หลอน...พยาบาท 2

กระทู้สนทนา
บทที่ 1
https://pantip.com/topic/36647023



.
.


             ฉันนอนโรงพยาบาลอยู่สองวันสองคืน  ท่ามกลางความเป็นห่วงของคนในครอบครัวและเพื่อนสนิทหลายคนที่ได้ข่าวถึงอาการสติแตกของฉัน จนเกือบจะถูกนำเข้าโรงพยาบาลประสาท ถ้าฉันไม่คัดค้านต่อต้านสุดชีวิต ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะเป็นคนวิกลจริตผิดเพี้ยน ลูกสาวยังคงเป็นเด็กร่าเริงตามประสาเด็กเช่นเคย แม้จะมีสีหน้าท่าทางเป็นห่วงฉันอยู่มาก ธนามีสีหน้าเคร่งเครียดวิตกกังวลจนเห็นได้ชัดกับคำอธิบายเหตุการณ์ประหลาดของฉัน ประกอบกับคำให้การของลูกสาว ทำให้เขาสับสนกับชีวิตพอสมควร และสับสนว่าใครดีใครบ้ากันแน่

            เมื่อกลับมาถึงบ้าน สิ่งแรกที่ฉันทำคือหยิบเอาภาพของผู้หญิงชุดขาวมาปรับเปลี่ยนอีกเล็กน้อย จากคำบอกเล่าของลูกสาวฉันวาดออกมาได้ไม่เหมือนมากนักแต่ก็ใกล้เคียง แต่ตอนนี้ไม่มีปัญหา เพราะฉันเห็นเธอในระยะไม่กี่ก้าว จดจำได้ถนัดชัดตา  จนเธอแทบกระโดดออกมาจากความคิดได้  ในเวลาไม่ถึงชั่วโมง ฉันก็แก้ไขภาพวาดจนสมบูรณ์ด้วยพรสวรรค์ส่วนตัวทางศิลปะการวาด

             หลังจากอาหารเย็นผ่านไป ฉันตัดสินใจเอาภาพวาดให้ธนาดูในขณะเขานั่งดูทีวีในห้องนั่งเล่น อาการตอบสนองกลับมาเร็วและมากกว่าที่ฉันคิดไว้เสียอีก เพราะเมื่อเขาเห็นภาพผู้หญิงลึกลับ ใบหน้าของเขาซีดเผือดลงทันที อย่างคนไม่อาจระงับหรือปิดบังอะไรอยู่ภายในใจได้

             “ผู้หญิงคนนี้ล่ะ  ที่ฉันและลูกเห็น”

             ฉันบอกสั้นๆ พลางมองหน้าสามีเพื่อหาคำตอบโดยไม่จำเป็นต้องถาม สีหน้าท่าทางของธนาแปรเปลี่ยนกะทันหัน ราวกับตกใจหรือไม่คาดฝันกับอะไรบางอย่าง

             “มันก็แค่เป็นภาพที่คุณเห็นตอนตาฝาดเท่านั้น”

             คำตอบของเขาไม่เป็นธรรมชาติไม่ต่างจากสีหน้า  ฉันยิ้มเยาะในใจ ที่รัก...คุณเป็นคนโกหกไม่แนบเนียนเอาเสียเลย ผู้ชายหลายคนโกหกเป็นมืออาชีพ  จับไม่ได้ไล่ไม่ทันไม่มีทางรู้ บังเอิญว่าคุณไม่ใช่... มือยังไม่ถึงขั้น

             “บอกได้ไหมเธอเป็นใครกัน เรื่องนี้มันสำคัญมากกับคุณ ฉัน และลูกของเรา”

            ฉันจงใจเน้นคำว่า “ลูกของเรา” เป็นพิเศษ เพราะรู้ว่าเขาเป็นคนรักลูกแบบแก้วตาดวงใจยิ่งมีลูกสาวเพียงคนเดียว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาจะให้ความสำคัญขนาดไหน และนั่นคงเป็นไม้ตายอย่างเดียวที่จะเปิดความลับออกจากปากของสามีตัวดีได้

             “เธอชื่อฟองจันทร์ เรารู้จักกันก่อนที่ผมจะแต่งงานกับคุณสองปี”

             ในที่สุดเขาก็เริ่มต้นจำนนต่อการตกเป็นจำเลย ของศาลครอบครัว

             “คุณอย่าลืมว่าสมัยยังเป็นหนุ่ม ผมก็คงเหมือนผู้ชายทั่วไป ไอ้ความยับยั้งชั่งใจอะไรก็ไม่ค่อยมี เธอเป็นเด็กสาวต่างจังหวัด ผมเองก็ยังไม่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในเมือง ความใกล้ชิดกันทำให้ผมคิดว่าผมรักเธอ และในงานเลี้ยงคืนหนึ่ง เรามีอะไรกัน จะบอกว่าผมเมาหรือจะบอกว่าเธอไม่ปฏิเสธก็ได้ ผมรู้แต่ว่าเธอรักผมมาก แต่ผมก็ทิ้งเธอโดยที่เธอไม่ผิดอะไรเลยสักนิด”

             “คุณทิ้งฟองจันทร์โดยไม่ติดต่อกลับไปอีกเลย”

            ฉันย้ำถามเพื่อความแน่ใจในความโหดร้ายของเขาในอีกมุมหนึ่ง ฉันไม่เคยรู้จักและสัมผัสเลยสักนิด เขากล้าทิ้งผู้หญิงที่เคยมีอะไรกันไปแบบเลือดเย็น

            “ผมย้ายหนีไปจากเธอ”

            ท่าทางของเขาเหมือนจมลงไปอยู่กับอดีต ความทรงจำเลวร้ายพยายามกลบฝังลืมเลือน มันผุดขึ้นมาตอกย้ำซ้ำเติมอีกครั้ง ฉันคิดว่าไม่มีใครหรอกจะลืมเลือนความผิดพลาดและความรู้สึกผิดของตัวเองได้ ระยะเวลาอย่างมากก็เพียงทำให้มันเจือจางลง แต่เมื่อใดจิตใจอ่อนแอ ความทรงจำในส่วนลึกจะปรากฏกระโดดขึ้นมากัดกร่อนจิตใจ ให้เจ็บปวดทรมานจวบจนวันตาย ธนาทิ้งผู้หญิงของเขาไว้เบื้องหลัง  ด้วยเหตุผลการย้ายหลักแหล่งทำงานเท่านั้น

             “หรือว่าฟองจันทร์ตายไปแล้ว วิญญาณของเธอเลยมาแก้แค้นคุณ”   ฉันออกความเห็น แต่ทำให้เขาเกิดอาการฉุนเฉียวขึ้นมาอย่างทันทีทันใด

             “อย่าพูดบ้าๆน่า”

             น้ำเสียงของธนาแข็งกระด้างและห้วนแบบไม่ค่อยได้ยินมาก่อน ฉันไม่แน่ใจว่าเขาโกรธหรือว่ากำลังหวาดกลัวกันแน่ ภาพผู้หญิงชุดขาวในมือถูกเขาฉีกออกเป็นชิ้นๆ ในช่วงนั้นเอง ความรู้สึกฉันเหมือนได้ยินเสียงถอนลมหายใจอย่างขุ่นเคืองดังมาจากที่ไหนสักแห่ง และรู้สึกถึงความกราดเกรี้ยวผ่านความว่างเปล่ามาจากดินแดนไกลแสนไกล

             “ผมไม่รู้ว่าคุณวาดภาพนี้ได้ยังไง แต่จะให้ผมเชื่อว่ามีภูตผีมาเดินเพ่นพ่านในบ้านผม จ้างให้ผมก็ไม่เชื่อ บางทีผมคิดว่าคุณควรจะไปเช็คประสาทดูเสียบ้างนะ”

             ความจริงฉันควรจะโกรธกับการแสดงกิริยาอาการไม่สุภาพต่อหน้าต่อตา  ถ้าไม่เพราะฉันเห็นผู้หญิงชุดขาวปรากฏตัวอยู่ด้านหลังของเขา

             เธอยังคงมาในลักษณะเดิมคือยืนนิ่ง ใบหน้าขาวซีดแววตาปราศจากความรู้สึกใดๆ วินาทีแรกหัวใจฉันเย็นวูบลงจนคิดว่าจะช็อกตายด้วยความตกใจเสียด้วยซ้ำแต่ไม่นานก็ตั้งสติได้ นี่มันบ้านของฉัน... ใคร...หรืออะไรที่เข้ามาเพ่นพ่าน  ควรจะเป็นฝ่ายเกรงใจเรามากกว่า ผีบ้านผีเรือนเทวดาอารักษ์ต้องปกปักรักษาเราอยู่แล้ว ในห้องพระชั้นบนก็มีพระบูชาหลายองค์ จะมาหลอกมาหลอนได้ก็ให้มันรู้ไป  บ้านของฉันผีก็อย่ามาแตะ


             น่าแปลกว่าฉันไม่ได้หวาดกลัวจนสติแตกเป็นรอบสอง แม้ว่าตอนแรกเกือบจะหวีดร้องออกมาแล้ว  เมื่อได้รับรู้เรื่องราวของฟองจันทร์ กลับคิดว่าเธอน่าสงสารมากกว่า แต่สีหน้าท่าทางฉันคงผิดปกติอย่างแน่นอน เพราะธนาจ้องมองตาเขม็ง

             “ตอนนี้เธออยู่ข้างหลังคุณ”

            น้ำเสียงของฉันจริงจังและเย็นเฉียบชนิดที่ไม่เคยพูดกับใครมาก่อนในชีวิต จนฉันเองยังตกใจกับเสียงของตัวเอง สามีตัวดีหน้าซีดไม่มีสีเลือด แววตาฉายแววตกใจและขาดความมั่นใจในตัวเองอย่างสิ้นเชิง สองไหล่ของเขาห่ององุ้มลงราวกับจะจมตัวเองลงในโซฟาเหงื่อเม็ดไหลซึมออกมาจากบริเวณขมับเห็นได้ชัด

             “พูดบ้าๆอะไร......”

             เขาพยายามเค้นเสียงแหบพร่าฟังแทบไม่เป็นภาษาออกมา มือทั้งสองข้างกำแน่นและสั่นระริกอย่างคนระงับอารมณ์ไม่อยู่ ความตึงเครียดชนิดหนึ่งก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ท่าทางแบบนั้นของเขาทำให้ฉันรู้สึกผิดหวังแบบไม่มีเหตุผล

             “คุณก็แค่ลองหันกลับไปมองเท่านั้น เธออยู่ข้างหลังคุณแค่นี้เอง”

             ฉันบอกเขาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงค่อนข้างแข็งกระด้างทั้งที่พยายามบังคับน้ำเสียงให้ราบเรียบแล้ว  ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะนั่งตัวตรงคอแข็ง โดยไม่กล้าหันไปมองเลยสักนิด ถ้าเป็นการคิดว่าหลอกให้ตกใจกลัว เขาควรจะหันไปมอง ใช่...มันไม่มีอะไรมากกว่าหันหน้าไปมอง   เท่านั้นจริงๆ... แต่ธนาไม่กล้า... อะไรกันที่ทำให้ไม่กล้า..ไม่กล้าสู้ความจริง ไม่กล้าเผชิญกับซากปรักหักพังของชีวิตตัวเองความรู้สึกผิด ความไม่แน่ใจ หรือความหวาดกลัวกันแน่  ถ้าฉันบอกอย่างนี้กับคนอื่น จะมีใครกล้าหันไปมองหรือไม่ เพราะสิ่งที่อยากจะรู้และต้องการพิสูจน์มันอยู่แค่นี้เอง

             เวลาผ่านไปเนิ่นนานท่ามกลางบรรยากาศกดดันหนักอึ้งไร้สภาพ เราไม่ได้พูดอะไรกันอีกจนหญิงสาวชุดขาวคนนั้นค่อยเลือนหายไปกับอากาศธาตุ พร้อมกับความหม่นมัวบีบคั้นหัวใจก็หายไปด้วย ช่วงนั้นเองราวกับว่าลมร้ายโชยมาจากสุสานอันเยือกเย็นพัดผ่านบ้านเราไป ทิ้งไว้เพียงความล้มระเนระนาดทางจิตใจบิดเบี้ยวปรวนแปร สามีของฉันเหมือนดูแก่ขึ้นมาทันทีทันใดหลายปี  นั่งเหงื่อท่วมคอตกหมดสภาพ ทั้งน่าสงสารและน่าสมเพช คนหัวดื้อผู้ไม่กล้ารับสภาพความจริง คนมีบาดแผลในหัวใจ ที่คอยตอกย้ำเสมอเมื่อมีเวลาและโอกาสอันเหมาะสม

             “เธอหายไปแล้ว”   ฉันบอกเขาสั้นๆ ก่อนลุกขึ้นยืน คืนนี้ฉันจะนอนกับลูกสาว


             วันรุ่งขึ้น ฉันกับสามีมองหน้ากันไม่สนิทเท่าที่ควร ทักทายกันพอเป็นพิธีและท่าทางเหม่อลอยแบบคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ลูกสาวตื่นลุกลงมาจากห้องเช้าเป็นพิเศษ เหตุผลในการตื่นเช้าเป็นพิเศษ ทำให้เราแทบประสาทเสีย

             “ผู้หญิงคนนั้น มาปลุกหนูค่ะ”

             คำพูดชวนให้บ้าเหลือเกินใครบางคนที่ไม่มีตัวตนเข้ามาอยู่ในบ้านของเรา ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว และนับวันจะมากขึ้นทุกที ไม่ประสาทกินตอนนี้จะกินตอนไหน

             เสียงอะไรบางอย่างหล่นเปรี้ยงในห้องครัว เมื่อฉันเข้าไปดูก็พบว่าสามีตัวดียืนหน้าซีดมือไม้สั่น บนพื้นมีน้ำกาแฟเละเทะเศษถ้วยกาแฟแตกกระจายเกลื่อน ท่าทางของเขาเหมือนคนตกใจสุดขีด หลังจากจับแขนเขย่าไปมาหลายครั้ง เขาจึงหลุดเสียงแหบแห้งออกมาว่า

             “ผมเห็น..... เห็นถนัดชัดตาเลย เธอเดินผ่านผมไป”

             พอได้ฟังฉันแทบกระโดดแล้วร้องไชโยออกมาดังๆ กับการจำนนต่อหลักฐาน ในที่สุดพวกเรา...พ่อแม่ลูก ก็เห็นผู้หญิงชุดขาวลึกลับชื่อฟองจันทร์กันถ้วนทั่วทุกตัวคน ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกใครในบ้านมองว่าบ้าหรือประสาทอีกแล้ว นอกจากว่าเราจะเป็นไปด้วยกันทั้งสามคน แต่ถึงจะเป็นโรคจิตพร้อมกันจริงๆ คงไม่แย่มากนัก อย่างน้อยพวกเราก็สามารถไปโรงพยาบาลโรคจิตพร้อมหน้าพร้อมตากัน

             หลังจากปรึกษากันอย่างเคร่งเครียดและจริงจัง ในที่สุดก็ได้ข้อตกลงร่วมกัน วันนี้ลูกสาวจะไม่ไปโรงเรียน สามีตัวดีจะลางาน ส่วนฉันจะลางานบ้าน เราสามคนจะยอมเสียเวลาสักวัน เดินไปยังจุดเริ่มต้นของเรื่องราวแปลกประหลาด เราจะไปยังถิ่นฐานบ้านเกิดของฟองจันทร์ เผื่อว่าบางทีจะมีคำตอบในการยุติเรื่องบ้าๆ เสียที  ไม่อย่างนั้นเราต้องรับความเป็นจริงที่เป็นจริงจังมากขึ้นทุกที ต่อไปอีกไม่นานเราคงจะเห็นเธอมาอยู่ในครอบครัวแบบเต็มรูปแบบ และเต็มตัว มันคงยิ่งคงกว่าฝันร้าย

             เราออกจากบ้านช่วงสาย ลูกสาวตื่นเต้นและดีใจกับการลาโรงเรียน และการออกนอกตัวเมือง  ซึ่งอาการดีใจแบบนี้น่าจะเกิดกับเด็กส่วนใหญ่ เพราะเป็นการขาดเรียนแบบมีผู้รับรอง ย่อมไม่ผิดกฎของโรงเรียน สามีฉันมีสีหน้าท่าทางเคร่งเครียดขณะขับรถออกนอกเมือง ฉันไม่ได้บอกสมาชิกในครอบครัวว่า ขณะรถเลี่ยวออกจากประตูรั้ว ฉันเห็นฟองจันทร์ยืนนิ่งอยู่หน้าประตูบ้าน

             ใช่..อยู่หน้าบ้านจริงๆ

             ให้ตายเถอะ...ถ้ามาได้ถึงขนาดนี้ทำไมเธอถึงไม่กวาดบ้านซักผ้าถูบ้านล้างถ้วยล้างชาม ทำงานบ้านให้สะอาดไปทั้งบ้านเสียให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ดีกว่ามายืนเฉยแบบปราศจากความหมาย แต่ฉันก็ได้เพียงแต่คิดเท่านั้น ความจริงบางอย่างควรจะถูกเก็บไว้จนกว่าจะถึงเวลาของมัน

             ดวงตะวันลอยสูงขึ้นทุกทีพร้อมกับการเดินทางกลับสู่อดีตอันดำมืดของสามีตัวดี  สองข้างทางเริ่มเปลี่ยนไปจากตึกรามบ้านช่องหนาแน่นเป็นทิวไม้และเทือกสวนไร่นา ฉันอดคิดไม่ได้ว่าทุกพื้นที่ในโลกไม่ว่าจะเป็นมหานครหรือชนบทห่างไกล ต่างมีเรื่องราวและวิถีทางของมันเก็บไว้เสมอ เรื่องราวที่ถักร้อยมาจากรอยยิ้ม คราบน้ำตา ความทุกข์สุข สมหวัง สิ้นหวังต่าง ๆ นานา เพียงรอเราสัมผัสหรือมันยื่นมือมาสัมผัสกับเราเท่านั้น ต้นไม้ใบหญ้า ถนนหนทาง กระทั่งหมู่ตึกอาคารบ้านเรือน ล้วนแต่มีตำนาน ความทรงจำและเรื่องราวของมันเอง

             ฉันไม่สงสัยอะไรเลยเมื่อเห็นฟองจันทร์ ปรากฏอยู่ตลอดรายทาง เธอไม่ได้มีทีท่าคุกคาม เพียงแต่เธอแสดงตัวตนให้เห็นในกลุ่มชาวนาชาวสวน ซึ่งกำลังเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตรตามรายทาง  เธอยืนตามสี่แยกในขณะรถของเราผ่านไป นั่งผมยาวสยายในศาลาพักร้อน  ยืนนิ่งข้างทางท่ามกลางแสงแดดตอนกลางวันอันร้อนระอุ  เด่นเป็นสง่าในไร่ข้าวโพดข้างทางอันกว้างไกล สงบนิ่งอยู่ใต้ต้นไม้ริมทาง  

      

.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่