การมีสติรู้กายในสติปัฏฐา 4 หรือ อริยบทบรรพ.
1.ในขณะปกติ สติรู้ตัวทั่วพร้อมทั้งกาย.
2.ในขณะที่เด่นชัด สติรู้ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายที่ปรากฏเด่นชัดนั้น
3.ในขณะที่เคลื่อนไหว สติรู้ส่วนที่เคลื่อนไหว ด้วยปรากฏเด่นชัด.
ดังนั้นจึงไม่ใช่การต้องมีสติรู้ทั่วทั่งร่างกาย โดยตลอดทุกขณะ. เมื่อฝึกปฏิบัติเช่นนี้ สติก็จะเจริญขึ้น ฉับไว และว่องไวควรแก่การงาน ในสติปัฏฐาน 4 นั้นเอง.
ส่วนจะมีคำ "ภาวนา" ตามที่กำหนดรู้ หรือที่เรียกว่า พากย์ ของบางที่จนดิสเครดิตว่าไม่ถูก นั้นไม่มีถูกไม่มีผิด แล้วแต่การฝึกและจริต เพื่อให้ทันปัจจุบัน หรือ เป็นปัจจุบัน ไม่วอกแวก จนเผอขาดสติไป นึกคิดอย่างอื่นไปเสียก่อน
หมายเหตุ มีพระหลายรูป ในพระไตรปิฏกและอรรถกถา ที่ท่านต้องกำหนดภาวนา แบบมีคำภาวนา (หรือบางที่ ที่เรียกว่า พากย์) จนบรรลุเป็นพระอรหันต์
การมีสติรู้กายทั่วพร้อม ที่เป็นอริยาบทบรรพ และสติปัฏฐาน 4 ที่มีหลายท่านยังสับสน
1.ในขณะปกติ สติรู้ตัวทั่วพร้อมทั้งกาย.
2.ในขณะที่เด่นชัด สติรู้ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายที่ปรากฏเด่นชัดนั้น
3.ในขณะที่เคลื่อนไหว สติรู้ส่วนที่เคลื่อนไหว ด้วยปรากฏเด่นชัด.
ดังนั้นจึงไม่ใช่การต้องมีสติรู้ทั่วทั่งร่างกาย โดยตลอดทุกขณะ. เมื่อฝึกปฏิบัติเช่นนี้ สติก็จะเจริญขึ้น ฉับไว และว่องไวควรแก่การงาน ในสติปัฏฐาน 4 นั้นเอง.
ส่วนจะมีคำ "ภาวนา" ตามที่กำหนดรู้ หรือที่เรียกว่า พากย์ ของบางที่จนดิสเครดิตว่าไม่ถูก นั้นไม่มีถูกไม่มีผิด แล้วแต่การฝึกและจริต เพื่อให้ทันปัจจุบัน หรือ เป็นปัจจุบัน ไม่วอกแวก จนเผอขาดสติไป นึกคิดอย่างอื่นไปเสียก่อน
หมายเหตุ มีพระหลายรูป ในพระไตรปิฏกและอรรถกถา ที่ท่านต้องกำหนดภาวนา แบบมีคำภาวนา (หรือบางที่ ที่เรียกว่า พากย์) จนบรรลุเป็นพระอรหันต์