ปราสาทอัปสร ตอนที่ ๑๐
https://pantip.com/topic/36862536
ตอนที่ ๑๑ รอยจารึก
เสียงกรีดร้องอันแสนเจ็บปวดดังออกมาจากร่างที่กำลังถูกหวายฟาดลงยังกลางแผ่นหลัง โดยมีชายฉกรรจ์สองคนเป็นผู้ลงทัณฑ์ องค์หญิงยโสรวีประทับนั่งบนตั่งไม้ชมการทรมานของนักโทษผู้ตกเป็นจำเลยในการสังหารพระนางศรีสิขเรศ ข้างกัน จรัลปาตีทรุดนั่งอยู่ด้วยความพรั่นพรึงในชะตากรรมอันแสนโหดร้ายของเหยื่อที่นางเลือก และไม่นานนักเมื่อทั้งสามร่างผู้ถูกทรมานสิ้นสติไป ชานศี พราหมณ์เฒ่าเจ้าเล่ห์ก็เดินทางเข้ามาพบเจ้าหญิงตามบัญชา
ยโสรวีสั่งคนใกล้ชิดที่แวดล้อมออกไปในขณะที่เหวัชระกำลังคิดแผนการเพื่อช่วยเหลือหญิงสาวทั้งสามที่ถูกจับกุมตัวให้เป็นอิสระ
ครั้นเมื่อชานศีคุกเข่านั่งลงเบื้องหน้าองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ ยโสรวีก็ไม่รอช้า รีบเอ่ยบอกจุดประสงค์ของนางในทันที
“ข้าต้องการให้ท่านหาผู้มีวิชาคุณไสยเก่งกาจ มาสาปวิญญาณของอีไพร่ทั้งสามนี้ไว้ให้เฝ้าปราสาท ไหนๆ ศรีสิขเรศก็ตายไปแล้ว ข้าเองก็ไม่ได้หมายอยากจะสานงานสร้างปราสาทเพื่อถวายแด่องค์ศิวะมหาเทพต่อจากนาง ฉะนั้น เพื่อให้พวกมันทั้งสามได้ชดใช้ในสิ่งที่ทำไว้ ข้าจะขังวิญญาณพวกมันให้เฝ้าปราสาทของศรีสิขเรศแห่งนี้...ตราบชั่วกาลปาวสาน”
“พระนาง...คิดจะทำเช่นนั้นจริงหรือกระหม่อม?” พราหมณ์เฒ่าเอ่ยถามเสียงสั่นพร่า จ้องมองดวงพักตร์อิ่มเอิบของสตรีสูงศักดิ์เบื้องหน้า ยโสรวีแสยะยิ้ม นึกขันกับเรื่องราวอันแสนพิลึกลั่นของปราสาทเจ้าหญิงศรีสิขเรศที่มีเรื่องราวอันแสนประหลาด วิญญาณนางอัปสรสถิตอยู่ในปราสาท และจะเฝ้ามันไปตลอดกาล
“ทำตามที่ข้าสั่ง...ข้าให้เวลาท่านสามวัน หลังจากที่ข้าเดินทางกลับไปนคร ที่นี่จะปราศจากผู้คน ให้ท่านจัดการเรื่องนี้อย่างรอบคอบอย่าให้ผู้ใดล่วงรู้ มิเช่นนั้น...หัวท่านได้หลุดจากบ่าแน่” พระนางรับสั่งเสียงกร้าว ชานศีก้มหัวลงต่ำน้อมรับบัญชาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่นานหีบสมบัติของพระนางศรีสิเขรศก็ถูกยกมา ในนั้นเป็นเครื่องแต่งกายของนางอัปสรและสมบัติส่วนตัวที่องค์กษัตริย์มอบให้กับผู้เป็นธิดา เมื่อชานศีลุกจากไปยโสรวีจึงหันมามอบหมายงานสำคัญให้กับจรัลปาตี
“เจ้าต้องอยู่ที่นี่จนกว่าพิธีของชานศีจะเสร็จสิ้น เมื่อเสร็จงานแล้วค่อยกลับไปพบข้าที่นคร” จรัลปาตีน้อมศีรษะรับบัญชา ก่อนทอดสายตามองผู้คุมที่ลากร่างของหญิงทั้งสามกลับเข้าไปขังรอวันทำพิธี
คล้อยหลังคชทิศที่แยกทางกัน เหวัชระซุ่มรออยู่บริเวณไม่ไกลจากห้องคุมขังนักโทษ ครั้นเมื่อสบโอกาสแม่ทัพหนุ่มจึงตรงเข้าไปจัดการกับผู้คุมหน้าห้องขัง เมื่อชายเกือบห้าคนสิ้นท่าเขาจึงรีบตรงปรี่ปลดตรวนที่ผูกตรึงหน้าประตูห้องขังเอาไว้ ก่อนที่สตรีทั้งสามผู้รู้สึกตัวตื่นจะรีบกรูกันออกมาด้วยความดีใจ
“ท่านเหวัชระ...ท่านมาช่วยพวกเรา” ปุษปมาลายิ้มทั้งน้ำตา น้องสาวอีกสองคนก็มีอาการไม่ต่างกัน
“อย่ามัวรีรอเลย รีบออกไปจากตรงนี้เสีย” คนที่ปลดผ้าปิดหน้าสีดำออกร้องบอก ก่อนคว้าหมับเข้าที่ข้อมือของอรชุนีและรีบวิ่งนำหน้าออกไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งสามวิ่งออกมาไกลจากบริเวณปราสาท ในชั่วขณะนั้นคนที่ถูกกุมมือตื้นตันด้วยความดีใจเป็นล้นพ้น เทียวมองเรือนหน้าคมเข้มของชายหนุ่มที่เข้ามาช่วยชีวิตนางไม่ขาด หากแต่ว่าเมื่อทั้งหมดไปถึงริมแม่น้ำ กลุ่มทหารกลับรออยู่และตรงปรี่เข้ามาจับกุม
“ท่านเหวัชระ...” สรเกศีหัวใจตกลงพื้น หันไปมองหน้าชายหนุ่มผู้นำทางตนกับพี่น้องด้วยความเสียใจ เหวัชระเข้าไปต่อสู้แต่ก็มิอาจทัดทานกำลังของทหารนับยี่สิบนายได้ สุดท้ายสตรีทั้งสามผู้คิดหลบหนีจึงถูกกุมตัวกลับไปยังปราสาทพร้อมกับเหวัชระในขณะที่สหายรักของเขากำลังขี่ม้ามุ่งหน้ากลับไปยังพระนคร
“เหวัชระ...ท่านบังอาจมากที่คิดปล่อยนักโทษออกไป ซ้ำยังช่วยพาพวงนางหลบหนี” ยโสรวีกำมือแน่นด้วยความขุ่นแค้น ดวงตาดุจเพลิงจ้องมองหน้าแม่ทัพหนุ่มผู้ถูกกุมตัวที่กัดฟันแน่นอย่างไม่ยอมศิโรราบ
“พวกนางไม่ได้ทำผิดอันใด การไต่สวนขององค์หญิงนั้นมีความอยุติธรรม”
“กล้าใช้วาจาจาบจ้วงข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ ท่านพ่อมอบหมายอำนาจให้ข้ามีสิทธิ์ขาดในการพิพากษาโทษผู้คิดทำร้ายศรีสิขเรศ เจ้าเป็นแค่ทหารปลายแถวกล้าดียังไงถึงมาบอกว่าการตัดสินของข้ามิเป็นธรรม อยากจะลองดีกับข้านักใช่มั้ย...” สิ้นเสียงองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ นางก็หันไปสั่งให้ทหารคนใกล้ชิดกุมตัวเหวัชระไปมัดตรึงไว้กับเสาไม้หน้าปราสาท สั่งให้เฆี่ยนตีจนกว่าเลือดของเขาจะตกลงพื้นดิน
เสียงแส้ฟาดลงยังแผ่นหลังของชายหนุ่มดังฟึดฟัด ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย ดวงตาอันอ่อนแสงจ้องมองสตรีทั้งสามร่างที่ถูกกุมตัวอยู่ในห้องขังเบื้องหน้าด้วยความจนตรอก จนลุล่วงถึงวันที่สาม ครั้นเมื่อยโสรวีเดินทางจากไป พราหมณ์ชานศีจึงตรงเข้ามายังหน้าปราสาทพร้อมกับพ่อมดหมอผีอีกสามคน เหวัชระในสภาพอ่อนแรงเริ่มจับตามองคนทั้งหมดด้วยความหวาดหวั่นหัวใจ นักโทษทั้งสามที่ถูกกุมตัวในห้องขังถูกพามายังหน้าปราสาทและถูกบังคับให้สวมใส่อาภรณ์และเครื่องประดับของนางอัปสร
อรชุนีเริ่มร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวและเสียขวัญเมื่อมองดูแท่นพิธีซึ่งมีเครื่องเซ่นสังเวยมากมายตั้งเด่นอยู่เบื้องหน้า ปุษปมาลาและสรเกศีแม้พยายามดิ้นรนแต่ก็มิเป็นผล มือและเท้าของพวกนางถูกมัดตรึงไว้กับเสาสองต้นที่ปักอยู่ข้างกาย จรัลปาตีที่สั่งให้คนงานนำหีบสมบัติเข้าไปซ่อนไว้ในปราสาทกลับออกมายืนสำรวจดูนักโทษทั้งสามอีกครั้ง
“เป็นเจ้าใช่หรือไม่...เป็นเจ้า ที่ทำให้ข้าและน้องๆ ต้องโดนลงทัณฑ์เช่นนี้...” ปุษปมาลากัดฟันแน่นทั้งน้ำตา ดวงตาแดงก่ำจ้องมองหน้าจรัลปาตี ความเคียดแค้นนี้จะฝังจำไปทุกชาติภพ นางปฏิญาณกับทุกสรรพวิญญาณที่มองดูว่าจะตามจองล้างหญิงตรงหน้านี้ให้มันได้พบกับความวิบัติเฉกเช่นเดียวกัน
“ข้าไม่ได้ทำอะไร...พวกเจ้าเองนั่นหละที่คิดร้ายต่อพระนางศรีสิขเรศ ทำใจให้สงบไว้นะ เพราะพิธีกำลังจะเริ่ม” จรัลปาตียิ้มน้อยๆ ซุกซ่อนความพรั่นพรึงเอาไว้ในใจ
“พิธีอะไร...เจ้าจะทำอะไรกับพวกเรา เจ้าจะทำอะไร” สรเกศีร้องถามเสียงสั่นด้วยความกลัวเมื่อเหลือบไปเห็นชานศีหยิบมีดกริชออกมาจากย่ามสะพายและวางลงบนพานเงินหน้าแท่นซึ่งมีเทวรูปอสูรประทับอยู่
“พวกเจ้าทั้งสาม จะต้องทำหน้าที่เฝ้าปราสาทนี้ไว้ จวบจนกาลปาวสาน”
ปราสาทอัปสร ตอนที่ ๑๑
https://pantip.com/topic/36862536
เสียงกรีดร้องอันแสนเจ็บปวดดังออกมาจากร่างที่กำลังถูกหวายฟาดลงยังกลางแผ่นหลัง โดยมีชายฉกรรจ์สองคนเป็นผู้ลงทัณฑ์ องค์หญิงยโสรวีประทับนั่งบนตั่งไม้ชมการทรมานของนักโทษผู้ตกเป็นจำเลยในการสังหารพระนางศรีสิขเรศ ข้างกัน จรัลปาตีทรุดนั่งอยู่ด้วยความพรั่นพรึงในชะตากรรมอันแสนโหดร้ายของเหยื่อที่นางเลือก และไม่นานนักเมื่อทั้งสามร่างผู้ถูกทรมานสิ้นสติไป ชานศี พราหมณ์เฒ่าเจ้าเล่ห์ก็เดินทางเข้ามาพบเจ้าหญิงตามบัญชา
ยโสรวีสั่งคนใกล้ชิดที่แวดล้อมออกไปในขณะที่เหวัชระกำลังคิดแผนการเพื่อช่วยเหลือหญิงสาวทั้งสามที่ถูกจับกุมตัวให้เป็นอิสระ
ครั้นเมื่อชานศีคุกเข่านั่งลงเบื้องหน้าองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ ยโสรวีก็ไม่รอช้า รีบเอ่ยบอกจุดประสงค์ของนางในทันที
“ข้าต้องการให้ท่านหาผู้มีวิชาคุณไสยเก่งกาจ มาสาปวิญญาณของอีไพร่ทั้งสามนี้ไว้ให้เฝ้าปราสาท ไหนๆ ศรีสิขเรศก็ตายไปแล้ว ข้าเองก็ไม่ได้หมายอยากจะสานงานสร้างปราสาทเพื่อถวายแด่องค์ศิวะมหาเทพต่อจากนาง ฉะนั้น เพื่อให้พวกมันทั้งสามได้ชดใช้ในสิ่งที่ทำไว้ ข้าจะขังวิญญาณพวกมันให้เฝ้าปราสาทของศรีสิขเรศแห่งนี้...ตราบชั่วกาลปาวสาน”
“พระนาง...คิดจะทำเช่นนั้นจริงหรือกระหม่อม?” พราหมณ์เฒ่าเอ่ยถามเสียงสั่นพร่า จ้องมองดวงพักตร์อิ่มเอิบของสตรีสูงศักดิ์เบื้องหน้า ยโสรวีแสยะยิ้ม นึกขันกับเรื่องราวอันแสนพิลึกลั่นของปราสาทเจ้าหญิงศรีสิขเรศที่มีเรื่องราวอันแสนประหลาด วิญญาณนางอัปสรสถิตอยู่ในปราสาท และจะเฝ้ามันไปตลอดกาล
“ทำตามที่ข้าสั่ง...ข้าให้เวลาท่านสามวัน หลังจากที่ข้าเดินทางกลับไปนคร ที่นี่จะปราศจากผู้คน ให้ท่านจัดการเรื่องนี้อย่างรอบคอบอย่าให้ผู้ใดล่วงรู้ มิเช่นนั้น...หัวท่านได้หลุดจากบ่าแน่” พระนางรับสั่งเสียงกร้าว ชานศีก้มหัวลงต่ำน้อมรับบัญชาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่นานหีบสมบัติของพระนางศรีสิเขรศก็ถูกยกมา ในนั้นเป็นเครื่องแต่งกายของนางอัปสรและสมบัติส่วนตัวที่องค์กษัตริย์มอบให้กับผู้เป็นธิดา เมื่อชานศีลุกจากไปยโสรวีจึงหันมามอบหมายงานสำคัญให้กับจรัลปาตี
“เจ้าต้องอยู่ที่นี่จนกว่าพิธีของชานศีจะเสร็จสิ้น เมื่อเสร็จงานแล้วค่อยกลับไปพบข้าที่นคร” จรัลปาตีน้อมศีรษะรับบัญชา ก่อนทอดสายตามองผู้คุมที่ลากร่างของหญิงทั้งสามกลับเข้าไปขังรอวันทำพิธี
คล้อยหลังคชทิศที่แยกทางกัน เหวัชระซุ่มรออยู่บริเวณไม่ไกลจากห้องคุมขังนักโทษ ครั้นเมื่อสบโอกาสแม่ทัพหนุ่มจึงตรงเข้าไปจัดการกับผู้คุมหน้าห้องขัง เมื่อชายเกือบห้าคนสิ้นท่าเขาจึงรีบตรงปรี่ปลดตรวนที่ผูกตรึงหน้าประตูห้องขังเอาไว้ ก่อนที่สตรีทั้งสามผู้รู้สึกตัวตื่นจะรีบกรูกันออกมาด้วยความดีใจ
“ท่านเหวัชระ...ท่านมาช่วยพวกเรา” ปุษปมาลายิ้มทั้งน้ำตา น้องสาวอีกสองคนก็มีอาการไม่ต่างกัน
“อย่ามัวรีรอเลย รีบออกไปจากตรงนี้เสีย” คนที่ปลดผ้าปิดหน้าสีดำออกร้องบอก ก่อนคว้าหมับเข้าที่ข้อมือของอรชุนีและรีบวิ่งนำหน้าออกไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งสามวิ่งออกมาไกลจากบริเวณปราสาท ในชั่วขณะนั้นคนที่ถูกกุมมือตื้นตันด้วยความดีใจเป็นล้นพ้น เทียวมองเรือนหน้าคมเข้มของชายหนุ่มที่เข้ามาช่วยชีวิตนางไม่ขาด หากแต่ว่าเมื่อทั้งหมดไปถึงริมแม่น้ำ กลุ่มทหารกลับรออยู่และตรงปรี่เข้ามาจับกุม
“ท่านเหวัชระ...” สรเกศีหัวใจตกลงพื้น หันไปมองหน้าชายหนุ่มผู้นำทางตนกับพี่น้องด้วยความเสียใจ เหวัชระเข้าไปต่อสู้แต่ก็มิอาจทัดทานกำลังของทหารนับยี่สิบนายได้ สุดท้ายสตรีทั้งสามผู้คิดหลบหนีจึงถูกกุมตัวกลับไปยังปราสาทพร้อมกับเหวัชระในขณะที่สหายรักของเขากำลังขี่ม้ามุ่งหน้ากลับไปยังพระนคร
“เหวัชระ...ท่านบังอาจมากที่คิดปล่อยนักโทษออกไป ซ้ำยังช่วยพาพวงนางหลบหนี” ยโสรวีกำมือแน่นด้วยความขุ่นแค้น ดวงตาดุจเพลิงจ้องมองหน้าแม่ทัพหนุ่มผู้ถูกกุมตัวที่กัดฟันแน่นอย่างไม่ยอมศิโรราบ
“พวกนางไม่ได้ทำผิดอันใด การไต่สวนขององค์หญิงนั้นมีความอยุติธรรม”
“กล้าใช้วาจาจาบจ้วงข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ ท่านพ่อมอบหมายอำนาจให้ข้ามีสิทธิ์ขาดในการพิพากษาโทษผู้คิดทำร้ายศรีสิขเรศ เจ้าเป็นแค่ทหารปลายแถวกล้าดียังไงถึงมาบอกว่าการตัดสินของข้ามิเป็นธรรม อยากจะลองดีกับข้านักใช่มั้ย...” สิ้นเสียงองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ นางก็หันไปสั่งให้ทหารคนใกล้ชิดกุมตัวเหวัชระไปมัดตรึงไว้กับเสาไม้หน้าปราสาท สั่งให้เฆี่ยนตีจนกว่าเลือดของเขาจะตกลงพื้นดิน
เสียงแส้ฟาดลงยังแผ่นหลังของชายหนุ่มดังฟึดฟัด ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย ดวงตาอันอ่อนแสงจ้องมองสตรีทั้งสามร่างที่ถูกกุมตัวอยู่ในห้องขังเบื้องหน้าด้วยความจนตรอก จนลุล่วงถึงวันที่สาม ครั้นเมื่อยโสรวีเดินทางจากไป พราหมณ์ชานศีจึงตรงเข้ามายังหน้าปราสาทพร้อมกับพ่อมดหมอผีอีกสามคน เหวัชระในสภาพอ่อนแรงเริ่มจับตามองคนทั้งหมดด้วยความหวาดหวั่นหัวใจ นักโทษทั้งสามที่ถูกกุมตัวในห้องขังถูกพามายังหน้าปราสาทและถูกบังคับให้สวมใส่อาภรณ์และเครื่องประดับของนางอัปสร
อรชุนีเริ่มร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวและเสียขวัญเมื่อมองดูแท่นพิธีซึ่งมีเครื่องเซ่นสังเวยมากมายตั้งเด่นอยู่เบื้องหน้า ปุษปมาลาและสรเกศีแม้พยายามดิ้นรนแต่ก็มิเป็นผล มือและเท้าของพวกนางถูกมัดตรึงไว้กับเสาสองต้นที่ปักอยู่ข้างกาย จรัลปาตีที่สั่งให้คนงานนำหีบสมบัติเข้าไปซ่อนไว้ในปราสาทกลับออกมายืนสำรวจดูนักโทษทั้งสามอีกครั้ง
“เป็นเจ้าใช่หรือไม่...เป็นเจ้า ที่ทำให้ข้าและน้องๆ ต้องโดนลงทัณฑ์เช่นนี้...” ปุษปมาลากัดฟันแน่นทั้งน้ำตา ดวงตาแดงก่ำจ้องมองหน้าจรัลปาตี ความเคียดแค้นนี้จะฝังจำไปทุกชาติภพ นางปฏิญาณกับทุกสรรพวิญญาณที่มองดูว่าจะตามจองล้างหญิงตรงหน้านี้ให้มันได้พบกับความวิบัติเฉกเช่นเดียวกัน
“ข้าไม่ได้ทำอะไร...พวกเจ้าเองนั่นหละที่คิดร้ายต่อพระนางศรีสิขเรศ ทำใจให้สงบไว้นะ เพราะพิธีกำลังจะเริ่ม” จรัลปาตียิ้มน้อยๆ ซุกซ่อนความพรั่นพรึงเอาไว้ในใจ
“พิธีอะไร...เจ้าจะทำอะไรกับพวกเรา เจ้าจะทำอะไร” สรเกศีร้องถามเสียงสั่นด้วยความกลัวเมื่อเหลือบไปเห็นชานศีหยิบมีดกริชออกมาจากย่ามสะพายและวางลงบนพานเงินหน้าแท่นซึ่งมีเทวรูปอสูรประทับอยู่
“พวกเจ้าทั้งสาม จะต้องทำหน้าที่เฝ้าปราสาทนี้ไว้ จวบจนกาลปาวสาน”