Swimming Pool ภารกิจพิชิตใจโค้ช
คณินทร์ บวรนันท์ (นิน) บาริสต้าหนุ่มอดีตนักว่ายน้ำโรงเรียน เพิ่งจบปริญญาตรีมาหมาดๆ โดนบังคับให้ร่วมการแข่งขันว่ายน้ำของบริษัท แต่จะทำได้ยังไงในเมื่อตอนนี้เขากลายเป็นคนกลัวน้ำจนขึ้นสมอง
โตยธร กุลโรจน์ (โทยะ) โค้ชสอนว่ายน้ำปากร้ายผู้เคยได้รับเหรียญทองระดับประเทศ แต่กลับต้องมากุมขมับเมื่อต้องรับมือกับศิษย์จอมองแงที่ไม่กล้าแม้แต่จะมองน้ำในสระ ด้วยหน้าที่เขาจึงพยายามหาวิธีที่จะทำให้บาริสต้าหนุ่มคนนี้กลับมาว่ายน้ำได้อีกครั้ง
แต่ความใจดีของครูฝึกจอมโหดกลับทำให้ศิษย์หล่อมาดนิ่งตกหลุมรัก และเฝ้าตามตื๊อเพื่อพิชิตหัวใจโค้ช
*/*/*/*/*/*
บทที่ 1 ทำไมต้องเป็นผมด้วยครับ(วะ)
แสงแดดแรงกล้าของยามบ่าย ร้อนเสียจนต้นไม้ใบหญ้าถึงกับเหี่ยวเฉา โชคดีที่ยังพอมีลมพัดโชยมาบ้าง ทำให้คนในบ้านซึ่งนั่งจับกลุ่มตรงใต้ถุนโล่งเย็นสบายขึ้น พวกเขาต่างพูดคุยสนทนากันอย่างสนุกสนาน เนื่องจากเป็นวันพบปะสังสรรค์ระหว่างญาติพี่น้อง ซึ่งนานครั้งจะมารวมตัวกัน พวกผู้ใหญ่จึงซักถามความเป็นอยู่ของคนไกลขณะเดียวกันก็หาเรื่องมาเล่าเพื่อความสรวลเสเฮฮา ส่วนเด็กๆ ที่อยู่ในวัยไล่เลี่ยกันก็พาวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน เนื่องจากเป็นบ้านที่อยู่ริมน้ำ พวกที่โตหน่อยก็จะสลัดเสื้อจนเหลือแต่กางเกงตัวเดียว กระโดดเล่นน้ำกันตูม ตูม
“อย่าโดดแบบนั้นสินิล เดี๋ยวก็โดนอะไรในน้ำมันตำเอาหรอก” เสียงหญิงวัยสามสิบต้นเอ่ยเตือน เมื่อเห็นลูกชายวัย 12 ตั้งท่าจะพุ่งหลาวลงไปในลำน้ำ อีกฝ่ายหันมาส่งยิ้มฟันขาว
“โธ่แม่ คนอื่นเขาก็โดด”
“คิดแบบนั้นไม่ได้นะลูก นี่มันแม่น้ำไม่ใช่สระอย่างที่หนูเคยเล่น เราไม่รู้ว่าจะมีขอนไม้หรืออะไรลอยมาบ้างหรือเปล่า” คนเป็นแม่ติงด้วยความเป็นห่วง แต่พอเห็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนส่งสายตาละห้อยอย่างอ้อนวอน เธอก็ถอนใจออกมาเบาๆ “ก็ได้ แม่ให้อีก 5 นาที แล้วถ้าเรียกหนูต้องรีบขึ้นนะ”
“ครับแม่” เด็กชายรับคำพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างด้วยความดีใจ เขาหันไปตะโกนเรียกเพื่อนที่กำลังดำผุดดำว่ายกันอย่างสนุกสนาน ก่อนพุ่งหลาวโดดลงน้ำด้วยท่วงท่างดงามไม่ต่างจากนักว่ายน้ำมืออาชีพ ทำให้ผู้ใหญ่บางคนที่นั่งดูอยู่อดเปรยขึ้นมาไม่ได้
“นิลนี่มันว่ายน้ำเก่งจริงๆ”
“ก็เป็นนักกีฬาว่ายน้ำของโรงเรียนนี่จ๊ะ” คนเป็นแม่ละสายตาจากลูกชายหันมาพูดด้วยความภาคภูมิใจ อีกฝ่ายพยักหน้าช้าๆ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร ทั้งหมดก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์เรือหางยาวของเพื่อนบ้านดังขึ้น ตามด้วยเสียงหวีดร้องของเด็กๆ
“เกิดอะไรขึ้น!” ใครคนหนึ่งร้องถาม แต่ยังไม่ทันได้คำตอบ ทั้งหมดก็ต้องลุกจากที่นั่ง ตาเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นเจ้าของเรือกำลังอุ้มร่างที่โชกไปด้วยเลือดของเด็กชายคนหนึ่งวิ่งมาจากริมน้ำ พอเห็นว่าเป็นใครเท่านั้น ผู้เป็นแม่ถึงกับกรีดร้อง
“นิล!!!”
.....
.....
“นิน เฮ้ย นิน!”
เสียงเรียกเบาๆ จากใครบางคนทำให้ชายหนุ่มที่กำลังตีฟองนมสะดุ้งหลุดจากภวังค์ เขารีบหันไปส่งยิ้มให้ก่อนเทฟองนมใส่กาแฟที่เตรียมไว้ โรยผงชิเนม่อนเล็กน้อยก่อนยื่นให้เพื่อนที่กำลังรอส่งต่อให้ลูกค้า
“คาปูชิโนได้แล้วครับ”
เขาพูดอย่างสุภาพก่อนหันไปทำความสะอาดอุปกรณ์เพื่อเตรียมทำเครื่องดื่มชุดต่อไป เพื่อนที่เรียกเมื่อครู่เลยกระซิบถาม
“เป็นอะไรไปวะ”
“flashback นิดหน่อยน่ะ” นินตอบด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก คนได้ยินตีหน้ามุ่ย
“flash..อะไรวะ? มีสมาธิหน่อยสิ ทำงานอยู่นะโว้ย”
นินไม่ตอบแต่พยักหน้ารับคำเตือนจากเพื่อน ทั้งที่ยังอกสั่นขวัญแขวนอยู่กับภาพอดีต แต่ตอนนี้เขากำลังหน้าที่ของบาริสต้า ซึ่งหากใจลอยอาจผสมสูตรเครื่องดื่มผิด เลยต้องตั้งสติฉีกยิ้มพร้อมกล่าวคำต้อนรับลูกค้าคนใหม่ที่กำลังก้าวเข้ามา
ช่วงเบรก บาริสต้าหนุ่มเดินเข้าไปยังหลังร้านและหยุดยืนมองบอร์ดที่ผู้จัดการมักนำใบแจ้งเตือนหรือประกาศต่างๆ มาติดไว้ให้พนักงานทุกคนอ่าน ตาจ้องตัวอักษรซึ่งบอกถึงรายละเอียดเรื่องการแข่งขันภายในที่ทางบริษัทเพิ่งจะจัดขึ้นเป็นครั้งแรก โดยชักจูงให้พนักงานมีส่วนร่วมด้วยอย่างน้อยสาขาละสองรายการ ซึ่งสาขาที่เขาทำอยู่นั้นมีนักกีฬาเทนนิสอยู่หนึ่งคน ที่เหลือนอกนั้นนอกจากเล่นเกมมือถือกับหมากเก็บฝาน้ำอัดลมแล้ว ไม่มีใครเล่นอะไรเป็นเลย และไอ้เจ้าประกาศแผ่นนี้แหละ คือสาเหตุที่ทำให้ความทรงจำในวัยเด็กอันแสนเลวร้ายหวนกลับคืนมา
“มีอะไรหรือนิน” เสียงของผู้จัดการร้านซึ่งสังเกตเห็นลูกน้องยืนตัวแข็งเป็นหุ่นเอ่ยถาม พลางเดินมาดูประกาศที่อีกฝ่ายให้ความสนใจ “อ้อ การแข่งขันภายในนี่เอง ว่าไงล่ะ ตัดสินใจได้แล้วหรือยัง”
เขาหันไปถามเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายเคยเป็นอดีตนักว่ายน้ำระดับเหรียญทองของโรงเรียน อีกฝ่ายเม้มปากจนเหยียดเป็นเส้นตรงก่อนส่ายหน้า
“พี่ลองไปถามคนอื่นดูก่อนดีกว่าครับ ผมได้ยินมาว่าวันชาติก็พอจะว่ายได้”
“ผมถามแล้ว เจ้าวันมันว่ายเป็นแต่ท่าลูกหมาตกน้ำ ผมเลยต้องตั้งความหวังไว้ที่คุณ” ผู้จัดการร้านพูดอย่างอารมณ์ดี พอไม่ได้ยินคำตอบจากคู่สนทนาเขาก็หันไปมองอย่างสงสัย “เป็นอะไรหรือเปล่า”
คณินทร์ถอนใจออกมาก่อนส่ายหน้า “เปล่าครับ ผมแค่...”
เขาหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเพราะไม่อยากรื้อฟื้นความทรงจำที่น่ากลัวนั้นขึ้นมาอีก แต่ผู้จัดการร้านกลับเข้าใจไปอีกทาง
“ผมรู้แล้ว คุณไม่ได้ว่ายน้ำมานานเลยกลัวว่าตัวจะแข็งจนขยับไม่ได้ เอาอย่างนี้ผมรู้จักสระว่ายน้ำดีๆ อยู่ที่นึง คุณลองไปซ้อมดูก่อนดีไหม ยังมีเวลาอีกตั้งสามเดือนนี่”
คณินทร์อยากปฏิเสธเหลือเกิน แต่สีหน้ากับท่าทางมุ่งมั่นของผู้จัดการทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก มันก็ใช่ที่คำสั่งแบบนี้มันเหมือนกับเป็นการบังคับ แต่การเข้าร่วมกิจกรรมที่ทางบริษัทจัดขึ้นก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน เพราะไม่เพียงของรางวัลที่เป็นตัวเงิน พนักงานทุกคนยังได้สิทธิพิเศษทั้งบัตรฟรีร้านอาหารชื่อดังและตั๋วเครื่องบินไปประเทศญี่ปุ่น ดินแดนที่หลายคนฝันถึง และหากสาขาใดไม่ให้ความร่วมมืออาจถูกผู้ใหญ่มองในแง่ที่ไม่ดีนัก
เขารู้ว่าที่บริษัทจัดรายการนี้ขึ้นมาก็เพื่อความสามัคคีและเป็นการให้กำลังใจต่อพนักงาน แต่เขาเองก็มีเหตุผลส่วนตัว
“ผม...”
“ถ้าเงินไปพอ เดี๋ยวผมออกค่าสมาชิกสระว่ายน้ำให้” ผู้จัดการรีบยื่นข้อเสนอเมื่อเห็นลูกน้องมีท่าทางลังเล คณินทร์รีบโบกมือ
“เปล่าครับพี่ ผมไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น ที่ไม่อยากลงแข่งเพราะ...” เขามุ่นคิ้วเพราะไม่อยากพูดคำว่ากลัว ซึ่งอาจจะทำให้คนตรงหน้าเสียกำลังใจ เลยจำต้องเลี่ยงใช้คำอื่นแทน “ผมไม่ได้ว่ายน้ำมานาน เลยกลัวว่าพอลงสระแล้วจะจมป๋อมไปเลย”
น้ำเสียงที่แม้จะราบเรียบไม่ได้แสดงความรู้สึกใด แต่คนฟังกลับหัวเราะพรวดออกมา
“คุณนี่ตลกเป็นบ้าเลยว่ะนิน แต่ว่ายน้ำเนี่ยพอเป็นแล้ว มันก็ไม่น่าจะลืมไม่ใช่เหรอวะ”
“ถ้าไม่ได้ว่ายนานๆ มันก็ไม่ไหวเหมือนกันนะครับ” บาริสต้าหนุ่มแย้ง ผู้จัดการนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนผงกศีรษะ
“โอเค ผมเข้าใจแล้ว” เขาพูดด้วยท่าทางที่ดูเป็นงานเป็นการขึ้น ทำให้คณินทร์เริ่มโล่งใจเพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่ส่งเขาเข้าร่วมแข่งแล้ว แต่พอได้ยินประโยคต่อมา หัวใจของเขาก็ร่วงลงไปอยู่ตรงตาตุ่ม
“ผมรู้จักโค้ชว่ายน้ำคนนึง จะลองขอให้เขาช่วย”
“ผมต้องทำงานนะครับ” คณินทร์ท้วง และต้องหุบปากยืนนิ่งเมื่ออีกฝ่ายมองเขาด้วยดวงตาที่แสดงความไม่พอใจ
“ผมเป็นผู้จัดการร้านนะครับ เอาเป็นว่าผมจะจัดเวลาให้คุณได้ไปฝึกทุกเย็น เรื่องค่าใช้จ่ายไม่ต้องเป็นห่วง อย่าเบี้ยวก็แล้วกัน”
ปิดท้ายเสียงเข้มแถมส่งสายตาดุจนลูกน้องไม่กล้าขัด พอผู้จัดการเดินออกจากห้องเพื่อไปตรวจร้าน คณินทร์จึงถอนลมหายใจยาว
เลิกงานวันนี้คงต้องไปหาซื้อกางเกงว่ายน้ำแล้ว
คณินทร์ติดสินใจซื้อกางเกงเย็นวันนั้น เพราะคิดว่าเมื่อไม่อาจเลี่ยงเขาก็ต้องหันหน้าสู้ สองวันถัดมาพี่บังเหียน ผู้จัดการร้านจึงบอกแก่เขาว่าติดต่อครูฝึกให้แล้ว และขอร้องเชิงออกคำสั่งให้ลูกน้องไปฝึกโดยบอกสถานที่พร้อมส่งตำแหน่งที่ตั้งให้ทางไลน์เสร็จสรรพ ตกตอนเย็นหลังเลิกงาน บาริสต้าหนุ่มจึงเดินทางไปยังสถานที่นั้นทันที
สระว่ายน้ำที่ผู้จัดการพูดถึง อยู่ไกลจากร้านพอสมควร ซึ่งแม้จะอยู่ในซอยแต่ก็ไม่ได้ลึกมาก แถมยังมีรถประจำทางผ่านหลายสายรวมถึงรถไฟฟ้า ทำให้สะดวกต่อการเดินทาง แต่ที่สร้างความลำบากใจต่อคณินทร์ไม่ใช่ทั้งหมดที่พูดถึง หากเป็นลักษณะของสิ่งที่เขากำลังเห็นตรงหน้าต่างหาก
มันไม่ใช่สระของสโมสรในหมู่บ้าน แต่เป็นโรงเรียนสอนว่ายน้ำชื่อดังแถมมีสระว่ายน้ำขนาดมาตรฐานด้วย!
แค่เห็นสระซึ่งแม้จะอยู่ไกลตัวพอสมควร คณินทร์ก็เกิดอาการขาแข็ง มือสั่น ใจหวิวเหมือนจะเป็นลม เลยทำท่าจะหันหลังกลับ แต่ช้ากว่าเจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่หันมาเห็นเข้าเสียก่อน
“มาติดต่ออะไรหรือคะ” เธอถามพลางไล่สายตาสำรวจไปทั่วร่างของบาริสต้าหนุ่มก่อนจะยิ้มอย่างพึงใจในความหล่อเหลา คณินทร์กลืนน้ำลายลงคอ บังคับตัวเองไม่ให้สั่นขณะเดียวกันก็พยายามไม่มองไปทางสระว่ายน้ำก่อนตอบ
“มาเรียนว่ายน้ำครับ”
“ติดต่อไว้หรือยังคะ” อีกฝ่ายถามเสียงหวานขณะเดินนำไปห้องธุรการ คณินทร์ซึ่งก้าวตามหลังจึงตอบด้วยน้ำเสียงเจือความกังวลเล็กน้อย
“ครับ จองเวลาไว้ในชื่อคุณบังเหียนครับ”
หญิงสาวกดโน้ตบุ๊ก ไล่ดูรายชื่อผู้สมัครที่ยาวเป็นหางว่าว เมื่อพบชื่อตามที่อีกฝ่ายบอกจึงคลี่ยิ้ม
“เจอแล้ว คุณคณินทร์ บวรนันท์ ลงเวลาเรียนช่วงเย็นถึงค่ำ ครั้งละหนึ่งชั่วโมงนะคะ” เธอพูดพลางกดปุ่มเพื่อตรวจค่าใช้จ่ายซึ่งเมื่อพบว่ามีการชำระเงินครบตามจำนวนแล้วจึงละสายตาจากหน้าจอไปจ้องหน้าหล่อๆ ของผู้ชาย “จะเริ่มเรียนวันนี้เลยมั้ยคะ”
มันเป็นคำถามที่สร้างความหนักใจกับคนฟังมาก คณินทร์มองออกไปด้านนอก จ้องสระน้ำซึ่งมีคนหลากหลายทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ชายหญิงกำลังเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน เสียงหัวเราะของเด็กๆ กับหยาดน้ำที่กำลังถูกคนเล่นสาดกระเซ็นไปรอบๆ ทำให้ชายหนุ่มอดนึกภาพเหตุการณ์ในครั้งนั้นขึ้นมาไม่ได้ แต่เมื่อก้าวมาถึงตรงนี้แล้ว เขาก็คงถอยไม่ได้เช่นกัน
“ครับ”
“งั้นเชิญเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเลยค่ะ บัตรสมาชิกของเราเป็นคีย์การ์ดนะคะ คุณสามารถใช้เปิดห้องแต่งตัวได้ ส่วนนี่เป็นกุญแจล็อคเกอร์ค่ะ”
เจ้าหน้าที่สาวอธิบายพร้อมกับส่งการ์ดกับกุญแจให้ คณินทร์กล่าวคำขอบคุณเบาๆ ขณะยื่นมือไปรับ เมื่อเข้าไปในห้องแต่งตัวและเปลี่ยนชุดว่ายน้ำซึ่งเป็นกางเกงขาสั้นแนบตัวแบบสมัยใหม่แล้ว บาริสต้าหนุ่มจึงยืนทำสมาธิพลางพูดให้กำลังใจกับตัวเองว่า ไม่เป็นไร เขาต้องทำได้ สามครั้งก่อนตัดสินใจก้าวออกจากห้อง เดินตรงไปหาเจ้าหน้าที่สาวที่กำลังยืนรออยู่กับผู้ชายตัวดำล่ำใหญ่อีกคน เธอส่งยิ้มหวานหยดย้อยให้ทันที
“เสร็จแล้วหรือคะ เชิญทางนี้เลยค่ะ แววจะขอแนะนำให้รู้จักครูฝึกก่อน” เธอผายมือไปทางบุรุษผู้มีผิวกายคล้ำแดด ตัวใหญ่ทะมึน “โค้ชกระทิงค่ะ”
คณินทร์กล่าวคำทักทายว่า สวัสดีครับ ไปตามมารยาท แต่อีกฝ่ายมองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าก่อนตอบกลับมาอย่างถือตัวว่า สวัสดี
“คอร์สนี้เป็นคอร์สสำหรับคนทำงาน คุณคณินทร์จะมีเพื่อนเรียนด้วยกันทั้งหมดห้าคนนะคะ” หญิงสาวพูดพลางหันไปส่งยิ้มให้กับผู้มาเรียนทั้งห้า ซึ่งทุกคนล้วนเป็นผู้ชายวัยไล่เลี่ยกับบาริสต้าหนุ่ม แถมยังหน้าตาดีราวกับผ่านการคัดเลือกมาอย่างดี ซึ่งพอคณินทร์เข้าไปยืนรวมกลุ่ม กลับกลายเป็นว่าเขาทั้งหล่อและสูงกว่าใคร
ภารกิจพิชิตใจโค้ช Swimming Pool บทที่ 1 ทำไมต้องเป็นผมด้วยครับ(วะ)
คณินทร์ บวรนันท์ (นิน) บาริสต้าหนุ่มอดีตนักว่ายน้ำโรงเรียน เพิ่งจบปริญญาตรีมาหมาดๆ โดนบังคับให้ร่วมการแข่งขันว่ายน้ำของบริษัท แต่จะทำได้ยังไงในเมื่อตอนนี้เขากลายเป็นคนกลัวน้ำจนขึ้นสมอง
โตยธร กุลโรจน์ (โทยะ) โค้ชสอนว่ายน้ำปากร้ายผู้เคยได้รับเหรียญทองระดับประเทศ แต่กลับต้องมากุมขมับเมื่อต้องรับมือกับศิษย์จอมองแงที่ไม่กล้าแม้แต่จะมองน้ำในสระ ด้วยหน้าที่เขาจึงพยายามหาวิธีที่จะทำให้บาริสต้าหนุ่มคนนี้กลับมาว่ายน้ำได้อีกครั้ง
แต่ความใจดีของครูฝึกจอมโหดกลับทำให้ศิษย์หล่อมาดนิ่งตกหลุมรัก และเฝ้าตามตื๊อเพื่อพิชิตหัวใจโค้ช
*/*/*/*/*/*
บทที่ 1 ทำไมต้องเป็นผมด้วยครับ(วะ)
แสงแดดแรงกล้าของยามบ่าย ร้อนเสียจนต้นไม้ใบหญ้าถึงกับเหี่ยวเฉา โชคดีที่ยังพอมีลมพัดโชยมาบ้าง ทำให้คนในบ้านซึ่งนั่งจับกลุ่มตรงใต้ถุนโล่งเย็นสบายขึ้น พวกเขาต่างพูดคุยสนทนากันอย่างสนุกสนาน เนื่องจากเป็นวันพบปะสังสรรค์ระหว่างญาติพี่น้อง ซึ่งนานครั้งจะมารวมตัวกัน พวกผู้ใหญ่จึงซักถามความเป็นอยู่ของคนไกลขณะเดียวกันก็หาเรื่องมาเล่าเพื่อความสรวลเสเฮฮา ส่วนเด็กๆ ที่อยู่ในวัยไล่เลี่ยกันก็พาวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน เนื่องจากเป็นบ้านที่อยู่ริมน้ำ พวกที่โตหน่อยก็จะสลัดเสื้อจนเหลือแต่กางเกงตัวเดียว กระโดดเล่นน้ำกันตูม ตูม
“อย่าโดดแบบนั้นสินิล เดี๋ยวก็โดนอะไรในน้ำมันตำเอาหรอก” เสียงหญิงวัยสามสิบต้นเอ่ยเตือน เมื่อเห็นลูกชายวัย 12 ตั้งท่าจะพุ่งหลาวลงไปในลำน้ำ อีกฝ่ายหันมาส่งยิ้มฟันขาว
“โธ่แม่ คนอื่นเขาก็โดด”
“คิดแบบนั้นไม่ได้นะลูก นี่มันแม่น้ำไม่ใช่สระอย่างที่หนูเคยเล่น เราไม่รู้ว่าจะมีขอนไม้หรืออะไรลอยมาบ้างหรือเปล่า” คนเป็นแม่ติงด้วยความเป็นห่วง แต่พอเห็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนส่งสายตาละห้อยอย่างอ้อนวอน เธอก็ถอนใจออกมาเบาๆ “ก็ได้ แม่ให้อีก 5 นาที แล้วถ้าเรียกหนูต้องรีบขึ้นนะ”
“ครับแม่” เด็กชายรับคำพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างด้วยความดีใจ เขาหันไปตะโกนเรียกเพื่อนที่กำลังดำผุดดำว่ายกันอย่างสนุกสนาน ก่อนพุ่งหลาวโดดลงน้ำด้วยท่วงท่างดงามไม่ต่างจากนักว่ายน้ำมืออาชีพ ทำให้ผู้ใหญ่บางคนที่นั่งดูอยู่อดเปรยขึ้นมาไม่ได้
“นิลนี่มันว่ายน้ำเก่งจริงๆ”
“ก็เป็นนักกีฬาว่ายน้ำของโรงเรียนนี่จ๊ะ” คนเป็นแม่ละสายตาจากลูกชายหันมาพูดด้วยความภาคภูมิใจ อีกฝ่ายพยักหน้าช้าๆ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร ทั้งหมดก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์เรือหางยาวของเพื่อนบ้านดังขึ้น ตามด้วยเสียงหวีดร้องของเด็กๆ
“เกิดอะไรขึ้น!” ใครคนหนึ่งร้องถาม แต่ยังไม่ทันได้คำตอบ ทั้งหมดก็ต้องลุกจากที่นั่ง ตาเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นเจ้าของเรือกำลังอุ้มร่างที่โชกไปด้วยเลือดของเด็กชายคนหนึ่งวิ่งมาจากริมน้ำ พอเห็นว่าเป็นใครเท่านั้น ผู้เป็นแม่ถึงกับกรีดร้อง
“นิล!!!”
.....
.....
“นิน เฮ้ย นิน!”
เสียงเรียกเบาๆ จากใครบางคนทำให้ชายหนุ่มที่กำลังตีฟองนมสะดุ้งหลุดจากภวังค์ เขารีบหันไปส่งยิ้มให้ก่อนเทฟองนมใส่กาแฟที่เตรียมไว้ โรยผงชิเนม่อนเล็กน้อยก่อนยื่นให้เพื่อนที่กำลังรอส่งต่อให้ลูกค้า
“คาปูชิโนได้แล้วครับ”
เขาพูดอย่างสุภาพก่อนหันไปทำความสะอาดอุปกรณ์เพื่อเตรียมทำเครื่องดื่มชุดต่อไป เพื่อนที่เรียกเมื่อครู่เลยกระซิบถาม
“เป็นอะไรไปวะ”
“flashback นิดหน่อยน่ะ” นินตอบด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก คนได้ยินตีหน้ามุ่ย
“flash..อะไรวะ? มีสมาธิหน่อยสิ ทำงานอยู่นะโว้ย”
นินไม่ตอบแต่พยักหน้ารับคำเตือนจากเพื่อน ทั้งที่ยังอกสั่นขวัญแขวนอยู่กับภาพอดีต แต่ตอนนี้เขากำลังหน้าที่ของบาริสต้า ซึ่งหากใจลอยอาจผสมสูตรเครื่องดื่มผิด เลยต้องตั้งสติฉีกยิ้มพร้อมกล่าวคำต้อนรับลูกค้าคนใหม่ที่กำลังก้าวเข้ามา
ช่วงเบรก บาริสต้าหนุ่มเดินเข้าไปยังหลังร้านและหยุดยืนมองบอร์ดที่ผู้จัดการมักนำใบแจ้งเตือนหรือประกาศต่างๆ มาติดไว้ให้พนักงานทุกคนอ่าน ตาจ้องตัวอักษรซึ่งบอกถึงรายละเอียดเรื่องการแข่งขันภายในที่ทางบริษัทเพิ่งจะจัดขึ้นเป็นครั้งแรก โดยชักจูงให้พนักงานมีส่วนร่วมด้วยอย่างน้อยสาขาละสองรายการ ซึ่งสาขาที่เขาทำอยู่นั้นมีนักกีฬาเทนนิสอยู่หนึ่งคน ที่เหลือนอกนั้นนอกจากเล่นเกมมือถือกับหมากเก็บฝาน้ำอัดลมแล้ว ไม่มีใครเล่นอะไรเป็นเลย และไอ้เจ้าประกาศแผ่นนี้แหละ คือสาเหตุที่ทำให้ความทรงจำในวัยเด็กอันแสนเลวร้ายหวนกลับคืนมา
“มีอะไรหรือนิน” เสียงของผู้จัดการร้านซึ่งสังเกตเห็นลูกน้องยืนตัวแข็งเป็นหุ่นเอ่ยถาม พลางเดินมาดูประกาศที่อีกฝ่ายให้ความสนใจ “อ้อ การแข่งขันภายในนี่เอง ว่าไงล่ะ ตัดสินใจได้แล้วหรือยัง”
เขาหันไปถามเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายเคยเป็นอดีตนักว่ายน้ำระดับเหรียญทองของโรงเรียน อีกฝ่ายเม้มปากจนเหยียดเป็นเส้นตรงก่อนส่ายหน้า
“พี่ลองไปถามคนอื่นดูก่อนดีกว่าครับ ผมได้ยินมาว่าวันชาติก็พอจะว่ายได้”
“ผมถามแล้ว เจ้าวันมันว่ายเป็นแต่ท่าลูกหมาตกน้ำ ผมเลยต้องตั้งความหวังไว้ที่คุณ” ผู้จัดการร้านพูดอย่างอารมณ์ดี พอไม่ได้ยินคำตอบจากคู่สนทนาเขาก็หันไปมองอย่างสงสัย “เป็นอะไรหรือเปล่า”
คณินทร์ถอนใจออกมาก่อนส่ายหน้า “เปล่าครับ ผมแค่...”
เขาหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเพราะไม่อยากรื้อฟื้นความทรงจำที่น่ากลัวนั้นขึ้นมาอีก แต่ผู้จัดการร้านกลับเข้าใจไปอีกทาง
“ผมรู้แล้ว คุณไม่ได้ว่ายน้ำมานานเลยกลัวว่าตัวจะแข็งจนขยับไม่ได้ เอาอย่างนี้ผมรู้จักสระว่ายน้ำดีๆ อยู่ที่นึง คุณลองไปซ้อมดูก่อนดีไหม ยังมีเวลาอีกตั้งสามเดือนนี่”
คณินทร์อยากปฏิเสธเหลือเกิน แต่สีหน้ากับท่าทางมุ่งมั่นของผู้จัดการทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก มันก็ใช่ที่คำสั่งแบบนี้มันเหมือนกับเป็นการบังคับ แต่การเข้าร่วมกิจกรรมที่ทางบริษัทจัดขึ้นก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน เพราะไม่เพียงของรางวัลที่เป็นตัวเงิน พนักงานทุกคนยังได้สิทธิพิเศษทั้งบัตรฟรีร้านอาหารชื่อดังและตั๋วเครื่องบินไปประเทศญี่ปุ่น ดินแดนที่หลายคนฝันถึง และหากสาขาใดไม่ให้ความร่วมมืออาจถูกผู้ใหญ่มองในแง่ที่ไม่ดีนัก
เขารู้ว่าที่บริษัทจัดรายการนี้ขึ้นมาก็เพื่อความสามัคคีและเป็นการให้กำลังใจต่อพนักงาน แต่เขาเองก็มีเหตุผลส่วนตัว
“ผม...”
“ถ้าเงินไปพอ เดี๋ยวผมออกค่าสมาชิกสระว่ายน้ำให้” ผู้จัดการรีบยื่นข้อเสนอเมื่อเห็นลูกน้องมีท่าทางลังเล คณินทร์รีบโบกมือ
“เปล่าครับพี่ ผมไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น ที่ไม่อยากลงแข่งเพราะ...” เขามุ่นคิ้วเพราะไม่อยากพูดคำว่ากลัว ซึ่งอาจจะทำให้คนตรงหน้าเสียกำลังใจ เลยจำต้องเลี่ยงใช้คำอื่นแทน “ผมไม่ได้ว่ายน้ำมานาน เลยกลัวว่าพอลงสระแล้วจะจมป๋อมไปเลย”
น้ำเสียงที่แม้จะราบเรียบไม่ได้แสดงความรู้สึกใด แต่คนฟังกลับหัวเราะพรวดออกมา
“คุณนี่ตลกเป็นบ้าเลยว่ะนิน แต่ว่ายน้ำเนี่ยพอเป็นแล้ว มันก็ไม่น่าจะลืมไม่ใช่เหรอวะ”
“ถ้าไม่ได้ว่ายนานๆ มันก็ไม่ไหวเหมือนกันนะครับ” บาริสต้าหนุ่มแย้ง ผู้จัดการนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนผงกศีรษะ
“โอเค ผมเข้าใจแล้ว” เขาพูดด้วยท่าทางที่ดูเป็นงานเป็นการขึ้น ทำให้คณินทร์เริ่มโล่งใจเพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่ส่งเขาเข้าร่วมแข่งแล้ว แต่พอได้ยินประโยคต่อมา หัวใจของเขาก็ร่วงลงไปอยู่ตรงตาตุ่ม
“ผมรู้จักโค้ชว่ายน้ำคนนึง จะลองขอให้เขาช่วย”
“ผมต้องทำงานนะครับ” คณินทร์ท้วง และต้องหุบปากยืนนิ่งเมื่ออีกฝ่ายมองเขาด้วยดวงตาที่แสดงความไม่พอใจ
“ผมเป็นผู้จัดการร้านนะครับ เอาเป็นว่าผมจะจัดเวลาให้คุณได้ไปฝึกทุกเย็น เรื่องค่าใช้จ่ายไม่ต้องเป็นห่วง อย่าเบี้ยวก็แล้วกัน”
ปิดท้ายเสียงเข้มแถมส่งสายตาดุจนลูกน้องไม่กล้าขัด พอผู้จัดการเดินออกจากห้องเพื่อไปตรวจร้าน คณินทร์จึงถอนลมหายใจยาว
เลิกงานวันนี้คงต้องไปหาซื้อกางเกงว่ายน้ำแล้ว
คณินทร์ติดสินใจซื้อกางเกงเย็นวันนั้น เพราะคิดว่าเมื่อไม่อาจเลี่ยงเขาก็ต้องหันหน้าสู้ สองวันถัดมาพี่บังเหียน ผู้จัดการร้านจึงบอกแก่เขาว่าติดต่อครูฝึกให้แล้ว และขอร้องเชิงออกคำสั่งให้ลูกน้องไปฝึกโดยบอกสถานที่พร้อมส่งตำแหน่งที่ตั้งให้ทางไลน์เสร็จสรรพ ตกตอนเย็นหลังเลิกงาน บาริสต้าหนุ่มจึงเดินทางไปยังสถานที่นั้นทันที
สระว่ายน้ำที่ผู้จัดการพูดถึง อยู่ไกลจากร้านพอสมควร ซึ่งแม้จะอยู่ในซอยแต่ก็ไม่ได้ลึกมาก แถมยังมีรถประจำทางผ่านหลายสายรวมถึงรถไฟฟ้า ทำให้สะดวกต่อการเดินทาง แต่ที่สร้างความลำบากใจต่อคณินทร์ไม่ใช่ทั้งหมดที่พูดถึง หากเป็นลักษณะของสิ่งที่เขากำลังเห็นตรงหน้าต่างหาก
มันไม่ใช่สระของสโมสรในหมู่บ้าน แต่เป็นโรงเรียนสอนว่ายน้ำชื่อดังแถมมีสระว่ายน้ำขนาดมาตรฐานด้วย!
แค่เห็นสระซึ่งแม้จะอยู่ไกลตัวพอสมควร คณินทร์ก็เกิดอาการขาแข็ง มือสั่น ใจหวิวเหมือนจะเป็นลม เลยทำท่าจะหันหลังกลับ แต่ช้ากว่าเจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่หันมาเห็นเข้าเสียก่อน
“มาติดต่ออะไรหรือคะ” เธอถามพลางไล่สายตาสำรวจไปทั่วร่างของบาริสต้าหนุ่มก่อนจะยิ้มอย่างพึงใจในความหล่อเหลา คณินทร์กลืนน้ำลายลงคอ บังคับตัวเองไม่ให้สั่นขณะเดียวกันก็พยายามไม่มองไปทางสระว่ายน้ำก่อนตอบ
“มาเรียนว่ายน้ำครับ”
“ติดต่อไว้หรือยังคะ” อีกฝ่ายถามเสียงหวานขณะเดินนำไปห้องธุรการ คณินทร์ซึ่งก้าวตามหลังจึงตอบด้วยน้ำเสียงเจือความกังวลเล็กน้อย
“ครับ จองเวลาไว้ในชื่อคุณบังเหียนครับ”
หญิงสาวกดโน้ตบุ๊ก ไล่ดูรายชื่อผู้สมัครที่ยาวเป็นหางว่าว เมื่อพบชื่อตามที่อีกฝ่ายบอกจึงคลี่ยิ้ม
“เจอแล้ว คุณคณินทร์ บวรนันท์ ลงเวลาเรียนช่วงเย็นถึงค่ำ ครั้งละหนึ่งชั่วโมงนะคะ” เธอพูดพลางกดปุ่มเพื่อตรวจค่าใช้จ่ายซึ่งเมื่อพบว่ามีการชำระเงินครบตามจำนวนแล้วจึงละสายตาจากหน้าจอไปจ้องหน้าหล่อๆ ของผู้ชาย “จะเริ่มเรียนวันนี้เลยมั้ยคะ”
มันเป็นคำถามที่สร้างความหนักใจกับคนฟังมาก คณินทร์มองออกไปด้านนอก จ้องสระน้ำซึ่งมีคนหลากหลายทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ชายหญิงกำลังเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน เสียงหัวเราะของเด็กๆ กับหยาดน้ำที่กำลังถูกคนเล่นสาดกระเซ็นไปรอบๆ ทำให้ชายหนุ่มอดนึกภาพเหตุการณ์ในครั้งนั้นขึ้นมาไม่ได้ แต่เมื่อก้าวมาถึงตรงนี้แล้ว เขาก็คงถอยไม่ได้เช่นกัน
“ครับ”
“งั้นเชิญเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเลยค่ะ บัตรสมาชิกของเราเป็นคีย์การ์ดนะคะ คุณสามารถใช้เปิดห้องแต่งตัวได้ ส่วนนี่เป็นกุญแจล็อคเกอร์ค่ะ”
เจ้าหน้าที่สาวอธิบายพร้อมกับส่งการ์ดกับกุญแจให้ คณินทร์กล่าวคำขอบคุณเบาๆ ขณะยื่นมือไปรับ เมื่อเข้าไปในห้องแต่งตัวและเปลี่ยนชุดว่ายน้ำซึ่งเป็นกางเกงขาสั้นแนบตัวแบบสมัยใหม่แล้ว บาริสต้าหนุ่มจึงยืนทำสมาธิพลางพูดให้กำลังใจกับตัวเองว่า ไม่เป็นไร เขาต้องทำได้ สามครั้งก่อนตัดสินใจก้าวออกจากห้อง เดินตรงไปหาเจ้าหน้าที่สาวที่กำลังยืนรออยู่กับผู้ชายตัวดำล่ำใหญ่อีกคน เธอส่งยิ้มหวานหยดย้อยให้ทันที
“เสร็จแล้วหรือคะ เชิญทางนี้เลยค่ะ แววจะขอแนะนำให้รู้จักครูฝึกก่อน” เธอผายมือไปทางบุรุษผู้มีผิวกายคล้ำแดด ตัวใหญ่ทะมึน “โค้ชกระทิงค่ะ”
คณินทร์กล่าวคำทักทายว่า สวัสดีครับ ไปตามมารยาท แต่อีกฝ่ายมองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าก่อนตอบกลับมาอย่างถือตัวว่า สวัสดี
“คอร์สนี้เป็นคอร์สสำหรับคนทำงาน คุณคณินทร์จะมีเพื่อนเรียนด้วยกันทั้งหมดห้าคนนะคะ” หญิงสาวพูดพลางหันไปส่งยิ้มให้กับผู้มาเรียนทั้งห้า ซึ่งทุกคนล้วนเป็นผู้ชายวัยไล่เลี่ยกับบาริสต้าหนุ่ม แถมยังหน้าตาดีราวกับผ่านการคัดเลือกมาอย่างดี ซึ่งพอคณินทร์เข้าไปยืนรวมกลุ่ม กลับกลายเป็นว่าเขาทั้งหล่อและสูงกว่าใคร