
ตอน 1
https://pantip.com/topic/36536928
มายาพิศวาส
โดย ล. วิลิศมาหรา
ร่างโปร่งบางในชุดเดรสสั้นแค่เข่าสีขรึม มีกระเป๋าหนังที่ผ่านการตรวจค้นละเอียดยิบมาแล้วสะพายอยู่ที่ไหล่ แขนข้างเดียวกันหิ้วถุงพลาสติกใส่ของใช้ของกินหลายถุง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งของเครื่องใช้ที่หญิงวัยกลางคนในห้องซึ่งมีกระจกกั้นจำเป็นต้องใช้ ก้าวเข้ามาหาผู้คุมเพื่อเอาของฝากผ่านผู้คุมเรือนจำเข้าไปให้แล้วถอยมานั่งรอคุยโทรศัพท์กับคนที่เธอมาเยี่ยม
นัยน์ตากลมโตล้อมกรอบด้วยขนตาหนาเป็นแผงแฝงแววเศร้า ขณะพิจารณาดูผู้หญิงด้านหลังกระจกใส ใบหน้าของสายหยุดผู้เป็นมารดาดูเหมือนซูบตอบลงไปกว่าเมื่อเดือนที่แล้ว ลลินียกหูโทรศัพท์ขึ้น ซึ่งร่างในชุดผ้าถุงกับเสื้อผ้าฝ้ายตัวหลวมสีน้ำตาลเข้มอีกด้านของกระจกกั้นก็ยกมันขึ้นแนบหูเช่นกัน
"แม่เป็นยังไงบ้างคะ..."
เป็นคำถามแรกเสมอเมื่อมาเยี่ยมมารดาในห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีระยะห่างระหว่างญาติกับผู้ต้องขังเป็นทางเดินกว้างประมาณหนึ่งเมตรนี้ และยังมีเจ้าหน้าที่เรือนจำเดินผ่านไปมาให้เห็นอยู่ตลอด เวลาคุยกันกับแม่เธอต้องคุยผ่านโทรศัพท์ ซึ่งเขาให้เวลาในการสนทนากันครั้งละสิบห้านาทีเท่านั้น เรือนจำแห่งนี้ให้โอกาสญาติเข้าเยี่ยมนักโทษในแดนของแม่เธออาทิตย์ละสองครั้ง คือวันวันอังคารกับวันพฤหัสบดี ตอนที่สายหยุดถูกคุมขังใหม่ๆ ลลินีมาเยี่ยมแม่ตามที่เรือนจำกำหนด แต่ผ่านมาเข้าปีที่สองของการถูกจำคุกโทษฐานฆ่าคนตาย ซึ่งสายหยุดถูกศาลตัดสินให้รับโทษเป็นเวลาถึงยี่สิบปี แม่ของเธอก็ขอร้องให้ลูกสาวมาเยี่ยมเพียงเดือนละครั้งเท่านั้น
"เกรงใจคุณภพเขาน่ะ แค่ช่วยรับเลี้ยงดูลิลกับส่งเงินมาให้แม่ใช้ในนี้ก็รบกวนเขามากแล้วล่ะลูก "
สุ้มเสียงบอกถึงความเกรงอกเกรงใจ"คุณภพ"ผู้เป็นสามีของลูกสาวอยู่มาก ก็น่าที่แม่จะเกรงใจเขาอยู่หรอก ในเมื่อเลิศภพเป็นผู้ที่เข้ามาช่วยเหลือพวกเธอสองแม่ลูกทุกสิ่งทุกอย่าง ในตอนที่ทั้งสองถูกมรสุมชีวิตลูกใหญ่พัดเข้าถล่ม
"แม่ก็สบายดีตามแบบคนที่อยู่ในนี้นั่นแหละ ลิลไม่ต้องเป็นห่วงแม่หรอกนะ มีเพื่อนคอยช่วยเหลือดูแลกันอยู่บ้าง อีกอย่างข้างในนี้ถ้าใครมีเงินก็พออยู่ได้ ไม่ถึงกับแย่มาก"
ใบหน้าที่ซูบตอบลงและแววตาแห้งแล้งของแม่ช่างไม่สัมพันธ์กับคำตอบเอาเสียเลย ซึ่งเธอก็ได้แต่พยักหน้ารับ คนเป็นนักโทษถูกจองจำให้สูญสิ้นอิสรภาพ ต้องเข้ามาอยู่ในสถานที่ซึ่งเรียกกันว่าคุกจะหาความสะดวกสบายได้ที่ไหน...อาจมีความเป็นอยู่ดีขึ้นมาหน่อยถ้าหากนักโทษคนนั้นพอมีเงินทอง
สายหยุดเคยบอกลูกหลายครั้งแล้วว่าอยู่ในนี้จำเป็นต้องใช้เงิน และเมื่อสามีของลูกสาวเป็นคนส่งเงินเข้าบัญชีให้ตัวเองใช้ในคุกทุกเดือนไม่เคยขาด แล้วทำไมเธอจะไม่เกรงใจเขาเล่า
ในความโชคร้ายของสองแม่ลูก สายหยุดรู้สึกเหมือนฟ้าท่านยังมีเมตตา จึงดลใจให้อาจารย์ของลูกสาวยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ เขาถึงกับยอมแต่งงานกับลลินีให้ทันทีที่เธอต้องถูกจำคุก ซึ่งนั่นทำให้เธอลดความวิตกกังวลต่อชะตากรรมของลูกสาวในตอนที่ไม่มีแม่อยู่ด้วยลงไปได้เปลาะหนึ่ง ไม่เคยนึกห่วงตัวเองเลยว่าจะเป็นอย่างไร ขอเพียงให้ลูกปลอดภัยและมีความสุขเท่านั้นเธอก็พอใจ
"ลิลล่ะลูก เป็นไงมั่ง "
เปลี่ยนมาถามถึงตัวลูกสาวบ้าง จ้องหน้าเล็กๆ ขาวสะอาด เครื่องหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพราแต่มีจุดเด่นตรงดวงตาที่กลมโต สุกใสจนส่งประกายของลูกสาวอย่างรักใคร่ห่วงใย มองแล้วก็ทอดถอนใจยาว นี่เป็นเพราะตัวเองมองคนผิดจึงทำให้ลูกสาวสุดที่รักต้องพบกับเคราะห์ร้ายแทบเอาชีวิตไม่รอดจากฝีมือของผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อเลี้ยง
สายหยุดเลี้ยงดูลูกสาวคนเดียวมาตั้งแต่บิดาของลลินีเสียชีวิตลงจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ซึ่งตอนนั้นลูกเธอยังเล็กอยู่มาก ลลินีพึ่งอายุได้เพียงสองขวบเท่านั้น และหลังจากนั้นเธอก็เป็นซิงเกิ้ลมัมมาตลอด เมื่อตอนที่ลูกยังเล็ก ภาระเรื่องปากท้องของแม่กับลูกสาวก็ดูเหมือนไม่หนักหนาอะไร เธอสามารถทำงานรับจ้างเป็นแม่บ้านทำความสะอาดให้กับบ้านของคนมีเงินย่านนั้น รายได้ยังคงเพียงพอ แต่เมื่อลูกสาวโตขึ้นเรื่อยๆ และต้องเข้าโรงร่ำโรงเรียน รายได้ของเธอก็เริ่มชักหน้าไม่ถึงหลัง แม้ว่าได้พยายามทำงานอย่างอื่นเสริมอีกก็ตาม
จนเมื่อลูกสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้นั่นแหละจึงมาถึงทางตันเอาจริงๆ ตัวเองนั้นคิดถึงแต่อนาคตที่ดีของลูก ใจอยากให้ลลินีได้มีโอกาสร่ำเรียนสูงๆ มีงานการดีๆ ทำ จะได้ไม่ต้องมาลำบากเหมือนแม่ แต่ลำพังตัวเธอเองคงไม่สามารถส่งเสียลูกให้เรียนจนจบได้อย่างที่ใจคิด ดังนั้นเมื่อมีผู้ชายชื่อเสกสรรค์ ซึ่งเทียวตามตื้อตามจีบเธอมานานหลายปี และมักแสดงออกว่าไม่รังเกียจแม่หม้ายลูกติดอย่างเธอ กับทั้งสัญญาว่าจะตั้งใจสร้างครอบครัวและดูแลเธอกับลูกเสียดิบดี สายหยุดจึงยอมร่วมหอลงโรงด้วยกันกับเขาเมื่อสองปีที่ผ่านมานี้เอง
ไม่นึกเลยว่าตัวเองจะเป็นคนชักพาให้ซาตานร้ายเข้ามาย่ำยีลูกถึงในบ้าน ซึ่งทันทีที่เห็นภาพของร่างเล็กที่เธอเฝ้าทะนุถนอม มดไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมมาเป็นยี่สิบกว่าปีกำลังถูกเจ้าคนที่เธอหลงไว้ใจให้มาเป็นผู้นำครอบครัวทำปู้ยี่ปู้ยำ มีดคมๆ ในมือก็จ้วงแทงเข้าด้านหลังของมันไม่ยั้ง ครั้งมันผงะตัวขึ้นแล้วหันหน้ามาทางเธอ ก็ถูกเธอกะซวกมีดเข้าหน้าท้องจนมิดด้ามด้วยแรงแค้น ไม่คำนึงถึงว่ามันจะตายหรือไม่ กับทั้งไม่คิดถึงโทษทัณฑ์ที่จะตามมาใดๆ ทั้งสิ้น รู้แต่ว่าต้องปกป้องลูกและจัดการกับเจ้าคนที่ทำร้ายลูกให้สาสม และแล้วหลังจากนั้นเธอก็ต้องตกเป็นผู้ต้องหาคดีฆ่าคนตาย ต้องเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำตั้งแต่ถูกพิพากษาว่าได้ทำผิดจริงเป็นต้นมา
"สบายดีเหมือนกันค่ะแม่ "
หลบสายตาพินิจพิเคราะห์คู่นั้นของแม่แล้วจำใจต้องโกหก ให้แม่รับรู้แค่ว่าเธอปลอดภัยและสบายดีก็พอแล้ว ที่แม่ต้องมาตกอยู่ในสภาพนักโทษแบบนี้ก็เพราะเธอเป็นต้นเหตุ แม่ต้องทนทุกข์หนักหนาสาหัสสากรรจ์มากอยู่แล้ว ไม่ควรให้ท่านต้องได้มารับรู้เรื่องราวลำบากใจอื่นใดของลูกสาวคนนี้อีก และเรื่องของเธอใช่ว่าจะเล่าให้ใครฟังได้ง่ายๆ เสียเมื่อไหร่...แม้แต่แม่เองก็เถอะ
"แม่เป็นหวัดหายดีหรือยังคะ"เสถามไปถึงสิ่งที่แม่เขียนเล่ามาในจดหมายเมื่ออาทิตย์ที่แล้วแทน
"หายหลายวันแล้วล่ะ"หล่อนตอบลูก
"ไม่ต้องเป็นห่วงนะลิล ข้างในนี้มีโรงหมอ ถ้าไปหาเขาก็ให้ยามากิน"
สายหยุดพูดเรียบเรื่อย สายตายังมีแววกังขา ลูกสาวเธอแต่งงานกับอาจารย์เลิศภพที่รู้จักกันมาตั้งแต่ลลินียังเรียนปีหนึ่งที่มหาวิทยาลัย ทั้งสองกำลังดูใจกันอยู่ กะว่าพอเรียนจบก็จะจัดการแต่งงานทันที แต่แค่ขึ้นปีที่สามลูกสาวเธอก็ต้องมาเจอกับเรื่องร้ายแรงที่สามารถทำลายชีวิตผู้หญิงคนหนึ่งให้ย่อยยับลงได้เข้าเสียก่อน
หลังถูกจองจำอยู่ในคุก สายหยุดทราบข่าวว่าลูกสาวของเธอคิดสั้นกินยาฆ่าตัวตาย ตอนนั้นหัวอกคนเป็นแม่ก็แทบสลาย ใจจะขาดที่ไม่อาจปกป้องลูกได้อีก ได้แต่สวดมนต์ภาวนาขออย่าให้ลูกเป็นอะไรไป แต่ขณะที่ร้อนใจเพราะเป็นห่วงลูกก็นับว่าสวรรค์ท่านยังปรานี เมื่อทราบต่อมาว่าเลิศภพได้ตัดสินใจขอลลินีแต่งงาน แล้วรับส่งเสียเลี้ยงดูลูกเธอจนเรียนจบ ซึ่งนับว่าเขามีบุญคุณต่อเธอสองแม่ลูกมาก
"คุณภพมาด้วยไหมลูก"
ถามถึงสามีของลูกที่ระยะหลังๆ มานี้ เขาไม่เคยมาเยี่ยมเธอพร้อมกับลลินีอีกเลย ซึ่งผิดกับเมื่อตอนแต่งงานกันใหม่ๆ ที่ทั้งสองมักมาเยี่ยมเธอที่นี่ด้วยกัน เห็นลูกสาวส่ายหน้า ดวงตาคู่ใสหมองลงไปวูบหนึ่งซึ่งคนเป็นแม่ก็สังเกตเห็น
"หนักนิดเบาหน่อยก็ต้องอดทนนะลิล ชีวิตคู่มันก็ต้องมีกระทบกระทั่งกันบ้าง อย่าลืมว่าเขามีบุญคุณกับเรา ถ้าไม่ได้เขาเราคงลำบากกว่านี้อีกหลายเท่า"
คิดว่าลูกคงทะเลาะกับสามีตามประสานั่นแหละ ไม่น่ามีอะไรมากไปกว่านี้ จึงได้เอ่ยตักเตือนไป และในเมื่อมารดาพูดขึ้นมาเสียอย่างนั้นแล้ว ลลินีก็หมดคำที่จะพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก จึงหันมาซักถามถึงความเป็นอยู่ของมารดาและสิ่งของที่ยังต้องการแทน
"ในนี้น่ะ สำคัญที่สุดก็คือเงิน"สายหยุดบอกลูกตามตรง
"ข้าวของไม่ต้องเอามาให้สิ้นเปลืองอีกหรอก ให้คุณภพเขาโอนเงินเข้าบัญชีแม่ทุกเดือนก็พอ"
ไม่อยากบอกให้ลูกต้องคิดมากว่า อาหารและสิ่งของที่อุตส่าห์หอบหิ้วมาให้นั้น เมื่อเข้าไปถึงข้างในแล้วมักเหลือให้คนเป็นเจ้าของเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ความลำบากข้างในนั่น หากมีเงินก็พอจะบรรเทามันลงไปได้บ้าง ไม่ว่าจะเป็นของกินที่พอซื้อหามาใส่ปากให้ได้รับรู้รสชาติของความอร่อย ไม่ต้องทนกินแต่ข้าวแข็งๆ กับต้มผักใส่ซี่โครงไก่ที่รสชาติของมันราวกับน้ำประปา รวมทั้งซื้อความสะดวกอีกหลายอย่างเพื่อให้สามารถใช้ชิวิตอยู่ได้ ไม่น่าอนาถไปมากกว่านี้ ซึ่งเดิมก็แย่มากพออยู่แล้ว
"ค่ะ แล้วหนูจะบอกเขาให้ค่ะแม่ งั้นแม่ดูแลตัวเองนะคะ เดือนหน้าลิลถึงจะมาอีกที แต่ถ้ามีอะไรแม่เขียนจดหมายบอกลิลเลยนะคะ"
รับคำแล้วกำชับมารดาอีกที เป็นห่วงเหลือเกินแต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี นอกจากพยายามอำนวยความสะดวกให้เท่าที่จะสามารถทำได้
จบ.
มายาพิศวาส ตอน 2
ตอน 1
https://pantip.com/topic/36536928
โดย ล. วิลิศมาหรา
ร่างโปร่งบางในชุดเดรสสั้นแค่เข่าสีขรึม มีกระเป๋าหนังที่ผ่านการตรวจค้นละเอียดยิบมาแล้วสะพายอยู่ที่ไหล่ แขนข้างเดียวกันหิ้วถุงพลาสติกใส่ของใช้ของกินหลายถุง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งของเครื่องใช้ที่หญิงวัยกลางคนในห้องซึ่งมีกระจกกั้นจำเป็นต้องใช้ ก้าวเข้ามาหาผู้คุมเพื่อเอาของฝากผ่านผู้คุมเรือนจำเข้าไปให้แล้วถอยมานั่งรอคุยโทรศัพท์กับคนที่เธอมาเยี่ยม
นัยน์ตากลมโตล้อมกรอบด้วยขนตาหนาเป็นแผงแฝงแววเศร้า ขณะพิจารณาดูผู้หญิงด้านหลังกระจกใส ใบหน้าของสายหยุดผู้เป็นมารดาดูเหมือนซูบตอบลงไปกว่าเมื่อเดือนที่แล้ว ลลินียกหูโทรศัพท์ขึ้น ซึ่งร่างในชุดผ้าถุงกับเสื้อผ้าฝ้ายตัวหลวมสีน้ำตาลเข้มอีกด้านของกระจกกั้นก็ยกมันขึ้นแนบหูเช่นกัน
"แม่เป็นยังไงบ้างคะ..."
เป็นคำถามแรกเสมอเมื่อมาเยี่ยมมารดาในห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีระยะห่างระหว่างญาติกับผู้ต้องขังเป็นทางเดินกว้างประมาณหนึ่งเมตรนี้ และยังมีเจ้าหน้าที่เรือนจำเดินผ่านไปมาให้เห็นอยู่ตลอด เวลาคุยกันกับแม่เธอต้องคุยผ่านโทรศัพท์ ซึ่งเขาให้เวลาในการสนทนากันครั้งละสิบห้านาทีเท่านั้น เรือนจำแห่งนี้ให้โอกาสญาติเข้าเยี่ยมนักโทษในแดนของแม่เธออาทิตย์ละสองครั้ง คือวันวันอังคารกับวันพฤหัสบดี ตอนที่สายหยุดถูกคุมขังใหม่ๆ ลลินีมาเยี่ยมแม่ตามที่เรือนจำกำหนด แต่ผ่านมาเข้าปีที่สองของการถูกจำคุกโทษฐานฆ่าคนตาย ซึ่งสายหยุดถูกศาลตัดสินให้รับโทษเป็นเวลาถึงยี่สิบปี แม่ของเธอก็ขอร้องให้ลูกสาวมาเยี่ยมเพียงเดือนละครั้งเท่านั้น
"เกรงใจคุณภพเขาน่ะ แค่ช่วยรับเลี้ยงดูลิลกับส่งเงินมาให้แม่ใช้ในนี้ก็รบกวนเขามากแล้วล่ะลูก "
สุ้มเสียงบอกถึงความเกรงอกเกรงใจ"คุณภพ"ผู้เป็นสามีของลูกสาวอยู่มาก ก็น่าที่แม่จะเกรงใจเขาอยู่หรอก ในเมื่อเลิศภพเป็นผู้ที่เข้ามาช่วยเหลือพวกเธอสองแม่ลูกทุกสิ่งทุกอย่าง ในตอนที่ทั้งสองถูกมรสุมชีวิตลูกใหญ่พัดเข้าถล่ม
"แม่ก็สบายดีตามแบบคนที่อยู่ในนี้นั่นแหละ ลิลไม่ต้องเป็นห่วงแม่หรอกนะ มีเพื่อนคอยช่วยเหลือดูแลกันอยู่บ้าง อีกอย่างข้างในนี้ถ้าใครมีเงินก็พออยู่ได้ ไม่ถึงกับแย่มาก"
ใบหน้าที่ซูบตอบลงและแววตาแห้งแล้งของแม่ช่างไม่สัมพันธ์กับคำตอบเอาเสียเลย ซึ่งเธอก็ได้แต่พยักหน้ารับ คนเป็นนักโทษถูกจองจำให้สูญสิ้นอิสรภาพ ต้องเข้ามาอยู่ในสถานที่ซึ่งเรียกกันว่าคุกจะหาความสะดวกสบายได้ที่ไหน...อาจมีความเป็นอยู่ดีขึ้นมาหน่อยถ้าหากนักโทษคนนั้นพอมีเงินทอง
สายหยุดเคยบอกลูกหลายครั้งแล้วว่าอยู่ในนี้จำเป็นต้องใช้เงิน และเมื่อสามีของลูกสาวเป็นคนส่งเงินเข้าบัญชีให้ตัวเองใช้ในคุกทุกเดือนไม่เคยขาด แล้วทำไมเธอจะไม่เกรงใจเขาเล่า
ในความโชคร้ายของสองแม่ลูก สายหยุดรู้สึกเหมือนฟ้าท่านยังมีเมตตา จึงดลใจให้อาจารย์ของลูกสาวยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ เขาถึงกับยอมแต่งงานกับลลินีให้ทันทีที่เธอต้องถูกจำคุก ซึ่งนั่นทำให้เธอลดความวิตกกังวลต่อชะตากรรมของลูกสาวในตอนที่ไม่มีแม่อยู่ด้วยลงไปได้เปลาะหนึ่ง ไม่เคยนึกห่วงตัวเองเลยว่าจะเป็นอย่างไร ขอเพียงให้ลูกปลอดภัยและมีความสุขเท่านั้นเธอก็พอใจ
"ลิลล่ะลูก เป็นไงมั่ง "
เปลี่ยนมาถามถึงตัวลูกสาวบ้าง จ้องหน้าเล็กๆ ขาวสะอาด เครื่องหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพราแต่มีจุดเด่นตรงดวงตาที่กลมโต สุกใสจนส่งประกายของลูกสาวอย่างรักใคร่ห่วงใย มองแล้วก็ทอดถอนใจยาว นี่เป็นเพราะตัวเองมองคนผิดจึงทำให้ลูกสาวสุดที่รักต้องพบกับเคราะห์ร้ายแทบเอาชีวิตไม่รอดจากฝีมือของผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อเลี้ยง
สายหยุดเลี้ยงดูลูกสาวคนเดียวมาตั้งแต่บิดาของลลินีเสียชีวิตลงจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ซึ่งตอนนั้นลูกเธอยังเล็กอยู่มาก ลลินีพึ่งอายุได้เพียงสองขวบเท่านั้น และหลังจากนั้นเธอก็เป็นซิงเกิ้ลมัมมาตลอด เมื่อตอนที่ลูกยังเล็ก ภาระเรื่องปากท้องของแม่กับลูกสาวก็ดูเหมือนไม่หนักหนาอะไร เธอสามารถทำงานรับจ้างเป็นแม่บ้านทำความสะอาดให้กับบ้านของคนมีเงินย่านนั้น รายได้ยังคงเพียงพอ แต่เมื่อลูกสาวโตขึ้นเรื่อยๆ และต้องเข้าโรงร่ำโรงเรียน รายได้ของเธอก็เริ่มชักหน้าไม่ถึงหลัง แม้ว่าได้พยายามทำงานอย่างอื่นเสริมอีกก็ตาม
จนเมื่อลูกสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้นั่นแหละจึงมาถึงทางตันเอาจริงๆ ตัวเองนั้นคิดถึงแต่อนาคตที่ดีของลูก ใจอยากให้ลลินีได้มีโอกาสร่ำเรียนสูงๆ มีงานการดีๆ ทำ จะได้ไม่ต้องมาลำบากเหมือนแม่ แต่ลำพังตัวเธอเองคงไม่สามารถส่งเสียลูกให้เรียนจนจบได้อย่างที่ใจคิด ดังนั้นเมื่อมีผู้ชายชื่อเสกสรรค์ ซึ่งเทียวตามตื้อตามจีบเธอมานานหลายปี และมักแสดงออกว่าไม่รังเกียจแม่หม้ายลูกติดอย่างเธอ กับทั้งสัญญาว่าจะตั้งใจสร้างครอบครัวและดูแลเธอกับลูกเสียดิบดี สายหยุดจึงยอมร่วมหอลงโรงด้วยกันกับเขาเมื่อสองปีที่ผ่านมานี้เอง
ไม่นึกเลยว่าตัวเองจะเป็นคนชักพาให้ซาตานร้ายเข้ามาย่ำยีลูกถึงในบ้าน ซึ่งทันทีที่เห็นภาพของร่างเล็กที่เธอเฝ้าทะนุถนอม มดไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมมาเป็นยี่สิบกว่าปีกำลังถูกเจ้าคนที่เธอหลงไว้ใจให้มาเป็นผู้นำครอบครัวทำปู้ยี่ปู้ยำ มีดคมๆ ในมือก็จ้วงแทงเข้าด้านหลังของมันไม่ยั้ง ครั้งมันผงะตัวขึ้นแล้วหันหน้ามาทางเธอ ก็ถูกเธอกะซวกมีดเข้าหน้าท้องจนมิดด้ามด้วยแรงแค้น ไม่คำนึงถึงว่ามันจะตายหรือไม่ กับทั้งไม่คิดถึงโทษทัณฑ์ที่จะตามมาใดๆ ทั้งสิ้น รู้แต่ว่าต้องปกป้องลูกและจัดการกับเจ้าคนที่ทำร้ายลูกให้สาสม และแล้วหลังจากนั้นเธอก็ต้องตกเป็นผู้ต้องหาคดีฆ่าคนตาย ต้องเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำตั้งแต่ถูกพิพากษาว่าได้ทำผิดจริงเป็นต้นมา
"สบายดีเหมือนกันค่ะแม่ "
หลบสายตาพินิจพิเคราะห์คู่นั้นของแม่แล้วจำใจต้องโกหก ให้แม่รับรู้แค่ว่าเธอปลอดภัยและสบายดีก็พอแล้ว ที่แม่ต้องมาตกอยู่ในสภาพนักโทษแบบนี้ก็เพราะเธอเป็นต้นเหตุ แม่ต้องทนทุกข์หนักหนาสาหัสสากรรจ์มากอยู่แล้ว ไม่ควรให้ท่านต้องได้มารับรู้เรื่องราวลำบากใจอื่นใดของลูกสาวคนนี้อีก และเรื่องของเธอใช่ว่าจะเล่าให้ใครฟังได้ง่ายๆ เสียเมื่อไหร่...แม้แต่แม่เองก็เถอะ
"แม่เป็นหวัดหายดีหรือยังคะ"เสถามไปถึงสิ่งที่แม่เขียนเล่ามาในจดหมายเมื่ออาทิตย์ที่แล้วแทน
"หายหลายวันแล้วล่ะ"หล่อนตอบลูก
"ไม่ต้องเป็นห่วงนะลิล ข้างในนี้มีโรงหมอ ถ้าไปหาเขาก็ให้ยามากิน"
สายหยุดพูดเรียบเรื่อย สายตายังมีแววกังขา ลูกสาวเธอแต่งงานกับอาจารย์เลิศภพที่รู้จักกันมาตั้งแต่ลลินียังเรียนปีหนึ่งที่มหาวิทยาลัย ทั้งสองกำลังดูใจกันอยู่ กะว่าพอเรียนจบก็จะจัดการแต่งงานทันที แต่แค่ขึ้นปีที่สามลูกสาวเธอก็ต้องมาเจอกับเรื่องร้ายแรงที่สามารถทำลายชีวิตผู้หญิงคนหนึ่งให้ย่อยยับลงได้เข้าเสียก่อน
หลังถูกจองจำอยู่ในคุก สายหยุดทราบข่าวว่าลูกสาวของเธอคิดสั้นกินยาฆ่าตัวตาย ตอนนั้นหัวอกคนเป็นแม่ก็แทบสลาย ใจจะขาดที่ไม่อาจปกป้องลูกได้อีก ได้แต่สวดมนต์ภาวนาขออย่าให้ลูกเป็นอะไรไป แต่ขณะที่ร้อนใจเพราะเป็นห่วงลูกก็นับว่าสวรรค์ท่านยังปรานี เมื่อทราบต่อมาว่าเลิศภพได้ตัดสินใจขอลลินีแต่งงาน แล้วรับส่งเสียเลี้ยงดูลูกเธอจนเรียนจบ ซึ่งนับว่าเขามีบุญคุณต่อเธอสองแม่ลูกมาก
"คุณภพมาด้วยไหมลูก"
ถามถึงสามีของลูกที่ระยะหลังๆ มานี้ เขาไม่เคยมาเยี่ยมเธอพร้อมกับลลินีอีกเลย ซึ่งผิดกับเมื่อตอนแต่งงานกันใหม่ๆ ที่ทั้งสองมักมาเยี่ยมเธอที่นี่ด้วยกัน เห็นลูกสาวส่ายหน้า ดวงตาคู่ใสหมองลงไปวูบหนึ่งซึ่งคนเป็นแม่ก็สังเกตเห็น
"หนักนิดเบาหน่อยก็ต้องอดทนนะลิล ชีวิตคู่มันก็ต้องมีกระทบกระทั่งกันบ้าง อย่าลืมว่าเขามีบุญคุณกับเรา ถ้าไม่ได้เขาเราคงลำบากกว่านี้อีกหลายเท่า"
คิดว่าลูกคงทะเลาะกับสามีตามประสานั่นแหละ ไม่น่ามีอะไรมากไปกว่านี้ จึงได้เอ่ยตักเตือนไป และในเมื่อมารดาพูดขึ้นมาเสียอย่างนั้นแล้ว ลลินีก็หมดคำที่จะพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก จึงหันมาซักถามถึงความเป็นอยู่ของมารดาและสิ่งของที่ยังต้องการแทน
"ในนี้น่ะ สำคัญที่สุดก็คือเงิน"สายหยุดบอกลูกตามตรง
"ข้าวของไม่ต้องเอามาให้สิ้นเปลืองอีกหรอก ให้คุณภพเขาโอนเงินเข้าบัญชีแม่ทุกเดือนก็พอ"
ไม่อยากบอกให้ลูกต้องคิดมากว่า อาหารและสิ่งของที่อุตส่าห์หอบหิ้วมาให้นั้น เมื่อเข้าไปถึงข้างในแล้วมักเหลือให้คนเป็นเจ้าของเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ความลำบากข้างในนั่น หากมีเงินก็พอจะบรรเทามันลงไปได้บ้าง ไม่ว่าจะเป็นของกินที่พอซื้อหามาใส่ปากให้ได้รับรู้รสชาติของความอร่อย ไม่ต้องทนกินแต่ข้าวแข็งๆ กับต้มผักใส่ซี่โครงไก่ที่รสชาติของมันราวกับน้ำประปา รวมทั้งซื้อความสะดวกอีกหลายอย่างเพื่อให้สามารถใช้ชิวิตอยู่ได้ ไม่น่าอนาถไปมากกว่านี้ ซึ่งเดิมก็แย่มากพออยู่แล้ว
"ค่ะ แล้วหนูจะบอกเขาให้ค่ะแม่ งั้นแม่ดูแลตัวเองนะคะ เดือนหน้าลิลถึงจะมาอีกที แต่ถ้ามีอะไรแม่เขียนจดหมายบอกลิลเลยนะคะ"
รับคำแล้วกำชับมารดาอีกที เป็นห่วงเหลือเกินแต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี นอกจากพยายามอำนวยความสะดวกให้เท่าที่จะสามารถทำได้
จบ.