ตอนที่ 4 เผชิญหน้าองค์เทวี
ย้อนเวลาไป24ช.ม.ที่แล้ว
เด็กทั้ง4คนกำลังพยายามจับจ้องมองผนังถ้ำแต่ละด้านด้วยความอยากรู้อยากเห็น จนในที่สุด เอก็ตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น
"เห็นจริงๆด้วย เห็นจริงๆด้วยฟ้า พอจ้องมองนิ่งๆไม่กะพริบตา หินเหล่านี้ดูราวกับจะส่องแสงออกเองได้ แต่พอกระพริบตาก็จะหายวับไป มาดูสิ"
แป๋วรีบวิ่งเข้าไปยืนมองผนังถ้ำด้านที่เอยืนอยู่ด้วยความสนใจ ส่วนฟ้าไม่ได้สนใจอะไรมากนัก
สิ่งที่เบนความสนใจฟ้าตอนนี้ก็คือต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่ขึ้นอยู่ใจกลางถ้ำ
ต้นไม้ต้นนี้ผุดขึ้นมาใจกลางถ้ำ แทรกตัวผ่าเข้ามากลางพื้นหิน ยืนหยัดอยู่ระหว่างผนังถ้ำ แผ่กิ่งก้านสาขาออกไปไกล โดดเดี่ยวทะมึนทึบท่ามกลางความมืดและความอับชื้นของถ้ำ ที่น่าแปลกใจคือ ใบไม้ที่แผ่เต็มกิ่งก้านสาขาทั้งๆที่บริเวณนี้แดดไม่มีทางส่องถึง แม้แต่แสงสว่างก็ไม่มีทางแวบเข้ามา
ต้นไม้ใหญ่ต้นนี้เจริญเติบโตขึ้นมาได้อย่างไร?
ฟ้ามองต้นไม้นั้นนิ่งราวกับจะตกอยู่ในภวังค์ จนกระทั่งรู้สึกเหมือนมีใครดึงเสื้ออยู่หลายครั้ง
"นั่นต้นอะไร พวกเธอรู้ไหม"ฟ้าถามเพื่อนๆโดยไม่ได้หันไปมองหน้า ชี้ไปที่ต้นไม้ใหญ่ทะมึนใจกลางถ้ำเบื้องหน้า
เพื่อนๆไม่มีใครตอบฟ้าสักคน แต่ลักษณะอาการที่เสื้อของฟ้าถูกดึงก็ยังคงปรากฏอยู่เช่นนั้น
ฟ้าเริ่มรู้สึกรำคาญจึงหันไป ก็พบกระต่ายกำลังยืนดึงเสื้อตัวเองอยู่ หน้ากระต่ายซีดเผือด ดวงตามีน้ำตาคลอ เธอเหมือนจะหวาดกลัวอะไรสักอย่างจนพูดไม่ออก
"อะไร มีอะไรต่าย"ฟ้าจับไหล่กระต่ายไว้ กระต่ายไม่ตอบ ชี้มือไปจุดที่เจ้าหน้าที่อุทยานเดินนำทางอยู่เมื่อครู่
ฟ้ามองตาม แล้วก็ต้องตกใจแทบสิ้นสติ
พี่เจ้าหน้าที่อุทยานที่นำทางเข้ามา บัดนี้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ทางเดินข้างหน้าที่เปิดโล่ง บัดนี้ปิดสนิทกลายเป็นทางตัน!
"อะไรกันเนี่ย"ฟ้ากระซิบแผ่วเบา
"ทางที่เราเดินมาก็ปิดหมดเลย"แป๋วร้องออกมา
ฟ้าหันหลังกลับไปมอง และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ทางที่เดินกันมาบัดนี้กลับกลายเป็นผนังหินราบเรียบ ไม่ทางออกอื่นให้เดินได้เลย
"ฟ้า นี่มันเกิดอะไรขึ้น พี่คนนั้นไปไหนแล้ว"กระต่ายถามเสียงสั่น
ฟ้าไม่ตอบ รู้สึกว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้ากับอันตรายใหญ่หลวง เอกับแป๋วตอนนี้ทำท่าเหมือนจะวิ่งออกไปนอกถ้ำทั้งๆที่ไม่มีทางออก
"เอ แป๋ว ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งตกใจ มารวมกลุ่มกันไว้ก่อน"ฟ้าตะโกนเรียก กระต่ายแม้จะตกใจไม่แพ้เพื่อนอีกสองคน แต่ก็ยังพอมีสติ รีบวิ่งไปจับมือเพื่อนทั้งสองคนมารวมกลุ่ม
"นี่เราเดินหลงกับพี่เขาเหรอฟ้า"แป๋วถามเสียงดังด้วยความตกใจ
"ไม่ได้เดินหลงแน่ๆ เรามั่นใจ เพราะเราเดินตามหลังพี่เขามาตลอด มันเหมือนกับว่าพี่แกหายตัวไปงั้นแหละ"เอพูดเสียงตระหนก
"เงียบนะ เอ พี่เขาจะหายไปไหนได้ เราคงพลัดหลงกับพี่เขาแน่ๆ"แป๋วพยายามหาเหตุผล
"เราว่าสภาพถ้ำเปลี่ยนไปนะ เราจำได้ว่าตอนเดินเข้ามา หินไม่สูงใหญ่ขนาดนี้ "กระต่ายพูดไล่สายตาไปตามหินงอกหินย้อยในถ้ำ
"กรี๊ดด!"แป๋วหวีดร้องออกมาสุดเสียง
"แป๋ว เป็นอะไร"
"ดูรอบๆสิ"แป๋วร้อง
ฟ้าหันมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่พบสิ่งปกติอะไร แต่ทว่าอีกขณะจิตต่อมา ฟ้าก็รู้ว่าแป๋วกรีดร้องเรื่องอะไร
แสงในถ้ำที่เคยส่องสว่างเริ่มจะลดน้อยลงเรื่อยๆ จากสว่างจ้าก็เริ่มหม่นหมองลง ทีละนิด ทีละนิด จนกลายเป็นแสงสลัวเลือนรางที่มองอะไรไม่ชัด
"ข้างนอกมืดแล้วหรอ"กระต่ายถามเสียงขาดเป็นห้วงๆ
"ไม่ใช่หรอก นี่ไม่ใช่ความมืดจากตอนกลางคืน แต่แสงในนี้กำลังหมดลง"ฟ้าตอบ
ความมืดรอบด้านกำลังดำเนินต่อไปอย่างไม่มีหยุดหย่อน แสงกำลังหมดลงไปจนมองไม่เห็นตัวเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างๆ
"จับมือกันไว้เร็ว แล้วค่อยๆนั่งลง ใครเอามือถือออกมาส่องไฟหน่อยสิ"ฟ้าสั่ง
เพื่อนอีกสามคนรีบจับมือกันแน่น แล้วนั่งลงกับพื้น กระซิบจับตัวเรียกถามหาชื่อแต่ละคนเพื่อตรวจดูว่ามีใครหายไปบ้าง
กระต่ายกับแป๋วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาส่องไฟแต่ก็ไม่สามารถเปิดไฟจากหน้าจอได้
"ฟ้าโทรศัพท์เราไม่ติด"แป๋วร้อง
"เราก็ไม่ติด"กระต่ายร้องขึ้นมาอีกคน
"ช่างมัน นิ่งๆไว้ก่อน รวมกลุ่มไว้ ใครอย่าเพิ่งวิ่งไปไหนเด็ดขาดนะ ตั้งสติไว้ แล้วมาคิดหาทางว่าจะทำยังไงกันต่อไปดี"ฟ้าพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน
บัดนี้ ความมืดปกคลุมไปทั่วแล้ว ราวกับถูกผ้าสีดำมาปิดตา จะมอง จะจับสังเกตอะไรก็ไม่สามารถทำได้เลย แม้แต่เพียงแสงจุดเล็กๆก็ไม่ปรากฏ
'คัพธัพวดี ได้โปรดช่วยเราด้วย'ฟ้านึกภาวนาในใจ
"กรี๊ดดด!"เสียงหวีดร้องของใครคนหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าเป็นแป๋วหรือกระต่ายดังขึ้น
"มีอะไรอีก"ฟ้าส่งเสียงผ่านความมืดออกไป
"นั่นใครน่ะ"กระต่ายตอบมาในความมืด
ฟ้าหันมองไปรอบทิศ แล้วไปสะดุดตากับแสงสีขาวบางๆเหนือศีรษะเยื้องเบื้องหน้าขึ้นไปเล็กน้อย
คัพธัพวดีนั่นเอง หญิงงามเกินมนุษย์ที่เขาพบปะเมื่อคืน กำลังยืนยิ้มอย่างพออกพอใจอะไรในบางอย่าง
"คัพธัพวดี นั่นคุณใช่ไหม"ฟ้าส่งเสียงถามออกไป ความหวาดกลัวที่เคยมีต่อคัพธัพวดีนั้นหมดสิ้นไป เมื่อตนเองกำลังตกอยู่ในสภาวะอันตรายแบบนี้
"ข้าดีใจที่เจ้ายังจำเราได้ แม้เราจะสถิตย์ห่างไกลเจ้าขนาดนี้"นางตอบมา
"ฟ้า นี่มันอะไรกัน เธอคุยกับเขางั้นหรือ?"แป๋วถามเสียงหลง
"เงียบก่อน"ฟ้าปราม
"คุณบอกให้ผมมาขอขมา ผมก็มาแล้วพร้อมกับเพื่อน แล้วคุณทำแบบนี้ทำไม ไหนว่าคุณไม่เคยรบกวนมนุษย์ "ฟ้าส่งเสียงถามขึ้นไป
"เรามิได้ทำอะไรกับพวกเจ้าทั้งสิ้น ความมืดที่เกิดขึ้นรอบตัวพวกเจ้านั้นคือธรรมดาในที่แห่งนี้ ฉะนั้นเจ้าจะมากล่าวหาว่าเราทำร้ายพวกเจ้ามิได้ เพราะพวกเจ้าก็ไม่ได้เป็นอันตรายใดใด"คัพธัพวดีตอบ
"งั้นก็หยุดทำแบบนี้เถิด เราแค่จะมาขอขมา แล้วจากนั้น ผมขอร้องให้ปล่อยเรากลับไป"
ทุกครั้งที่มีการตอบโต้ระหว่างฟ้ากับนางในอากาศ เพื่อนๆรอบตัวฟ้าจะสะดุ้งตกใจกลัวตลอด บางครั้งฟ้าได้ยินเสียงสะอื้นด้วยความหวาดกลัวดังมาจากสองสาวด้วย
คัพธัพวดีไม่ตอบฟ้า เพียงแค่ยืนเอียงคอมองฟ้าอย่างสนอกสนใจ ดั่งคราวแรกที่เจอกัน ฟ้าเริ่มเอะใจว่ามันต้องมีอะไรแปลกๆแน่แล้ว
"คัพธัพวดี นี่คุณไม่ได้ต้องการให้เรามาขอขมาใช่ไหม คุณพาเรามาที่นี้เพราะอะไรกันแน่"ฟ้าถาม
"เรายอมรับ เราไม่ได้ต้องการจะมาฟังคำขอขมาอะไรจากพวกเจ้า เรามีจุดประสงค์อื่น"
"แสดงว่าคุณโกหกงั้นหรือ คุณหลอกพวกผมมาที่นี่งั้นหรือ ไหนคุณบอกว่าจะไม่พาพวกเรามาสู่หายนะ แต่ที่ผมกำลังเห็นคือคุณกำลังผิดสัจจะ คุณจงใจนำพวกเรามาสู่อันตรายชัดๆ"ฟ้าตะโกนออกไปด้วยความโกรธ
"หุบปากเดี๋ยวนี้นะ"นางตะโกนก้อง"จะกี่ภพกี่ชาติ เจ้าก็ยังโอหังถือดีอยู่เช่นเดิม กิจนี่ไม่เกี่ยวกับเรา เราแค่ชักจูงพวกเจ้ามาพบกับพระองค์"
"พระองค์? คุณหมายถึงใครกัน"ฟ้างุนงง
นางในโลกทิพย์ไม่ตอบ ค่อยๆหันกายไปทางขวาของตน นั่งคุกเข่าลงกับพื้น ยกมือพนมไว้แนบอก และกล่าวออกไปเสียงดังกังวาน
"ข้าแต่ท้าวธตรฐผู้เป็นใหญ่ในหมู่คนธรรพ์ ท้าววิรุฬหกผู้เป็นใหญ่ในหมู่กุมภัณฑ์ ท้าววิรูปักษ์ผู้เป็นใหญ่ในหมู่นาค และท้าวเวสสุวรรณผู้เป็นใหญ่ในหมู่ยักษ์ ได้โปรดเถิดเพคะ จงประทานพรให้หม่อมฉันทำกิจครั้งนี้ให้สำเร็จด้วยเถิด"
ทันทีที่นางกล่าวจบ เบื้องขวาของนางก็บังเกิดแสงสีแดงปล๊าบวาบขึ้นมา ส่องสว่างไปทั่วบริเวณ ฟ้ากับอีกสามคนที่นั่งตัวสั่นอยู่ถึงกับหลับตาเพราะแสงที่เกิดขึ้นกระทันหัน เมื่อฟ้าลืมตาขึ้นแสงสีแดงก็ค่อยๆกลับมารวมกลุ่ม ณ ที่ที่มันกำเนิด ปล่อยให้รอบด้านมืดสนิทตามเดิม ฟ้าจับตามองแสงสีแดงที่กำลังเปล่งแสงอยู่ด้วยความฉงน ไม่นานแสงนั้นก็ค่อยๆเลือนหาย แต่มีอะไรบางอย่างมาแทนที่
ร่างของสตรีนางหนึ่ง กำลังนอนอยู่กลางอากาศด้วยท่าสีหไสยาสน์โดยไม่มีอะไรรองรับ ที่น่าตกใจคือร่างของนาง ร่างของนางมีขนาดใหญ่โตนัก ทำให้นึกถึงองค์พระนอนขนาดยักษ์ก็ยังเทียบไม่เท่านาง ความยาวตั้งแต่ศีรษะถึงปลายเท้า ยาวจนแทบมองไม่สุด ความกว้างนั้นเล่าก็สูงจนแทบต้องแหงนหน้ามอง รอบกายของนางมีรัศมีแดงเรื่อๆ เมื่อฟ้ามองไปที่ใบหน้าของนาง ฟ้าคิดว่าคัพธัพวดีนั้นงามแล้ว แต่นางผู้มีร่างอันใหญ่โตนางนี้กลับสวยกว่าอย่างเทียบไม่ได้ ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิท มือข้างซ้ายของนางมีสีแดงเข้ม ฟ้ารู้ทันทีจากการอ่านหนังสือมาเยอะว่า นี่คือเทวดาผู้มีฤทธิ์มาก
แม้แต่คัพธัพวดีเองก็ยังเกรงฤทธิ์นางผู้นี้ ได้แต่นั่งก้มหน้า มือยังประนมอยู่ที่อกเช่นนั้น ฟ้ารู้ได้ในทันทีว่า พระองค์ที่คัพธัพวดีพูดถึง คือนางผู้นี้กระมัง
รัศมีสีแดงจากกายของนางสว่างพอที่จะขับไล่ความมืดบางส่วนรอบๆตัวฟ้าออกไป จนฟ้าค่อยๆมองเห็นเพื่อนๆของตน ซึ่งเพื่อนอีกสามคนของฟ้าตอนนี้ ได้แต่จ้องร่างของนางที่นอนอยู่กลางอากาศด้วยความตกใจ อ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออกเพราะอาการช๊อคกับภาพที่ปรากฎ
นานเท่านาน
"นานมากแล้วนะ ที่ข้าไม่ได้เห็นใครเข้ามาที่นี่"พระสุรเสียงหวานดังกังวานขึ้นจากโอษฐ์ของสตรีผู้งามเลิศ พระเนตรที่ปิดสนิทค่อยๆเปิดขึ้นช้าๆ
ฟ้าขนหัวลุกซู่ด้วยความตกใจ ดวงตาของนางนั้นแดงวาบราวกับไฟ ฟ้ารีบหลบตาของนางทันที
ด้วยสัมผัสที่หกหรืออะไรไม่รู้ได้ ฟ้าค่อยๆยกมือขึ้นพนมแล้วกราบลงไปกับพื้น ทำความเคารพสตรีผู้นั้น เพื่อนทั้งสามเห็นฟ้าก้มลงกราบ ก็รีบก้มลงกราบตามกันเป็นพัลวัน
"นานกี่พันปีมาแล้ว ที่ข้าไม่เห็นมนุษย์เข้ามาที่นี่ได้ ที่ข้าเคยเห็นก็มีเพียงแค่พระอริยเจ้า และพระอรหันต์เท่านั้น เหตุใดถึงมีมนุษย์ผู้อาจหาญล้ำแดนมาถึงที่นี่ได้ หรือว่า? นี่ล่วงถึงกึ่งพุทธกาลแล้วงั้นหรือ?"นางผู้ทรงฤทธิ์มหิทธานุภาพตรัส หันพระพักตร์อันผุดผ่องไปทางคัพธัพวดี
"ใช่แล้วเพคะ เวลานี้ในมนุษย์โลกฟากฝั่งชมพูทวีปได้เข้าสู่ช่วงกึ่งพุทธกาลแล้วเพคะ ฝ่าบาท"คัพธัพวดีตอบ
"อะไรกันนี่ นี่ถึงกึ่งพุทธกาลแล้วงั้นหรือ เวลาในมนุษย์โลกช่างไวเสียจริง ดูเหมือน..ดูเหมือนจะเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานซืนนี้เองนะ"เสียงของนางผู้งามล้ำค่อยๆอ่อนลง กระแสเสียงดูราวกับจะเสียใจอะไรบางอย่างที่ลึกซึ้ง
"ใช่ ดูเหมือนจะเกิดขึ้นเมื่อวานซืนนี้เอง กับเหตุการณ์มหาวิปโยค วันเสด็จดับขันธปรินิพพานของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โอ้ ช่างเป็นเหตุการณ์ที่น่าสะเทือนใจข้ายิ่งนัก คัพธัพวดีเอ๋ย ไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงใดในโลกจะเทียบได้กับเหตุการณ์นี้ที่สร้างความสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วทั้งมหาโลกธาตุครั้งนั้น"พระนางตรัสเสียงสั่นสะท้านเครือหน่วงด้วยความเสียใจ ฟ้าเองนั้นรู้สึกเหมือนเห็นน้ำตาหยดหนึ่งไหลออกมาจากพระเนตรที่แดงจ้าราวกับเพลิงของนาง
"พระนางเพคะ"คัพธัพวดีเรียกด้วยเสียงอันเบา คล้ายจะเตือนให้มีพระสติ
นางผู้มีร่างกายอันใหญ่โตเหมือนจะดำรงพระสติกลับคืน ค่อยๆก้มลงมองร่างของมนุษย์ทั้งสี่เบื้องล่าง
"มนุษย์ เจ้ารู้ไหมว่าทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่"พระนางตรัสถาม
ทั้งสี่ตัวสั่นสะท้าน ไม่มีใครกล้าทูลตอบ แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นสบพักตร์ก็ไม่กล้า
"เอ๊ะ มนุษย์เดี๋ยวนี้หูหนวกกันแล้วหรือไร ข้าถามไปเหตุไรถึงไม่ตอบ หรือว่าเจ้าจะเอามาผิดตัว คัพธัพวดี"นางผู้เปี่ยมฤทธิ์ตรัสถาม
"มิได้เพคะ พระนาง ถูกคนแน่นอนเพคะ"คัพธัพวดีรีบทูลตอบ
"ฉะนั้น มนุษย์ผู้อาจหาญทั้งสี่ จงตอบข้ามา เจ้ารู้หรือไม่เหตุใดพวกเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่"พระนางตรัสถามอีกครั้ง
ฟ้าค่อยๆเงยหน้าขึ้นมอง แต่แล้วก็รีบก้มลงกราบอีกครั้ง และพูดออกไปโดยไม่เงยหน้า
"มะ..หม่อมฉันไม่ทราบ พ..พระเจ้าข้า เอ่อ พระนาง.."ฟ้าทูลตอบเสียงสั่นระรัว
"ลักษณ์นารา คือนามของเรา"พระนางตรัส
"พระเจ้าข้า"ฟ้าตอบค่อยๆ
"ฉะนั้น เจ้าทั้งสี่จงฟังเราให้ดี ที่พวกเจ้ามาที่นี่ในครั้งนี้ก็เพราะ.."ลักษณ์นาราตรัส ริมโอษฐ์แย้มพระสรวลเล็กน้อย พระเนตรราวกับจะสาดแสงลงมาแผดเผาทั้งสี่ให้มอดไหม้ ก่อนจะตรัสต่อว่า
"เพราะเจ้าทั้งสามคน"พระนางยกดัชนีชี้มาที่ แป๋ว กระต่าย เอ
"จะต้องถึงฆาต ชะตาขาดในวันนี้แล้ว"
จบตอนที่ 4
ลิ้งตอนที่ 5 เบื้องหน้าประตู
https://m.pantip.com/topic/37077819
🎄🎄🎄ทวิธราดล🎄🎄🎄(ตอนที่4 เผชิญหน้าองค์เทวี)
ย้อนเวลาไป24ช.ม.ที่แล้ว
เด็กทั้ง4คนกำลังพยายามจับจ้องมองผนังถ้ำแต่ละด้านด้วยความอยากรู้อยากเห็น จนในที่สุด เอก็ตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น
"เห็นจริงๆด้วย เห็นจริงๆด้วยฟ้า พอจ้องมองนิ่งๆไม่กะพริบตา หินเหล่านี้ดูราวกับจะส่องแสงออกเองได้ แต่พอกระพริบตาก็จะหายวับไป มาดูสิ"
แป๋วรีบวิ่งเข้าไปยืนมองผนังถ้ำด้านที่เอยืนอยู่ด้วยความสนใจ ส่วนฟ้าไม่ได้สนใจอะไรมากนัก
สิ่งที่เบนความสนใจฟ้าตอนนี้ก็คือต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่ขึ้นอยู่ใจกลางถ้ำ
ต้นไม้ต้นนี้ผุดขึ้นมาใจกลางถ้ำ แทรกตัวผ่าเข้ามากลางพื้นหิน ยืนหยัดอยู่ระหว่างผนังถ้ำ แผ่กิ่งก้านสาขาออกไปไกล โดดเดี่ยวทะมึนทึบท่ามกลางความมืดและความอับชื้นของถ้ำ ที่น่าแปลกใจคือ ใบไม้ที่แผ่เต็มกิ่งก้านสาขาทั้งๆที่บริเวณนี้แดดไม่มีทางส่องถึง แม้แต่แสงสว่างก็ไม่มีทางแวบเข้ามา
ต้นไม้ใหญ่ต้นนี้เจริญเติบโตขึ้นมาได้อย่างไร?
ฟ้ามองต้นไม้นั้นนิ่งราวกับจะตกอยู่ในภวังค์ จนกระทั่งรู้สึกเหมือนมีใครดึงเสื้ออยู่หลายครั้ง
"นั่นต้นอะไร พวกเธอรู้ไหม"ฟ้าถามเพื่อนๆโดยไม่ได้หันไปมองหน้า ชี้ไปที่ต้นไม้ใหญ่ทะมึนใจกลางถ้ำเบื้องหน้า
เพื่อนๆไม่มีใครตอบฟ้าสักคน แต่ลักษณะอาการที่เสื้อของฟ้าถูกดึงก็ยังคงปรากฏอยู่เช่นนั้น
ฟ้าเริ่มรู้สึกรำคาญจึงหันไป ก็พบกระต่ายกำลังยืนดึงเสื้อตัวเองอยู่ หน้ากระต่ายซีดเผือด ดวงตามีน้ำตาคลอ เธอเหมือนจะหวาดกลัวอะไรสักอย่างจนพูดไม่ออก
"อะไร มีอะไรต่าย"ฟ้าจับไหล่กระต่ายไว้ กระต่ายไม่ตอบ ชี้มือไปจุดที่เจ้าหน้าที่อุทยานเดินนำทางอยู่เมื่อครู่
ฟ้ามองตาม แล้วก็ต้องตกใจแทบสิ้นสติ
พี่เจ้าหน้าที่อุทยานที่นำทางเข้ามา บัดนี้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ทางเดินข้างหน้าที่เปิดโล่ง บัดนี้ปิดสนิทกลายเป็นทางตัน!
"อะไรกันเนี่ย"ฟ้ากระซิบแผ่วเบา
"ทางที่เราเดินมาก็ปิดหมดเลย"แป๋วร้องออกมา
ฟ้าหันหลังกลับไปมอง และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ทางที่เดินกันมาบัดนี้กลับกลายเป็นผนังหินราบเรียบ ไม่ทางออกอื่นให้เดินได้เลย
"ฟ้า นี่มันเกิดอะไรขึ้น พี่คนนั้นไปไหนแล้ว"กระต่ายถามเสียงสั่น
ฟ้าไม่ตอบ รู้สึกว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้ากับอันตรายใหญ่หลวง เอกับแป๋วตอนนี้ทำท่าเหมือนจะวิ่งออกไปนอกถ้ำทั้งๆที่ไม่มีทางออก
"เอ แป๋ว ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งตกใจ มารวมกลุ่มกันไว้ก่อน"ฟ้าตะโกนเรียก กระต่ายแม้จะตกใจไม่แพ้เพื่อนอีกสองคน แต่ก็ยังพอมีสติ รีบวิ่งไปจับมือเพื่อนทั้งสองคนมารวมกลุ่ม
"นี่เราเดินหลงกับพี่เขาเหรอฟ้า"แป๋วถามเสียงดังด้วยความตกใจ
"ไม่ได้เดินหลงแน่ๆ เรามั่นใจ เพราะเราเดินตามหลังพี่เขามาตลอด มันเหมือนกับว่าพี่แกหายตัวไปงั้นแหละ"เอพูดเสียงตระหนก
"เงียบนะ เอ พี่เขาจะหายไปไหนได้ เราคงพลัดหลงกับพี่เขาแน่ๆ"แป๋วพยายามหาเหตุผล
"เราว่าสภาพถ้ำเปลี่ยนไปนะ เราจำได้ว่าตอนเดินเข้ามา หินไม่สูงใหญ่ขนาดนี้ "กระต่ายพูดไล่สายตาไปตามหินงอกหินย้อยในถ้ำ
"กรี๊ดด!"แป๋วหวีดร้องออกมาสุดเสียง
"แป๋ว เป็นอะไร"
"ดูรอบๆสิ"แป๋วร้อง
ฟ้าหันมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่พบสิ่งปกติอะไร แต่ทว่าอีกขณะจิตต่อมา ฟ้าก็รู้ว่าแป๋วกรีดร้องเรื่องอะไร
แสงในถ้ำที่เคยส่องสว่างเริ่มจะลดน้อยลงเรื่อยๆ จากสว่างจ้าก็เริ่มหม่นหมองลง ทีละนิด ทีละนิด จนกลายเป็นแสงสลัวเลือนรางที่มองอะไรไม่ชัด
"ข้างนอกมืดแล้วหรอ"กระต่ายถามเสียงขาดเป็นห้วงๆ
"ไม่ใช่หรอก นี่ไม่ใช่ความมืดจากตอนกลางคืน แต่แสงในนี้กำลังหมดลง"ฟ้าตอบ
ความมืดรอบด้านกำลังดำเนินต่อไปอย่างไม่มีหยุดหย่อน แสงกำลังหมดลงไปจนมองไม่เห็นตัวเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างๆ
"จับมือกันไว้เร็ว แล้วค่อยๆนั่งลง ใครเอามือถือออกมาส่องไฟหน่อยสิ"ฟ้าสั่ง
เพื่อนอีกสามคนรีบจับมือกันแน่น แล้วนั่งลงกับพื้น กระซิบจับตัวเรียกถามหาชื่อแต่ละคนเพื่อตรวจดูว่ามีใครหายไปบ้าง
กระต่ายกับแป๋วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาส่องไฟแต่ก็ไม่สามารถเปิดไฟจากหน้าจอได้
"ฟ้าโทรศัพท์เราไม่ติด"แป๋วร้อง
"เราก็ไม่ติด"กระต่ายร้องขึ้นมาอีกคน
"ช่างมัน นิ่งๆไว้ก่อน รวมกลุ่มไว้ ใครอย่าเพิ่งวิ่งไปไหนเด็ดขาดนะ ตั้งสติไว้ แล้วมาคิดหาทางว่าจะทำยังไงกันต่อไปดี"ฟ้าพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน
บัดนี้ ความมืดปกคลุมไปทั่วแล้ว ราวกับถูกผ้าสีดำมาปิดตา จะมอง จะจับสังเกตอะไรก็ไม่สามารถทำได้เลย แม้แต่เพียงแสงจุดเล็กๆก็ไม่ปรากฏ
'คัพธัพวดี ได้โปรดช่วยเราด้วย'ฟ้านึกภาวนาในใจ
"กรี๊ดดด!"เสียงหวีดร้องของใครคนหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าเป็นแป๋วหรือกระต่ายดังขึ้น
"มีอะไรอีก"ฟ้าส่งเสียงผ่านความมืดออกไป
"นั่นใครน่ะ"กระต่ายตอบมาในความมืด
ฟ้าหันมองไปรอบทิศ แล้วไปสะดุดตากับแสงสีขาวบางๆเหนือศีรษะเยื้องเบื้องหน้าขึ้นไปเล็กน้อย
คัพธัพวดีนั่นเอง หญิงงามเกินมนุษย์ที่เขาพบปะเมื่อคืน กำลังยืนยิ้มอย่างพออกพอใจอะไรในบางอย่าง
"คัพธัพวดี นั่นคุณใช่ไหม"ฟ้าส่งเสียงถามออกไป ความหวาดกลัวที่เคยมีต่อคัพธัพวดีนั้นหมดสิ้นไป เมื่อตนเองกำลังตกอยู่ในสภาวะอันตรายแบบนี้
"ข้าดีใจที่เจ้ายังจำเราได้ แม้เราจะสถิตย์ห่างไกลเจ้าขนาดนี้"นางตอบมา
"ฟ้า นี่มันอะไรกัน เธอคุยกับเขางั้นหรือ?"แป๋วถามเสียงหลง
"เงียบก่อน"ฟ้าปราม
"คุณบอกให้ผมมาขอขมา ผมก็มาแล้วพร้อมกับเพื่อน แล้วคุณทำแบบนี้ทำไม ไหนว่าคุณไม่เคยรบกวนมนุษย์ "ฟ้าส่งเสียงถามขึ้นไป
"เรามิได้ทำอะไรกับพวกเจ้าทั้งสิ้น ความมืดที่เกิดขึ้นรอบตัวพวกเจ้านั้นคือธรรมดาในที่แห่งนี้ ฉะนั้นเจ้าจะมากล่าวหาว่าเราทำร้ายพวกเจ้ามิได้ เพราะพวกเจ้าก็ไม่ได้เป็นอันตรายใดใด"คัพธัพวดีตอบ
"งั้นก็หยุดทำแบบนี้เถิด เราแค่จะมาขอขมา แล้วจากนั้น ผมขอร้องให้ปล่อยเรากลับไป"
ทุกครั้งที่มีการตอบโต้ระหว่างฟ้ากับนางในอากาศ เพื่อนๆรอบตัวฟ้าจะสะดุ้งตกใจกลัวตลอด บางครั้งฟ้าได้ยินเสียงสะอื้นด้วยความหวาดกลัวดังมาจากสองสาวด้วย
คัพธัพวดีไม่ตอบฟ้า เพียงแค่ยืนเอียงคอมองฟ้าอย่างสนอกสนใจ ดั่งคราวแรกที่เจอกัน ฟ้าเริ่มเอะใจว่ามันต้องมีอะไรแปลกๆแน่แล้ว
"คัพธัพวดี นี่คุณไม่ได้ต้องการให้เรามาขอขมาใช่ไหม คุณพาเรามาที่นี้เพราะอะไรกันแน่"ฟ้าถาม
"เรายอมรับ เราไม่ได้ต้องการจะมาฟังคำขอขมาอะไรจากพวกเจ้า เรามีจุดประสงค์อื่น"
"แสดงว่าคุณโกหกงั้นหรือ คุณหลอกพวกผมมาที่นี่งั้นหรือ ไหนคุณบอกว่าจะไม่พาพวกเรามาสู่หายนะ แต่ที่ผมกำลังเห็นคือคุณกำลังผิดสัจจะ คุณจงใจนำพวกเรามาสู่อันตรายชัดๆ"ฟ้าตะโกนออกไปด้วยความโกรธ
"หุบปากเดี๋ยวนี้นะ"นางตะโกนก้อง"จะกี่ภพกี่ชาติ เจ้าก็ยังโอหังถือดีอยู่เช่นเดิม กิจนี่ไม่เกี่ยวกับเรา เราแค่ชักจูงพวกเจ้ามาพบกับพระองค์"
"พระองค์? คุณหมายถึงใครกัน"ฟ้างุนงง
นางในโลกทิพย์ไม่ตอบ ค่อยๆหันกายไปทางขวาของตน นั่งคุกเข่าลงกับพื้น ยกมือพนมไว้แนบอก และกล่าวออกไปเสียงดังกังวาน
"ข้าแต่ท้าวธตรฐผู้เป็นใหญ่ในหมู่คนธรรพ์ ท้าววิรุฬหกผู้เป็นใหญ่ในหมู่กุมภัณฑ์ ท้าววิรูปักษ์ผู้เป็นใหญ่ในหมู่นาค และท้าวเวสสุวรรณผู้เป็นใหญ่ในหมู่ยักษ์ ได้โปรดเถิดเพคะ จงประทานพรให้หม่อมฉันทำกิจครั้งนี้ให้สำเร็จด้วยเถิด"
ทันทีที่นางกล่าวจบ เบื้องขวาของนางก็บังเกิดแสงสีแดงปล๊าบวาบขึ้นมา ส่องสว่างไปทั่วบริเวณ ฟ้ากับอีกสามคนที่นั่งตัวสั่นอยู่ถึงกับหลับตาเพราะแสงที่เกิดขึ้นกระทันหัน เมื่อฟ้าลืมตาขึ้นแสงสีแดงก็ค่อยๆกลับมารวมกลุ่ม ณ ที่ที่มันกำเนิด ปล่อยให้รอบด้านมืดสนิทตามเดิม ฟ้าจับตามองแสงสีแดงที่กำลังเปล่งแสงอยู่ด้วยความฉงน ไม่นานแสงนั้นก็ค่อยๆเลือนหาย แต่มีอะไรบางอย่างมาแทนที่
ร่างของสตรีนางหนึ่ง กำลังนอนอยู่กลางอากาศด้วยท่าสีหไสยาสน์โดยไม่มีอะไรรองรับ ที่น่าตกใจคือร่างของนาง ร่างของนางมีขนาดใหญ่โตนัก ทำให้นึกถึงองค์พระนอนขนาดยักษ์ก็ยังเทียบไม่เท่านาง ความยาวตั้งแต่ศีรษะถึงปลายเท้า ยาวจนแทบมองไม่สุด ความกว้างนั้นเล่าก็สูงจนแทบต้องแหงนหน้ามอง รอบกายของนางมีรัศมีแดงเรื่อๆ เมื่อฟ้ามองไปที่ใบหน้าของนาง ฟ้าคิดว่าคัพธัพวดีนั้นงามแล้ว แต่นางผู้มีร่างอันใหญ่โตนางนี้กลับสวยกว่าอย่างเทียบไม่ได้ ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิท มือข้างซ้ายของนางมีสีแดงเข้ม ฟ้ารู้ทันทีจากการอ่านหนังสือมาเยอะว่า นี่คือเทวดาผู้มีฤทธิ์มาก
แม้แต่คัพธัพวดีเองก็ยังเกรงฤทธิ์นางผู้นี้ ได้แต่นั่งก้มหน้า มือยังประนมอยู่ที่อกเช่นนั้น ฟ้ารู้ได้ในทันทีว่า พระองค์ที่คัพธัพวดีพูดถึง คือนางผู้นี้กระมัง
รัศมีสีแดงจากกายของนางสว่างพอที่จะขับไล่ความมืดบางส่วนรอบๆตัวฟ้าออกไป จนฟ้าค่อยๆมองเห็นเพื่อนๆของตน ซึ่งเพื่อนอีกสามคนของฟ้าตอนนี้ ได้แต่จ้องร่างของนางที่นอนอยู่กลางอากาศด้วยความตกใจ อ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออกเพราะอาการช๊อคกับภาพที่ปรากฎ
นานเท่านาน
"นานมากแล้วนะ ที่ข้าไม่ได้เห็นใครเข้ามาที่นี่"พระสุรเสียงหวานดังกังวานขึ้นจากโอษฐ์ของสตรีผู้งามเลิศ พระเนตรที่ปิดสนิทค่อยๆเปิดขึ้นช้าๆ
ฟ้าขนหัวลุกซู่ด้วยความตกใจ ดวงตาของนางนั้นแดงวาบราวกับไฟ ฟ้ารีบหลบตาของนางทันที
ด้วยสัมผัสที่หกหรืออะไรไม่รู้ได้ ฟ้าค่อยๆยกมือขึ้นพนมแล้วกราบลงไปกับพื้น ทำความเคารพสตรีผู้นั้น เพื่อนทั้งสามเห็นฟ้าก้มลงกราบ ก็รีบก้มลงกราบตามกันเป็นพัลวัน
"นานกี่พันปีมาแล้ว ที่ข้าไม่เห็นมนุษย์เข้ามาที่นี่ได้ ที่ข้าเคยเห็นก็มีเพียงแค่พระอริยเจ้า และพระอรหันต์เท่านั้น เหตุใดถึงมีมนุษย์ผู้อาจหาญล้ำแดนมาถึงที่นี่ได้ หรือว่า? นี่ล่วงถึงกึ่งพุทธกาลแล้วงั้นหรือ?"นางผู้ทรงฤทธิ์มหิทธานุภาพตรัส หันพระพักตร์อันผุดผ่องไปทางคัพธัพวดี
"ใช่แล้วเพคะ เวลานี้ในมนุษย์โลกฟากฝั่งชมพูทวีปได้เข้าสู่ช่วงกึ่งพุทธกาลแล้วเพคะ ฝ่าบาท"คัพธัพวดีตอบ
"อะไรกันนี่ นี่ถึงกึ่งพุทธกาลแล้วงั้นหรือ เวลาในมนุษย์โลกช่างไวเสียจริง ดูเหมือน..ดูเหมือนจะเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานซืนนี้เองนะ"เสียงของนางผู้งามล้ำค่อยๆอ่อนลง กระแสเสียงดูราวกับจะเสียใจอะไรบางอย่างที่ลึกซึ้ง
"ใช่ ดูเหมือนจะเกิดขึ้นเมื่อวานซืนนี้เอง กับเหตุการณ์มหาวิปโยค วันเสด็จดับขันธปรินิพพานของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โอ้ ช่างเป็นเหตุการณ์ที่น่าสะเทือนใจข้ายิ่งนัก คัพธัพวดีเอ๋ย ไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงใดในโลกจะเทียบได้กับเหตุการณ์นี้ที่สร้างความสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วทั้งมหาโลกธาตุครั้งนั้น"พระนางตรัสเสียงสั่นสะท้านเครือหน่วงด้วยความเสียใจ ฟ้าเองนั้นรู้สึกเหมือนเห็นน้ำตาหยดหนึ่งไหลออกมาจากพระเนตรที่แดงจ้าราวกับเพลิงของนาง
"พระนางเพคะ"คัพธัพวดีเรียกด้วยเสียงอันเบา คล้ายจะเตือนให้มีพระสติ
นางผู้มีร่างกายอันใหญ่โตเหมือนจะดำรงพระสติกลับคืน ค่อยๆก้มลงมองร่างของมนุษย์ทั้งสี่เบื้องล่าง
"มนุษย์ เจ้ารู้ไหมว่าทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่"พระนางตรัสถาม
ทั้งสี่ตัวสั่นสะท้าน ไม่มีใครกล้าทูลตอบ แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นสบพักตร์ก็ไม่กล้า
"เอ๊ะ มนุษย์เดี๋ยวนี้หูหนวกกันแล้วหรือไร ข้าถามไปเหตุไรถึงไม่ตอบ หรือว่าเจ้าจะเอามาผิดตัว คัพธัพวดี"นางผู้เปี่ยมฤทธิ์ตรัสถาม
"มิได้เพคะ พระนาง ถูกคนแน่นอนเพคะ"คัพธัพวดีรีบทูลตอบ
"ฉะนั้น มนุษย์ผู้อาจหาญทั้งสี่ จงตอบข้ามา เจ้ารู้หรือไม่เหตุใดพวกเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่"พระนางตรัสถามอีกครั้ง
ฟ้าค่อยๆเงยหน้าขึ้นมอง แต่แล้วก็รีบก้มลงกราบอีกครั้ง และพูดออกไปโดยไม่เงยหน้า
"มะ..หม่อมฉันไม่ทราบ พ..พระเจ้าข้า เอ่อ พระนาง.."ฟ้าทูลตอบเสียงสั่นระรัว
"ลักษณ์นารา คือนามของเรา"พระนางตรัส
"พระเจ้าข้า"ฟ้าตอบค่อยๆ
"ฉะนั้น เจ้าทั้งสี่จงฟังเราให้ดี ที่พวกเจ้ามาที่นี่ในครั้งนี้ก็เพราะ.."ลักษณ์นาราตรัส ริมโอษฐ์แย้มพระสรวลเล็กน้อย พระเนตรราวกับจะสาดแสงลงมาแผดเผาทั้งสี่ให้มอดไหม้ ก่อนจะตรัสต่อว่า
"เพราะเจ้าทั้งสามคน"พระนางยกดัชนีชี้มาที่ แป๋ว กระต่าย เอ
"จะต้องถึงฆาต ชะตาขาดในวันนี้แล้ว"
จบตอนที่ 4
ลิ้งตอนที่ 5 เบื้องหน้าประตู
https://m.pantip.com/topic/37077819