.
หลอน…พยาบาท
“คุณแม่คะ... ผู้หญิงชุดขาวมาหาหนูอีกแล้ว”
ฉัน มองดูหน้าแอนนา ลูกสาวผู้กำลังก้มหน้าใช้ช้อนเขี่ยอาหารในจานไปมาอย่างสงสัย ความเย็นยะเยือกแปลกประหลาดวูบขึ้นมาจับไขสันหลังมาอย่างทันทีทันใด นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลูกสาวเอ่ยถึงผู้หญิงคนนั้น ฉันไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อนและไม่เคยรู้ว่าเธอหมายถึงใคร
“ลูกเห็นเธอที่ไหนคะ”
พยายามบังคับเสียงให้เป็นปกติ ทั้งที่รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลบางอย่าง มือถือช้อนสั่นเล็กน้อยอย่างไม่สามารถควบคุม จนต้องวางช้อนลงบนจานจนเกิดเสียงค่อนข้างดัง แอนนาเงยหน้าขึ้นมามองด้วยท่าทางตกใจ
“เธอมายืนมองหนูอยู่แถวหน้าบ้านนี่ค่ะ ตอนรถโรงเรียนมาส่ง”
“แอนนาต้องอยู่ห่างเธอไว้นะ อย่าเข้าไปใกล้เธอ”
“แต่เธอดูเป็นคนดีนะแม่ เธอยังยิ้มให้กับหนูเลย”
“ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คนดี” ฉันรู้สึกผิดขึ้นมาทันทีกับน้ำเสียงแปร่งปร่ากระด้างของตัวเอง ไม่ใช่ความโกรธที่ทำให้ฉันใช้น้ำเสียงแสดงอารมณ์ออกมาโดยไม่ตั้งใจ แต่มันเป็นความหวาดกลัวต่างหาก ทำไมฉันต้องมีปฏิกิริยารวดเร็วและรุนแรงผิดปกติ เพียงแค่ได้ยินจากคำบอกเล่าของลูกสาวเกี่ยวกับผู้หญิงประหลาด แต่ลางสังหรณ์อัปมงคลชนิดหนึ่งทำให้ฉันรู้สึกถึงเงามืดอันน่ากลัว กำลังโรยตัวคลี่ปีกม่านลงมาอย่างช้าๆ และมุ่งร้ายหมายขวัญต่อชีวิตครอบครัวสงบสุขมานาน
“ทำไมแม่ว่าเธอไม่ใช่คนดีคะ”
สายตาไร้เดียงสาและเต็มไปด้วยคำถามของลูกสาววัยหกขวบ ทำให้ฉันอึ้ง พูดอะไรไม่ออกไปชั่ว ขณะ ฉันเอาอะไรไปตัดสินว่าคนอื่นผู้ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนว่าไม่ใช่คนดี รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรก็ไม่เคยเห็น บางทีเธออาจจะเป็นใครก็ได้เดินผ่านไปมาหน้าบ้าน แล้วแวะมองเข้าไปในบ้านเท่านั้น นั่นเป็นคำปลอบใจแบบไม่ค่อยสมเหตุสมผลเลยสักนิด ลูกสาวเอ่ยถึงผู้หญิงชุดขาวอย่างน้อยสิบกว่าครั้งในเวลาสองสัปดาห์ มันน่าจะมีอะไรบางอย่างมีความหมาย มากกว่าความบังเอิญที่ไม่ธรรมดาแน่นอน
ครั้งแรกบริเวณชายทะเล เมื่อสองสัปดาห์ผ่านมา ครอบครัวของพวกเราไปพักผ่อนวันหยุด ท่ามกลางผู้คนมากมายสับสนบริเวณชายหาด ลูกสาวเริ่มพูดถึงผู้หญิงผมยาวชุดขาวกำลังยืนจ้องมองออกมาจากฝูงชน ตอนแรกฉันและสามีไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรมากนัก คิดว่าเป็นการจินตนาการตามประสาเด็ก จนกระทั่งช่วงเย็นในห้องอาหารหรูของโรงแรม ลูกสาวพูดถึงผู้หญิงคนนั้นอีกครั้ง แอนนาเฝ้าบอกว่ามีคนจ้องมองผ่านกระจกใสบานใหญ่มาจากถนน พอฉันมองออกไปก็พบเพียงผู้คนเดินผ่านไปมาไม่มีอะไรผิดปกติ สามียังเห็นเป็นเรื่องตลก แต่ฉันรู้สึกขนลุกแบบบอกไม่ถูก ใบหน้าใสซื่อของแอนนาพูดถึงสิ่งที่มองเห็นอย่างเป็นจริงเป็นจัง มากกว่าจะเพ้อเจ้อเรื่อยเปื่อยไปตามจินตนาการ เพื่อเรียกร้องความสนใจ
จากนั้นลูกสาวก็มักจะพูดถึงผู้หญิงคนดังกล่าวอยู่เรื่อยๆ และเริ่มถี่ขึ้นทุกที และสังเกตได้ว่าระยะทางระหว่างเธอคนนั้น กับบ้านของเราเริ่มหดสั้นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ กระทั่งผู้สามีของฉันเริ่มไม่เห็นว่าเป็นเรื่องตลกและจริงจังกับปัญหา ตอนแรกเราคิดว่าจะพาลูกสาวไปพบจิตแพทย์ แต่นั่นเป็นสิ่งที่ฉันยอมรับไม่ได้.....ไม่ใช่เรื่องง่ายกับการยอมรับว่าลูกของตัวเองมีอาการทางจิต เธอยังเด็กเกินไปสำหรับการเข้าไปมีส่วนร่วมในสถาบันวิเคราะห์โรคทางจิต แต่ถ้าเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ คนแรกที่จะต้องไปพบหมอ คือฉันนั่นเอง เพราะช่วงหลังฉันหมกมุ่นคิดเรื่องนี้ตลอดเวลา
“ลูกน่าจะนอนได้แล้ว ไม่ก็ขึ้นไปทำการบ้านบนห้องนอน”
ฉันเลี่ยงการตอบคำถามของลูกสาวด้วยการตัดบท พยายามไม่สนใจสายตาเต็มไปด้วยคำถาม แม้ว่าภายในใจความวิตกกังวล และหวาดผวากำลังก่อตัวขึ้นมาราวการเจริญเติบโตของพันธุ์ไม้จากโลกมืดที่กำลังหยั่งฝังรากลึกลงไปในจิตใจทุกที วันนี้ผู้หญิงชุดขาวมาถึงหน้าบ้านแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นในวันต่อไป เธอต้องการอะไรกันแน่ ครอบครัวของเราไม่เคยมีปัญหาขัดแย้งกับใคร ไม่ว่าเรื่องส่วนตัวหรือการงาน หรือว่าทั้งหมดเป็นเพียงภาพหลอนที่เกิดขึ้นภายในใจของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น
หลังจากกินข้าวเสร็จเรียบร้อย แอนนายังไม่ยอมนอนแต่ออกไปนั่งดูทีวีในห้องนั่งเล่น สังเกตว่าเธอมองออกไปทางประตูหน้าบ้านบ่อยครั้งจนฉันต้องแอบๆ ไปชะโงกมองบ้าง แต่ก็ไม่พบอะไรผิดสังเกต นอกจากแสงไฟจากยวดยานวิ่งผ่านไปมา ผู้คนเดินไปมาอย่างเร่งรีบ ถ้ามีคนท่าทางมีพิรุธป้วนเปี้ยนแถวนี้ สุนัขตัวใหญ่ของบ้านข้าง ๆ จะต้องเห่ากระโชกโลกแตกสนั่นแบบเอาเป็นเอาตาย แต่ตอนนี้ไม่ได้ยินเจ้าหมาตัวนั้นเลยสักนิด จึงไม่น่าจะมีใครมาด้อมๆ มองๆ ใกล้บ้าน
ธนา...สามีคนเก่งยังไม่กลับมาจากการทำงาน ฉันรู้สึกตัวว่าหันไปมองหน้าบ้านบ่อยๆ โดยไม่มีเหตุผล มีอยู่ครั้งหนึ่งฉันรู้สึกคล้ายเห็นใครบางคนหยุดบริเวณหน้าประตู ก่อนเดินผ่านประตูหน้าบ้านไปเหมือนเงาภูตพราย เกือบจะแน่ใจว่าเป็นผู้หญิงสวมชุดขาว ถ้ามีโอกาสจ้องมองดูให้นานกว่านั้น แต่การมองจากในตัวบ้านผ่านเหล็กดัดและประตูรั้ว มันไม่ชัดเจนพอจะทำให้แน่ใจอะไร
ฉันเริ่มคิดว่าตัวเองเริ่มควบคุมความหวาดกลัวของตัวเองไม่ได้ ความคิดที่ว่าอะไร หรือใครบางคนกำลังแอบจ้องมองหรือสังเกตอยู่ ทำให้เกิดความรู้สึกอึดอัด กังวล และหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก มันสร้างภาพน่าประหวั่นพรั่นพรึงขึ้นมาในความคิดอย่างช่วยไม่ได้ เป็นต้นว่ากำลังเดินเข้าห้องน้ำ แล้วเจอผู้หญิงชุดขาวยืนรออยู่จะทำอย่างไร จะส่งเสียงกรีดร้อง วิ่งหนี... หรือจะกระโจนเข้าใส่แบบบ้าเลือด และถ้าทำแบบนั้นผลออกมาจะเป็นเช่นไร ไปคิดมาทำให้เกิดความเครียดจนปวดหัวหนึบขึ้นมาทันที
ขณะเดินเก็บกวาดจัดข้าวของให้เป็นระเบียบ บนโต๊ะทำการบ้านฉันเห็นกระดาษวาดเขียนแผ่นหนึ่งวางอยู่ และมีภาพเขียนด้วยดินสอสีโย้เย้ตามประสา แต่สิ่งที่ทำให้หัวใจเต้นแรง คือภาพวาดใบหน้าของผู้หญิงผมยาวจากฝีมือของลูกสาว เธอพยายามเขียนมันออกมาเพื่อยืนยันว่าเธอเห็นผู้หญิงลึกลับจริงๆ
ไม่น่าเชื่อว่าภาพวาดจากฝีมือเด็กๆ จะทำให้ฉันต้องพิจารณาอย่างตั้งใจ มีอะไรบางอย่างไม่น่าไว้วางใจอยู่เบื้องหลังการเขียนภาพนี้แน่นอน
ถ้าฉันไม่แต่งงาน ฉันคงได้รับปริญญาเกี่ยวกับงานศิลปะไปแล้ว ความชื่นชอบต่อการวาดภาพยังคงวิ่งพล่านอยู่ในสายเลือด สมัยเรียนฉันมักเป็นตัวแทนของโรงเรียนไปประกวดแข่งขันการวาดภาพเสมอ และได้รางวัลติดมือกลับมาทุกครั้ง ลูกสาวเองก็คงได้รับพรสวรรค์แห่งงานศิลป์ไปด้วย เพียงแต่เธอยังเด็กเกินกว่าจะสื่องานออกมาอย่างชัดเจน แต่ฉันจะสานต่อเอง...
มันคงไม่ยากเกินการร่างภาพของคนร้ายจากคำให้การของพยานเท่าไรหรอกน่า ฉันเริ่มมองหาดินสอแกระดาษวาดเขียน
คืนนั้น เรา - แม่ลูก นอนดึกกันเป็นพิเศษ ฉันใช้ดินสอเขียนๆลบๆแก้ๆ นับครั้งไม่ถ้วน โดยมีลูกสาวเป็นพยานปากเอกให้ข้อมูลตลอดเวลา และในที่สุดฉันก็ได้ภาพผู้หญิงผมยาวหน้าตาค่อนข้างสวยขึ้นมาภาพหนึ่ง เอาล่ะ......แม่คนลึกลับ... อย่างน้อยฉันก็ได้ร่องรอยของเธอขึ้นมาแล้ว ไม่ว่าเธอจะเป็นใครก็ตาม หลังจากวาดภาพเสร็จ ฉันอุ้มลูกขึ้นนอนบนเตียง เธอโยเยเล็กน้อยกับการขอฟังนิทานก่อนนอน ฉันเล่าไปไม่ถึงครึ่งเรื่อง เธอก็หลับตาพริ้มหลับสนิท
อาจเป็นเพราะใจจรดจ่ออยู่กับเรื่องนี้ ฉันฝันถึงผู้หญิงลึกลับชุดขาว
ความฝันหม่นมัวเต็มไปด้วยหมอกควันเหมือนอยู่อีกโลกหนึ่ง เธอยืนสงบนิ่ง ใบหน้าเรียบเฉยเหมือนหุ่นปั้น แต่ความรู้สึกบอกว่าเธอมีชีวิตและกำลังจ้องมองฉันอยู่ ด้วยจุดประสงค์อะไรบางอย่าง ถ้าเธอแปลงกายเป็นภูตผีปีศาจไล่ทำร้ายฉันจนวิ่งหนีกระเซอะกระเซิงเหมือนฝันร้ายธรรมดา มันคงจะดีกว่าท่าทางสงบนิ่งแบบคาดเดาไม่ได้ ความน่ากลัวคือการที่เราไม่สามารถคาดเดาอะไรได้จากใคร หรืออะไรที่เราไม่เข้าใจ
หลังจากจ้องมองครู่ใหญ่ จึงเริ่มสังเกตว่าเธออุ้มอะไรบางอย่างไว้แนบอก มันเหมือนกับผ้าอ้อมหรือเบาะห่อหุ้มอะไรสักอย่าง ต่อมาฉันจึงเริ่มเข้าใจ เธอกำลังอุ้มลูกน้อยไว้ในห่อผ้าสีขาว ในฝันฉันรู้สึกอยากเห็นหน้าเด็กคนทารกเหลือเกิน ลูกของเธอจะมีหน้าตาอย่างไร
ฉันก้าวเข้าไปหาอย่างระมัดระวัง ชะโงกมองเด็กในห่อผ้า พอเห็นใบหน้าน้อยๆ ชัดเจนฉันก็ใจหายวาบ เป็นใบหน้าลูกสาวของฉันชัดๆ แต่เป็นสมัยที่เธอยังอายุไม่กี่เดือน ใครบ้างจะจำลูกตัวเองไม่ได้ แม้ว่าวัยทารกขนาดนั้นจะยากต่อการจำแนกแยกแยะก็ตาม
ขณะกำลังตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก เธอก็หันหลังเริ่มเดินห่างออกไปในม่านหมอกมืดมัว ไม่ได้สนใจใครหรืออะไรอีกต่อไปราวกับปราศจากวิญญาณและความรู้สึก พอได้สติฉันก็ออกวิ่งตามไปอย่างสุดกำลัง เธอจะเอาลูกของฉันไปไม่ได้ แต่ไม่ว่าจะออกแรงวิ่งสักเท่าไร ร่างในชุดขาวก็ดูจะห่างไกลออกไปทุกทีจนกลืนหายไปในความมืด ความรู้สึกที่ว่ากำลังสูญเสียลูกสาวไปทำให้ฉันร้องไห้คร่ำครวญออกมาปานหัวใจจะแตกสลาย มันเป็นความรู้สึกอันแสนน่ากลัวและโศกเศร้าในขณะเดียวกัน กระทั่งตื่นขึ้นมาฉันยังพบว่าตัวเองกำลังหลั่งน้ำตาอยู่เลย
เคยมีคนบอกว่าคนเราเวลาฝัน สภาพจิตใจจะอ่อนแอกว่าปกติ เราจะเสียใจ ดีใจ ตกใจหรือว่าหวาดกลัว ความรู้สึกจะปะทุรุนแรงเป็นพิเศษในโลกแห่งความฝัน และฉันไม่สงสัยในคำบอกเล่านั้นเลยสักนิด หัวใจยังเต้นแรงไม่หายแม้จะตื่นขึ้นมานาน
อากาศค่อนรุ่งหนาวเย็นเป็นพิเศษ ฉันไม่อาจข่มตาให้หลับได้อีก ภาพในความฝันยังติดตาและฝังอยู่ในความรู้สึกราวกับเป็นเหตุการณ์จริงที่เพิ่งผ่านไปหยกๆ สามีนอนหลับอยู่ข้างๆ และคงหลับยาวไปถึงรุ่งเช้าเพราะเมื่อคืนเขากลับมาดึก ความจริงฉันอยากจะสงสัยอยู่เหมือนกันว่า ธนามักจะกลับดึกดื่นในช่วงหลังๆ ของชีวิตการแต่งงาน จะเป็นเพราะว่าเขามีบ้านเล็กบ้านน้อย เหมือนที่พวกผู้ชายหลายคนชอบทำกันหรือเปล่า แต่ฉันก็ไม่อยากสงสัยอะไร เพราะยังไม่ได้ระแคะระคายอะไรเลยแม้แต่น้อย และเขาก็รับผิดชอบต่อครอบครัวได้ดีเสมอต้นเสมอปลาย อย่างเคยเป็นมาตั้งแต่สมัยแต่งงานใหม่ๆ
เรามีลูกสาวเพียงคนเดียว ลูกเกิดเมื่อฉันกำลังเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย ทำให้ฉันเรียนไม่จบเพราะอันเป็นผลมาจากความใจง่ายของตัวเอง ถ้าฉันเพียงแต่อดทนต่อความเย้ายวนของความรักความใคร่อีกสักนิด ฉันคงเรียนจบและได้ทำการงานที่ดี ไม่ใช่ต้องมาเป็นแม่บ้านอยู่ทั้งปีทั้งชาติแบบนี้ ความจริงมันก็ไม่เลวร้ายอะไรมากมายกับการอยู่เหย้าเฝ้าเรือน แต่หลายครั้งก็อดนึกไม่ได้ว่า วันหนึ่งถ้าสามีทิ้งฉันไปจริงๆ ฉันจะจัดการอย่างไรกับชีวิตที่เหลือของตัวเอง ในสังคมเมืองกรุง และคงไม่มีใครต้องการรับหญิงอายุมากแต่ความรู้ต่ำเข้าทำงาน ภาพของคนตกงานอยู่บ้านตามลำพังมันน่ากลัว...ฉันได้เพียงภาวนาให้สายใย และสายใจผูกมัดครอบครัวของเราไว้ตลอดไป เพื่อจะไม่ต้องเผชิญกับเส้นทางแห่งความแตกแยก
ยังเช้าเกินไปที่จะลงไปห้องครัว
ฉันนึกถึงลูกสาวขึ้นมาอีกครั้ง แอนนานอนอยู่ห้องข้างๆ นี่เอง วันนี้น่าจะเป็นวันดีของเธออีกวันหนึ่ง เพราะเป็นวันเสาร์ทำให้สามารถนอนตื่นสายได้เป็นพิเศษ
.
หลอน...พยาบาท
หลอน…พยาบาท
“คุณแม่คะ... ผู้หญิงชุดขาวมาหาหนูอีกแล้ว”
ฉัน มองดูหน้าแอนนา ลูกสาวผู้กำลังก้มหน้าใช้ช้อนเขี่ยอาหารในจานไปมาอย่างสงสัย ความเย็นยะเยือกแปลกประหลาดวูบขึ้นมาจับไขสันหลังมาอย่างทันทีทันใด นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลูกสาวเอ่ยถึงผู้หญิงคนนั้น ฉันไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อนและไม่เคยรู้ว่าเธอหมายถึงใคร
“ลูกเห็นเธอที่ไหนคะ”
พยายามบังคับเสียงให้เป็นปกติ ทั้งที่รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลบางอย่าง มือถือช้อนสั่นเล็กน้อยอย่างไม่สามารถควบคุม จนต้องวางช้อนลงบนจานจนเกิดเสียงค่อนข้างดัง แอนนาเงยหน้าขึ้นมามองด้วยท่าทางตกใจ
“เธอมายืนมองหนูอยู่แถวหน้าบ้านนี่ค่ะ ตอนรถโรงเรียนมาส่ง”
“แอนนาต้องอยู่ห่างเธอไว้นะ อย่าเข้าไปใกล้เธอ”
“แต่เธอดูเป็นคนดีนะแม่ เธอยังยิ้มให้กับหนูเลย”
“ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คนดี” ฉันรู้สึกผิดขึ้นมาทันทีกับน้ำเสียงแปร่งปร่ากระด้างของตัวเอง ไม่ใช่ความโกรธที่ทำให้ฉันใช้น้ำเสียงแสดงอารมณ์ออกมาโดยไม่ตั้งใจ แต่มันเป็นความหวาดกลัวต่างหาก ทำไมฉันต้องมีปฏิกิริยารวดเร็วและรุนแรงผิดปกติ เพียงแค่ได้ยินจากคำบอกเล่าของลูกสาวเกี่ยวกับผู้หญิงประหลาด แต่ลางสังหรณ์อัปมงคลชนิดหนึ่งทำให้ฉันรู้สึกถึงเงามืดอันน่ากลัว กำลังโรยตัวคลี่ปีกม่านลงมาอย่างช้าๆ และมุ่งร้ายหมายขวัญต่อชีวิตครอบครัวสงบสุขมานาน
“ทำไมแม่ว่าเธอไม่ใช่คนดีคะ”
สายตาไร้เดียงสาและเต็มไปด้วยคำถามของลูกสาววัยหกขวบ ทำให้ฉันอึ้ง พูดอะไรไม่ออกไปชั่ว ขณะ ฉันเอาอะไรไปตัดสินว่าคนอื่นผู้ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนว่าไม่ใช่คนดี รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรก็ไม่เคยเห็น บางทีเธออาจจะเป็นใครก็ได้เดินผ่านไปมาหน้าบ้าน แล้วแวะมองเข้าไปในบ้านเท่านั้น นั่นเป็นคำปลอบใจแบบไม่ค่อยสมเหตุสมผลเลยสักนิด ลูกสาวเอ่ยถึงผู้หญิงชุดขาวอย่างน้อยสิบกว่าครั้งในเวลาสองสัปดาห์ มันน่าจะมีอะไรบางอย่างมีความหมาย มากกว่าความบังเอิญที่ไม่ธรรมดาแน่นอน
ครั้งแรกบริเวณชายทะเล เมื่อสองสัปดาห์ผ่านมา ครอบครัวของพวกเราไปพักผ่อนวันหยุด ท่ามกลางผู้คนมากมายสับสนบริเวณชายหาด ลูกสาวเริ่มพูดถึงผู้หญิงผมยาวชุดขาวกำลังยืนจ้องมองออกมาจากฝูงชน ตอนแรกฉันและสามีไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรมากนัก คิดว่าเป็นการจินตนาการตามประสาเด็ก จนกระทั่งช่วงเย็นในห้องอาหารหรูของโรงแรม ลูกสาวพูดถึงผู้หญิงคนนั้นอีกครั้ง แอนนาเฝ้าบอกว่ามีคนจ้องมองผ่านกระจกใสบานใหญ่มาจากถนน พอฉันมองออกไปก็พบเพียงผู้คนเดินผ่านไปมาไม่มีอะไรผิดปกติ สามียังเห็นเป็นเรื่องตลก แต่ฉันรู้สึกขนลุกแบบบอกไม่ถูก ใบหน้าใสซื่อของแอนนาพูดถึงสิ่งที่มองเห็นอย่างเป็นจริงเป็นจัง มากกว่าจะเพ้อเจ้อเรื่อยเปื่อยไปตามจินตนาการ เพื่อเรียกร้องความสนใจ
จากนั้นลูกสาวก็มักจะพูดถึงผู้หญิงคนดังกล่าวอยู่เรื่อยๆ และเริ่มถี่ขึ้นทุกที และสังเกตได้ว่าระยะทางระหว่างเธอคนนั้น กับบ้านของเราเริ่มหดสั้นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ กระทั่งผู้สามีของฉันเริ่มไม่เห็นว่าเป็นเรื่องตลกและจริงจังกับปัญหา ตอนแรกเราคิดว่าจะพาลูกสาวไปพบจิตแพทย์ แต่นั่นเป็นสิ่งที่ฉันยอมรับไม่ได้.....ไม่ใช่เรื่องง่ายกับการยอมรับว่าลูกของตัวเองมีอาการทางจิต เธอยังเด็กเกินไปสำหรับการเข้าไปมีส่วนร่วมในสถาบันวิเคราะห์โรคทางจิต แต่ถ้าเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ คนแรกที่จะต้องไปพบหมอ คือฉันนั่นเอง เพราะช่วงหลังฉันหมกมุ่นคิดเรื่องนี้ตลอดเวลา
“ลูกน่าจะนอนได้แล้ว ไม่ก็ขึ้นไปทำการบ้านบนห้องนอน”
ฉันเลี่ยงการตอบคำถามของลูกสาวด้วยการตัดบท พยายามไม่สนใจสายตาเต็มไปด้วยคำถาม แม้ว่าภายในใจความวิตกกังวล และหวาดผวากำลังก่อตัวขึ้นมาราวการเจริญเติบโตของพันธุ์ไม้จากโลกมืดที่กำลังหยั่งฝังรากลึกลงไปในจิตใจทุกที วันนี้ผู้หญิงชุดขาวมาถึงหน้าบ้านแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นในวันต่อไป เธอต้องการอะไรกันแน่ ครอบครัวของเราไม่เคยมีปัญหาขัดแย้งกับใคร ไม่ว่าเรื่องส่วนตัวหรือการงาน หรือว่าทั้งหมดเป็นเพียงภาพหลอนที่เกิดขึ้นภายในใจของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น
หลังจากกินข้าวเสร็จเรียบร้อย แอนนายังไม่ยอมนอนแต่ออกไปนั่งดูทีวีในห้องนั่งเล่น สังเกตว่าเธอมองออกไปทางประตูหน้าบ้านบ่อยครั้งจนฉันต้องแอบๆ ไปชะโงกมองบ้าง แต่ก็ไม่พบอะไรผิดสังเกต นอกจากแสงไฟจากยวดยานวิ่งผ่านไปมา ผู้คนเดินไปมาอย่างเร่งรีบ ถ้ามีคนท่าทางมีพิรุธป้วนเปี้ยนแถวนี้ สุนัขตัวใหญ่ของบ้านข้าง ๆ จะต้องเห่ากระโชกโลกแตกสนั่นแบบเอาเป็นเอาตาย แต่ตอนนี้ไม่ได้ยินเจ้าหมาตัวนั้นเลยสักนิด จึงไม่น่าจะมีใครมาด้อมๆ มองๆ ใกล้บ้าน
ธนา...สามีคนเก่งยังไม่กลับมาจากการทำงาน ฉันรู้สึกตัวว่าหันไปมองหน้าบ้านบ่อยๆ โดยไม่มีเหตุผล มีอยู่ครั้งหนึ่งฉันรู้สึกคล้ายเห็นใครบางคนหยุดบริเวณหน้าประตู ก่อนเดินผ่านประตูหน้าบ้านไปเหมือนเงาภูตพราย เกือบจะแน่ใจว่าเป็นผู้หญิงสวมชุดขาว ถ้ามีโอกาสจ้องมองดูให้นานกว่านั้น แต่การมองจากในตัวบ้านผ่านเหล็กดัดและประตูรั้ว มันไม่ชัดเจนพอจะทำให้แน่ใจอะไร
ฉันเริ่มคิดว่าตัวเองเริ่มควบคุมความหวาดกลัวของตัวเองไม่ได้ ความคิดที่ว่าอะไร หรือใครบางคนกำลังแอบจ้องมองหรือสังเกตอยู่ ทำให้เกิดความรู้สึกอึดอัด กังวล และหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก มันสร้างภาพน่าประหวั่นพรั่นพรึงขึ้นมาในความคิดอย่างช่วยไม่ได้ เป็นต้นว่ากำลังเดินเข้าห้องน้ำ แล้วเจอผู้หญิงชุดขาวยืนรออยู่จะทำอย่างไร จะส่งเสียงกรีดร้อง วิ่งหนี... หรือจะกระโจนเข้าใส่แบบบ้าเลือด และถ้าทำแบบนั้นผลออกมาจะเป็นเช่นไร ไปคิดมาทำให้เกิดความเครียดจนปวดหัวหนึบขึ้นมาทันที
ขณะเดินเก็บกวาดจัดข้าวของให้เป็นระเบียบ บนโต๊ะทำการบ้านฉันเห็นกระดาษวาดเขียนแผ่นหนึ่งวางอยู่ และมีภาพเขียนด้วยดินสอสีโย้เย้ตามประสา แต่สิ่งที่ทำให้หัวใจเต้นแรง คือภาพวาดใบหน้าของผู้หญิงผมยาวจากฝีมือของลูกสาว เธอพยายามเขียนมันออกมาเพื่อยืนยันว่าเธอเห็นผู้หญิงลึกลับจริงๆ
ไม่น่าเชื่อว่าภาพวาดจากฝีมือเด็กๆ จะทำให้ฉันต้องพิจารณาอย่างตั้งใจ มีอะไรบางอย่างไม่น่าไว้วางใจอยู่เบื้องหลังการเขียนภาพนี้แน่นอน
ถ้าฉันไม่แต่งงาน ฉันคงได้รับปริญญาเกี่ยวกับงานศิลปะไปแล้ว ความชื่นชอบต่อการวาดภาพยังคงวิ่งพล่านอยู่ในสายเลือด สมัยเรียนฉันมักเป็นตัวแทนของโรงเรียนไปประกวดแข่งขันการวาดภาพเสมอ และได้รางวัลติดมือกลับมาทุกครั้ง ลูกสาวเองก็คงได้รับพรสวรรค์แห่งงานศิลป์ไปด้วย เพียงแต่เธอยังเด็กเกินกว่าจะสื่องานออกมาอย่างชัดเจน แต่ฉันจะสานต่อเอง...
มันคงไม่ยากเกินการร่างภาพของคนร้ายจากคำให้การของพยานเท่าไรหรอกน่า ฉันเริ่มมองหาดินสอแกระดาษวาดเขียน
คืนนั้น เรา - แม่ลูก นอนดึกกันเป็นพิเศษ ฉันใช้ดินสอเขียนๆลบๆแก้ๆ นับครั้งไม่ถ้วน โดยมีลูกสาวเป็นพยานปากเอกให้ข้อมูลตลอดเวลา และในที่สุดฉันก็ได้ภาพผู้หญิงผมยาวหน้าตาค่อนข้างสวยขึ้นมาภาพหนึ่ง เอาล่ะ......แม่คนลึกลับ... อย่างน้อยฉันก็ได้ร่องรอยของเธอขึ้นมาแล้ว ไม่ว่าเธอจะเป็นใครก็ตาม หลังจากวาดภาพเสร็จ ฉันอุ้มลูกขึ้นนอนบนเตียง เธอโยเยเล็กน้อยกับการขอฟังนิทานก่อนนอน ฉันเล่าไปไม่ถึงครึ่งเรื่อง เธอก็หลับตาพริ้มหลับสนิท
อาจเป็นเพราะใจจรดจ่ออยู่กับเรื่องนี้ ฉันฝันถึงผู้หญิงลึกลับชุดขาว
ความฝันหม่นมัวเต็มไปด้วยหมอกควันเหมือนอยู่อีกโลกหนึ่ง เธอยืนสงบนิ่ง ใบหน้าเรียบเฉยเหมือนหุ่นปั้น แต่ความรู้สึกบอกว่าเธอมีชีวิตและกำลังจ้องมองฉันอยู่ ด้วยจุดประสงค์อะไรบางอย่าง ถ้าเธอแปลงกายเป็นภูตผีปีศาจไล่ทำร้ายฉันจนวิ่งหนีกระเซอะกระเซิงเหมือนฝันร้ายธรรมดา มันคงจะดีกว่าท่าทางสงบนิ่งแบบคาดเดาไม่ได้ ความน่ากลัวคือการที่เราไม่สามารถคาดเดาอะไรได้จากใคร หรืออะไรที่เราไม่เข้าใจ
หลังจากจ้องมองครู่ใหญ่ จึงเริ่มสังเกตว่าเธออุ้มอะไรบางอย่างไว้แนบอก มันเหมือนกับผ้าอ้อมหรือเบาะห่อหุ้มอะไรสักอย่าง ต่อมาฉันจึงเริ่มเข้าใจ เธอกำลังอุ้มลูกน้อยไว้ในห่อผ้าสีขาว ในฝันฉันรู้สึกอยากเห็นหน้าเด็กคนทารกเหลือเกิน ลูกของเธอจะมีหน้าตาอย่างไร
ฉันก้าวเข้าไปหาอย่างระมัดระวัง ชะโงกมองเด็กในห่อผ้า พอเห็นใบหน้าน้อยๆ ชัดเจนฉันก็ใจหายวาบ เป็นใบหน้าลูกสาวของฉันชัดๆ แต่เป็นสมัยที่เธอยังอายุไม่กี่เดือน ใครบ้างจะจำลูกตัวเองไม่ได้ แม้ว่าวัยทารกขนาดนั้นจะยากต่อการจำแนกแยกแยะก็ตาม
ขณะกำลังตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก เธอก็หันหลังเริ่มเดินห่างออกไปในม่านหมอกมืดมัว ไม่ได้สนใจใครหรืออะไรอีกต่อไปราวกับปราศจากวิญญาณและความรู้สึก พอได้สติฉันก็ออกวิ่งตามไปอย่างสุดกำลัง เธอจะเอาลูกของฉันไปไม่ได้ แต่ไม่ว่าจะออกแรงวิ่งสักเท่าไร ร่างในชุดขาวก็ดูจะห่างไกลออกไปทุกทีจนกลืนหายไปในความมืด ความรู้สึกที่ว่ากำลังสูญเสียลูกสาวไปทำให้ฉันร้องไห้คร่ำครวญออกมาปานหัวใจจะแตกสลาย มันเป็นความรู้สึกอันแสนน่ากลัวและโศกเศร้าในขณะเดียวกัน กระทั่งตื่นขึ้นมาฉันยังพบว่าตัวเองกำลังหลั่งน้ำตาอยู่เลย
เคยมีคนบอกว่าคนเราเวลาฝัน สภาพจิตใจจะอ่อนแอกว่าปกติ เราจะเสียใจ ดีใจ ตกใจหรือว่าหวาดกลัว ความรู้สึกจะปะทุรุนแรงเป็นพิเศษในโลกแห่งความฝัน และฉันไม่สงสัยในคำบอกเล่านั้นเลยสักนิด หัวใจยังเต้นแรงไม่หายแม้จะตื่นขึ้นมานาน
อากาศค่อนรุ่งหนาวเย็นเป็นพิเศษ ฉันไม่อาจข่มตาให้หลับได้อีก ภาพในความฝันยังติดตาและฝังอยู่ในความรู้สึกราวกับเป็นเหตุการณ์จริงที่เพิ่งผ่านไปหยกๆ สามีนอนหลับอยู่ข้างๆ และคงหลับยาวไปถึงรุ่งเช้าเพราะเมื่อคืนเขากลับมาดึก ความจริงฉันอยากจะสงสัยอยู่เหมือนกันว่า ธนามักจะกลับดึกดื่นในช่วงหลังๆ ของชีวิตการแต่งงาน จะเป็นเพราะว่าเขามีบ้านเล็กบ้านน้อย เหมือนที่พวกผู้ชายหลายคนชอบทำกันหรือเปล่า แต่ฉันก็ไม่อยากสงสัยอะไร เพราะยังไม่ได้ระแคะระคายอะไรเลยแม้แต่น้อย และเขาก็รับผิดชอบต่อครอบครัวได้ดีเสมอต้นเสมอปลาย อย่างเคยเป็นมาตั้งแต่สมัยแต่งงานใหม่ๆ
เรามีลูกสาวเพียงคนเดียว ลูกเกิดเมื่อฉันกำลังเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย ทำให้ฉันเรียนไม่จบเพราะอันเป็นผลมาจากความใจง่ายของตัวเอง ถ้าฉันเพียงแต่อดทนต่อความเย้ายวนของความรักความใคร่อีกสักนิด ฉันคงเรียนจบและได้ทำการงานที่ดี ไม่ใช่ต้องมาเป็นแม่บ้านอยู่ทั้งปีทั้งชาติแบบนี้ ความจริงมันก็ไม่เลวร้ายอะไรมากมายกับการอยู่เหย้าเฝ้าเรือน แต่หลายครั้งก็อดนึกไม่ได้ว่า วันหนึ่งถ้าสามีทิ้งฉันไปจริงๆ ฉันจะจัดการอย่างไรกับชีวิตที่เหลือของตัวเอง ในสังคมเมืองกรุง และคงไม่มีใครต้องการรับหญิงอายุมากแต่ความรู้ต่ำเข้าทำงาน ภาพของคนตกงานอยู่บ้านตามลำพังมันน่ากลัว...ฉันได้เพียงภาวนาให้สายใย และสายใจผูกมัดครอบครัวของเราไว้ตลอดไป เพื่อจะไม่ต้องเผชิญกับเส้นทางแห่งความแตกแยก
ยังเช้าเกินไปที่จะลงไปห้องครัว
ฉันนึกถึงลูกสาวขึ้นมาอีกครั้ง แอนนานอนอยู่ห้องข้างๆ นี่เอง วันนี้น่าจะเป็นวันดีของเธออีกวันหนึ่ง เพราะเป็นวันเสาร์ทำให้สามารถนอนตื่นสายได้เป็นพิเศษ
.