สำหรับกระทู้นี้ เราจะมาบอกเล่า นิมิต ความฝัน การถอดจิต กายทิพย์ ที่เพิ่งเกิดขึ้นกับเราเมื่อคืนนี้ หลังจากที่เราห่างหายจากการเขียนกระทู้ไปนานเกี่ยวกับเรื่องประมาณนี้
ซึ่งกระทู้ ถอดจิต กายทิพย์ ภาค 2 เราได้เขียนบอกเล่าว่าเราเกิดสภาวะนึงที่ทำให้เราคิดว่า เราจะไม่มีอาการเช่นนี้อีกแล้ว ซึ่งเราก็ไม่ได้ยึดติด คิดวิตก หรือกังวลอะไร เราก็ดำเนินชีวิตไปตามปกติธรรมดาเหมือนที่เราทำอยู่ก่อนหน้านี้ เพราะเราคิดว่ามัน ดีแล้ว
จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ มีบางอย่างรบกวนจิตใจเราอย่างหนัก ทำให้เราอยู่ไม่สุข จิตตก จิตใจว้าวุ่น คิดฟุ้งซ่าน ในจิตคิดแค่ว่า เราจะต้องออกบวช บวชชี ตลอดชีวิต คิดอยู่เช่นนั้น วกมาวนไป จิตใจไม่สงบ
จนกระทั่งเรากลับมาสวดมนต์ก่อนนอนอีกครั้ง หลังจากที่เราได้ห่างหายจากการสวดมนต์ไปนานมาก เราคิดว่าประมาณ 6-7 ปีได้ ที่เราทิ้งการสวดมนต์ไป
ช่วงที่เรามีอาการจิตตก กระวนกระวาย ฟุ้งซ่าน ในจิตคิดแต่จะหนีสิ่งที่มารบกวนจิตใจโดยการหนีไปบวชชี บวชแบบตลอดชีวิต เราก็นึกถึงครูบาอาจารย์ ขอบารมีท่านให้ช่วยเรา
แล้วเราก็ได้ไปวัดใกล้บ้าน ไปทำบุญ ไปสนทนาธรรมกับพระอาจารย์รูปหนึ่งในวัด จิตใจก็สงบลง และได้นำหนังสือสวดมนต์กลับมาบ้าน และเริ่มสวดมนต์ก่อนนอนอีกครั้ง
ครั้งนี้เราสอนให้ลูกสาวคนโตที่อายุประมาณ 9 ขวบ ของเราสวดด้วย และเขาก็สวดได้และทำได้ดีเลยทีเดียว เรากับลูกก็สวดมนต์ก่อนนอนทุกคืนมาได้สักระยะ ประมาณ 2 อาทิตย์
เรามีอาการป่วย เหมือนเป็นหวัด ไข้หวัดใหญ่ธรรมดา แต่ก่อนที่เราจะป่วย ทุกคนในบ้านป่วยเหมือนกันในเวลาไล่เลี่ยกัน
เริ่มแรกสามีเราป่วยก่อน นอนซม ทั้งวัน 1 วัน 1 คืนเต็มๆ ไม่ได้กินอะไรเลย เขาบอกว่าตอนที่เขานอนป่วยอยู่ เขากลัวมากคิดว่าจะไม่รอดแล้ว แต่รุ่งเช้าตื่นขึ้นมากลับหายสนิท
พอสามีเราหาย ถัดมาลูกสาวเราก็ป่วย อาเจียน นอนซม กินไม่ได้อยู่ 1 วันเต็มๆเช่นกัน แล้วก็กลายเป็นปลิดทิ้งในวันรุ่งขึ้น
แล้วเราก็ป่วยตามหลังมาติดๆ เมื่อวานทั้งวันเรานอนซม เหมือนคนป่วยหนัก กินไม่ได้ แล้วเมื่อคืนที่ผ่านมาเราก็เข้านอนเหมือนปกติ
ซึ่งทุกคืนก่อนนอนเราจะตั้งสติ จิตเป็นสมาธิ ระลึกและคิดอยู่เสมอว่า วันนี้ คืนนี้ เราจะมีชีวิตอยู่เป็นวันสุดท้าย พรุ่งนี้เราจะไม่ตื่นลืมตาขึ้นมาอีกแล้วอยู่เสมอ
แล้วเมื่อคืน จิต หรือกายทิพย์ของเราก็ออกไปข้างนอก เหมือนฝันแต่ไม่ใช่ฝัน เรามีสติดีทุกอย่าง ตอนที่ จิตเราออกไป และกลับมา
เราไปเห็นตัวเองอยู่ที่สถานที่นึง รอบๆตัวเรามีคนอยู่มากมาย ใส่ชุดสีขาว บางคนตัวเป็นคนแต่หัวเป็นสัตว์ มีทั้ง หมา แมว วัว และสัตว์อื่นๆ กำลังรอคอยบางอย่างอยู่ด้วยกัน
ณ ที่นั่น ตอนนั้นกลับไม่มีใครรู้สึกแปลกแยกหรือแตกต่างจากคนอื่นๆ ทั้งที่แต่ละคนต่างก็มีหัวที่แปลกประหลาดแตกต่างกันออกไป เราเองก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน
ข้างหน้าของเรามองเห็นเป็นตึกอาคารสีขาว มีผู้หญิงหรือผู้ชาย ไม่แน่ใจ ใส่ชุดคลุมสีดำ คอยจัดระเบียบพวกเราที่ยืนคอยอยู่ให้ขึ้นไปบนอาคารนั้นทีละคน ทีละคน
พอใกล้จะถึงคิวเรา กลับมีเสียงเรียกจากด้านข้าง ทำให้เราหันไปมอง เราก็ได้เจอกับหัวหน้าเก่าเราที่เราทำงานที่แรก แกเป็นคนมาเลเซีย แก่มากแล้ว และเราก็รู้ว่า แกเสียชีวิตไปแล้ว แต่ตอนที่เราทำงานด้วยกันแกเป็นคนใจดี มีเมตตากับเรามาก
เราจึงเดินไปหาแก เพื่อทักทาย พูดจากับแก ซึ่งแกยังดูอายุน้อยกว่าตอนที่เรารู้จักแกมาก ดูหล่อ ดูดี มีออร่าจับ แต่เราก็ยังคงจำได้ดีว่าคือแก
เรากับแกก็เดินคุยกันไปเรื่อยๆ แกก็พาไปดูโน่นดูนี่ และระหว่างทาง เราก็เจอคนที่เรารู้จักอีกมากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่เสียชีวิตไปแล้วทั้งนั้น
แล้วแกก็พาเราไปหยุดอยู่ที่สถานที่นึง มีต้นไม้ใหญ่ เหมือนคาเฟ่หรือร้านกาแฟ มีเก้าอี้ให้นั่ง มีคนทำเครื่องดื่มให้ รอบๆข้างมีสวนดอกไม้สวยงามมากๆ คนรอบๆล้วนใส่เสื้อคลุมสีดำทั้งนั้น ต่างคนต่างอยู่ ไม่สนใจใคร และดูเหมือนพวกเขาจะไม่เห็นเราด้วย
บนโต๊ะตรงหน้าเรามีเครื่องดื่มอยู่แก้วนึง ใส่น้ำแข็งสีฟ้าๆ แกก็บอกเราว่า ให้เราดื่มน้ำเสียก่อนจะได้กลับบ้าน
ซึ่งตอนนั้นเราก็หยิบแก้วขึ้นมาซดดื่มจนหมดแก้ว แต่น้ำในนั้นไม่มีรสชาดอะไรเลย น้ำแข็งก็ไม่เย็น ไม่หวาน
พอเราดื่มหมด เราก็ตั้งสติได้ว่า ใช่ เรากำลังนอนหลับอยู่ แล้วเราก็มาอยู่ที่นี่ เราต้องกลับบ้าน
เราหันไปมองหัวหน้าเก่าเราคนนั้น แล้วแกก็ยิ้มให้เรา แล้วทุกสิ่งรอบตัวเราก็เปลี่ยนไป คนที่ใส่ชุดคลุมสีดำอยู่รอบๆที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้สนใจใคร ทุกคนต่างหันมาจับจ้องที่เรา เหมือนเราทำอะไรผิด
แล้วเราก็เริ่มออกเดินไปสำรวจหาสถานที่ที่เป็นหน้าตึกอาคารสีขาวที่เราเห็น ตอนที่มาถึงที่นี่ก่อนหน้านี้
แต่ที่ตรงนั้นกลับไม่มีใครอยู่เลย เราจึงมองหาคนที่เราจะสอบถามทางกลับบ้าน แล้วเราก็เจอคนใส่ชุดขาวมีหัวเป็นสัตว์อยู่แถวนั้น เราจึงถามเขา ว่าทางกลับอยู่ที่ไหน เราต้องไปทางไหน
แต่เขากลับมองเราด้วยสายตาแปลกๆ แล้วถามเรากลับมาว่า เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้วก็พยายามนึกถึงตัวเองที่นอนอยู่บนเตียงเพื่อจะพาตัวเองกลับ
แล้วเราก็กลับมาได้ แต่เราลืมตาไม่ได้ แค่เห็นสิ่งรอบข้าง ภายนอกต่างๆในห้องนอน แล้วเราก็กลับไปที่นั่นใหมาอีกครั้ง และเห็นว่าผู้หญิงใส่ชุดคลุมสีดำตามมาจับเรากลับไป
เราพยายามวิ่งหนีกลับมาที่เรานอนอีก แล้วพยายามลืมตาตื่น แต่ก็ไม่ยอมตื่น คือ ตาเนื้อเราไม่เปิด แต่เราเห็นสิ่งรอบข้าง รอบตัวด้วยจิต
เราพยายามเปิดตาเนื้อขึ้นให้ได้ และขยับแขนขา เพื่อจะตื่นนอน แต่ก็ไม่เป็นผล เราคิดว่านานมากที่เราพยายามทำอยู่เช่นนั้น
และแล้ว เราก็ลืมตาและขยับแขนขาตื่นขึ้นมาได้ และนั่งทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่พักใหญ่ๆ และรู้สึกได้ถึงอาการป่วยที่หายไป เหมือนร่างกายมีแรง มีพลัง มากขึ้นหลังตื่นขึ้น
เราสังเกตดูตอนที่เราป่วยครั้งก่อนก็เช่นกัน เมื่อจิต หรือกายทิพย์ออกจากกายเนื้อไป ส่วนใหญ่จะไปตอนป่วยหนัก แล้วพอกลับเข้ามาก็ทำให้อาการดีขึ้น หรือหายเป็นปลิดทิ้งไปเลย
** กรุณาใช้วิจารณญาณ คิดวิเคราะห์มากๆนะคะ ก่อนที่จะตัดสินใจเชื่อหรือไม่เชื่ออะไร เพราะมันเป็นเฉพาะบุคคล แต่ละคนประสบพบเจอมาไม่เหมือนกัน แม้จะเดินตามเส้นทางเดียวกัน เหมือนที่ท่านศาสดากล่าวไว้ว่า " ผู้รู้ ย่อมรู้ได้เฉพาะตน "
เราแค่มาแบ่งปันประสบการณ์การณ์ที่เจอในทางสายนี้ด้วยตนเองเท่านั้น ขอบคุณที่กรุณาเสียสละเวลาอ่านจนจบ 🙏🙏
ถอดจิต กายทิพย์ ภาค 3
ซึ่งกระทู้ ถอดจิต กายทิพย์ ภาค 2 เราได้เขียนบอกเล่าว่าเราเกิดสภาวะนึงที่ทำให้เราคิดว่า เราจะไม่มีอาการเช่นนี้อีกแล้ว ซึ่งเราก็ไม่ได้ยึดติด คิดวิตก หรือกังวลอะไร เราก็ดำเนินชีวิตไปตามปกติธรรมดาเหมือนที่เราทำอยู่ก่อนหน้านี้ เพราะเราคิดว่ามัน ดีแล้ว
จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ มีบางอย่างรบกวนจิตใจเราอย่างหนัก ทำให้เราอยู่ไม่สุข จิตตก จิตใจว้าวุ่น คิดฟุ้งซ่าน ในจิตคิดแค่ว่า เราจะต้องออกบวช บวชชี ตลอดชีวิต คิดอยู่เช่นนั้น วกมาวนไป จิตใจไม่สงบ
จนกระทั่งเรากลับมาสวดมนต์ก่อนนอนอีกครั้ง หลังจากที่เราได้ห่างหายจากการสวดมนต์ไปนานมาก เราคิดว่าประมาณ 6-7 ปีได้ ที่เราทิ้งการสวดมนต์ไป
ช่วงที่เรามีอาการจิตตก กระวนกระวาย ฟุ้งซ่าน ในจิตคิดแต่จะหนีสิ่งที่มารบกวนจิตใจโดยการหนีไปบวชชี บวชแบบตลอดชีวิต เราก็นึกถึงครูบาอาจารย์ ขอบารมีท่านให้ช่วยเรา
แล้วเราก็ได้ไปวัดใกล้บ้าน ไปทำบุญ ไปสนทนาธรรมกับพระอาจารย์รูปหนึ่งในวัด จิตใจก็สงบลง และได้นำหนังสือสวดมนต์กลับมาบ้าน และเริ่มสวดมนต์ก่อนนอนอีกครั้ง
ครั้งนี้เราสอนให้ลูกสาวคนโตที่อายุประมาณ 9 ขวบ ของเราสวดด้วย และเขาก็สวดได้และทำได้ดีเลยทีเดียว เรากับลูกก็สวดมนต์ก่อนนอนทุกคืนมาได้สักระยะ ประมาณ 2 อาทิตย์
เรามีอาการป่วย เหมือนเป็นหวัด ไข้หวัดใหญ่ธรรมดา แต่ก่อนที่เราจะป่วย ทุกคนในบ้านป่วยเหมือนกันในเวลาไล่เลี่ยกัน
เริ่มแรกสามีเราป่วยก่อน นอนซม ทั้งวัน 1 วัน 1 คืนเต็มๆ ไม่ได้กินอะไรเลย เขาบอกว่าตอนที่เขานอนป่วยอยู่ เขากลัวมากคิดว่าจะไม่รอดแล้ว แต่รุ่งเช้าตื่นขึ้นมากลับหายสนิท
พอสามีเราหาย ถัดมาลูกสาวเราก็ป่วย อาเจียน นอนซม กินไม่ได้อยู่ 1 วันเต็มๆเช่นกัน แล้วก็กลายเป็นปลิดทิ้งในวันรุ่งขึ้น
แล้วเราก็ป่วยตามหลังมาติดๆ เมื่อวานทั้งวันเรานอนซม เหมือนคนป่วยหนัก กินไม่ได้ แล้วเมื่อคืนที่ผ่านมาเราก็เข้านอนเหมือนปกติ
ซึ่งทุกคืนก่อนนอนเราจะตั้งสติ จิตเป็นสมาธิ ระลึกและคิดอยู่เสมอว่า วันนี้ คืนนี้ เราจะมีชีวิตอยู่เป็นวันสุดท้าย พรุ่งนี้เราจะไม่ตื่นลืมตาขึ้นมาอีกแล้วอยู่เสมอ
แล้วเมื่อคืน จิต หรือกายทิพย์ของเราก็ออกไปข้างนอก เหมือนฝันแต่ไม่ใช่ฝัน เรามีสติดีทุกอย่าง ตอนที่ จิตเราออกไป และกลับมา
เราไปเห็นตัวเองอยู่ที่สถานที่นึง รอบๆตัวเรามีคนอยู่มากมาย ใส่ชุดสีขาว บางคนตัวเป็นคนแต่หัวเป็นสัตว์ มีทั้ง หมา แมว วัว และสัตว์อื่นๆ กำลังรอคอยบางอย่างอยู่ด้วยกัน
ณ ที่นั่น ตอนนั้นกลับไม่มีใครรู้สึกแปลกแยกหรือแตกต่างจากคนอื่นๆ ทั้งที่แต่ละคนต่างก็มีหัวที่แปลกประหลาดแตกต่างกันออกไป เราเองก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน
ข้างหน้าของเรามองเห็นเป็นตึกอาคารสีขาว มีผู้หญิงหรือผู้ชาย ไม่แน่ใจ ใส่ชุดคลุมสีดำ คอยจัดระเบียบพวกเราที่ยืนคอยอยู่ให้ขึ้นไปบนอาคารนั้นทีละคน ทีละคน
พอใกล้จะถึงคิวเรา กลับมีเสียงเรียกจากด้านข้าง ทำให้เราหันไปมอง เราก็ได้เจอกับหัวหน้าเก่าเราที่เราทำงานที่แรก แกเป็นคนมาเลเซีย แก่มากแล้ว และเราก็รู้ว่า แกเสียชีวิตไปแล้ว แต่ตอนที่เราทำงานด้วยกันแกเป็นคนใจดี มีเมตตากับเรามาก
เราจึงเดินไปหาแก เพื่อทักทาย พูดจากับแก ซึ่งแกยังดูอายุน้อยกว่าตอนที่เรารู้จักแกมาก ดูหล่อ ดูดี มีออร่าจับ แต่เราก็ยังคงจำได้ดีว่าคือแก
เรากับแกก็เดินคุยกันไปเรื่อยๆ แกก็พาไปดูโน่นดูนี่ และระหว่างทาง เราก็เจอคนที่เรารู้จักอีกมากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่เสียชีวิตไปแล้วทั้งนั้น
แล้วแกก็พาเราไปหยุดอยู่ที่สถานที่นึง มีต้นไม้ใหญ่ เหมือนคาเฟ่หรือร้านกาแฟ มีเก้าอี้ให้นั่ง มีคนทำเครื่องดื่มให้ รอบๆข้างมีสวนดอกไม้สวยงามมากๆ คนรอบๆล้วนใส่เสื้อคลุมสีดำทั้งนั้น ต่างคนต่างอยู่ ไม่สนใจใคร และดูเหมือนพวกเขาจะไม่เห็นเราด้วย
บนโต๊ะตรงหน้าเรามีเครื่องดื่มอยู่แก้วนึง ใส่น้ำแข็งสีฟ้าๆ แกก็บอกเราว่า ให้เราดื่มน้ำเสียก่อนจะได้กลับบ้าน
ซึ่งตอนนั้นเราก็หยิบแก้วขึ้นมาซดดื่มจนหมดแก้ว แต่น้ำในนั้นไม่มีรสชาดอะไรเลย น้ำแข็งก็ไม่เย็น ไม่หวาน
พอเราดื่มหมด เราก็ตั้งสติได้ว่า ใช่ เรากำลังนอนหลับอยู่ แล้วเราก็มาอยู่ที่นี่ เราต้องกลับบ้าน
เราหันไปมองหัวหน้าเก่าเราคนนั้น แล้วแกก็ยิ้มให้เรา แล้วทุกสิ่งรอบตัวเราก็เปลี่ยนไป คนที่ใส่ชุดคลุมสีดำอยู่รอบๆที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้สนใจใคร ทุกคนต่างหันมาจับจ้องที่เรา เหมือนเราทำอะไรผิด
แล้วเราก็เริ่มออกเดินไปสำรวจหาสถานที่ที่เป็นหน้าตึกอาคารสีขาวที่เราเห็น ตอนที่มาถึงที่นี่ก่อนหน้านี้
แต่ที่ตรงนั้นกลับไม่มีใครอยู่เลย เราจึงมองหาคนที่เราจะสอบถามทางกลับบ้าน แล้วเราก็เจอคนใส่ชุดขาวมีหัวเป็นสัตว์อยู่แถวนั้น เราจึงถามเขา ว่าทางกลับอยู่ที่ไหน เราต้องไปทางไหน
แต่เขากลับมองเราด้วยสายตาแปลกๆ แล้วถามเรากลับมาว่า เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้วก็พยายามนึกถึงตัวเองที่นอนอยู่บนเตียงเพื่อจะพาตัวเองกลับ
แล้วเราก็กลับมาได้ แต่เราลืมตาไม่ได้ แค่เห็นสิ่งรอบข้าง ภายนอกต่างๆในห้องนอน แล้วเราก็กลับไปที่นั่นใหมาอีกครั้ง และเห็นว่าผู้หญิงใส่ชุดคลุมสีดำตามมาจับเรากลับไป
เราพยายามวิ่งหนีกลับมาที่เรานอนอีก แล้วพยายามลืมตาตื่น แต่ก็ไม่ยอมตื่น คือ ตาเนื้อเราไม่เปิด แต่เราเห็นสิ่งรอบข้าง รอบตัวด้วยจิต
เราพยายามเปิดตาเนื้อขึ้นให้ได้ และขยับแขนขา เพื่อจะตื่นนอน แต่ก็ไม่เป็นผล เราคิดว่านานมากที่เราพยายามทำอยู่เช่นนั้น
และแล้ว เราก็ลืมตาและขยับแขนขาตื่นขึ้นมาได้ และนั่งทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่พักใหญ่ๆ และรู้สึกได้ถึงอาการป่วยที่หายไป เหมือนร่างกายมีแรง มีพลัง มากขึ้นหลังตื่นขึ้น
เราสังเกตดูตอนที่เราป่วยครั้งก่อนก็เช่นกัน เมื่อจิต หรือกายทิพย์ออกจากกายเนื้อไป ส่วนใหญ่จะไปตอนป่วยหนัก แล้วพอกลับเข้ามาก็ทำให้อาการดีขึ้น หรือหายเป็นปลิดทิ้งไปเลย
** กรุณาใช้วิจารณญาณ คิดวิเคราะห์มากๆนะคะ ก่อนที่จะตัดสินใจเชื่อหรือไม่เชื่ออะไร เพราะมันเป็นเฉพาะบุคคล แต่ละคนประสบพบเจอมาไม่เหมือนกัน แม้จะเดินตามเส้นทางเดียวกัน เหมือนที่ท่านศาสดากล่าวไว้ว่า " ผู้รู้ ย่อมรู้ได้เฉพาะตน "
เราแค่มาแบ่งปันประสบการณ์การณ์ที่เจอในทางสายนี้ด้วยตนเองเท่านั้น ขอบคุณที่กรุณาเสียสละเวลาอ่านจนจบ 🙏🙏