เตรียมความพร้อมทั้งกายและใจในการดูแลผู้สูงอายุ

ผมขออนุญาตพิมซ้ำอีกครั้งนะครับ และรวบรวม เป็นหัวกระทู้ เพื่อสะดวกต่อการเสิร์ชเจอของผู้ที่หาทางออกไม่ได้ในการดูแลผู้สูงอายุให้ดีได้อย่างไร
คงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เป็นประโยชน์บ้างนะครับ
จากประสบการณ์โดยตรงของผมและครอบครัวต่ออาม่าของผม ครับ
เหตุการณ์หมาดๆครับ ณ เวลาที่โพสครับ

ในสถานการณ์ที่คุณได้ตัดสินใจดีแล้วและตั้งใจทำหน้าที่กตัญญู ได้กลับมาดูแลผู้สูงอายุที่คุณรัก เป็นสิ่งที่ถูกต้องทั้งทางโลกและทางธรรม
มิฉะนั้นแล้ว คงไม่มีคำกล่าวที่ว่า ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของคนดี ของลูกหลานที่ดี ครับ
ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ที่เหนื่อย ที่ท้อ คุณควรมองโลกในแง่ดีนะครับว่า คุณได้ก้าวผ่านคนหลายคนที่ลังเลและใช้เงินหรือเพิกเฉยความเอาใจใส่ ความรักต่อผู้สูงอายุในช่วงสุดท้ายของชีวิต

ก่อนอื่น ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ผู้สูงอายุ ไม่ว่าจะเป็นพศใดก็ตาม ท่านจะพูดบ่นเสมอครับ อาจจะว่ากล่าวเราแรง บางครั้ง คนเรามีอารมณ์โกรธ โมโหง่าย ต้องคอยระงับจิตใจไว้ให้ได้มากที่สุด อย่าขั้นหลุดคำพูดออกจากปาก  เพราะมันจะทำให้พฤติกรรมไม่ดีแสดงออกมาตามมาอีก เป็นลูกโซ่ครับ
บางที ผุ้สูงอายุ จะบ่นๆว่าๆ ทำหูทวนลมไป  เช่น
กับข้าวไม่อร่อย ไม่ถูกปาก เอาแต่ใจในทุกๆเรื่อง  บ่นเจ็บนุ้นปวดนี้ ตามสังขารนะครับ และเราไม่สามารถรุ้แทนได้ด้วยว่าจริงหรือไม่จริง
ให้ตัดความสงสัยนั้นไปเลยครับ จงทำดีต่อไป ทำดีกับท่าน ตั้งแต่รากฐาน การคิด การพูด การกระทำ แล้วมันจะดีกับตัวเราเอง กับตัวท่านเองด้วยครับ
สุขกายดี สุขภาพจิตดี ทุกอย่างจะแฮปปี้ครับ

เราในฐานะลูกหลานต้องปลอบใจท่านมากๆ  คุยกับท่านมากๆ แสดงออกว่ารักท่านมากๆๆนะครับ
ลองใช้วิธีผมไหมครับ กับอาม่าผมเองครับ

1 ทุกครั้งที่ท่านบ่นอะไรไม่ดี ผมจะยกเก้าอี้มานั่งข้างๆ แล้ว ดูทีวีกับท่าน นั่งคุยกับท่านครับ  ถ้ามีปฎิกริยาโต้ตอบด้วย จะดีมากครับ ผมลองมาแล้ว เท่ากับสุขภาพจิตท่านดีครับ ท่านจะไม่คิดมาก ท่านจะสบายใจ ดูจากการโต้ตอบกับท่านกับเราครับ คุณรู้ไหมครับเพราะอะไร ผมเดาจากสิ่งที่อาม่าผมเป็น คือ ท่านเหงา ท่านเหนื่อย ท่านต้องการใครสักคนที่อยู่กับท่าน ใกล้ๆท่านๆ ครับ ท่านชอบนะเวลามีคนชวนคุย ซึ่งก่อนหน้านี้ ผมเป็นตัวโจ๊กของบ้าน ผมชอบแหย่ๆอาม่าให้แกตีผม สมัยเด็กๆยันโตเลย แกหัวเราะ แกว่าเราเป็นภาษาจีน แต่แกยิ้มทุกครั้งนะครับ มองย้อนกลับไป มันมีความสุขดีครับที่ท่านหัวเราะครับ

2 จากข้อหนึ่ง เวลาท่านโกรธ หงุดหงิดมากๆ  ผมใช้วิธีนี้ครับ
อาม่า ใจเย็นๆนะ  ไปจับแขน จับมือ จับแก้ม เหมือนตอนเด็กๆอาม่าชอบจับแขน จับแขน กอดๆ ผมทำแบบนั้นกลับไปหาท่าน
สิ่งที่ได้คือ ท่านอ่อนลงเยอะเลยครับ ทุกครั้งที่ผมกลับจากทำงาน ผมสวัสดีอาม่า แต่ ผมจะทำตัวตลกๆ บ้าๆบอๆ พอท่านเห็น จะทำหน้าแบบ เมิงทำอะไรของเมิง แต่แกยิ้มนะครับ พอนานไป
นั้นคือ สัญญาณว่า ท่านไม่เหงาครับ มีคนอยุ่ใกล้ๆเค้า ลองให้หลานๆๆ มาพูดคุย มาเจอท่าน จับมือท่านบ้าง จะดีมากครับ
ผมนี้เป็นหลานที่อายุสามสิบอัพแล้ว ผมเลยเอาลูกผม ซึ่งคือ น้องหมา ห้าๆๆ พออาม่าเห็นจะเอาไม้มาตี ซึ่ง ถามว่าทำทำไม ใช่ไหมครับ
นั้นคือ อีกเหตุการณ์ ที่อาม่าเค้าจะจำได้ว่า มีคนคอยเล่นกับท่าน พูดคุยกับท่าน เอาใจใส่ท่านไม่มากก็น้อยครับ

3 ลองหาบทสวดมนต์ตามที่ผู้สูงอายุชอบครับ ไทย จีน มาเลยครับ เปิดฟังทุกครั้ง ทุกเช้า กลางวัน เย้น ก่อนนอน พอท่านฟังบ่อยๆจะสงบมากๆครับ ผมลองมาแล้ว สงบจริงๆครับ

4 .ในสถานการณ์ที่ท่านบ่น เจ้บ ปวดเมื่อย เราลองนวดท่านนะครับ มันไมไ่ด้คลายเจ้บไปมากหรอกครับ แต่การบีบนวดจากลูกจากหลาน หลายๆๆคน ท่านจะเหมือนมียาวิเศษว่า เห้ย กำลังใจมาแล้ว หายแน่นอน มันจะทุเลาไปเยอะมากครับ

5 จากข้อสี่ ก่อนหน้านี้ ท่านเดินด้วยวอคเกอร์ สี่ถึงห้าปี จากผลของการผ่าตัดหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ซึ่งผ่าตัดมาแล้ว เดินได้ปกติ แต่ปฎิกริยาต่างๆไปตามสภาพสังขารของผู้ป่วยที่ชราตามอายุครับ ซึ่งในระยะหลังนี้ ผมกับอาม่า ยังคุยกันปกติ เล่นกันปกติตามที่กล่าวมาข้างต้น
จุดเปลี่ยนคือ
ในจุดจุดนั้น ปีที่แล้ว อาม่าอยู่ดีดีกล้ามเนื้อขาอ่อนแรง ทำให้การเดินมีปัญหา แกเป็นลมหมดสติไปเฉยๆ และพาส่งรพ. พอตรวจเช็คแล้วร่างกายไม่เป็นอะไรเลย แข็งแรงดี ตอนท่านล้ม ทุกอย่างตรวจแล้วโอเคหมด คุยกับท่านได้ปกติ ทั้งกับครอบครัวและกับหมอ  
ป๊าอยากได้คำตอบที่แน่ชัด ว่ามีปัจจัยอื่นๆของโรคชราหรือเปล่า ผิดปกติไหม เลย ไปหาหมอมาหลายที่
การตอบเป็นเสียงเดียวกัน ว่า ปกติดี  แข็งแรง กระดูกไม่มีปัญหาใดใด
แต่สถานการณ์ในตอนนั้นหลังจากไปหาหมอหลายที่ เข้าทำนองว่า ต้องนอนเตียงยาวเพราะ เส้นกล้ามเนื้อตีบ มีปัญหาอะไรสักอย่าง จากผู้เชียวชาญท่านหนึ่งกล่าวไว้  (ผมไม่แน่ใจมากหนัก เพราะ คำตอบของแต่ละรพ. ไม่สามารถรักษาได้เนื่องจากหาสาเหตุที่แน่ชัดไม่ไ้ด้ แปลกดีไหมครับ หมอตรวจแล้วแข็งแรงดีทั้งหมด แล้วจะมีปัญหาใดทำให้อาม่าถึงเดินไมไ่ด้ )
หลังจากกลับจากรพ. ลองให้อาม่าเดินอีกครั้ง ท่านต้องมีคนคอยประคองตลอด ซ้ายขวา หน้าหลัง รวม สี่คน ต่อการเดินไปไหนมาไหน เพราะท่านกลัวจะล้ม กลัวจะลื่น ไม่กล้าเดิน สังเกตุจากการลากเท้าเดิน ผมและครอบครัวก็ช่วยกันประคองท่านเดินในทุกอริยาบถ (ทุกอย่างกินเดินนั่ง เข้าห้องน้ำ อาบน้ำ อึ ฉี่) เป็นเดือนๆ
แต่ อาม่า กลับเดินไม่คล่องนี้สิครับทั้งๆที่หาหมอแล้ว กินยาแล้ว เดินพยุงตัวไมไ่ด้ จึงทำให้ครอบครัวผม ก็เริ่มแบ่งเวลา ช่วยกันพยุงท่านเดิน กิน นั่ง อาบน้ำ อีกหลายวันต่อมา  แต่การตอบสนองทางกล้ามเนื้อขาทั้งสองขากลับแย่ลง แย่ลง จนสุดท้าย อาม่าบอกว่า ไม่อยากเดินแล้ว อาการคือ เห็นชัด ท่านก้าวเท้ายากขึ้น ทิ้งน้ำหนักตัวมาที่คุณที่ช่วยพยุง ซึ่งอาม่าตัวใหญ่นะครับ เราทั้งครอบครัวเลยนั่งคุยกัน คุยกับอาม่าด้วย ปรึกษาหมอด้วย สรุปคือต้องนอนเตียงครับ เพระากล้ามเนื้อต้นขาลงมา ลีบลงลีบลง ครับ
ในปีที่แล้วแถบทั้งปี ครอบครัวผม หนักไปทางป๊าและม้า และพวกผมหลานๆ พลัดเวรกเปลี่ยนกัน ในการเช็ดตัว เปลี่ยนแพมเพิด อึฉี่ ข้าวน้ำตลอด ว่างๆกอเปิดหนังจีน เปิดงิ้วที่แกชอบ จนถึงจุดที่แกไม่อยากดู ผมและพีน้อง ตัดสินใจ เปิดบทสวดมนต์ไทยจีนทุกเวลา เช้ากลางวันเย็นก่อนนอน และ ให้อาม่าฝึกพูด บทสวดมนต์จนแกจำได้นะครับ ติดรูปเจ้าแม่กวนอิมให้อาม่าเห็นตลอดเวลา พอแกมาเห็น จะยกมือไหว้ทุกครั้ง เสมือนเป็นเครื่องเตือนสติแกกับความสงบในพระพุทธศาสนาครับ เข้าไปหยอกล้อเล่นกับแกแบบบ้าๆบอๆ แกจะเอาไม้เกาหลังที่แกชอบ มาตี แต่พวกผมก็ไม่ย้อท้อ เล่นกับแก แกก็แอบยิ้มเล็กๆนะครับ ทุกครั้งทุกคนกลับมาบ้าน ใครจะไปธุระที่ไหนมาไหน จะบอกท่านตลอด ไปที่นี้ๆๆน้า พอกลับมาบ้าน ก็จะสวัสดีแกบอกว่า กลับมาแล้วนะ ซึ่งระยะหลังๆ ผ่านไปหลายเดือน สังเกตุเห็นชัดการโต้ตอบกันจากวันแรกๆเริ่มน้อยลงน้อยลง แต่เราก็เต็มที่ต่อไป ท้อบ้างเหนื่อยบ้างอดทนเอาครับ
( ผมขอตอบสรุปแบบคราวๆ ถ้ามีใครสงสัย ถามได้เลยนะครับ)

หลังจากนอนเตียงยาว ท่านแข็งแรงดี ปกติทุกอย่างในปีที่แล้วทั้งปี
พอมาต้นปีนี้ อยู่ดีดีอาม่าผมเป็นแผลกดทับครับ เริ่มจากแผลเล็กๆ จนเป็นแผลใหญ่ในระดับกลาง ถามหมอแล้ว ให้ดูตามอาการไป บอกวิธีการปฐมพยาบาลที่ถูกต้อง และ เมื่อมีการล้างแผลกดทับ อาม่าจะร้องเจ็บมากตอนป๊าล้างแผล
(การล้างแผล ถูกต้องทุกอย่างแน่นอน เพราะ ป๊ามีเพื่อนเป็นหมอหลายท่าน มีพยาบาลเปป็นเพื่อนป๊าหลายท่านด้วย และตัวผมเอง ก็มีเพื่อนรุ่นน้องหลายท่าน ทำงานด้านการแพทย์และพยาบาล จึงได้เรียนรู้วิธีทุกอย่างในการทำแผลครับ)

พอทำแผล อาม่าก็จะเจ็บ ผมกับพี่น้องผม ม้าและป๊า ก็จะจับมืออาม่าและบอกว่า ไม่เจ็บนะ  ไม่เจ็บนะ แปปเดี๋ยวนะ /
เรามองหน้ากันและกัน แปปเดียวเด๋วกอหาย  
ซึ่งได้ผลนะครับ ท่านไม่ร้อง เพราะอะไรครับ กำลังใจไงครับ สิ่งสำคัญที่สุด จะหลานทั้งสามคน คนไหนเข้าไป หรือ ป๊าม้าเองบอก ท่านจะมองหน้าเราและจะไม่เจ็บเมื่อมีการทำแผล มันคือสิ่งมศัศจรรย์ของกำลังใจครับ ซึ่งแผลนั้น บอกได้เลย ว่า น่ากลัวมากครับ แต่ท่านสู้มากครับ จากกำลังใจเราทุกคนในครอบครัวครับ

ถ้าใครอ่านมาถึงจุดนี้ คุณต้องสู้ครับ คุณต้องเข้มแข็ง คุณต้องร่าเริง คุณต้องอ่อนโยน
บางทีผมและพี่น้องๆเหนื่อยจากงานมามาก แต่พอเข้าไปหาอาม่า ผมเปลี่ยนโหมต เป็นคนร่าเริงเลยนะครับ ในบั้นปลายสุดท้ายของอาม่า
ขณะที่ป๊ากับม้า งานหนักสุด เพราะในช่วงเราทำงาน ท่านสองคนต้องดูแลอาม่า เราพี่น้องจะมาเกี่ยงกันไมไ่ด้ ก็ต้องช่วยกันทุกคน เพราะอาม่าเราเอง
ทุกครั้ง เวลาไปทำบุญ ทุกคนในบ้านก็บอกให้อาม่าอธิษฐานนะ อนุโมทนาบุญกับเรานะ เพราะผมเชื่อเรื่องการทำบุญ และเวลาไหว้พระ ผมจะบอกทุกครั้งว่า ขอให้อาม่าแข็งแรงๆ หายไวไว ตลอดครับ
(ผมทำบุญทุกรูปแบบ ไหว้พระ ไหว้เจ้า สวดมนต์ทำวัตรเย็น ถวายบทสวดมนต์ที่วัด  ใส่บาตร ทำสังฆทาน ทำทาน ให้อาหารวัว ปลา แจกของวันเด็ก และสำคัญที่สุด ได้ช่วยแจกอาหารที่สนามหลวงหลายรอบอยู่ และทุกครั้งที่ทำบุญอะไรไป ก้อจะบอกอาม่าตลอดว่า อาม่า อาม่า หลานไปทำบุญ.....อันนี้อันนี้นะ .... สาธุนะ สาธุ อาม่ายกมือขึ้น สาธุตลอด)

ถึงจุดจุดนี้ ผมและครอบครัว อยากทำอะไรก็เต็มที่ ใครติดธุระอะไร ก็พลัดเปลี่ยนกันดูแลอาม่าให้เต็มที่สุด

แต่จุดจุดนึง ที่ผมไม่อยากได้รับรุ้ก็มาถึง ผมใจหายมาก อาม่าเสียแล้ว อาม่าหลับสบายแล้ว ผมยังทำใจไมไ่ด้ เพราะเกิดขึ้นเร็วมาก
ผมและครอบครัวผม เสียใจมากที่อาม่าจากไป วันแรกที่อาม่าเสีย ผมรีบนิมนต์พระทันทีเช้ามืด เพื่อทำบุญสังฆทานให้ทันต่อบุญสุดท้ายที่อาม่าเอาไปได้ ผมยังคงร้องไห้ คิดถึงอาม่าเสมอ และ บอกต่อหน้ารูปอาม่าว่า อาม่าหลับสบายแบบกระทันหันไปนะ หลานทำใจไมไ่ด้อยู่

แต่ผมดีใจที่ผมเต็มที่กับการดูแลท่านในยามสุดท้าย ไม่เสียดายที่เราเหนื่อยบ้าง หงุดหงิดบ้าง แต่เราอดทนและปฎิบัติดีกับท่านมาตลอด
(มีคนในพันทิพหลายคนที่รู้จักผม จะทราบดีว่า ผมได้ทำอะไรมาบ้าง ในเรื่องการดูแลอาม่า)

ตอนนี้ มองไปที่เตียงนอน มองไปที่ชามข้าว มองไปที่แก้วน้ำ มองไปที่เก้าอี้ที่เค้าชอบนั่ง ไม่มีแล้วนะครับ มันคือคามว่างเปล่าไปแล้ว
ผมยังคงคิดถึง และพูดคุยกับรูปของอาม่าทุกเช้า ว่า
อาม่า อาม่า อาตี๋มาแล้วนะ มาหวัดดีตอนเช้าอาม่า
อาม่า อาม่า เด๋วอั้วไปใส่บาตรนะ อาม่ามารับบุญด้วยนะ
ผมตั้งใจในหลายเดือนนี้ จะยังคงทำบุญให้อาม่าตลอด ถึงแม้ท่านจะอยู่อีกภพภูมินึงแล้วก็ตาม
อยากให้อาม่าได้บุญติดตัวไปเรื่อยๆ ในฐานะหลาน คงส่งผลบุญให้อาม่าได้ในชาตินี้


สิ่งที่ผมอยากเตือนสติทุกคน ซึ่งผมไม่ต้องเอามาแชร์กอได้ (ผมเกรงว่า คนจะไม่เชื่อ แต่คุณเชื่อผมเถอะครับ ผมมาบอกกล่าวคนที่ได้อ่านนี้ อยากให้ทุกคนได้ประโยชน์ ได้มีกำลังใจจริงๆ)  ซึ่งมีรุ่นน้องหลายคนบอก พี่แชร์เถอะ จะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆคนไทยด้วยกัน ที่ดูแลบุพการีผู้สูงอายุ และอยากให้วิธีการดูแล การให้กำลังใจ และจงเชื่อมั่นในการทำความดี ใครทำใครได้ ใครไม่ทำช่างเขา ผมบอกเลย

คุณคุณครับ
จงนำสิ่งที่ผมแนะนำ ไปใช้ให้ได้ประโยชน์ไม่มากก้น้อยนะครับ
ชีวิตมนุษย์ เกิด แก่ เจ็บ และ จากไป มีกันทุกคน แต่
ถ้าคุณเต็มที่กับผู้สุงอายุที่คุณรักแล้ว
คุณจะไม่เสียดายอะไรอีกแล้ว เพราะคุณทำเต็มที่ที่สุดแล้วครับ
ผมยังเสียดายบางสิ่งหลายเรื่องที่คุยกับอาม่าผมไว้ ......
แต่ด้วยเบื้องบนลิขิตไว้แล้ว เราต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น

แต่คุณ คุณ ทั้งหลาย ยังสามารถทำในสิ่งที่ใจคุณลึกๆด้านดีดี ยังทำเพื่อท่านได้อีกมากมายที่ดีดี
ลองดูใหม่ ลองสักตั้ง แล้วคุณเต็มที่กับท่านแล้ว เมื่อคุณมาถึงจุดที่ผมประสบอยู่ คุณจะไม่เสียดายอะไรอีกแล้วครับ

และ
ผมบอกอาม่าต่อหน้า.......ที่วัดแล้วว่า จะเล่าสู่เป็นอุทาหรณ์แก่เพื่อนมนุษย์ ที่เคยประสบเหมือนๆกับผม

ความกตัญญู เป็นเครื่องหมายของคนดี
บุพการีของคุณ ทุกคนต้องกตัญญูท่าน
นี้คือ คำกล่าวของพระพี่เลี้ยง ที่ผมบวชมาเมื่อหลายปีก่อนที่ผมบวชให้อาม่าผม มันชัดเจนที่สุดครับ

จงทำสิ่งดีดีให้ท่านก่อนจะสายเกินไป  อย่ารีรอ อย่าเดี๋ยวก่อน Let's Do it now
ถ้าคิดช้า ถ้าสายกินไป คุณจะโทษตัวเอง ติดในใจคุณไปตลอด

ฝากไว้ให้ได้คิดครับ

ขอบคุณครับที่อ่านจนจบครับ

จากหลานทั้งสาม ที่รักอาม่าที่สุดครับ

หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับเพื่อเป็นสิ่งเตือนใจและกำลังใจสำหรับทุกคนที่กตัญญูครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่