บทที่ 1
https://pantip.com/topic/36647023
บทที่ 2
https://pantip.com/topic/36654712
ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพ คุณแม่ของฟองจันทร์ปฏิเสธเงินที่ธนามอบให้ ฉันเพิ่งรู้สึกว่าหัวใจคนบ้านนอกไม่สามารถซื้อด้วยเงินเสมอไป ทำให้ธนามีท่าทางเจ็บปวดและรู้สึกผิดมากขึ้น ฉันเองก็ไม่ได้ซ้ำเติมอะไร อย่างน้อยเขาก็เป็นสามี เป็นพ่อของลูก และเขาน่าจะได้รับความขมขื่นเจ็บปวดพอแล้ว เราจะต้องกลับบ้านเพื่อตั้งหลัก พรุ่งนี้จะไปหาฟองจันทร์ที่สถาบันวิจัยโรคทางจิต ฉันมั่นใจว่าเธอจะต้องอยู่ที่นั่น และคงหาทางยุติเรื่องบ้าๆ ชวนประสาทแตกเสียที
ฟองจันทร์...เธอเป็นอะไรกันแน่ เธอไม่ได้ตายอย่างที่คิดไว้ตั้งแต่ตอนแรก
เรากลับมาถึงบ้านตอนเย็นของวันนั้น ขากลับฉันกับสามีแทบไม่ได้พูดจาอะไรกัน มีเพียงเสียงใสๆของลูกสาวเจี้อยแจ้ว ถามนี่พูดนั่นไปตามประสาเด็กๆ แน่นอน หลายครั้งเมื่อมองออกไปนอกรถลูกสาวมักจะพูดถึงฟองจันทร์อยู่แทบทุกครั้ง
คุณแม่คะคุณพ่อคะ.... ผู้หญิงคนนั้นอยู่ข้างถนน ใต้ต้นไม้ อยู่ในศาลาริมทาง อยู่ข้างทาง ฟังแล้วทำให้รู้สึกหนักอึ้งตึงเครียดขึ้นมาราวกับโลกทั้งโลกเคลื่อนทับ เธอต้องการอะไรกันแน่ ฟองจันทร์....นี่มันลูกสาวของฉันไม่ใช่ลูกสาวของเธอ อย่ามายุ่งกับพวกเราเลย ฉันร้องขอในใจแม้รู้ว่าจะไม่มีผลอะไร
ตอนรถกำลังจะจอดหน้าประตูบ้าน ฉันแน่ใจว่าเห็นฟองจันทร์ปรากฏตัวบริเวณหน้าต่างชั้นบนของบ้าน ในแสงขมุกขมัวยามโพล้เพล้ ใช่แล้ว...ในที่สุดเธอก็เข้ามาอยู่ในบ้านอย่างเต็มตัว และคงจะไม่น่าประหลาดใจเลยว่า ถ้าหากพรุ่งนี้เห็นเธอลุกขึ้นมากวาดบ้านหุงข้าวทำอาหารอยู่ในห้องครัว ความคิดน่ากลัวทำให้ฉันตัวสั่นอย่างไม่อาจควบคุมได้
ธนาเองก็คงจะมองเห็นเธอเช่นกัน แต่ทำท่าทางเหมือนไม่รับรู้อะไร พวกเราไม่มีใครเอะอะโวยวายทั้งที่ควรจะทำ มันออกจะเป็นเรื่องประหลาดผิดปกติวิสัยเหลือเกิน บางทีอาจเป็นเพราะความคิดที่ว่าเธอยังไม่ตาย แต่ถ้าเธอยังไม่ตาย อะไรล่ะมาปรากฏหลอกหลอนเรา ทั้งกลางวันกลางคืน
มีอยู่ครั้งหนึ่งฉันเห็นฟองจันทร์เดินออกจากจากห้องนั่งเล่น ท่าทางไม่ได้สนใจฉันเลยแม้แต่น้อย สายตาของเธอมองไปในความว่างเปล่า กลัวก็กลัวแต่ด้วยความสงสัยอยากรู้จนถึงขีดสุด ฉันเอื้อมมือไปคว้าร่างของเธอ เหตุการณ์ก็เป็นอย่างที่เดาเอาไว้ไม่ผิด มือของฉันคว้าไปในอากาศธาตุ ฉันได้แต่ตะลึงมองดูเธอก้าวเท้าเดินหายไปในอากาศต่อหน้าต่อตา เธอเป็นเพียงภาพหลอน...ภาพหลอนชัดเจนเหลือเกิน
ยังไม่ดึกมากนัก ฉันก็รีบพาลูกสาวเข้านอน คืนนี้ฉันต้องนอนอยู่กับลูกสาวด้วยความเป็นห่วง ลางสังหรณ์แปลกๆ บอกว่าฟองจันทร์น่าจะมุ่งเป้าหมายมายังลูกสาวของเราเป็นพิเศษ
ก่อนนอนฉันออกไปดูสามีด้วยความเป็นห่วง ถึงเขาจะทำผิดพลาดหนักหนาสาหัสในอดีตจนไม่น่าให้อภัย แต่เขาเป็นสามี เป็นพ่อของลูก เราร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานานหลายปี เริ่มก่อร่างสร้างตัวมาด้วยกันจากไม่มีอะไร จนกระทั่งมีที่ดินมีบ้านเป็นของตัวเอง จะให้ความรักความผิดพลาดในอดีตมาทำลายความรักความห่วงใยง่ายๆ คงเป็นไปไม่ได้
ธนายังไม่ยอมนอน เขาเปิดทีวีทิ้งค้างเอาไว้เป็นเพื่อนมากกว่าจะตั้งใจดู สีหน้ามีแววขบคิดวิตกกังวลและหมองคล้ำ เขาปฏิเสธกาแฟที่ฉันจะไปชงมาให้
“ผมคงนอนไม่หลับง่ายๆ” น้ำเสียงเขาดูแหบโหยและอ่อนล้าฉันรู้สึกสงสารเขาขึ้นมาจับใจ
“ไปนอนเถอะค่ะ..พรุ่งนี้อะไร ๆ คงดีขึ้น”
“ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะ”
เขาพึมพำ ฉันไม่เคยเห็นเขามีท่าทางอ่อนระโหยแบบนี้มาก่อน ฉันขอตัวเข้านอนเป็นเพื่อนลูกสาว แต่เขาดึงมือฉันไว้พลางจ้องหน้าเหมือนจะบอกหรือถามอะไรบางอย่าง แต่คล้ายมีความลังเลอยู่ในใจ ฉันนิ่งงัน ปล่อยให้เขาตัดสินใจเองอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็ถามออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา
“ฟองจันทร์ที่อยู่ในบ้านเรา เป็นภาพหลอนใช่ไหม”
ฉันมองหน้าเขา และรู้สึกแปลกใจกับคำถาม เขาจะน่ารู้ว่าเธอเป็นเพียงภาพหลอนไร้ตัวตนเท่านั้น มันเป็นเป็นเพียงผลจากอาการทางจิตวิทยากลุ่มก็เป็นได้ เราคงจะพบคำตอบในวันพรุ่งนี้ที่สถาบันวิเคราะห์โรคทางจิต
“เธอต้องเป็นภาพหลอนแน่ๆ “
ฉันตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ เพราะเพิ่งพิสูจน์กับตัวเองเมื่อเย็นนี้เอง
“มีอะไรหรือคะ”
สีหน้าของธนาเต็มไปด้วยความสับสนและไม่แน่ใจ และคำตอบของเขา ทำให้ฉันขนลุกเกรียวขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผลอีกครั้ง
“ผมว่าเธอน่าจะมีตัวตน....เมื่อครู่นี้ เธอเดินเข้ามาโอบกอดผมจากด้านหลัง ให้ตายเถอะ ไม่อยากจะเชื่อเลย ผมรู้สึกถึงวงแขนของเธอ ได้กลิ่นแป้งราคาถูกที่เธอชอบใช้ และผมจำกลิ่นนั้นได้ ผมรู้สึกว่าเธอมีตัวตนและอยู่ในบ้านหลังนี้จริงๆ”
“คุณคงเหนื่อยมากเกินไป”
ฉันพยายามปลอบใจและพยายามทำเสียงให้ปกติเท่าที่จะทำได้ แม้อาการขนลุกขนพองยังแสดงอาการเป็นระยะก็ตาม ถ้าพวกเราป่วยกันทั้งบ้าน เขาจะต้องอาการหนักมากกว่าใครทั้งหมด
“เธอกำลังตามมาแก้แค้นผม…เธอเรียกหาผม”
“เธอยังไม่ตาย คุณก็รู้”
“ผมไม่รู้” เขาพูดพลางซบหน้ากับฝ่ามือแบบหมดสภาพ
ท่าทางของธนาตอนนี้ดูย่ำแย่จริงๆ ความเข้มแข็งที่เคยมีเหมือนจะมลายหายไปแทบหมดสิ้น ฉันไม่รู้ในใจเขาคิดอะไรอยู่ กลัว หรือว่ารู้สึกผิดกันแน่ เขาไม่ยอมเข้านอนในห้องนอน แต่เปิดไฟสว่างและอยู่ตามลำพังอย่างเงียบงันอยู่ในห้องรับแขกทั้งคืน
คืนนั้นฉันฝันร้ายอีกครั้ง ฟองจันทร์เดินจูงมือลูกสาวของฉันเดินหายไปในความมืดและสถานที่แปลกประหลาดน่ากลัว มิใยที่ฉันจะวิ่งตามและร้องเรียกเท่าไรก็ตาม ฟองจันทร์ก็ไม่ได้หันกลับมามองเลยสักนิด มีเพียงลูกสาวหันกลับมามองด้วยสีหน้าเรียบเฉย สังเกตว่ามือน้อยๆ ของเธอเกาะกุมมือของฟองจันทร์ไว้แนบแน่น ราวกับว่าเป็นมือของผู้เป็นแม่ ขณะมองฉันด้วยแววตากำลังมองคนแปลกหน้าเท่านั้น
ฉันตกใจกับเสียงของตัวเองจนสะดุ้งตื่นจากความฝัน ก็คงเหมือนคนตื่นจากฝันร้ายมั่วไป มีอาการใจสั่นทั้งตกใจและโล่งใจในขณะเดียวกัน ตกใจกับความฝันอันน่าสะพรึงกลัว โล่งใจว่ามันเป็นเพียงความฝัน แต่สิ่งที่ทำให้ใจหายวูบลงอีกครั้งคือเมื่อควานมือไปข้างๆ ตัว ลูกสาวได้หายไปจากที่เธอควรนอนอยู่เสียแล้ว ฉันภาวนาให้เธอไปเข้าห้องน้ำ หรือแอบไปนอนกับผู้เป็นพ่อ แต่เมื่อเห็นใบหน้าซีดเผือดของธนาเหมือนเพิ่งตื่นนอนใหม่ๆ อยู่บนโซฟา ทำให้ฉันรู้ว่าเรื่องเลวร้ายบังเกิดขึ้นกับครอบครัวของเราแล้ว
ลูกสาวของฉันหายไป
พวกเราค้นหาทุกบริเวณที่คิดว่าลูกสาวอาจจะหลบซ่อนตัวอยู่ ตามตู้เสื้อผ้า ใต้เตียง ใต้โต๊ะทำงาน ทุกแห่งซึ่งคิดว่ามีความเป็นไปได้ ลูกสาวของเราไม่เคยเล่นอะไรแผลงๆ กุญแจบ้านคล้องอยู่ด้านใน ล็อคอยู่ตามปกติ ไม่มีใครเปิดประตูออกไปนอกบ้านอย่างแน่นอน หน้าต่างทุกบานปิดแน่นหนา ความเป็นไปได้มีเพียงอย่างเดียว คือเธอหายไปในอากาศธาตุ แต่เรื่องแบบนี้ใครจะไปเชื่อ เพราะแม้แต่พวกเราเองก็ไม่อยากจะเชื่อทั้งที่ประสบกับตัวเองแท้ๆ
อาการของฉันคงไม่ต่างจากคนบ้ามากนัก ฉันร้องไห้และวิ่งพล่านไปมาในบ้านอย่างคนกำลังจะสติแตก ตอนนั้นเริ่มสว่างแล้ว ธนาดูเหมือนจะตั้งสติได้ก่อน เขากึ่งดึงกึ่งลากให้ฉันไปอาบน้ำอาบท่า เพราะพวกเราจะต้องไปยังสถาบันวิเคราะห์โรคทางจิตเป็นทางเลือกสุดท้าย บางทีเราอาจจะพบคำตอบ ตำรวจคงพึ่งพาไม่ได้กับเรื่องที่หาเหตุผลอธิบายไม่ได้ เผลอ ๆ จะถูกมองว่าเป็นการฆาตกรรมอำพรางเสียด้วยซ้ำ
ธนาขับรถเหมือนคนบ้า เกือบจะเฉี่ยวชนกับรถคันอื่นหลายครั้ง แต่เราก็ไปถึงจุดหมายจนได้ สถาบันวิจัยโรคทางจิตตั้งอยู่โดดเดี่ยวแถวชานเมือง ในพื้นที่กว้างขวางมากกว่าการคาดคิดเอาไว้ มันไม่น่าเป็นโรงพยาบาลรักษาคนป่วยเลย น่าจะเหมือนหน่วยงานอะไรสักอย่าง ต้องใช้งบประมาณมหาศาลในการลงทุน การเข้าออกถูกตรวจตราอย่างละเอียด
พวกเราไปรออยู่ในห้องโถงของสถาบัน เพราะสถานที่แห่งนี้เปิดบริการเป็นเวลา ไม่เหมือนกันโรงพยาบาลทั่วไป พวกเขาคงคิดว่าคงไม่มีใครเป็นบ้าแบบปัจจุบันทันด่วน จนต้องมีแผนกบ้าฉุกเฉินก็เป็นได้ โรคทางจิตมันคงค่อยเป็นค่อยไป ไม่ค่อยมีใครอยู่ดีๆ ก็บ้าแบบสายฟ้าแลบ
นางพยาบาลทำหน้าต้อนรับอำนวยความสะดวกให้เราเป็นอย่างดี เธอค้นดูรายชื่อคนไข้ง่านตอมพิวเตอร์และพบว่ามีคนไข้ชื่อฟองจันทร์จริง ทำให้เรามีความหวังและกำลังใจขึ้นมาแม้จะริบหรี่ก็ตาม
พวกเรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เมื่อพบฟองจันทร์พวกเราควรจะทำอย่างไร จะพูดอย่างไรกับคนไข้ทางจิตแบบเธอ และได้ตัวลูกสาวกลับมาด้วยวิธีไหน เธอกับลูกสาวของเราเกี่ยวข้องกันอย่างไร ฉันนึกไม่ออกจริงๆ รู้แต่ว่าจะต้องรอพบเธอให้ได้เท่านั้น เข็มนาฬิกาดูเดินเชื่องช้าเหลือเกินกับคนรอคอย ในความคิดของฉันมีแต่เรื่องลูกสาวผู้หายตัวไปอย่างลึกลับ มันกระวนกระวายทรมานสับสนจนแทบบ้า
ทางเดินภายในอาคารเริ่มมีผู้คนเดินเพ่นพ่านมากขึ้น พวกเจ้าหน้าที่สถาบันและพวกหมอทางจิต เริ่มทำงานของตัวเอง ฉันรู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้มันเหมาะกับคนมีอาการทางจิตจริงๆ เพราะเจ้าหน้าที่และหมอพยาบาลมีท่าทางเงียบไม่ค่อยพูดจา สีหน้าเย็นชา และมีหลายสัญชาติ คนไข้บางคนถูกพาตัวเดินผ่านเราไปในลักษณะมีการควบคุมดูแลเป็นอย่างดีจนเหมือนนักโทษ พวกเขาใส่เสื้อคลุมสีขาวแบบเดียวกับที่เราเห็นฟองจันทร์ใส่ไม่มีผิดเพี้ยน
มีช่วงหนึ่งขณะกำลังมองไปตามทางเดิน ฉันเห็นฟองจันทร์เดินอยู่ไกลเกือบสุดริมทางเดิน โดยเดินจูงมือลูกสาวของฉันไปด้วย เป็นภาพราวออกมาจากความฝันไม่มีผิด ไม่มีเหตุอะไรว่าฉันจะไม่ลุกขึ้นและวิ่งตามไปท่ามกลางความแตกตื่นของพวกเจ้าหน้าที่ ฉันถูกวิ่งไล่ตามเหมือนการตามจับคนบ้า กว่าธนาจะอธิบายให้พวกนั้นฟังก็เสียเวลาไปพอสมควร และเคราะห์ดีเมื่อจิตแพทย์ผู้รับผิดชอบดูแลอาการฟองจันทร์บังเอิญผ่านมาพอดี ทำให้เรื่องวุ่นวายยุติลงได้
ฉันนั่งน้ำตาไหลพรากด้วยความเสียใจ เห็นลูกสาวอยู่ต่อหน้าต่อตากลับไม่สามารถแย่งเธอกลับมาได้ จิตแพทย์หนุ่มคนนั้นต้องเข้ามาดูแลอาการ ไม่ทราบว่าเป็นการปลอบโยนหรือตรวจสอบว่าฉันเสียสติหรือไม่กันแน่
หมอหนุ่มประจำตัวของฟองจันทร์เป็นคนตัวเล็กและค่อนข้างผอม แต่สายตาหลังกรอบแว่นบ่งบอกถึงความฉลาดหลักแหลมเหมือนสายตาของพวกนักวิทยาศาสตร์ พอคุยกันรู้เรื่องฉันก็แทบลากจิตแพทย์คนนั้นไปยังห้องพักฟองจันทร์ ตอนแรกหมอยังไม่ยอมทำตามคำขอร้องของพวกเรา แต่หลังจากธนาอดทนอธิบายเรื่องราวทั้งหมดที่พวกเราเผชิญมา หมอหนุ่มก็มีท่าทางผ่อนปรนลง และดูเหมือนเขาจะเข้าใจความรู้สึกของพวกเรามากขึ้น
“ฟองจันทร์เป็นคนไข้ทางจิตไม่ตอบสนองต่อการพยายามสื่อสารหรือการรักษาเลย พวกเราอยากจะเรียกว่าเป็นอาการโคม่าทางจิต”
คุณหมอเล่าให้ฟังในขณะพาพวกเราเดินไปตามทางเดิน สถานที่แห่งนี้แตกต่างจากโรงพยาบาลทั่วไป ไม่มีกลิ่นยาฆ่าเชื้อ ไม่มีรถเข็นคนไข้ฉุกเฉิน ไม่มีญาติคนเจ็บมาเยี่ยมคนไข้อย่างพวกเราคุ้นเคย มันเหมือนหน่วยงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์อะไรสักอย่างมากกว่า เจ้าหน้าที่บางคนพกอาวุธด้วยซ้ำไป
เมื่อเราพบฟองจันทร์ในห้อง เธอไม่แตกต่างจากฟองจันทร์คนที่ฉันเคยเห็นข้างนอกมาก่อนเลย ร่างในเสื้อคลุมชุดขาวในห้องปรับอากาศขนาดใหญ่พอกับห้องพักโรงแรมหรู พวกเราพากันมองเธอผ่านกระจกใสเข้าไป ฟองจันทร์ไม่มีท่าทางรับรู้การมาเยือนแม้แต่น้อย นั่งตัวตรงบนเก้าอี้บุนวมหนา มือทั้งสองข้างวางบนตัก ใบหน้ามองตรงไปราวกับมองความว่างเปล่า
.
หลอน...พยาบาท 3
https://pantip.com/topic/36647023
บทที่ 2
https://pantip.com/topic/36654712
ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพ คุณแม่ของฟองจันทร์ปฏิเสธเงินที่ธนามอบให้ ฉันเพิ่งรู้สึกว่าหัวใจคนบ้านนอกไม่สามารถซื้อด้วยเงินเสมอไป ทำให้ธนามีท่าทางเจ็บปวดและรู้สึกผิดมากขึ้น ฉันเองก็ไม่ได้ซ้ำเติมอะไร อย่างน้อยเขาก็เป็นสามี เป็นพ่อของลูก และเขาน่าจะได้รับความขมขื่นเจ็บปวดพอแล้ว เราจะต้องกลับบ้านเพื่อตั้งหลัก พรุ่งนี้จะไปหาฟองจันทร์ที่สถาบันวิจัยโรคทางจิต ฉันมั่นใจว่าเธอจะต้องอยู่ที่นั่น และคงหาทางยุติเรื่องบ้าๆ ชวนประสาทแตกเสียที
ฟองจันทร์...เธอเป็นอะไรกันแน่ เธอไม่ได้ตายอย่างที่คิดไว้ตั้งแต่ตอนแรก
เรากลับมาถึงบ้านตอนเย็นของวันนั้น ขากลับฉันกับสามีแทบไม่ได้พูดจาอะไรกัน มีเพียงเสียงใสๆของลูกสาวเจี้อยแจ้ว ถามนี่พูดนั่นไปตามประสาเด็กๆ แน่นอน หลายครั้งเมื่อมองออกไปนอกรถลูกสาวมักจะพูดถึงฟองจันทร์อยู่แทบทุกครั้ง
คุณแม่คะคุณพ่อคะ.... ผู้หญิงคนนั้นอยู่ข้างถนน ใต้ต้นไม้ อยู่ในศาลาริมทาง อยู่ข้างทาง ฟังแล้วทำให้รู้สึกหนักอึ้งตึงเครียดขึ้นมาราวกับโลกทั้งโลกเคลื่อนทับ เธอต้องการอะไรกันแน่ ฟองจันทร์....นี่มันลูกสาวของฉันไม่ใช่ลูกสาวของเธอ อย่ามายุ่งกับพวกเราเลย ฉันร้องขอในใจแม้รู้ว่าจะไม่มีผลอะไร
ตอนรถกำลังจะจอดหน้าประตูบ้าน ฉันแน่ใจว่าเห็นฟองจันทร์ปรากฏตัวบริเวณหน้าต่างชั้นบนของบ้าน ในแสงขมุกขมัวยามโพล้เพล้ ใช่แล้ว...ในที่สุดเธอก็เข้ามาอยู่ในบ้านอย่างเต็มตัว และคงจะไม่น่าประหลาดใจเลยว่า ถ้าหากพรุ่งนี้เห็นเธอลุกขึ้นมากวาดบ้านหุงข้าวทำอาหารอยู่ในห้องครัว ความคิดน่ากลัวทำให้ฉันตัวสั่นอย่างไม่อาจควบคุมได้
ธนาเองก็คงจะมองเห็นเธอเช่นกัน แต่ทำท่าทางเหมือนไม่รับรู้อะไร พวกเราไม่มีใครเอะอะโวยวายทั้งที่ควรจะทำ มันออกจะเป็นเรื่องประหลาดผิดปกติวิสัยเหลือเกิน บางทีอาจเป็นเพราะความคิดที่ว่าเธอยังไม่ตาย แต่ถ้าเธอยังไม่ตาย อะไรล่ะมาปรากฏหลอกหลอนเรา ทั้งกลางวันกลางคืน
มีอยู่ครั้งหนึ่งฉันเห็นฟองจันทร์เดินออกจากจากห้องนั่งเล่น ท่าทางไม่ได้สนใจฉันเลยแม้แต่น้อย สายตาของเธอมองไปในความว่างเปล่า กลัวก็กลัวแต่ด้วยความสงสัยอยากรู้จนถึงขีดสุด ฉันเอื้อมมือไปคว้าร่างของเธอ เหตุการณ์ก็เป็นอย่างที่เดาเอาไว้ไม่ผิด มือของฉันคว้าไปในอากาศธาตุ ฉันได้แต่ตะลึงมองดูเธอก้าวเท้าเดินหายไปในอากาศต่อหน้าต่อตา เธอเป็นเพียงภาพหลอน...ภาพหลอนชัดเจนเหลือเกิน
ยังไม่ดึกมากนัก ฉันก็รีบพาลูกสาวเข้านอน คืนนี้ฉันต้องนอนอยู่กับลูกสาวด้วยความเป็นห่วง ลางสังหรณ์แปลกๆ บอกว่าฟองจันทร์น่าจะมุ่งเป้าหมายมายังลูกสาวของเราเป็นพิเศษ
ก่อนนอนฉันออกไปดูสามีด้วยความเป็นห่วง ถึงเขาจะทำผิดพลาดหนักหนาสาหัสในอดีตจนไม่น่าให้อภัย แต่เขาเป็นสามี เป็นพ่อของลูก เราร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานานหลายปี เริ่มก่อร่างสร้างตัวมาด้วยกันจากไม่มีอะไร จนกระทั่งมีที่ดินมีบ้านเป็นของตัวเอง จะให้ความรักความผิดพลาดในอดีตมาทำลายความรักความห่วงใยง่ายๆ คงเป็นไปไม่ได้
ธนายังไม่ยอมนอน เขาเปิดทีวีทิ้งค้างเอาไว้เป็นเพื่อนมากกว่าจะตั้งใจดู สีหน้ามีแววขบคิดวิตกกังวลและหมองคล้ำ เขาปฏิเสธกาแฟที่ฉันจะไปชงมาให้
“ผมคงนอนไม่หลับง่ายๆ” น้ำเสียงเขาดูแหบโหยและอ่อนล้าฉันรู้สึกสงสารเขาขึ้นมาจับใจ
“ไปนอนเถอะค่ะ..พรุ่งนี้อะไร ๆ คงดีขึ้น”
“ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะ”
เขาพึมพำ ฉันไม่เคยเห็นเขามีท่าทางอ่อนระโหยแบบนี้มาก่อน ฉันขอตัวเข้านอนเป็นเพื่อนลูกสาว แต่เขาดึงมือฉันไว้พลางจ้องหน้าเหมือนจะบอกหรือถามอะไรบางอย่าง แต่คล้ายมีความลังเลอยู่ในใจ ฉันนิ่งงัน ปล่อยให้เขาตัดสินใจเองอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็ถามออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา
“ฟองจันทร์ที่อยู่ในบ้านเรา เป็นภาพหลอนใช่ไหม”
ฉันมองหน้าเขา และรู้สึกแปลกใจกับคำถาม เขาจะน่ารู้ว่าเธอเป็นเพียงภาพหลอนไร้ตัวตนเท่านั้น มันเป็นเป็นเพียงผลจากอาการทางจิตวิทยากลุ่มก็เป็นได้ เราคงจะพบคำตอบในวันพรุ่งนี้ที่สถาบันวิเคราะห์โรคทางจิต
“เธอต้องเป็นภาพหลอนแน่ๆ “
ฉันตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ เพราะเพิ่งพิสูจน์กับตัวเองเมื่อเย็นนี้เอง
“มีอะไรหรือคะ”
สีหน้าของธนาเต็มไปด้วยความสับสนและไม่แน่ใจ และคำตอบของเขา ทำให้ฉันขนลุกเกรียวขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผลอีกครั้ง
“ผมว่าเธอน่าจะมีตัวตน....เมื่อครู่นี้ เธอเดินเข้ามาโอบกอดผมจากด้านหลัง ให้ตายเถอะ ไม่อยากจะเชื่อเลย ผมรู้สึกถึงวงแขนของเธอ ได้กลิ่นแป้งราคาถูกที่เธอชอบใช้ และผมจำกลิ่นนั้นได้ ผมรู้สึกว่าเธอมีตัวตนและอยู่ในบ้านหลังนี้จริงๆ”
“คุณคงเหนื่อยมากเกินไป”
ฉันพยายามปลอบใจและพยายามทำเสียงให้ปกติเท่าที่จะทำได้ แม้อาการขนลุกขนพองยังแสดงอาการเป็นระยะก็ตาม ถ้าพวกเราป่วยกันทั้งบ้าน เขาจะต้องอาการหนักมากกว่าใครทั้งหมด
“เธอกำลังตามมาแก้แค้นผม…เธอเรียกหาผม”
“เธอยังไม่ตาย คุณก็รู้”
“ผมไม่รู้” เขาพูดพลางซบหน้ากับฝ่ามือแบบหมดสภาพ
ท่าทางของธนาตอนนี้ดูย่ำแย่จริงๆ ความเข้มแข็งที่เคยมีเหมือนจะมลายหายไปแทบหมดสิ้น ฉันไม่รู้ในใจเขาคิดอะไรอยู่ กลัว หรือว่ารู้สึกผิดกันแน่ เขาไม่ยอมเข้านอนในห้องนอน แต่เปิดไฟสว่างและอยู่ตามลำพังอย่างเงียบงันอยู่ในห้องรับแขกทั้งคืน
คืนนั้นฉันฝันร้ายอีกครั้ง ฟองจันทร์เดินจูงมือลูกสาวของฉันเดินหายไปในความมืดและสถานที่แปลกประหลาดน่ากลัว มิใยที่ฉันจะวิ่งตามและร้องเรียกเท่าไรก็ตาม ฟองจันทร์ก็ไม่ได้หันกลับมามองเลยสักนิด มีเพียงลูกสาวหันกลับมามองด้วยสีหน้าเรียบเฉย สังเกตว่ามือน้อยๆ ของเธอเกาะกุมมือของฟองจันทร์ไว้แนบแน่น ราวกับว่าเป็นมือของผู้เป็นแม่ ขณะมองฉันด้วยแววตากำลังมองคนแปลกหน้าเท่านั้น
ฉันตกใจกับเสียงของตัวเองจนสะดุ้งตื่นจากความฝัน ก็คงเหมือนคนตื่นจากฝันร้ายมั่วไป มีอาการใจสั่นทั้งตกใจและโล่งใจในขณะเดียวกัน ตกใจกับความฝันอันน่าสะพรึงกลัว โล่งใจว่ามันเป็นเพียงความฝัน แต่สิ่งที่ทำให้ใจหายวูบลงอีกครั้งคือเมื่อควานมือไปข้างๆ ตัว ลูกสาวได้หายไปจากที่เธอควรนอนอยู่เสียแล้ว ฉันภาวนาให้เธอไปเข้าห้องน้ำ หรือแอบไปนอนกับผู้เป็นพ่อ แต่เมื่อเห็นใบหน้าซีดเผือดของธนาเหมือนเพิ่งตื่นนอนใหม่ๆ อยู่บนโซฟา ทำให้ฉันรู้ว่าเรื่องเลวร้ายบังเกิดขึ้นกับครอบครัวของเราแล้ว
ลูกสาวของฉันหายไป
พวกเราค้นหาทุกบริเวณที่คิดว่าลูกสาวอาจจะหลบซ่อนตัวอยู่ ตามตู้เสื้อผ้า ใต้เตียง ใต้โต๊ะทำงาน ทุกแห่งซึ่งคิดว่ามีความเป็นไปได้ ลูกสาวของเราไม่เคยเล่นอะไรแผลงๆ กุญแจบ้านคล้องอยู่ด้านใน ล็อคอยู่ตามปกติ ไม่มีใครเปิดประตูออกไปนอกบ้านอย่างแน่นอน หน้าต่างทุกบานปิดแน่นหนา ความเป็นไปได้มีเพียงอย่างเดียว คือเธอหายไปในอากาศธาตุ แต่เรื่องแบบนี้ใครจะไปเชื่อ เพราะแม้แต่พวกเราเองก็ไม่อยากจะเชื่อทั้งที่ประสบกับตัวเองแท้ๆ
อาการของฉันคงไม่ต่างจากคนบ้ามากนัก ฉันร้องไห้และวิ่งพล่านไปมาในบ้านอย่างคนกำลังจะสติแตก ตอนนั้นเริ่มสว่างแล้ว ธนาดูเหมือนจะตั้งสติได้ก่อน เขากึ่งดึงกึ่งลากให้ฉันไปอาบน้ำอาบท่า เพราะพวกเราจะต้องไปยังสถาบันวิเคราะห์โรคทางจิตเป็นทางเลือกสุดท้าย บางทีเราอาจจะพบคำตอบ ตำรวจคงพึ่งพาไม่ได้กับเรื่องที่หาเหตุผลอธิบายไม่ได้ เผลอ ๆ จะถูกมองว่าเป็นการฆาตกรรมอำพรางเสียด้วยซ้ำ
ธนาขับรถเหมือนคนบ้า เกือบจะเฉี่ยวชนกับรถคันอื่นหลายครั้ง แต่เราก็ไปถึงจุดหมายจนได้ สถาบันวิจัยโรคทางจิตตั้งอยู่โดดเดี่ยวแถวชานเมือง ในพื้นที่กว้างขวางมากกว่าการคาดคิดเอาไว้ มันไม่น่าเป็นโรงพยาบาลรักษาคนป่วยเลย น่าจะเหมือนหน่วยงานอะไรสักอย่าง ต้องใช้งบประมาณมหาศาลในการลงทุน การเข้าออกถูกตรวจตราอย่างละเอียด
พวกเราไปรออยู่ในห้องโถงของสถาบัน เพราะสถานที่แห่งนี้เปิดบริการเป็นเวลา ไม่เหมือนกันโรงพยาบาลทั่วไป พวกเขาคงคิดว่าคงไม่มีใครเป็นบ้าแบบปัจจุบันทันด่วน จนต้องมีแผนกบ้าฉุกเฉินก็เป็นได้ โรคทางจิตมันคงค่อยเป็นค่อยไป ไม่ค่อยมีใครอยู่ดีๆ ก็บ้าแบบสายฟ้าแลบ
นางพยาบาลทำหน้าต้อนรับอำนวยความสะดวกให้เราเป็นอย่างดี เธอค้นดูรายชื่อคนไข้ง่านตอมพิวเตอร์และพบว่ามีคนไข้ชื่อฟองจันทร์จริง ทำให้เรามีความหวังและกำลังใจขึ้นมาแม้จะริบหรี่ก็ตาม
พวกเรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เมื่อพบฟองจันทร์พวกเราควรจะทำอย่างไร จะพูดอย่างไรกับคนไข้ทางจิตแบบเธอ และได้ตัวลูกสาวกลับมาด้วยวิธีไหน เธอกับลูกสาวของเราเกี่ยวข้องกันอย่างไร ฉันนึกไม่ออกจริงๆ รู้แต่ว่าจะต้องรอพบเธอให้ได้เท่านั้น เข็มนาฬิกาดูเดินเชื่องช้าเหลือเกินกับคนรอคอย ในความคิดของฉันมีแต่เรื่องลูกสาวผู้หายตัวไปอย่างลึกลับ มันกระวนกระวายทรมานสับสนจนแทบบ้า
ทางเดินภายในอาคารเริ่มมีผู้คนเดินเพ่นพ่านมากขึ้น พวกเจ้าหน้าที่สถาบันและพวกหมอทางจิต เริ่มทำงานของตัวเอง ฉันรู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้มันเหมาะกับคนมีอาการทางจิตจริงๆ เพราะเจ้าหน้าที่และหมอพยาบาลมีท่าทางเงียบไม่ค่อยพูดจา สีหน้าเย็นชา และมีหลายสัญชาติ คนไข้บางคนถูกพาตัวเดินผ่านเราไปในลักษณะมีการควบคุมดูแลเป็นอย่างดีจนเหมือนนักโทษ พวกเขาใส่เสื้อคลุมสีขาวแบบเดียวกับที่เราเห็นฟองจันทร์ใส่ไม่มีผิดเพี้ยน
มีช่วงหนึ่งขณะกำลังมองไปตามทางเดิน ฉันเห็นฟองจันทร์เดินอยู่ไกลเกือบสุดริมทางเดิน โดยเดินจูงมือลูกสาวของฉันไปด้วย เป็นภาพราวออกมาจากความฝันไม่มีผิด ไม่มีเหตุอะไรว่าฉันจะไม่ลุกขึ้นและวิ่งตามไปท่ามกลางความแตกตื่นของพวกเจ้าหน้าที่ ฉันถูกวิ่งไล่ตามเหมือนการตามจับคนบ้า กว่าธนาจะอธิบายให้พวกนั้นฟังก็เสียเวลาไปพอสมควร และเคราะห์ดีเมื่อจิตแพทย์ผู้รับผิดชอบดูแลอาการฟองจันทร์บังเอิญผ่านมาพอดี ทำให้เรื่องวุ่นวายยุติลงได้
ฉันนั่งน้ำตาไหลพรากด้วยความเสียใจ เห็นลูกสาวอยู่ต่อหน้าต่อตากลับไม่สามารถแย่งเธอกลับมาได้ จิตแพทย์หนุ่มคนนั้นต้องเข้ามาดูแลอาการ ไม่ทราบว่าเป็นการปลอบโยนหรือตรวจสอบว่าฉันเสียสติหรือไม่กันแน่
หมอหนุ่มประจำตัวของฟองจันทร์เป็นคนตัวเล็กและค่อนข้างผอม แต่สายตาหลังกรอบแว่นบ่งบอกถึงความฉลาดหลักแหลมเหมือนสายตาของพวกนักวิทยาศาสตร์ พอคุยกันรู้เรื่องฉันก็แทบลากจิตแพทย์คนนั้นไปยังห้องพักฟองจันทร์ ตอนแรกหมอยังไม่ยอมทำตามคำขอร้องของพวกเรา แต่หลังจากธนาอดทนอธิบายเรื่องราวทั้งหมดที่พวกเราเผชิญมา หมอหนุ่มก็มีท่าทางผ่อนปรนลง และดูเหมือนเขาจะเข้าใจความรู้สึกของพวกเรามากขึ้น
“ฟองจันทร์เป็นคนไข้ทางจิตไม่ตอบสนองต่อการพยายามสื่อสารหรือการรักษาเลย พวกเราอยากจะเรียกว่าเป็นอาการโคม่าทางจิต”
คุณหมอเล่าให้ฟังในขณะพาพวกเราเดินไปตามทางเดิน สถานที่แห่งนี้แตกต่างจากโรงพยาบาลทั่วไป ไม่มีกลิ่นยาฆ่าเชื้อ ไม่มีรถเข็นคนไข้ฉุกเฉิน ไม่มีญาติคนเจ็บมาเยี่ยมคนไข้อย่างพวกเราคุ้นเคย มันเหมือนหน่วยงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์อะไรสักอย่างมากกว่า เจ้าหน้าที่บางคนพกอาวุธด้วยซ้ำไป
เมื่อเราพบฟองจันทร์ในห้อง เธอไม่แตกต่างจากฟองจันทร์คนที่ฉันเคยเห็นข้างนอกมาก่อนเลย ร่างในเสื้อคลุมชุดขาวในห้องปรับอากาศขนาดใหญ่พอกับห้องพักโรงแรมหรู พวกเราพากันมองเธอผ่านกระจกใสเข้าไป ฟองจันทร์ไม่มีท่าทางรับรู้การมาเยือนแม้แต่น้อย นั่งตัวตรงบนเก้าอี้บุนวมหนา มือทั้งสองข้างวางบนตัก ใบหน้ามองตรงไปราวกับมองความว่างเปล่า
.