บูมเมอร์ มักให้ความสำคัญกับความอดทน การรักองค์กร การทำงานหนัก ใครที่ทำงานหนักมากๆ คือคนที่ดี ใครที่ลาบ่อยแม้จะมีสิทธิ์ลาได้ มักจะถูกมองว่าเห็นแก่ตัว การทำโอที ไม่ต้องมีเงินให้ก็ต้องทำเพราะมันแสดงให้เห็นถึงความทุ่มเท
รวมถึง การใช้ชีวิต บูมเมอร์ สอนให้อดทน พยายาม แม้จะลำบากเช่น การเดินทางรถติด ใช้เวลา หรือ เสียงดังรบกวนแต่ก็ถือเป็นบททดสอบให้เราปรับตัวอยู่กับเพื่อนบ้านได้
ที่สำคัญ บูมเมอร์ ชื่นชมและรักใคร่ใน"คนดี" ตามแบบฉบับที่กล่าวมา โดยเพิ่มเติมคือ เสียสละ ซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา ยอมทำงานหนัก แบกงานหนัก เห็นคนทำงานหนักแล้วชื่นชม ทั้งที่ผลของงาน ไม่ได้เรื่อง ไม่มีความสามารถ มีแต่ความทุ่มเทให้เห็น
บูมเมอร์พวกนี้ ณ วันนี้ หมดสภาพการจัดการ การบริหาร ใดๆของตัวเองในสังคมไปแล้ว แต่ยังยึดติดบทบาทเดิมที่เคยเป็น โดยเฉพาะบูมเมอร์ที่ประสบความสำเร็จมาก่อน เช่น เป็นผู้บริหาร เป็นเจ้าของกิจการที่สร้างตัวมามั่งคั่งได้ เป็นข้าราชการระดับสูง พวกเขา ยังติดอยู่กับเวลารุ่งโรจน์ของตนเอง ซึ่ง กลุ่มที่เป็นเอาหนักที่สคุดคือ ข้าราชการเกษียณทั้งหลาย ยิ่งยศ ตำแหน่งสูง มีสายสะพาย จะยิ่งคิดว่า โลกทั้งโลกนี้ อยู่ในสายตาของเขาเสมอ อะไรที่ไม่ชอบมาพากล ทั้งเรื่องส่วนตัวในครอบครัว ไปจนเรื่องใหญ่ระดับสังคมรวม มักเข้าไปมีบทบาท จับกลุ่มกันกับกลุ่มคนแบบเดียวกัน ผ่าน โซเชียลเฉพาะกลุ่มที่มีแต่สติ๊คเกอร์สวัสดีวันต่างๆ และ ส่งรูปพระอวยพร กับบทสวดมนต์ก่อนนอน
ปัญหาที่เจอได้ ทั้งในบ้าน และ สังคมวงกว้าง
บูมเมอร์ ที่หมดสภาพไปแล้ว เกษียณมา 20 ปีไปแล้ว ยังนึกว่าตัวเองอยู่บนเก้าอี้ ยังเป็นท่าน ยังเป็นคุณ กันอยู่ แล้วมาจัดการ แทรกแซง ลูกหลาน
gen X ที่ตอนนี้ก็เข้าวัยกลางคนไปจนจะเกษียณ ต้องปวดหัว กับการเข้ามาวุ่นวายของบูมเมอร์ ถ้าใครมีลูก ต้องได้เคยสัมผัสกับการขัดแย้งในการเลี้ยงลูกของพวกเขา กับปู่ย่าตายาย บูมเมอร์
gen Y ที่กำลังทำงานขยับขึ้นมาระดับสูง กำลังมีบทบาทในงาน ในครอบครัว เริ่มเจออากง อาม่า อาเจ็ก อาแปะ คอยกดดัน แม้จะกำลังเข้าช่วงพีคของวัยแต่ก็มีจำนวนน้อย การจะเปลี่ยนวัฒนธรรมบางอย่างทำได้ยาก โอทีต้องมีเงินให้ ลาครบสิทธิ์ตราบที่งานยังไม่เสีย มาตรงเวลา กลับตรงเวลา ไม่ขอทนกับสภาพรอบตัวถ้าเ)็นสิทธิ์ตัวเอง เหล่านี้ มักกระทบกระทั่งกับบูมเมอร์อย่างมาก
gen Z ที่ยังเด็ก เพิ่งพ้นวัยเยาว์เข้าสู่การเป็นวัยรุ่น เป็นผู้ใหญ่ พวกนี้คือ หลานๆของบูมเมอร์ ที่โตมากับความสับสนของระบบความคิด ในขณะที่คนแก่ในบ้านสอนไว้แบบนึง แต่โลกเป็นอีกแบบ พ่อแม่ น้าอา สอนอีกแบบ ครูสอนอีกแบบ แต่บูมเมอร์ ก็ยังจะสอนแบบของตัวเอง
ใครเคยเจอปัญหาแบบนี้บ้าง
ปู่ย่าตายาย พยายามมาแทรกแซงการสอนหนังสือของโรงเรียน ของครูผู้น้อยอายุไม่มาก ว่าหลักสูตรการสอนไม่เหมือนเดิม ทำไมไม่ให้ท่อง คัด ทำไมไม่มีการเข้าแถวสวดมนต์ตอนเช้า
ป้าแถวบ้าน เลี้ยงหมามากมาย เสียงดัง แถมยังเผื่อแผ่เอาอาหารมาวางหน้าบ้านให้หมาจร ด้วยใจบุญ ใครไปไล่ ไปว่าก็หาว่าใจมารใจบาป หมาจรน่ารักจะตายแม้มันจะไปขรี้หน้าบ้านคนอื่น ก็หมามันจะไปรู้เรื่องอะไร
ลุงแถวบ้าน เป็นลุงคนดีของหมู่บ้าน เดินตรวจตราแทน รปภ มีบทบาทไปหมด วันพระ วันฉลอง ช่างจัดเหลือเกิน ไม่ใช่กรรมการของนิติบุคคลแต่จัดการทุกเรื่อง ถังขยะต้องวางข้างนี้ บ้านที่มี EV ต้องมีถังดับเพลิงหน้าบ้าน มาเดินติดธงหน้าบ้านคนอื่น รวมพลังสู้เขมร
อาซิ่มที่ซ่อมบ้านทั้งปีทั้งชาติ เดี๋ยวทาสี เดี๋ยวทำกันสาด เดี๋ยวรื้อกำแพงทรุด เดี๋ยวซ่อมหลังคา ทำสายไฟใหม่ มีช่างมาตลอดว่างเว้นได้ไม่เกินเดือน เจาะทุบอุปกรณ์ก่อสร้างกองเต็มลามมาหน้าบ้านในส่วนกลาง คนรอบข้างรำคาญแต่ก็ไม่ฟัง คิดว่าตัวเองคือยอดนักดูแลบ้าน ค่อยๆทำ จ้างช่างมารายวันราคาไม่แพง แต่พอบ้านเราจ้างรับเหมามาทำงานใหญ่ มาบ่นว่า สเียงดังมาก บ้านสั่น ฝุ่นเยอะ ทั้งๆที่เราก็คลุมไซท์งานตลอด ฉีดละอองน้ำรอบไซท์งาน ต่างกับแกที่ไม่มีระบบอะไรเลย ร้องเรียน แจ้งเขตุก็เอาไปนินทาว่าเราใจดำ
.......................
ยังมีอีกมากมาย ที่ มานึกทบทวน บูมเมอร์ คือกลุ่มคนที่ทำให้บ้านเมืองเจริญช้า เพียงเพราะตัวเองยังยึดติดในอำนาจ ในบารมี ในวันเวลาเก่าๆของตัวเอง แต่ โลกช่วง 20 ปีมานี้ หลัง 2000s เปลี่ยนแปลงไวมาก ไวกว่าช่วงเวลา 1950s-90s
การมาของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ที่ทุกสำนักงานต้องมีใช้ การมาของอินเทอร์เน็ทที่เชื่อมโยงโลกทั้งใบ ส่งต่อไปสู่อุปกรณ์สมาร์ทต่างๆทำให้สังคมไม่เหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว บูมเมอร์คือกลุ่มคนที่ ออกจากระบบการทำงาน การจัดการ การบริหารไปในช่วงเวลาที่อุปกรณ์สมาร์ททั้งหลายเข้ามามีบทบาทในสังคมอย่างแพร่หลายในช่วง 2010s
ใคร มีพื้นฐานมาดีจากการทำงาน ทันการเปลี่ยนแปลงช่วงท้ายก็ดีไป ใครไม่ทัน หรือทำงานที่ไม่อัพเดทตัวเอง กลัวระบบพวกนี้ ใช้เลขาเช็คอีเมล เรียกเด็กๆมาปรินท์เอกสารจากคอมฯให้ขนเกษียณ ทุกวันนี้ ก็ปรับตัวกับโลกไม่ได้ ใช้อุปกรณ์ไม่เป็น
กลุ่มบูมเมอร์ที่เคยรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน ร่ำรวยจากวิธีการของตัวเอง มีรูปติดสายสะพาย มีป้ายตราเครื่องประดับชั้นสูงแขวนที่ฝาบ้าน มองลูกหลาน มองคนรุ่นใหม่ในสังคมทำงาน จัดการ บริหาร แล้วหากมีโอกาส จะต้องเข้ามาแทรกแซงเสมอ มันไม่เข้าตา ไม่ถูกใจ ทั้งๆที่ เค้าก็อยู่ของเค้า ทำของเค้าได้ แต่ ไม่ถูกใจที่ทำไม ทำงานไม่หนักเหมือนพวกตนในวันวาน ทำไมไม่อดทนลำบากแบบวันเก่าๆของตัวเอง ทำไมไม่เสียสละ ทำไมไม่รัก ไม่เป็นคนดีกับองค์กร
มีบูมเมอร์น้อยมาก ที่จะหัวก้าวหน้าทันสมัย หรือ ปล่อยวางเรื่องเหล่านี้แล้วชีวิตมีสุขไปตามอัตถภาพได้ จะถูกใจหรือไม่ แต่ไม่ยุ่งเกี่ยวเพราะคิดว่า หมดเวลาของตนแล้ว วันนี้คือเวลาของเด็กๆ ของคนรุ่นใหม่ ของลูก ของหลาน เหนื่อยมาเยอะ ขอพักบ้าง
ในสภาพสังคม เศรษฐกิจเช่นนี้ บูมเมอร์ยังไม่รู้ว่า พวกเขาคือภาระที่สังคมต้องแบกไว้ ทั้งสวัสดิการ เบี้ยสูงอายุ ค่ารักษาพยาบาลตามสิทธิ์
แค่ปากท้องตัวเอง คนรุ่นใหม่ ก็เอาตัวจะไม่รอด แต่ บูมเมอร์ คาดหวังให้ลูกหลานต้องมาเลี้ยงดูยามแก่เฒ่า
ทั้งๆที่ทุกอย่างที่เ)็นตอนนี้ ก็คือ ผลของการตัดสินใจ การกระทำของพวกบูมเมอร์มาก่อนทั้งนั้น
บูมเมอร์คืออุปสรรคความเจริญ จริงมั้ย
รวมถึง การใช้ชีวิต บูมเมอร์ สอนให้อดทน พยายาม แม้จะลำบากเช่น การเดินทางรถติด ใช้เวลา หรือ เสียงดังรบกวนแต่ก็ถือเป็นบททดสอบให้เราปรับตัวอยู่กับเพื่อนบ้านได้
ที่สำคัญ บูมเมอร์ ชื่นชมและรักใคร่ใน"คนดี" ตามแบบฉบับที่กล่าวมา โดยเพิ่มเติมคือ เสียสละ ซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา ยอมทำงานหนัก แบกงานหนัก เห็นคนทำงานหนักแล้วชื่นชม ทั้งที่ผลของงาน ไม่ได้เรื่อง ไม่มีความสามารถ มีแต่ความทุ่มเทให้เห็น
บูมเมอร์พวกนี้ ณ วันนี้ หมดสภาพการจัดการ การบริหาร ใดๆของตัวเองในสังคมไปแล้ว แต่ยังยึดติดบทบาทเดิมที่เคยเป็น โดยเฉพาะบูมเมอร์ที่ประสบความสำเร็จมาก่อน เช่น เป็นผู้บริหาร เป็นเจ้าของกิจการที่สร้างตัวมามั่งคั่งได้ เป็นข้าราชการระดับสูง พวกเขา ยังติดอยู่กับเวลารุ่งโรจน์ของตนเอง ซึ่ง กลุ่มที่เป็นเอาหนักที่สคุดคือ ข้าราชการเกษียณทั้งหลาย ยิ่งยศ ตำแหน่งสูง มีสายสะพาย จะยิ่งคิดว่า โลกทั้งโลกนี้ อยู่ในสายตาของเขาเสมอ อะไรที่ไม่ชอบมาพากล ทั้งเรื่องส่วนตัวในครอบครัว ไปจนเรื่องใหญ่ระดับสังคมรวม มักเข้าไปมีบทบาท จับกลุ่มกันกับกลุ่มคนแบบเดียวกัน ผ่าน โซเชียลเฉพาะกลุ่มที่มีแต่สติ๊คเกอร์สวัสดีวันต่างๆ และ ส่งรูปพระอวยพร กับบทสวดมนต์ก่อนนอน
ปัญหาที่เจอได้ ทั้งในบ้าน และ สังคมวงกว้าง
บูมเมอร์ ที่หมดสภาพไปแล้ว เกษียณมา 20 ปีไปแล้ว ยังนึกว่าตัวเองอยู่บนเก้าอี้ ยังเป็นท่าน ยังเป็นคุณ กันอยู่ แล้วมาจัดการ แทรกแซง ลูกหลาน
gen X ที่ตอนนี้ก็เข้าวัยกลางคนไปจนจะเกษียณ ต้องปวดหัว กับการเข้ามาวุ่นวายของบูมเมอร์ ถ้าใครมีลูก ต้องได้เคยสัมผัสกับการขัดแย้งในการเลี้ยงลูกของพวกเขา กับปู่ย่าตายาย บูมเมอร์
gen Y ที่กำลังทำงานขยับขึ้นมาระดับสูง กำลังมีบทบาทในงาน ในครอบครัว เริ่มเจออากง อาม่า อาเจ็ก อาแปะ คอยกดดัน แม้จะกำลังเข้าช่วงพีคของวัยแต่ก็มีจำนวนน้อย การจะเปลี่ยนวัฒนธรรมบางอย่างทำได้ยาก โอทีต้องมีเงินให้ ลาครบสิทธิ์ตราบที่งานยังไม่เสีย มาตรงเวลา กลับตรงเวลา ไม่ขอทนกับสภาพรอบตัวถ้าเ)็นสิทธิ์ตัวเอง เหล่านี้ มักกระทบกระทั่งกับบูมเมอร์อย่างมาก
gen Z ที่ยังเด็ก เพิ่งพ้นวัยเยาว์เข้าสู่การเป็นวัยรุ่น เป็นผู้ใหญ่ พวกนี้คือ หลานๆของบูมเมอร์ ที่โตมากับความสับสนของระบบความคิด ในขณะที่คนแก่ในบ้านสอนไว้แบบนึง แต่โลกเป็นอีกแบบ พ่อแม่ น้าอา สอนอีกแบบ ครูสอนอีกแบบ แต่บูมเมอร์ ก็ยังจะสอนแบบของตัวเอง
ใครเคยเจอปัญหาแบบนี้บ้าง
ปู่ย่าตายาย พยายามมาแทรกแซงการสอนหนังสือของโรงเรียน ของครูผู้น้อยอายุไม่มาก ว่าหลักสูตรการสอนไม่เหมือนเดิม ทำไมไม่ให้ท่อง คัด ทำไมไม่มีการเข้าแถวสวดมนต์ตอนเช้า
ป้าแถวบ้าน เลี้ยงหมามากมาย เสียงดัง แถมยังเผื่อแผ่เอาอาหารมาวางหน้าบ้านให้หมาจร ด้วยใจบุญ ใครไปไล่ ไปว่าก็หาว่าใจมารใจบาป หมาจรน่ารักจะตายแม้มันจะไปขรี้หน้าบ้านคนอื่น ก็หมามันจะไปรู้เรื่องอะไร
ลุงแถวบ้าน เป็นลุงคนดีของหมู่บ้าน เดินตรวจตราแทน รปภ มีบทบาทไปหมด วันพระ วันฉลอง ช่างจัดเหลือเกิน ไม่ใช่กรรมการของนิติบุคคลแต่จัดการทุกเรื่อง ถังขยะต้องวางข้างนี้ บ้านที่มี EV ต้องมีถังดับเพลิงหน้าบ้าน มาเดินติดธงหน้าบ้านคนอื่น รวมพลังสู้เขมร
อาซิ่มที่ซ่อมบ้านทั้งปีทั้งชาติ เดี๋ยวทาสี เดี๋ยวทำกันสาด เดี๋ยวรื้อกำแพงทรุด เดี๋ยวซ่อมหลังคา ทำสายไฟใหม่ มีช่างมาตลอดว่างเว้นได้ไม่เกินเดือน เจาะทุบอุปกรณ์ก่อสร้างกองเต็มลามมาหน้าบ้านในส่วนกลาง คนรอบข้างรำคาญแต่ก็ไม่ฟัง คิดว่าตัวเองคือยอดนักดูแลบ้าน ค่อยๆทำ จ้างช่างมารายวันราคาไม่แพง แต่พอบ้านเราจ้างรับเหมามาทำงานใหญ่ มาบ่นว่า สเียงดังมาก บ้านสั่น ฝุ่นเยอะ ทั้งๆที่เราก็คลุมไซท์งานตลอด ฉีดละอองน้ำรอบไซท์งาน ต่างกับแกที่ไม่มีระบบอะไรเลย ร้องเรียน แจ้งเขตุก็เอาไปนินทาว่าเราใจดำ
.......................
ยังมีอีกมากมาย ที่ มานึกทบทวน บูมเมอร์ คือกลุ่มคนที่ทำให้บ้านเมืองเจริญช้า เพียงเพราะตัวเองยังยึดติดในอำนาจ ในบารมี ในวันเวลาเก่าๆของตัวเอง แต่ โลกช่วง 20 ปีมานี้ หลัง 2000s เปลี่ยนแปลงไวมาก ไวกว่าช่วงเวลา 1950s-90s
การมาของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ที่ทุกสำนักงานต้องมีใช้ การมาของอินเทอร์เน็ทที่เชื่อมโยงโลกทั้งใบ ส่งต่อไปสู่อุปกรณ์สมาร์ทต่างๆทำให้สังคมไม่เหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว บูมเมอร์คือกลุ่มคนที่ ออกจากระบบการทำงาน การจัดการ การบริหารไปในช่วงเวลาที่อุปกรณ์สมาร์ททั้งหลายเข้ามามีบทบาทในสังคมอย่างแพร่หลายในช่วง 2010s
ใคร มีพื้นฐานมาดีจากการทำงาน ทันการเปลี่ยนแปลงช่วงท้ายก็ดีไป ใครไม่ทัน หรือทำงานที่ไม่อัพเดทตัวเอง กลัวระบบพวกนี้ ใช้เลขาเช็คอีเมล เรียกเด็กๆมาปรินท์เอกสารจากคอมฯให้ขนเกษียณ ทุกวันนี้ ก็ปรับตัวกับโลกไม่ได้ ใช้อุปกรณ์ไม่เป็น
กลุ่มบูมเมอร์ที่เคยรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน ร่ำรวยจากวิธีการของตัวเอง มีรูปติดสายสะพาย มีป้ายตราเครื่องประดับชั้นสูงแขวนที่ฝาบ้าน มองลูกหลาน มองคนรุ่นใหม่ในสังคมทำงาน จัดการ บริหาร แล้วหากมีโอกาส จะต้องเข้ามาแทรกแซงเสมอ มันไม่เข้าตา ไม่ถูกใจ ทั้งๆที่ เค้าก็อยู่ของเค้า ทำของเค้าได้ แต่ ไม่ถูกใจที่ทำไม ทำงานไม่หนักเหมือนพวกตนในวันวาน ทำไมไม่อดทนลำบากแบบวันเก่าๆของตัวเอง ทำไมไม่เสียสละ ทำไมไม่รัก ไม่เป็นคนดีกับองค์กร
มีบูมเมอร์น้อยมาก ที่จะหัวก้าวหน้าทันสมัย หรือ ปล่อยวางเรื่องเหล่านี้แล้วชีวิตมีสุขไปตามอัตถภาพได้ จะถูกใจหรือไม่ แต่ไม่ยุ่งเกี่ยวเพราะคิดว่า หมดเวลาของตนแล้ว วันนี้คือเวลาของเด็กๆ ของคนรุ่นใหม่ ของลูก ของหลาน เหนื่อยมาเยอะ ขอพักบ้าง
ในสภาพสังคม เศรษฐกิจเช่นนี้ บูมเมอร์ยังไม่รู้ว่า พวกเขาคือภาระที่สังคมต้องแบกไว้ ทั้งสวัสดิการ เบี้ยสูงอายุ ค่ารักษาพยาบาลตามสิทธิ์
แค่ปากท้องตัวเอง คนรุ่นใหม่ ก็เอาตัวจะไม่รอด แต่ บูมเมอร์ คาดหวังให้ลูกหลานต้องมาเลี้ยงดูยามแก่เฒ่า
ทั้งๆที่ทุกอย่างที่เ)็นตอนนี้ ก็คือ ผลของการตัดสินใจ การกระทำของพวกบูมเมอร์มาก่อนทั้งนั้น