผมรู้ตัวว่าปรารถนาพุทธภูมิตั้งแต่เด็ก จึงไม่อยากหลุดพ้น เป็นกิเลสป่าวครับ
หลวงตาตอบ: ก็เรียกว่าเป็นกิเลสนั่นแหละ แต่เป็นฝ่ายดี
พุทธภูมิ ต้องเรียนรู้เยอะ ไปเวียนว่ายตายเกิดนับชาติไม่ถ้วน เป็นทุกอย่าง เรียนรู้ทุกอย่าง ต้องทนทุกข์ทรมานมาก เพราะจะเป็นครูเขา
ผมถามหลวงตา: ตอน 8 ขวบ ผมนั่งสมาธิแล้วจิตเข้าสมาธิลึก หลังออกสมาธิ เห็นตนเองเวียนว่ายตายเกิดนับชาติไม่ถ้วน เห็นตนเองเกิด บำเพ็ญบารมีแล้วตาย วนไปเรื่อยๆ
หลวงตาตอบ: นั่นแหละ มันจะหมุนเป็นวงกลม เมื่อหยุดได้มันจะไม่หมุนอีก
ผมถามหลวงตา: เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเป็นนิยตโพธิสัตว์หรืออนิยตโพธิสัตว์ครับ
หลวงตาตอบ: ปฏิบัติไปเรื่อยๆ เราจะรู้ด้วยตัวของเราเอง
ผมถามหลวงตา: ทำไมคนฝึกสมาธิ ทำไมไม่สามารถควบคุมสติและอารมณ์โกรธได้
หลวงตาตอบ: จริงๆ แล้วสิ่งที่ควบคุมอารมณ์โกรธได้ คือสติและปัญญา
ถึงแม้ว่าจะฝึกสมาธิ แต่ถ้าไม่มีสติและปัญญาก็ไม่สามารถควบคุมความโกรธได้
สมาธิได้แต่ความสงบ ถ้าไม่มีปัญญา จะมีอารมณ์โกรธรุนแรงกว่าคนไม่มีสมาธิอีก
ต้องใช้สมาธิสอนจิตให้เกิดปัญญาเห็นอารมณ์โกรธ และอารมณ์เฉยๆ หรืออุเบกขา
เมื่อโกรธ ใช้สติกำหนดดูอารมณ์โกรธ และอุเบกขา
สาธุๆๆ ครับหลวงตา
ผมขอนำบุญนี้มาให้ทุกท่านร่วมอนุโมทนาครับ
สนทนาธรรม เรื่องสมาธิ กับหลวงตาจำปี วัดอโศการาม
วันที่ 30 สิงหาคม 2568 ถวายสังฆทาน น้ำปานะ น้ำผึ้ง ข้าวสาร ดอกไม้และเครื่องโกนผมไฟฟ้า แด่หลวงตาจำปี วัดอโศการาม
หลวงตาจำปีเป็น หลานแท้ๆ ของท่านพ่อลี ธัมมธโร แห่งวัดอโศการาม ท่านบวชเป็นเณรอยู่กับท่านพ่อลีตั้งแต่อายุ 15 ปี และปัจจุบันอายุ 84 ปี มีพรรษา 64 ปีแล้ว
ประสบการณ์ส่วนตัวของผม ยอมรับว่า หลวงตาจำปี มีเจโตปริยญาณ หรือ "ญาณที่รู้จิตใจของผู้อื่น" สามารถล่วงรู้สภาวะจิต อารมณ์ และความคิดของผู้อื่นได้ ชัดเจนมากๆ
วันนี้ผมยังได้มีโอกาสสนทนาธรรมและแลกเปลี่ยนประสบการณ์การภาวนาของผมกับหลวงตา ซึ่งเป็นโอวาทที่ลึกซึ้งและเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง จึงขอนำมาถ่ายทอดไว้ดังนี้
ผมผมถามหลวงตา: เวลาภาวนา พุทโธ หลวงตากำหนดดูลมหายใจเข้าออกด้วย หรือภาวนาพุทโธอย่างเดียว ไม่ดูลมหายใจครับ
หลวงตาตอบ: กำหนดดูลมหายใจเข้าออกด้วย ลมหายใจเข้า ภาวนา พุท ลมหายใจออก ภาวนา โธ
ผมถามหลวงตา: หลวงตากำหนดดูที่ ปลายจมูก หว่างคิ้ว หรือกลางกระหม่อมครับ
หลวงตาตอบ: ที่จุดไหนก็ได้ ที่สัมผัสลมกระทบได้ดี ไว้ที่ปลายจมูกก็ได้ ภาวนา พุท สูดลมหายใจลึกๆ ยาวๆ ดูลมหายใจจนสุดแล้วภาวนา โธ
สังเกตดีๆ เวลาเราโกรธ หายใจเข้าลึกๆ จิตจะสงบและหายโกรธ ภาวนาแบบนี้ไปเรื่อยๆ จะเกิดปีติและสุข
ผมถามหลวงตา: เวลาผมกำหนดดูลมหายใจไว้ที่กาย รู้สึกลมหายใจซาบซ่านไปทั้งตัว คืออะไรครับหลวงตา
หลวงตาตอบ: นั่นแหละเรียกว่าปีติ จะเกิดอาการซาบซ่านไปทั้งตัว น้ำตาไหล ขนลุกขนพอง ทำแบบนั้นแหละเป็นบุญกุศล ทำบ่อยๆ ได้บุญกุศลตลอดเวลา
ผมถามหลวงตา: เวลานั่งสมาธิแล้วกายดับ ลมหายใจดับ หลวงตากำหนดจิตไว้ที่ไหนครับ
หลวงตาตอบ: เวลาภาวนาจนลมหายใจและกายดับสนิท นั่นเรียกว่า จิตแยกออกจากกาย
ก่อนจะถึงสภาวะนี้เกิดทุกขเวทนาจากการนั่งนานๆ เมื่อกายดับสนิท ทุกขเวทนาจะหายไปหมดสิ้น เหลือแต่ตัวรู้และจิตตั้งมั่น เรียกว่า เอกัคคตา
ตอนนั้นคำภาวนาและลมหายใจ จิตไม่เอาแล้ว จิตจะอยู่กับความสงบและตัวรู้
สมาธิมี 3 ระดับ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ และอัปนาสมาธิ
นี่เป็นอัปนาสมาธิ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน นี่เรียกว่า จตุตถฌาน
ผมถามหลวงตา: เวลาถึงสมาธิระดับนี้ ออกจากสมาธิ ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้น ตุ๊บๆๆๆ ดังมากๆ คืออะไรครับ
หลวงตาตอบ: พอจิตละเอียดขึ้น จะสัมผัสถึงความเป็นทิพย์ ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้น ได้ยินเสียงหายใจคนอื่น ความคิดคนอื่น ได้ยินดังชัดเจนเพราะความละเอียดของจิต
ผมถามหลวงตา: หลังจากทำสมาธิถึงจตุตถฌาน พอมาภาวนาครั้งต่อๆ ไป เมื่อกำหนดดูลมหายใจพร้อมภาวนา พุทโธ เกิดสภาวะเหมือนชีพจรเต้นตุ๊บๆๆ ที่กลางหว่างคิ้ว คืออะไรครับหลวงตา
หลวงตาตอบ: นั่นแหละ จิต สติตัวรู้ เค้าบอกให้รู้ว่าเค้าอยู่ที่ไหน กำหนดดูที่จุดนั้นอย่างเดียว ไม่ต้องคิดอะไร เอาแค่รู้พอ แล้วจิตจะสงบเป็นสมาธิ
ผมถามหลวงตา: ผมรู้ตัวว่าปรารถนาพุทธภูมิตั้งแต่เด็ก จึงไม่อยากหลุดพ้น เป็นกิเลสป่าวครับ
หลวงตาตอบ: ก็เรียกว่าเป็นกิเลสนั่นแหละ แต่เป็นฝ่ายดี
พุทธภูมิ ต้องเรียนรู้เยอะ ไปเวียนว่ายตายเกิดนับชาติไม่ถ้วน เป็นทุกอย่าง เรียนรู้ทุกอย่าง ต้องทนทุกข์ทรมานมาก เพราะจะเป็นครูเขา
ผมถามหลวงตา: ตอน 8 ขวบ ผมนั่งสมาธิแล้วจิตเข้าสมาธิลึก หลังออกสมาธิ เห็นตนเองเวียนว่ายตายเกิดนับชาติไม่ถ้วน เห็นตนเองเกิด บำเพ็ญบารมีแล้วตาย วนไปเรื่อยๆ
หลวงตาตอบ: นั่นแหละ มันจะหมุนเป็นวงกลม เมื่อหยุดได้มันจะไม่หมุนอีก
ผมถามหลวงตา: เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเป็นนิยตโพธิสัตว์หรืออนิยตโพธิสัตว์ครับ
หลวงตาตอบ: ปฏิบัติไปเรื่อยๆ เราจะรู้ด้วยตัวของเราเอง
ผมถามหลวงตา: ทำไมคนฝึกสมาธิ ทำไมไม่สามารถควบคุมสติและอารมณ์โกรธได้
หลวงตาตอบ: จริงๆ แล้วสิ่งที่ควบคุมอารมณ์โกรธได้ คือสติและปัญญา
ถึงแม้ว่าจะฝึกสมาธิ แต่ถ้าไม่มีสติและปัญญาก็ไม่สามารถควบคุมความโกรธได้
สมาธิได้แต่ความสงบ ถ้าไม่มีปัญญา จะมีอารมณ์โกรธรุนแรงกว่าคนไม่มีสมาธิอีก
ต้องใช้สมาธิสอนจิตให้เกิดปัญญาเห็นอารมณ์โกรธ และอารมณ์เฉยๆ หรืออุเบกขา
เมื่อโกรธ ใช้สติกำหนดดูอารมณ์โกรธ และอุเบกขา
สาธุๆๆ ครับหลวงตา
ผมขอนำบุญนี้มาให้ทุกท่านร่วมอนุโมทนาครับ