
ตอน 1
https://pantip.com/topic/36536928
ตอน 2
https://pantip.com/topic/36589707
มายาพิศวาส
โดย ล. วิลิศมาหรา
3.
ตลอดชีวิตกว่ายี่สิบปีที่ผ่านมา สำหรับลลินีแล้ว โลกก็คือพื้นแผ่นดินที่สดชื่นเขียวขจีน่าอยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นฤดูใด เหนือขึ้นไปคือท้องฟ้า บนนั้นมีดวงอาทิตย์ มีดาว มีพระจันทร์ บางคืนวันสีสันสวยงามราวภาพฝัน เธอมองเห็นมันเป็นเช่นนั้นมาตลอด แม้ในความเป็นจริงอีกด้านของโลกที่เธออาศัยอยู่ มันจะคือความยากจนข้นแค้น ขาดแคลนหลายสิ่งหลายอย่างมาเป็นเครื่องประกอบชีวิต แต่เธอก็มีความสุขอยู่กับผู้เป็นแม่ที่รักเธอราวแก้วตาดวงใจ แม่หยิบยื่นให้เสมอในสิ่งที่แม่พอมีแรงหามาให้ได้
จวบจนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ที่โลกทั้งใบกลายเป็นตรงกันข้าม หลังเกิดเหตุการณ์บัดซบเลวทรามที่เกิดขึ้นกับเธอและแม่ โลกก็ไม่น่าอยู่อีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นโลกจริงหรือโลกในความฝัน สิ่งสวยงามบนโลกที่เธอเคยชื่นชม มาบัดนี้เธอกลับมองมันผ่านไปและไม่เคยสนใจมันอีกเลย
หลังกลับมาจากเยี่ยมแม่ในเรือนจำ ลลินีขับรถมาหาจิตแพทย์ที่คลินิกตามวันเวลาที่ได้นัดหมายกันไว้ คลินิกแห่งนั้นอยู่ในตึกแถวสองชั้นย่านชานเมืองไกลออกไป เป็นคลินิกเพิ่งเปิดใหม่ของจิตแพทย์หนุ่มชื่อสันติ จิตรภักดี ที่กานดาไปเจอในอินเทอร์เนตโดยบังเอิญ คลินิกเปิดให้บริการตลอดวันตั้งแต่เวลาเก้าโมงเช้าจนถึงสองทุ่ม ปิดเฉพาะวันอาทิตย์
ลลินีมาถึงตามนัดในช่วงบ่ายที่คนไข้คนอื่นคงกลับไปกันหมดแล้ว ในเวลานี้จึงมีเธอเป็นคนไข้เพียงคนเดียว
ในนั้นมีผู้ช่วยแพทย์เป็นผู้หญิงสองคน คนหนึ่งมีหน้าที่ทำบัตร จัดยากับคิดเงินค่ารักษา ส่วนอีกคนเป็นผู้หญิงวัยกลางคนท่าทางดูมีเมตตา หน้ายิ้มตลอดเวลาแต่ไม่รู้สึกว่าหล่อนฝืนใจทำ มีหน้าที่คุยทั่วไปและซักประวัติกับอาการที่มาพบแพทย์ของคนไข้ รวมทั้งให้กรอกแบบประเมินเกี่ยวกับสุขภาพจิต โดยเฉพาะแบบคัดกรองการฆ่าตัวตาย ซึ่งทีแรกเธอไม่อยากจะบอก แต่ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าในเมื่อตัวเองอุตส่าห์ยอมมาจนถึงที่นี่ก็เพราะตั้งใจจะรักษาตัวให้หาย ก็เลยคิดว่าควรตอบไปตามความเป็นจริงจะดีกว่า
เมื่อเห็นกิริยาหมองหม่นอมทุกข์จนปิดไม่มิดของหญิงสาวที่กำลังเดินเข้ามาในห้องตรวจ นายแพทย์หนุ่มจึงคลี่ยิ้มให้อย่างใจดี
“สวัสดีครับ คุณลลินี ”
เขาเอ่ยทักทายหลังเชื้อเชิญเธอให้นั่งลงบนชุดเก้าอี้นวมตรงหน้า ลลินีสังเกตเห็นถึงความแตกต่างจากห้องตรวจโรคของแพทย์ทางกายที่มักมีโต๊ะตรวจพร้อมอุปกรณ์จัดวางตามวิธีตรวจวินิจฉัย แต่ที่นี่มีเพียงแฟ้มประวัติและกล่องใส่กระดาษชำระที่วางเด่นอยู่บนโต๊ะกลางของชุดเก้าอี้นวม เหมือนเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ เห็นมีเก้าอี้บุนวมปรับนอนได้น่าสบายอีกตัวอยู่ภายในห้อง
นายแพทย์หนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่อยู่เฉียงกัน ไม่เผชิญหน้าตรงๆ กับเธอ ในมือถือแฟ้มเล่มบางอยู่ด้วย ซึ่งเป็นแฟ้มบันทึกประวัติส่วนตัวของเธอที่ผู้ช่วยแพทย์หน้าห้องทำให้นั่นเอง เธอคนนั้นเดินถือมันเข้าไปในห้องตรวจแล้วถึงออกมาเรียกลลินีให้เข้าไปพบแพทย์อีกที
จิตแพทย์สันติลอบไล่สายตาไปตามเนื้อตัวตลอดจนเครื่องแต่งกายของคนไข้สาวตามวิสัยช่างประเมินของแพทย์ หญิงสาวผู้นี้มีรูปร่างสมส่วน ตามร่างกายไม่มีร่องรอยบาดแผลฟกช้ำดำเขียว หรือร่องรอยอย่างอื่นที่อาจทำให้คิดถึงการถูกทำร้ายทั้งจากตัวเองและบุคคลอื่น
เธอไม่ได้พิถีพิถันกับการแต่งกายเท่าใดนัก ชุดกระโปรงคนละท่อนชุดนั้นไม่มีสิ่งใดบ่งบอกนัยแห่งแฟชั่น แม้แต่สร้อยลูกปัดหลากสีเส้นใหญ่ก็ถูกสวมเอาไว้แค่พอไม่ให้ลำคอเปล่าเปลือยมากกว่าจะแสดงรสนิยมอันใด สะดุดใจอยู่บ้างก็เพียงหน้าตาของหล่อน หญิงสาวที่ดูอ่อนเยาว์แต่มีใบหน้าเศร้าหมอง นัยน์ตาสีน้ำตาลกลมโตคู่นั้นแห้งผาก ไม่เหมือนคนในวัยขนาดเธอที่น่าจะมีความสดชื่นแจ่มใสของวัยสาว ซึ่งถ้าหากเป็นเวลาปกติที่เจ้าของไม่ตกอยู่ในอารมณ์เศร้าซึมแบบนี้ เขาคิดว่ามันคงเป็นดวงตาคู่ที่สวยงามน่ามองทีเดียว แต่จากประสบการณ์รักษาคนไข้โรคซึมเศร้ามานักต่อนักก็ไม่ได้ทำให้เขานึกแปลกใจอะไรมากมาย ถ้าเธอเดินร่าเริงเข้ามาสิถึงจะน่าแปลกใจ
“สวัสดีค่ะคุณหมอสันติ”
เธอยิ้มตอบบางเบาบนใบหน้า ขยับตัวบนเก้าอี้นวมหนานุ่มให้นั่งในท่าที่สบายมากขึ้น นึกยินดีที่ตัดสินใจพาตัวเองมาถึงห้องนี้จนได้หลังจากถูกกานดาทั้งปลอบทั้งขู่ให้มาพบกับจิตแพทย์คนนี้เสียที
เพราะพอกานดารู้ว่าอาการปวดศีรษะข้างเดียวที่เรียกกันว่าปวดแบบไมเกรนของเธอกำเริบถี่ขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับอาการนอนหลับฝันร้ายที่เธอเป็นเกือบทุกคืน แม่เพื่อนสาวผู้แสนดีก็เป็นธุระโทรศัพท์มานัดหมายล่วงหน้ากับจิตแพทย์สันติให้ พร้อมทั้งเล่ารายละเอียดส่วนตัวของลลินีแก่เขาบางประการอีกด้วย กานดาบอกเธอว่าควรมาพบจิตแพทย์ที่คลินิกส่วนตัวน่าจะเหมาะกว่าไปพบจิตแพทย์ตามโรงพยาบาล ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันเสียงซุบซิบนินทาจากคนรู้จักที่อาจไปพบเธอเข้า ไม่ว่าอย่างไรการพบกับจิตแพทย์ก็ยังไม่เป็นเรื่องปกติธรรมดาของสังคมไทยในขณะนี้อยู่ดี
ลลินียอมรับความหวังดีนี้ของเพื่อน เพราะในยามที่จิตใจร้อนรุ่มกระวนกระวาย ปนเปไปกับความหม่นหมองเหมือนมีม่านหมอกมาปกคลุมให้ขุ่นมัวอยู่ตลอดเวลา ผสมเข้ากับความขมขื่นร้าวรานที่ยากจะอธิบายเช่นนี้ ซึ่งคาดว่าอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ตัวเองเกิดอาการผิดปกติถี่ขึ้นเรื่อยๆ
หญิงสาวจึงกำลังต้องการใครสักคนที่มีคุณสมบัติสามารถช่วยขจัดปัดเป่าความรู้สึกนี้ให้บรรเทาเบาบางลงไป ชื่อเสียงของนายแพทย์สันติที่ได้ยินจากเพื่อนสนิททำให้เกิดมีความหวังขึ้นมา บางทีนอกจากรักษาอาการไมเกรนและนอนฝันร้ายแล้ว เขาอาจจะเรียกคืนศรัทธาต่อตัวเองของเธอที่สูญหายไปให้กลับมาได้อีกครั้งหนึ่ง
ชำเลืองมองนายแพทย์หนุ่มที่นั่งลงใกล้ๆ ก็เห็นว่าเขาดูมีความน่าเชื่อถือดี จากรูปลักษณ์พิมพ์นิยมของคนมีภูมิปัญญาอันประกอบไปด้วยแว่นสายตากรอบหนา ร่างผอมสูงของเขาอยู่ในเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีอ่อน ซ่อนชายไว้ในขอบเอวกางเกงทรงสแล็คสีดำ สวมรองเท้าหนังขัดมันวาววับ เขาพูดจาด้วยน้ำเสียงสุภาพนุ่มหู ตลอดจนท่าทีอ่อนโยนเป็นกันเอง รวมทั้งแววปรานีในดวงตาหลังแว่นที่ทอดมองมายังเธอ ทั้งหมดนี้มันได้ทำให้ลลินีค่อยๆ คลายจากอาการเกร็งลง ก่อนหน้านั้นหญิงสาวรู้สึกวิตกอยู่มากกับการที่จะต้องมาเล่าเรื่องราวอันน่าอนาถของตัวเองให้คนอื่นฟัง แต่ถึงอย่างไรสิ่งที่ควรวางใจก็น่าจะเป็นความรู้ความเชี่ยวชาญทางด้านรักษาอาการเจ็บป่วยทางจิตของเขามากกว่าภาพลักษณ์ภายนอก
เขาพลิกเปิดแฟ้มที่ถืออยู่ในมือออกดู ก้มอ่านมันอยู่ครู่หนึ่ง ซึ่งเมื่อเงยหน้าขึ้นสบตากัน เธอก็มองเห็นปริศนาในแววตาคู่นั้น
“นอกจากปวดหัวไมเกรนแล้ว คุณยังนอนฝันร้ายเกือบทุกคืนงั้นหรือครับ” หญิงสาวพยักหน้ารับอย่างเซื่องซึม แววตาที่มองตอบจิตแพทย์แห้งแล้งไร้ชีวิตชีวา
“ถ้าอย่างนั้นคุณช่วยเล่าถึงฝันร้ายของคุณให้ผมฟังหน่อยสิครับ”
“ได้ค่ะ ฉันฝันว่าถูกจับมัดขึงพืด แล้วมีใครหลายคนใช้มีด...เอ่อ ฉันคิดว่าเป็นมีดค่ะ รุมทิ่มแทงตัวฉันอยู่ ฉันกรีดร้องโหยหวนนอนจมอยู่ในกองเลือดตัวเอง แต่ไม่มีใครสนใจเข้ามาช่วยเลยสักคน ฉันได้ยินเสียงตัวเองกรีดร้องดังอยู่ไกลๆ แล้วถึงสะดุ้งตกใจตื่น เป็นอย่างนี้มาสามสี่คืนติดต่อกันแล้วค่ะ”
ใบหน้าที่สวมแว่นพยักหน้ารับรู้ เขาก้มลงจดบันทึกไว้ในแฟ้มก่อนทำสัญญาณให้เธอเล่าต่อ
“แล้วหมู่นี้อาการปวดหัวไมเกรนของฉันก็เป็นบ่อยขึ้น เมื่อก่อนนานๆ ครั้งจะเป็นที แต่ตอนนี้เป็นทุกวันเลย ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับที่ฉันฝันร้ายหรือเปล่า”เธอเล่าต่อไป
“คนใกล้ชิดเคยบอกว่าคุณนอนละเมอบ้างไหมครับ”
“ไม่เคยค่ะ...แต่เดี๋ยวนะคะ เอ้อ เพื่อนสนิทเคยบอกว่า เวลาที่ฉันไปนอนค้างกับเขา ฉันชอบพูดพึมพำตอนนอนหลับ ส่วนสามีฉันไม่เคยพูดถึงค่ะ”
“ฝันร้ายมักเกิดจากจิตใต้สำนึกที่กำลังต่อต้านกับจิตรู้สำนึกของมนุษย์ บางทีก็เกิดจากความเก็บกดที่ไม่สามารถแสดงออกมาได้ขณะรู้สติดีอยู่ หรืออาจเกิดขึ้นจากมีเรื่องที่สะเทือนใจ คุณมีเรื่องคับข้องใจหรือวิตกกังวลอะไรอยู่หรือเปล่า พอจะเล่าให้ผมฟังได้ไหม”
หมอหนุ่มอธิบายก่อนถามเข้าสู่ประเด็น ลลินีนิ่งไปพักหนึ่งคล้ายจมอยู่ในความเศร้า เธอทำใจมาแล้วว่าต้องเล่าเรื่องนี้ให้จิตแพทย์ฟัง แต่กระนั้นก็ยังนึกอายและหดหู่ในชะตากรรมของตัวเอง ใบหน้านวลละมุนยิ่งสลดลง
“หมู่นี้ฉันมีปัญหากับสามีค่ะ” เธอเริ่มลำดับเหตุการณ์ ก้มหน้าลงมองมือตัวเองที่วางไว้บนตักข่มความขลาดอาย
“สามีฉันเป็นอาจารย์สอนอยู่ในมหาวิทยาลัย...”เธอบอกชื่อมหาวิทยาลัยที่เลิศภพสอนอยู่
“ฉันกำลังสงสัยว่าเขา...เขาจะมีผู้หญิงคนอื่นค่ะ”
“ผู้หญิงอื่นที่ว่าคือยังไงครับ”นายแพทย์กระตุ้นให้เธอเล่าสิ่งที่เป็นกังวลในใจออกมา
“เพื่อนร่วมงานของเขาค่ะ ผู้หญิงโสด สวย เก่งและฉลาดกว่าฉัน พวกเขาสนิทสนมกันมาก...มากกว่าความเป็นเพื่อน เขาเป็นบัดดี้ทำงานด้วยกัน รู้ใจกันมานาน ฉันคิดว่าเขากำลังนอกใจฉันอยู่ค่ะ”
“คุณบอกผมว่า คุณกำลังคิดว่าสามีคุณคิดนอกใจคุณอยู่ แล้วอะไรที่ทำให้คุณคิดว่ามันเป็นแบบนั้นล่ะครับ”เขาถามทวนคำพูดของเธอเพื่อให้ได้ตรึกตรอง
“ฉันดูออกนี่คะ”ตวัดตาขึ้นมองหน้านายแพทย์แวบหนึ่งที่ได้ยินคำถามกระแทกลงกลางใจดำ เสียงที่ตอบเขาแข็งขึ้นโดยอัตโนมัติ
“เพื่อนกันธรรมดาคงไม่คอยตามห่วงตามดูแลกันแบบนั้นหรอกค่ะ เขาสองคนเป็นห่วงกันมากเป็นพิเศษ คุยกันทุกวันทั้งทางโทรศัพท์กับทางแชท รู้วันพิเศษของกันและกัน ผู้หญิงคนนั้นให้ของขวัญวันเกิดสามีฉันก่อนฉันเสียอีก เข้านอกออกในบ้านฉันราวกับบ้านของตัวเอง นึกจะชวนสามีฉันไปไหนๆ ด้วยก็ชวน ไม่แคร์ฉันที่นั่งหัวโด่อยู่ในฐานะภรรยาบ้างเลย”
ข่มความน้อยใจเสียใจเอาไว้ไม่ได้เลย รู้สึกแสบร้อนหัวตาขึ้นมาอีกแล้วเมื่อนึกไปถึงพฤติกรรม“สนิทสนมกัน”ของเลิศภพกับผู้หญิงคนนั้น
“แล้วสามีคุณล่ะครับ เขามีท่าทียังไง คุณถึงคิดว่าว่าเขานอกใจคูณ”
มีอาการลังเลอยู่ครู่หนึ่งกับคำถามของนายแพทย์ จะเล่าให้เขาฟังดีไหมว่าทำไมเลิศภพถึงไปมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับวัลภา ใบหน้าเล็กๆ ก้มลงมองมือตัวเองอีกครั้ง นึกทบทวนคำพูดถ้าจะต้องเล่า“เรื่องนั้น” ให้เขาฟัง ความลับดำมืดที่เหมือนกักขังเธอไว้ในนั้นมาตั้งแต่วันแรกของการแต่งงาน
หมอสันติเห็นคนไข้หญิงเงียบไปก็เข้าใจ เขาจึงหยุดให้เวลาเธอคิดไตร่ตรอง มีผู้หญิงเป็นจำนวนมากมาขอคำปรึกษาเพราะอาการเครียดจัดจากเรื่องแบบนี้ มันไม่ง่ายเลยที่คนเป็นภรรยาจะต้องมาเล่าเรื่องพฤติกรรมของสามี และความลับที่เป็นปัญหาของชีวิตคู่ให้คนแปลกหน้าฟัง
“เป็นความผิดของฉันเองด้วยค่ะ”และแล้วเธอก็เริ่มต้นเล่าด้วยประโยคนั้น บางทีถ้าได้เล่า เธออาจหลุดออกจากโลกแห่งความมืดอันน่ากลัวนี้เสียทีก็ได้
แล้วลลินีก็ยอมเล่าให้นายแพทย์ฟังถึงคืนวันแรกของการแต่งงาน วันที่เธอกับเจ้าบ่าวของเธอควรจะมีความสุขอย่างที่สุด หลังเหตุการณ์ที่เธอถูกสัตว์ร้ายในคราบมนุษย์รังแก
จบ.
มายาพิศวาส ตอนที่ 3
ตอน 1
https://pantip.com/topic/36536928
ตอน 2
https://pantip.com/topic/36589707
โดย ล. วิลิศมาหรา
3.
ตลอดชีวิตกว่ายี่สิบปีที่ผ่านมา สำหรับลลินีแล้ว โลกก็คือพื้นแผ่นดินที่สดชื่นเขียวขจีน่าอยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นฤดูใด เหนือขึ้นไปคือท้องฟ้า บนนั้นมีดวงอาทิตย์ มีดาว มีพระจันทร์ บางคืนวันสีสันสวยงามราวภาพฝัน เธอมองเห็นมันเป็นเช่นนั้นมาตลอด แม้ในความเป็นจริงอีกด้านของโลกที่เธออาศัยอยู่ มันจะคือความยากจนข้นแค้น ขาดแคลนหลายสิ่งหลายอย่างมาเป็นเครื่องประกอบชีวิต แต่เธอก็มีความสุขอยู่กับผู้เป็นแม่ที่รักเธอราวแก้วตาดวงใจ แม่หยิบยื่นให้เสมอในสิ่งที่แม่พอมีแรงหามาให้ได้
จวบจนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ที่โลกทั้งใบกลายเป็นตรงกันข้าม หลังเกิดเหตุการณ์บัดซบเลวทรามที่เกิดขึ้นกับเธอและแม่ โลกก็ไม่น่าอยู่อีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นโลกจริงหรือโลกในความฝัน สิ่งสวยงามบนโลกที่เธอเคยชื่นชม มาบัดนี้เธอกลับมองมันผ่านไปและไม่เคยสนใจมันอีกเลย
หลังกลับมาจากเยี่ยมแม่ในเรือนจำ ลลินีขับรถมาหาจิตแพทย์ที่คลินิกตามวันเวลาที่ได้นัดหมายกันไว้ คลินิกแห่งนั้นอยู่ในตึกแถวสองชั้นย่านชานเมืองไกลออกไป เป็นคลินิกเพิ่งเปิดใหม่ของจิตแพทย์หนุ่มชื่อสันติ จิตรภักดี ที่กานดาไปเจอในอินเทอร์เนตโดยบังเอิญ คลินิกเปิดให้บริการตลอดวันตั้งแต่เวลาเก้าโมงเช้าจนถึงสองทุ่ม ปิดเฉพาะวันอาทิตย์
ลลินีมาถึงตามนัดในช่วงบ่ายที่คนไข้คนอื่นคงกลับไปกันหมดแล้ว ในเวลานี้จึงมีเธอเป็นคนไข้เพียงคนเดียว
ในนั้นมีผู้ช่วยแพทย์เป็นผู้หญิงสองคน คนหนึ่งมีหน้าที่ทำบัตร จัดยากับคิดเงินค่ารักษา ส่วนอีกคนเป็นผู้หญิงวัยกลางคนท่าทางดูมีเมตตา หน้ายิ้มตลอดเวลาแต่ไม่รู้สึกว่าหล่อนฝืนใจทำ มีหน้าที่คุยทั่วไปและซักประวัติกับอาการที่มาพบแพทย์ของคนไข้ รวมทั้งให้กรอกแบบประเมินเกี่ยวกับสุขภาพจิต โดยเฉพาะแบบคัดกรองการฆ่าตัวตาย ซึ่งทีแรกเธอไม่อยากจะบอก แต่ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าในเมื่อตัวเองอุตส่าห์ยอมมาจนถึงที่นี่ก็เพราะตั้งใจจะรักษาตัวให้หาย ก็เลยคิดว่าควรตอบไปตามความเป็นจริงจะดีกว่า
เมื่อเห็นกิริยาหมองหม่นอมทุกข์จนปิดไม่มิดของหญิงสาวที่กำลังเดินเข้ามาในห้องตรวจ นายแพทย์หนุ่มจึงคลี่ยิ้มให้อย่างใจดี
“สวัสดีครับ คุณลลินี ”
เขาเอ่ยทักทายหลังเชื้อเชิญเธอให้นั่งลงบนชุดเก้าอี้นวมตรงหน้า ลลินีสังเกตเห็นถึงความแตกต่างจากห้องตรวจโรคของแพทย์ทางกายที่มักมีโต๊ะตรวจพร้อมอุปกรณ์จัดวางตามวิธีตรวจวินิจฉัย แต่ที่นี่มีเพียงแฟ้มประวัติและกล่องใส่กระดาษชำระที่วางเด่นอยู่บนโต๊ะกลางของชุดเก้าอี้นวม เหมือนเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ เห็นมีเก้าอี้บุนวมปรับนอนได้น่าสบายอีกตัวอยู่ภายในห้อง
นายแพทย์หนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่อยู่เฉียงกัน ไม่เผชิญหน้าตรงๆ กับเธอ ในมือถือแฟ้มเล่มบางอยู่ด้วย ซึ่งเป็นแฟ้มบันทึกประวัติส่วนตัวของเธอที่ผู้ช่วยแพทย์หน้าห้องทำให้นั่นเอง เธอคนนั้นเดินถือมันเข้าไปในห้องตรวจแล้วถึงออกมาเรียกลลินีให้เข้าไปพบแพทย์อีกที
จิตแพทย์สันติลอบไล่สายตาไปตามเนื้อตัวตลอดจนเครื่องแต่งกายของคนไข้สาวตามวิสัยช่างประเมินของแพทย์ หญิงสาวผู้นี้มีรูปร่างสมส่วน ตามร่างกายไม่มีร่องรอยบาดแผลฟกช้ำดำเขียว หรือร่องรอยอย่างอื่นที่อาจทำให้คิดถึงการถูกทำร้ายทั้งจากตัวเองและบุคคลอื่น
เธอไม่ได้พิถีพิถันกับการแต่งกายเท่าใดนัก ชุดกระโปรงคนละท่อนชุดนั้นไม่มีสิ่งใดบ่งบอกนัยแห่งแฟชั่น แม้แต่สร้อยลูกปัดหลากสีเส้นใหญ่ก็ถูกสวมเอาไว้แค่พอไม่ให้ลำคอเปล่าเปลือยมากกว่าจะแสดงรสนิยมอันใด สะดุดใจอยู่บ้างก็เพียงหน้าตาของหล่อน หญิงสาวที่ดูอ่อนเยาว์แต่มีใบหน้าเศร้าหมอง นัยน์ตาสีน้ำตาลกลมโตคู่นั้นแห้งผาก ไม่เหมือนคนในวัยขนาดเธอที่น่าจะมีความสดชื่นแจ่มใสของวัยสาว ซึ่งถ้าหากเป็นเวลาปกติที่เจ้าของไม่ตกอยู่ในอารมณ์เศร้าซึมแบบนี้ เขาคิดว่ามันคงเป็นดวงตาคู่ที่สวยงามน่ามองทีเดียว แต่จากประสบการณ์รักษาคนไข้โรคซึมเศร้ามานักต่อนักก็ไม่ได้ทำให้เขานึกแปลกใจอะไรมากมาย ถ้าเธอเดินร่าเริงเข้ามาสิถึงจะน่าแปลกใจ
“สวัสดีค่ะคุณหมอสันติ”
เธอยิ้มตอบบางเบาบนใบหน้า ขยับตัวบนเก้าอี้นวมหนานุ่มให้นั่งในท่าที่สบายมากขึ้น นึกยินดีที่ตัดสินใจพาตัวเองมาถึงห้องนี้จนได้หลังจากถูกกานดาทั้งปลอบทั้งขู่ให้มาพบกับจิตแพทย์คนนี้เสียที
เพราะพอกานดารู้ว่าอาการปวดศีรษะข้างเดียวที่เรียกกันว่าปวดแบบไมเกรนของเธอกำเริบถี่ขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับอาการนอนหลับฝันร้ายที่เธอเป็นเกือบทุกคืน แม่เพื่อนสาวผู้แสนดีก็เป็นธุระโทรศัพท์มานัดหมายล่วงหน้ากับจิตแพทย์สันติให้ พร้อมทั้งเล่ารายละเอียดส่วนตัวของลลินีแก่เขาบางประการอีกด้วย กานดาบอกเธอว่าควรมาพบจิตแพทย์ที่คลินิกส่วนตัวน่าจะเหมาะกว่าไปพบจิตแพทย์ตามโรงพยาบาล ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันเสียงซุบซิบนินทาจากคนรู้จักที่อาจไปพบเธอเข้า ไม่ว่าอย่างไรการพบกับจิตแพทย์ก็ยังไม่เป็นเรื่องปกติธรรมดาของสังคมไทยในขณะนี้อยู่ดี
ลลินียอมรับความหวังดีนี้ของเพื่อน เพราะในยามที่จิตใจร้อนรุ่มกระวนกระวาย ปนเปไปกับความหม่นหมองเหมือนมีม่านหมอกมาปกคลุมให้ขุ่นมัวอยู่ตลอดเวลา ผสมเข้ากับความขมขื่นร้าวรานที่ยากจะอธิบายเช่นนี้ ซึ่งคาดว่าอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ตัวเองเกิดอาการผิดปกติถี่ขึ้นเรื่อยๆ
หญิงสาวจึงกำลังต้องการใครสักคนที่มีคุณสมบัติสามารถช่วยขจัดปัดเป่าความรู้สึกนี้ให้บรรเทาเบาบางลงไป ชื่อเสียงของนายแพทย์สันติที่ได้ยินจากเพื่อนสนิททำให้เกิดมีความหวังขึ้นมา บางทีนอกจากรักษาอาการไมเกรนและนอนฝันร้ายแล้ว เขาอาจจะเรียกคืนศรัทธาต่อตัวเองของเธอที่สูญหายไปให้กลับมาได้อีกครั้งหนึ่ง
ชำเลืองมองนายแพทย์หนุ่มที่นั่งลงใกล้ๆ ก็เห็นว่าเขาดูมีความน่าเชื่อถือดี จากรูปลักษณ์พิมพ์นิยมของคนมีภูมิปัญญาอันประกอบไปด้วยแว่นสายตากรอบหนา ร่างผอมสูงของเขาอยู่ในเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีอ่อน ซ่อนชายไว้ในขอบเอวกางเกงทรงสแล็คสีดำ สวมรองเท้าหนังขัดมันวาววับ เขาพูดจาด้วยน้ำเสียงสุภาพนุ่มหู ตลอดจนท่าทีอ่อนโยนเป็นกันเอง รวมทั้งแววปรานีในดวงตาหลังแว่นที่ทอดมองมายังเธอ ทั้งหมดนี้มันได้ทำให้ลลินีค่อยๆ คลายจากอาการเกร็งลง ก่อนหน้านั้นหญิงสาวรู้สึกวิตกอยู่มากกับการที่จะต้องมาเล่าเรื่องราวอันน่าอนาถของตัวเองให้คนอื่นฟัง แต่ถึงอย่างไรสิ่งที่ควรวางใจก็น่าจะเป็นความรู้ความเชี่ยวชาญทางด้านรักษาอาการเจ็บป่วยทางจิตของเขามากกว่าภาพลักษณ์ภายนอก
เขาพลิกเปิดแฟ้มที่ถืออยู่ในมือออกดู ก้มอ่านมันอยู่ครู่หนึ่ง ซึ่งเมื่อเงยหน้าขึ้นสบตากัน เธอก็มองเห็นปริศนาในแววตาคู่นั้น
“นอกจากปวดหัวไมเกรนแล้ว คุณยังนอนฝันร้ายเกือบทุกคืนงั้นหรือครับ” หญิงสาวพยักหน้ารับอย่างเซื่องซึม แววตาที่มองตอบจิตแพทย์แห้งแล้งไร้ชีวิตชีวา
“ถ้าอย่างนั้นคุณช่วยเล่าถึงฝันร้ายของคุณให้ผมฟังหน่อยสิครับ”
“ได้ค่ะ ฉันฝันว่าถูกจับมัดขึงพืด แล้วมีใครหลายคนใช้มีด...เอ่อ ฉันคิดว่าเป็นมีดค่ะ รุมทิ่มแทงตัวฉันอยู่ ฉันกรีดร้องโหยหวนนอนจมอยู่ในกองเลือดตัวเอง แต่ไม่มีใครสนใจเข้ามาช่วยเลยสักคน ฉันได้ยินเสียงตัวเองกรีดร้องดังอยู่ไกลๆ แล้วถึงสะดุ้งตกใจตื่น เป็นอย่างนี้มาสามสี่คืนติดต่อกันแล้วค่ะ”
ใบหน้าที่สวมแว่นพยักหน้ารับรู้ เขาก้มลงจดบันทึกไว้ในแฟ้มก่อนทำสัญญาณให้เธอเล่าต่อ
“แล้วหมู่นี้อาการปวดหัวไมเกรนของฉันก็เป็นบ่อยขึ้น เมื่อก่อนนานๆ ครั้งจะเป็นที แต่ตอนนี้เป็นทุกวันเลย ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับที่ฉันฝันร้ายหรือเปล่า”เธอเล่าต่อไป
“คนใกล้ชิดเคยบอกว่าคุณนอนละเมอบ้างไหมครับ”
“ไม่เคยค่ะ...แต่เดี๋ยวนะคะ เอ้อ เพื่อนสนิทเคยบอกว่า เวลาที่ฉันไปนอนค้างกับเขา ฉันชอบพูดพึมพำตอนนอนหลับ ส่วนสามีฉันไม่เคยพูดถึงค่ะ”
“ฝันร้ายมักเกิดจากจิตใต้สำนึกที่กำลังต่อต้านกับจิตรู้สำนึกของมนุษย์ บางทีก็เกิดจากความเก็บกดที่ไม่สามารถแสดงออกมาได้ขณะรู้สติดีอยู่ หรืออาจเกิดขึ้นจากมีเรื่องที่สะเทือนใจ คุณมีเรื่องคับข้องใจหรือวิตกกังวลอะไรอยู่หรือเปล่า พอจะเล่าให้ผมฟังได้ไหม”
หมอหนุ่มอธิบายก่อนถามเข้าสู่ประเด็น ลลินีนิ่งไปพักหนึ่งคล้ายจมอยู่ในความเศร้า เธอทำใจมาแล้วว่าต้องเล่าเรื่องนี้ให้จิตแพทย์ฟัง แต่กระนั้นก็ยังนึกอายและหดหู่ในชะตากรรมของตัวเอง ใบหน้านวลละมุนยิ่งสลดลง
“หมู่นี้ฉันมีปัญหากับสามีค่ะ” เธอเริ่มลำดับเหตุการณ์ ก้มหน้าลงมองมือตัวเองที่วางไว้บนตักข่มความขลาดอาย
“สามีฉันเป็นอาจารย์สอนอยู่ในมหาวิทยาลัย...”เธอบอกชื่อมหาวิทยาลัยที่เลิศภพสอนอยู่
“ฉันกำลังสงสัยว่าเขา...เขาจะมีผู้หญิงคนอื่นค่ะ”
“ผู้หญิงอื่นที่ว่าคือยังไงครับ”นายแพทย์กระตุ้นให้เธอเล่าสิ่งที่เป็นกังวลในใจออกมา
“เพื่อนร่วมงานของเขาค่ะ ผู้หญิงโสด สวย เก่งและฉลาดกว่าฉัน พวกเขาสนิทสนมกันมาก...มากกว่าความเป็นเพื่อน เขาเป็นบัดดี้ทำงานด้วยกัน รู้ใจกันมานาน ฉันคิดว่าเขากำลังนอกใจฉันอยู่ค่ะ”
“คุณบอกผมว่า คุณกำลังคิดว่าสามีคุณคิดนอกใจคุณอยู่ แล้วอะไรที่ทำให้คุณคิดว่ามันเป็นแบบนั้นล่ะครับ”เขาถามทวนคำพูดของเธอเพื่อให้ได้ตรึกตรอง
“ฉันดูออกนี่คะ”ตวัดตาขึ้นมองหน้านายแพทย์แวบหนึ่งที่ได้ยินคำถามกระแทกลงกลางใจดำ เสียงที่ตอบเขาแข็งขึ้นโดยอัตโนมัติ
“เพื่อนกันธรรมดาคงไม่คอยตามห่วงตามดูแลกันแบบนั้นหรอกค่ะ เขาสองคนเป็นห่วงกันมากเป็นพิเศษ คุยกันทุกวันทั้งทางโทรศัพท์กับทางแชท รู้วันพิเศษของกันและกัน ผู้หญิงคนนั้นให้ของขวัญวันเกิดสามีฉันก่อนฉันเสียอีก เข้านอกออกในบ้านฉันราวกับบ้านของตัวเอง นึกจะชวนสามีฉันไปไหนๆ ด้วยก็ชวน ไม่แคร์ฉันที่นั่งหัวโด่อยู่ในฐานะภรรยาบ้างเลย”
ข่มความน้อยใจเสียใจเอาไว้ไม่ได้เลย รู้สึกแสบร้อนหัวตาขึ้นมาอีกแล้วเมื่อนึกไปถึงพฤติกรรม“สนิทสนมกัน”ของเลิศภพกับผู้หญิงคนนั้น
“แล้วสามีคุณล่ะครับ เขามีท่าทียังไง คุณถึงคิดว่าว่าเขานอกใจคูณ”
มีอาการลังเลอยู่ครู่หนึ่งกับคำถามของนายแพทย์ จะเล่าให้เขาฟังดีไหมว่าทำไมเลิศภพถึงไปมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับวัลภา ใบหน้าเล็กๆ ก้มลงมองมือตัวเองอีกครั้ง นึกทบทวนคำพูดถ้าจะต้องเล่า“เรื่องนั้น” ให้เขาฟัง ความลับดำมืดที่เหมือนกักขังเธอไว้ในนั้นมาตั้งแต่วันแรกของการแต่งงาน
หมอสันติเห็นคนไข้หญิงเงียบไปก็เข้าใจ เขาจึงหยุดให้เวลาเธอคิดไตร่ตรอง มีผู้หญิงเป็นจำนวนมากมาขอคำปรึกษาเพราะอาการเครียดจัดจากเรื่องแบบนี้ มันไม่ง่ายเลยที่คนเป็นภรรยาจะต้องมาเล่าเรื่องพฤติกรรมของสามี และความลับที่เป็นปัญหาของชีวิตคู่ให้คนแปลกหน้าฟัง
“เป็นความผิดของฉันเองด้วยค่ะ”และแล้วเธอก็เริ่มต้นเล่าด้วยประโยคนั้น บางทีถ้าได้เล่า เธออาจหลุดออกจากโลกแห่งความมืดอันน่ากลัวนี้เสียทีก็ได้
แล้วลลินีก็ยอมเล่าให้นายแพทย์ฟังถึงคืนวันแรกของการแต่งงาน วันที่เธอกับเจ้าบ่าวของเธอควรจะมีความสุขอย่างที่สุด หลังเหตุการณ์ที่เธอถูกสัตว์ร้ายในคราบมนุษย์รังแก
จบ.