7.Venice-Rome
พอเราเริ่มใช้ App จองตั๋วเราก็จะเห็นจุดจอดของเมืองต่างๆระหว่างทาง(ยกเว้นจุดแวะปั๊ม5555) ดังนั้นเส้นทางนี้เป็นต้นไปท่านผู้อ่านจะได้รู้ก่อนเลยว่าเส้นทางนี้รถจะวิ่งผ่านเมืองอะไรบ้าง
การเดินทางเที่ยวที่ 7
Venice (Tronchetto)-Venice Mestre(Train station)-Florence-Rome ใช้เวลาเดินทาง 7 ชั่วโมง
อย่างที่เกริ่นมาแล้วว่า Tronchetto เป็นสถานีอยู่บนเกาะหากท่านพักอยู่บนเกาะก็สามารถนั่งเรือมาที่จุดจอดได้เลยซึ่งเรือก็มีบริการตลอด 24 ชั่วโมงไหนๆท่านก็ต้องจ่ายค่าเรือเป็นรายวันอยู่แล้วขอแนะนำให้ล่องเรือตั้งแต่เช้ารอบๆเกาะเสร็จแล้วค่อยไปขึ้นรถก็ได้แต่ก็เผื่อเวลาไว้นิดนึงไม่งั้นจะตกรถ
เริ่มออกเดินทาง 10:15Hr จาก Tronchetto แม้ว่าจะเดินทางมาหลายครั้งแล้วแต่ความคุ้นชินกับจุดจอดที่เป็นแค่ป้ายก็ยังน้อยอยู่ จุดจอดนี้เป็นป้ายอีแล้วให้ตายเหอะความกังวลของมันคือเวลาที่มี Flixbus คันไหนก็ตามที่มาจอดก่อนเวลาเราจะต้องนอยอยู่เสมอว่ามันจะเป็นคันของเราหรือเปล่า เช่นกันสถานนีนี้ผมไปก่อนสัก 45นาทีได้เป็นคนแรกๆที่ไปนั่งเฝ้าป้ายจอดรถ เล่นมือถือที่ไร้สัญญาณไวไฟไปพลางๆก่อนจะมีรถสีเขียวมาจอดค่อยต่อสัญญาณได้ สักพักนึงก็มีสาววัยรุ่นผมทองเดินเข้ามาถามว่านี่เป็นจุดจอดรถใช่ไหม เราก็บอกว่าใช่(เพราะเมื่อวานมาลงที่นี่) แล้วเธอจะไปไหนล่ะสาวตอบ จะไป Florence ผมจะไป Rome ซึ่งต้องนั่งรถคันเดียวคน ก็เลยบอกไปว่ารอรถเที่ยวนี้อยู่เหมือนกัน สักพักมีรถสีเขียวมาจอดเราก็ดีใจว่าคงจะได้ขึ้นรถเพราะมันใกล้เวลาแล้ว แต่มันไม่ใช่เพราะมันเป็นเส้นทางอื่นดังนั้นเราสองก็เลยแห้วและต้องรอต่อไป พอใกล้เวลาออกเดินทางเจ้ารถบัสเขียวจึงเข้ามาจอดเทียบป้ายพร้อมออกเดินทาง โดยจะเเวะรับผู้โดยสาร(ผดส)ที่ Venice Mestre จอดปั๊มกลางทาง 15 นาที่ ขี้ กิน เยี่ยว สูบบุหรี่ เสร็จขึ้นมาบนรถ น้องผู้หญิงชาวเอเชียที่นั่งข้างกันมา(นอน)ตื่นและคุยกัน น้องเป็นชาวเวียดนามได้ทุนมาเรียนกฏหมายที่โรมาเนียกำลังจะจบเลยมาเที่ยวทิ้งทวนประมาณนี้ คุยกันสักพักก็ถึงจุดจอด Florence (ซึ่งก็เป็นป้ายจอดรถอีกแล้ว)แล้วก็ถึงจุดจอด Rome ที่สถานี Tiburtina สิ่งต่างๆที่ใครๆลำ่ลือเกี่ยวกับการลักขโมยมันผุดขึ้นตลอดเวลาตั้งแต่เท้าแตะพื้นสถานี สิ่งที่ต้องทำคือการเดินเร็วและไปให้ถึงที่พักให้เร็วที่สุดอย่างอื่นค่อยว่ากัน ดังนั้นให้คุณอ้าปากถามทางไปสถานีรถใต้ดินทันที(บางทีดู Google Mapsก็งง)ถามเจ้าหน้าที่อะไรสักอย่างในสถานีนั่นแหละอย่าไปถามคนเดินไปมาเพราะเขาอาจจะไม่รู้ แล้วชีวิตคุณก็ง่ายขึ้นเพราะสถานีรถไฟใต้ดินนั้นอยู่ไม่ไกลจากสถานีจอดรถบัสเลย เดินแป๊บเดียวถึงแต่ก็แอบตกใจพอสมควรเพราะจะมีทหารถือปืนยืนเฝ้าอยู่ทั่วไปในโรมนึกแว๊บแรกว่าจะมีเหตุการณ์เหมือนบ้านเรา(มนุษย์มักจะสรุปเหตุการณ์จากสิ่งที่ตนคุ้นชิน) ไม่ใช่ครับเขามาดูแลความปลอดภัยที่อาจจะเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายประมาณนั้น พอถึงตัวสถานีก็ไปงงๆกับตู้ขายตั๋วขายตั๋วนานพอสมควรกว่าจะได้ซื้อเพราะระบบการหยอดเหรียญมันจะไม่เหมือนบ้านเราขอให้ท่านอื่นอธิบายละกันครับ สุดท้ายก็ถึงที่พักได้อย่างปลอดภัยก่อนพระอาทิตย์จะลาลับขอบฟ้าไป
แต่ยังไม่จบครับการเดินทางครั้งนี้ก็เพิ่งรู้ว่าถ้าเราจองที่พักผ่าน App เช่น Hostelworld แล้วบันทึกลงใน Calendar จะมีข้อมูลที่พักของเรา ปรากฏใน Google Maps ดังนั้นเมื่อเราเปิด Location serviceไว้(แต่ไม่ได้เชื่อมสัญญาณอินเทอร์เน็ต) เราจะรู้ได้ว่าจากจุดที่เราอยู่ปัจจุบันนั้นใกล้เคียงกับที่พักหรือยัง อย่างไรก็ตามเราก็ต้องใช้ความพยายามในการหาทิศเองด้วยไม่งั้นก็จะเดินหลงอยู่ดี
8. Milan-Barcelona
เส้นทางนี้จะขอข้าม Rome-Pisa, Pisa-Genao และ Genao-Milan เพราะใช้รถไฟเดินทางครับหลายๆท่านคงเคยได้อ่านรีวิวมาบ้างแล้ว นอกจากนี้ก็จะมี Milan-Mykonos-Milan ก็ไม่ได้รีวิวเช่นกันเพราะใช้เครื่องบินครับจริงๆก็ผจญภัยทีเดียวอาจจะตัดตอนออกมารีวิวหากมีคนสนใจ
การเดินทางเที่ยวที่ 8
Milan-Torino-Grenoble-Montpellier-Perpignan-Barcelona
การเดินทางเที่ยวนี้ขอตั้งชื่อเรื่องว่า "ไปตามดวง" จะแปลกกว่าเที่ยวอื่นๆเพราะมีที่มาอันน่าสนใจเชิญท่านผจญภัยกับเรื่องราวที่มันจะเกิดจากการไม่ได้วางแผนเอาไว้ก่อนได้เลยครับ
หลังจากไปพักผ่อนเต็มที่สี่คืนที่เกาะ Mykonos ผมก็ได้บินกลับมาที่มิลานอีกครั้ง เครื่องลงจอดประมาณเที่ยงแต่ต้องเสียเวลากับด่านตรวจคนเข้าเมืองอีกเล็กน้อย พอเดินออกจากสนามบินก็มองไปเห็นแอร์พอร์ตบัสจออยู่แอบยิ้มในใจวันนี้ทำเวลาได้ดีแฮะแต่พอเดินไปถึงรถเตรียมยื่นตั๋วให้จนท.เท่านั้นแหละ เขาบอกว่ารถเต็มละรอรอบถัดไป "ดวงซวยจริงนี่ถ้าไม่เดินเข้าห้องนำ้ก่อนออกจากสนามบินก็คงไปทันขึ้นรถคันนี้สินะ" ไม่เป็นไรครับก็รอต่อไปแค่ 20 นาทีรถคันถัดไปก็มา ก็เดิมๆครับ Intermationality มุงกันเพื่อขึ้นรถ มุงกุก็มุงเที่ยวแล้วกุพลาดเที่ยวนี้กุไม่ หลังจากรถออกก็ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าจะถึงสถานีกลาง Milan ก็บ่ายสองกว่าก็ยังทำเวลาได้ดีนะ ไงต่อก็นั่งรถไฟใต้ดินกลับไปที่พักที่ฝากของส่วนหนึ่งเอาไว้เพราะตอนไป Mykonos เอาแค่เป้กะกระเป๋าพายข้างไปไม่งั้นจะเสียค่าโหลดกระเป๋าอีกแต่ค่าฝากก็เบ้าเบาจ่ายไป 20 ยูโรต่อ 4 วัน!!! พอออกสถานีรถไฟใต้ดิน "ดวงซวยจริงเดินหลงทาง" แต่ยังดีพอจำได้แผนที่ลางๆว่าที่พักอยู่ตรงไหนเลยเอามือจิ้มหน้าจอ Google Maps ปรากฏว่ามันมีสถานที่ข้างๆที่พักปรากฏขึ้นเลยเดินตามทางนั้นไปสุดท้ายก็เจอ "ดวงยังดีนี่หว่า"
ถึงที่พักสิ่งที่ไม่รีรอก็คือหาตั๋ว Flixbus จาก Milan ไป Barcelona ปรากฏว่าเส้นทางนี้ราคาตั๋วพุ่งทยานมากประมาณ 70 ยูโรคือแพงสุดในบรรดา Nigth bus ที่เดินทางมา สาเหตุก็คงมาจากเส้นทางนี้ใช้เวลาประมาณ 13 ชั่วโมงซึ่งจะนานมากกว่า Night busข้ามเมืองอื่นๆนั่นเอง ที่สำคัญมันเหลือที่นั่งแค่ที่สุดท้าย!! เอาไงดี Voucher ก็เพิ่งซื้อเมื่อวานเที่ยงเงื่อนไขบอกว่าต้องใช้เวลา Activate ไม่เกิน 48 ช.ม.แล้วจึงจะใช้ระหัสซื้อตั๋วได้ ตอนนั้นเวลาประมาณบ่ายสามกว่าก็ผ่านมาแค่ 26 ช.ม.ลองใส่ระหัสดูสิ...เอ้ายังใช้ไม่ได้ เอาไงดี คิด คิด นอนนี่ต่อ จ่ายเงินซื้อตั๋ว ส่วนต่างต้องจ่ายเพิ่มถ้าไม่นอนที่มิลาน คืนนี้วันศุกร์ราคาห้องก็แพง เอาไงดี ลองใส่ระหัสดูสิ...เอ้า "ดวงเฮงเว้ยเห้ยระหัสซื้อตั๋วใช้ได้แล้ว!!!" สุดท้ายเราก็ได้"ไปบาร์เซโลนาตามดวง" อย่ารอช้าลากกระเป๋าขึ้นรถไฟใต้ดินไปสถานีรถประจำทางกันเลย
สถานนีรถประจำทางนี้ชื่อว่า Lumpugnano ซึ่งมีชื่อเดียวกันกับสถานีรถไฟใต้ดิน เหมือนกับสถานีเอกมัยบ้านเราแต่ไม่ใช่สถานีไฟฟ้าหมอชิตที่ห่างจากสถานีขนส่งหมอชิตโยชน์นึง เดินออกมาจากรถไฟใต้ดินก็ถึงสถานีรถประจำทางเลยจากนั้นก็เดินไปที่ชานชลาที่มีรถบัสเขียวจอดอยู่

Lumpugnanoมีความละม้ายบ้านเราบางอย่างคือมีคนมาเดินขายของ(จริงๆเขาปั่นจักรยานขายนำ้อัดลมแช่เย็น) มีรถขายของกิน มีความรู้สึกน่ากลัวเล็กน้อยเพราะแถวสถานีจะมีคนผิวสีเดินไปมา(ไม่แน่ใจว่าเป็นคนไร้บ้านรวมอยู่ด้วยรึเปล่า) คหสต.ถ้ารถออกตอนมืดก็ไม่อยากแนะนำสถานนีนี้ จากนั้นก็นั่งรอ จัดกระเป๋า เตรียมของกินยามดึกซึ่งทุกครั้งถ้าเดินทางยาวจะต้องแวะซุปเปอร์มาร์เก็ตตุนของกินไว้เช่น กล้วย โยเกิร์ต ขนมปัง ข้าวหนียวไก่ย่าง แจ่วบอง นี้ไม่ใช่ละ และแล้วประมาณ 2 ทุ่มก็ได้เวลา Internationality Moong เอ้าลุยรีบติด Tag เก็บกระเป๋าเข้าท้องรถ เช็คอินด้วย QR code แล้วก็ขึ้นรถ แต่เอะช้าก่อนยังขึ้นรถไม่ได้ มีหนุ่มน้อยชาวอเมริกาใต้(เดาเอา) QR code คงมีปัญหาหนุ่มไม่ยอมกุจะขึ้น พขร.ก็ไม่ยอมพร้อมขึ้นเสียงใส่ให้รอคนอื่นเช็คอินเสร็จก่อนแล้วเขาจะตรวจสอบให้ เมื่อหนุ่มสงบยอมถอยกระบวนการก็เริ่มต่อ ถึงคิวเรายื่นมือถือให้สแกน QR code จากนนั้นก็พาสปอร์ต พขร.ที่เคยเสียงดังกลับเย็นลงและทักทายเรา บอกเราว่าไอเพิ่งกลับจากไทยเมื่อสิบวันก่อน ดีใจนะไม่ว่าจะไปที่ไหนๆแต่ก็มักจะเจอคนที่เคยมาเที่ยวบ้านเราส่วนมากก็อยากกลับมาอีกหรือไม่ก็มาแล้วหลายรอบ เสร็จขึ้นรถคืนนี้ได้นั่งเดี่ยวแต่ไม่นานนักความสุขนั้นก็หายไป ตามที่เกริ่นไว้ว่าตั๋วที่ได้มาเป็นใบสุดท้ายดังนั้นเมืองผดส.จากเมือง Torino จึงเข้ามาเติมที่นั่งว่างที่เหลืออยู่จนเต็ม นอกจากที่นั่งรถจะเต็มแล้วความอึกทึกครึกโครมก็มาเต็มเช่นกันเมื่อมีผดส.หญิงผิวสีคนหนึ่งพูดโทรศัพท์เสียงดังตั้งแต่ได้ที่นั่งจนสักพักก็ค่อยสงบไป ไม่นานนักเราก็ข้ามพรมแดนไปฝรั่งเศษเป็นครั้งแรกที่ Night bus หยุดรถให้ตำรวจเข้ามาตรวจในรถ โอ้พระเจ้านี่มันก็เที่ยงคืนกว่าแล้วเหนื่อยจัง พขร.เปิดไฟตำรวจเข้ามาตรวจเช่นเคยแต่คราวนี้มีผดส.ต้องจากเราไปนั่นก็คือหญิงผิวสีคนนั้นเอง เธอถูกเชิญลงจากรถจากนนั้นพขร.ก็ขับทิ้งเธอไปอย่างไร้เยื่อไย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรกับเธอรู้แต่ว่าถ้าเธอบริสุทธิ์เธอคงต้องซื้อตั๋วใบใหม่หรือในทางตรงข้ามก็คงได้ตีตั๋วไปฮ่องกง หลังจากรถแล่นไปสักพักก็จอดส่งคนที่ Glenoble ใกล้รุ่งจอดที่ Montpellier และเมืองสุดท้ายของฝรั่งเศษที่ Peripignan และมุ่งสู่ Barcelona โดยไม่มีการตรวจระหว่างพรมแดนฝรั่งเศษกับสเปน เก้าโมงเช้าถึงสถานีรถประจำทาง Barcelona แล้วลากกระเป๋าเดินเที่ยวต่อเลย เมืองนี้มาแล้วคุณจะหายคันเพราะไปไหนๆก็จะเจอแต่ "เกาดิ" เห็นด้วยไหมครับ
รีวิวประสพการณ์การเดินทางโดยรถบัสเที่ยวยุโรป 12 เส้นทาง ตอนที่ 2
พอเราเริ่มใช้ App จองตั๋วเราก็จะเห็นจุดจอดของเมืองต่างๆระหว่างทาง(ยกเว้นจุดแวะปั๊ม5555) ดังนั้นเส้นทางนี้เป็นต้นไปท่านผู้อ่านจะได้รู้ก่อนเลยว่าเส้นทางนี้รถจะวิ่งผ่านเมืองอะไรบ้าง
การเดินทางเที่ยวที่ 7
Venice (Tronchetto)-Venice Mestre(Train station)-Florence-Rome ใช้เวลาเดินทาง 7 ชั่วโมง
อย่างที่เกริ่นมาแล้วว่า Tronchetto เป็นสถานีอยู่บนเกาะหากท่านพักอยู่บนเกาะก็สามารถนั่งเรือมาที่จุดจอดได้เลยซึ่งเรือก็มีบริการตลอด 24 ชั่วโมงไหนๆท่านก็ต้องจ่ายค่าเรือเป็นรายวันอยู่แล้วขอแนะนำให้ล่องเรือตั้งแต่เช้ารอบๆเกาะเสร็จแล้วค่อยไปขึ้นรถก็ได้แต่ก็เผื่อเวลาไว้นิดนึงไม่งั้นจะตกรถ
เริ่มออกเดินทาง 10:15Hr จาก Tronchetto แม้ว่าจะเดินทางมาหลายครั้งแล้วแต่ความคุ้นชินกับจุดจอดที่เป็นแค่ป้ายก็ยังน้อยอยู่ จุดจอดนี้เป็นป้ายอีแล้วให้ตายเหอะความกังวลของมันคือเวลาที่มี Flixbus คันไหนก็ตามที่มาจอดก่อนเวลาเราจะต้องนอยอยู่เสมอว่ามันจะเป็นคันของเราหรือเปล่า เช่นกันสถานนีนี้ผมไปก่อนสัก 45นาทีได้เป็นคนแรกๆที่ไปนั่งเฝ้าป้ายจอดรถ เล่นมือถือที่ไร้สัญญาณไวไฟไปพลางๆก่อนจะมีรถสีเขียวมาจอดค่อยต่อสัญญาณได้ สักพักนึงก็มีสาววัยรุ่นผมทองเดินเข้ามาถามว่านี่เป็นจุดจอดรถใช่ไหม เราก็บอกว่าใช่(เพราะเมื่อวานมาลงที่นี่) แล้วเธอจะไปไหนล่ะสาวตอบ จะไป Florence ผมจะไป Rome ซึ่งต้องนั่งรถคันเดียวคน ก็เลยบอกไปว่ารอรถเที่ยวนี้อยู่เหมือนกัน สักพักมีรถสีเขียวมาจอดเราก็ดีใจว่าคงจะได้ขึ้นรถเพราะมันใกล้เวลาแล้ว แต่มันไม่ใช่เพราะมันเป็นเส้นทางอื่นดังนั้นเราสองก็เลยแห้วและต้องรอต่อไป พอใกล้เวลาออกเดินทางเจ้ารถบัสเขียวจึงเข้ามาจอดเทียบป้ายพร้อมออกเดินทาง โดยจะเเวะรับผู้โดยสาร(ผดส)ที่ Venice Mestre จอดปั๊มกลางทาง 15 นาที่ ขี้ กิน เยี่ยว สูบบุหรี่ เสร็จขึ้นมาบนรถ น้องผู้หญิงชาวเอเชียที่นั่งข้างกันมา(นอน)ตื่นและคุยกัน น้องเป็นชาวเวียดนามได้ทุนมาเรียนกฏหมายที่โรมาเนียกำลังจะจบเลยมาเที่ยวทิ้งทวนประมาณนี้ คุยกันสักพักก็ถึงจุดจอด Florence (ซึ่งก็เป็นป้ายจอดรถอีกแล้ว)แล้วก็ถึงจุดจอด Rome ที่สถานี Tiburtina สิ่งต่างๆที่ใครๆลำ่ลือเกี่ยวกับการลักขโมยมันผุดขึ้นตลอดเวลาตั้งแต่เท้าแตะพื้นสถานี สิ่งที่ต้องทำคือการเดินเร็วและไปให้ถึงที่พักให้เร็วที่สุดอย่างอื่นค่อยว่ากัน ดังนั้นให้คุณอ้าปากถามทางไปสถานีรถใต้ดินทันที(บางทีดู Google Mapsก็งง)ถามเจ้าหน้าที่อะไรสักอย่างในสถานีนั่นแหละอย่าไปถามคนเดินไปมาเพราะเขาอาจจะไม่รู้ แล้วชีวิตคุณก็ง่ายขึ้นเพราะสถานีรถไฟใต้ดินนั้นอยู่ไม่ไกลจากสถานีจอดรถบัสเลย เดินแป๊บเดียวถึงแต่ก็แอบตกใจพอสมควรเพราะจะมีทหารถือปืนยืนเฝ้าอยู่ทั่วไปในโรมนึกแว๊บแรกว่าจะมีเหตุการณ์เหมือนบ้านเรา(มนุษย์มักจะสรุปเหตุการณ์จากสิ่งที่ตนคุ้นชิน) ไม่ใช่ครับเขามาดูแลความปลอดภัยที่อาจจะเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายประมาณนั้น พอถึงตัวสถานีก็ไปงงๆกับตู้ขายตั๋วขายตั๋วนานพอสมควรกว่าจะได้ซื้อเพราะระบบการหยอดเหรียญมันจะไม่เหมือนบ้านเราขอให้ท่านอื่นอธิบายละกันครับ สุดท้ายก็ถึงที่พักได้อย่างปลอดภัยก่อนพระอาทิตย์จะลาลับขอบฟ้าไป
แต่ยังไม่จบครับการเดินทางครั้งนี้ก็เพิ่งรู้ว่าถ้าเราจองที่พักผ่าน App เช่น Hostelworld แล้วบันทึกลงใน Calendar จะมีข้อมูลที่พักของเรา ปรากฏใน Google Maps ดังนั้นเมื่อเราเปิด Location serviceไว้(แต่ไม่ได้เชื่อมสัญญาณอินเทอร์เน็ต) เราจะรู้ได้ว่าจากจุดที่เราอยู่ปัจจุบันนั้นใกล้เคียงกับที่พักหรือยัง อย่างไรก็ตามเราก็ต้องใช้ความพยายามในการหาทิศเองด้วยไม่งั้นก็จะเดินหลงอยู่ดี
8. Milan-Barcelona
เส้นทางนี้จะขอข้าม Rome-Pisa, Pisa-Genao และ Genao-Milan เพราะใช้รถไฟเดินทางครับหลายๆท่านคงเคยได้อ่านรีวิวมาบ้างแล้ว นอกจากนี้ก็จะมี Milan-Mykonos-Milan ก็ไม่ได้รีวิวเช่นกันเพราะใช้เครื่องบินครับจริงๆก็ผจญภัยทีเดียวอาจจะตัดตอนออกมารีวิวหากมีคนสนใจ
การเดินทางเที่ยวที่ 8
Milan-Torino-Grenoble-Montpellier-Perpignan-Barcelona
การเดินทางเที่ยวนี้ขอตั้งชื่อเรื่องว่า "ไปตามดวง" จะแปลกกว่าเที่ยวอื่นๆเพราะมีที่มาอันน่าสนใจเชิญท่านผจญภัยกับเรื่องราวที่มันจะเกิดจากการไม่ได้วางแผนเอาไว้ก่อนได้เลยครับ
หลังจากไปพักผ่อนเต็มที่สี่คืนที่เกาะ Mykonos ผมก็ได้บินกลับมาที่มิลานอีกครั้ง เครื่องลงจอดประมาณเที่ยงแต่ต้องเสียเวลากับด่านตรวจคนเข้าเมืองอีกเล็กน้อย พอเดินออกจากสนามบินก็มองไปเห็นแอร์พอร์ตบัสจออยู่แอบยิ้มในใจวันนี้ทำเวลาได้ดีแฮะแต่พอเดินไปถึงรถเตรียมยื่นตั๋วให้จนท.เท่านั้นแหละ เขาบอกว่ารถเต็มละรอรอบถัดไป "ดวงซวยจริงนี่ถ้าไม่เดินเข้าห้องนำ้ก่อนออกจากสนามบินก็คงไปทันขึ้นรถคันนี้สินะ" ไม่เป็นไรครับก็รอต่อไปแค่ 20 นาทีรถคันถัดไปก็มา ก็เดิมๆครับ Intermationality มุงกันเพื่อขึ้นรถ มุงกุก็มุงเที่ยวแล้วกุพลาดเที่ยวนี้กุไม่ หลังจากรถออกก็ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าจะถึงสถานีกลาง Milan ก็บ่ายสองกว่าก็ยังทำเวลาได้ดีนะ ไงต่อก็นั่งรถไฟใต้ดินกลับไปที่พักที่ฝากของส่วนหนึ่งเอาไว้เพราะตอนไป Mykonos เอาแค่เป้กะกระเป๋าพายข้างไปไม่งั้นจะเสียค่าโหลดกระเป๋าอีกแต่ค่าฝากก็เบ้าเบาจ่ายไป 20 ยูโรต่อ 4 วัน!!! พอออกสถานีรถไฟใต้ดิน "ดวงซวยจริงเดินหลงทาง" แต่ยังดีพอจำได้แผนที่ลางๆว่าที่พักอยู่ตรงไหนเลยเอามือจิ้มหน้าจอ Google Maps ปรากฏว่ามันมีสถานที่ข้างๆที่พักปรากฏขึ้นเลยเดินตามทางนั้นไปสุดท้ายก็เจอ "ดวงยังดีนี่หว่า"
ถึงที่พักสิ่งที่ไม่รีรอก็คือหาตั๋ว Flixbus จาก Milan ไป Barcelona ปรากฏว่าเส้นทางนี้ราคาตั๋วพุ่งทยานมากประมาณ 70 ยูโรคือแพงสุดในบรรดา Nigth bus ที่เดินทางมา สาเหตุก็คงมาจากเส้นทางนี้ใช้เวลาประมาณ 13 ชั่วโมงซึ่งจะนานมากกว่า Night busข้ามเมืองอื่นๆนั่นเอง ที่สำคัญมันเหลือที่นั่งแค่ที่สุดท้าย!! เอาไงดี Voucher ก็เพิ่งซื้อเมื่อวานเที่ยงเงื่อนไขบอกว่าต้องใช้เวลา Activate ไม่เกิน 48 ช.ม.แล้วจึงจะใช้ระหัสซื้อตั๋วได้ ตอนนั้นเวลาประมาณบ่ายสามกว่าก็ผ่านมาแค่ 26 ช.ม.ลองใส่ระหัสดูสิ...เอ้ายังใช้ไม่ได้ เอาไงดี คิด คิด นอนนี่ต่อ จ่ายเงินซื้อตั๋ว ส่วนต่างต้องจ่ายเพิ่มถ้าไม่นอนที่มิลาน คืนนี้วันศุกร์ราคาห้องก็แพง เอาไงดี ลองใส่ระหัสดูสิ...เอ้า "ดวงเฮงเว้ยเห้ยระหัสซื้อตั๋วใช้ได้แล้ว!!!" สุดท้ายเราก็ได้"ไปบาร์เซโลนาตามดวง" อย่ารอช้าลากกระเป๋าขึ้นรถไฟใต้ดินไปสถานีรถประจำทางกันเลย
สถานนีรถประจำทางนี้ชื่อว่า Lumpugnano ซึ่งมีชื่อเดียวกันกับสถานีรถไฟใต้ดิน เหมือนกับสถานีเอกมัยบ้านเราแต่ไม่ใช่สถานีไฟฟ้าหมอชิตที่ห่างจากสถานีขนส่งหมอชิตโยชน์นึง เดินออกมาจากรถไฟใต้ดินก็ถึงสถานีรถประจำทางเลยจากนั้นก็เดินไปที่ชานชลาที่มีรถบัสเขียวจอดอยู่
Lumpugnanoมีความละม้ายบ้านเราบางอย่างคือมีคนมาเดินขายของ(จริงๆเขาปั่นจักรยานขายนำ้อัดลมแช่เย็น) มีรถขายของกิน มีความรู้สึกน่ากลัวเล็กน้อยเพราะแถวสถานีจะมีคนผิวสีเดินไปมา(ไม่แน่ใจว่าเป็นคนไร้บ้านรวมอยู่ด้วยรึเปล่า) คหสต.ถ้ารถออกตอนมืดก็ไม่อยากแนะนำสถานนีนี้ จากนั้นก็นั่งรอ จัดกระเป๋า เตรียมของกินยามดึกซึ่งทุกครั้งถ้าเดินทางยาวจะต้องแวะซุปเปอร์มาร์เก็ตตุนของกินไว้เช่น กล้วย โยเกิร์ต ขนมปัง ข้าวหนียวไก่ย่าง แจ่วบอง นี้ไม่ใช่ละ และแล้วประมาณ 2 ทุ่มก็ได้เวลา Internationality Moong เอ้าลุยรีบติด Tag เก็บกระเป๋าเข้าท้องรถ เช็คอินด้วย QR code แล้วก็ขึ้นรถ แต่เอะช้าก่อนยังขึ้นรถไม่ได้ มีหนุ่มน้อยชาวอเมริกาใต้(เดาเอา) QR code คงมีปัญหาหนุ่มไม่ยอมกุจะขึ้น พขร.ก็ไม่ยอมพร้อมขึ้นเสียงใส่ให้รอคนอื่นเช็คอินเสร็จก่อนแล้วเขาจะตรวจสอบให้ เมื่อหนุ่มสงบยอมถอยกระบวนการก็เริ่มต่อ ถึงคิวเรายื่นมือถือให้สแกน QR code จากนนั้นก็พาสปอร์ต พขร.ที่เคยเสียงดังกลับเย็นลงและทักทายเรา บอกเราว่าไอเพิ่งกลับจากไทยเมื่อสิบวันก่อน ดีใจนะไม่ว่าจะไปที่ไหนๆแต่ก็มักจะเจอคนที่เคยมาเที่ยวบ้านเราส่วนมากก็อยากกลับมาอีกหรือไม่ก็มาแล้วหลายรอบ เสร็จขึ้นรถคืนนี้ได้นั่งเดี่ยวแต่ไม่นานนักความสุขนั้นก็หายไป ตามที่เกริ่นไว้ว่าตั๋วที่ได้มาเป็นใบสุดท้ายดังนั้นเมืองผดส.จากเมือง Torino จึงเข้ามาเติมที่นั่งว่างที่เหลืออยู่จนเต็ม นอกจากที่นั่งรถจะเต็มแล้วความอึกทึกครึกโครมก็มาเต็มเช่นกันเมื่อมีผดส.หญิงผิวสีคนหนึ่งพูดโทรศัพท์เสียงดังตั้งแต่ได้ที่นั่งจนสักพักก็ค่อยสงบไป ไม่นานนักเราก็ข้ามพรมแดนไปฝรั่งเศษเป็นครั้งแรกที่ Night bus หยุดรถให้ตำรวจเข้ามาตรวจในรถ โอ้พระเจ้านี่มันก็เที่ยงคืนกว่าแล้วเหนื่อยจัง พขร.เปิดไฟตำรวจเข้ามาตรวจเช่นเคยแต่คราวนี้มีผดส.ต้องจากเราไปนั่นก็คือหญิงผิวสีคนนั้นเอง เธอถูกเชิญลงจากรถจากนนั้นพขร.ก็ขับทิ้งเธอไปอย่างไร้เยื่อไย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรกับเธอรู้แต่ว่าถ้าเธอบริสุทธิ์เธอคงต้องซื้อตั๋วใบใหม่หรือในทางตรงข้ามก็คงได้ตีตั๋วไปฮ่องกง หลังจากรถแล่นไปสักพักก็จอดส่งคนที่ Glenoble ใกล้รุ่งจอดที่ Montpellier และเมืองสุดท้ายของฝรั่งเศษที่ Peripignan และมุ่งสู่ Barcelona โดยไม่มีการตรวจระหว่างพรมแดนฝรั่งเศษกับสเปน เก้าโมงเช้าถึงสถานีรถประจำทาง Barcelona แล้วลากกระเป๋าเดินเที่ยวต่อเลย เมืองนี้มาแล้วคุณจะหายคันเพราะไปไหนๆก็จะเจอแต่ "เกาดิ" เห็นด้วยไหมครับ