ดงผีป่า

ความเดินตอนที่แล้ว
“ปีใหม่ไปเคาท์ดาวน์ไหนล่ะพี่ อีกสองอาทิตย์เอง” เธอถามถึงทริปที่ผมนัดกับเพื่อนไว้แล้วช่วง 4 วันก่อนปีใหม่นี้..

“กาญจนบุรี”

................................................................................................................................................................................

ผมเตรียมตัววางแผนเดินทางในอีก 6 วันข้างหน้าที่ผมต้องกลับไปยังจังหวัดเกิดของคุณตาผม..ที่ๆ ผมได้เจอพวกมันเป็นครั้งแรกในชีวิต และคงจะได้เจอกับพวกมันอีกอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าพวกหิวกระหายที่นั่นอาจจะเป็นถึงระดับที่เราเรียกกันง่ายๆ ว่า ‘ผีป่า’ ซึ่งน่ากลัวกว่าพวกทั่วๆ ไปเพียงแต่ครั้งนี้..ผมเตรียมรับมือไว้แล้ว
................................................................................................................................................................................

‘คำเเนะนำทริป
1. อากาศค่อนข้างหนาว เสื้อผ้าก็เตรียมๆกันไปดีๆ
2. ขาไปอย่าเเดกอะไรพิเรนทร์มา นั่งรถ 7 ชม. ขี้ยากนะฮะ
คำเตือน
1. หากได้ยินเสียงอะไรอย่าทัก
2. จะเรียกใคร ให้เรียกชื่อ
3. ระวังปาก
ใครมีไรเพิ่มเติม พิมพ์มาใต้โพสต์’

    ผมอ่านข้อความที่เพื่อนช่างภาพแท็กมาในโพสต์ทาง Facebook ถึงข้อควรปฏิบัติในการออกทริปสู่อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี โดยเฉพาะคำเตือนที่เหมือนจะเน้นยำถึงเอสเปอร์อย่างผมอย่างเจาะจง

    แน่นอนอยู่แล้วว่าตามความเชื่อโบราณที่มักจะเกิดขึ้นแทบร้อยทั้งร้อยของผู้ที่ปฏิบัติตนขัดต่อคำเตือน ‘ได้ยินเสียงอะไรห้ามทัก’ จนต้องพบกับเรื่องหลอนไปตามๆ กัน

ต่อมาคือ ‘จะเรียกใครให้เรียกชื่อ’ ซึ่งพักนี้ผมมักจะได้ยินบ่อยๆ ตามเรื่องเล่าสยองขวัญตามอินเตอร์เน็ต วิทยุกระจายเสียง หรือแม้แต่ประสบการณ์(ไม่)ตรงจากเพื่อนที่ฟังเพื่อนเล่าต่อมาอีกทีว่าเคยไปยังสถานที่บางแห่งกับกลุ่มคนจำนวนหนึ่ง จนกระทั่งขากลับได้เอ่ยปากไปทำนองว่า “เอ้า! ขึ้นรถ” ทำให้เกิดเหตุการณ์ ‘ขาไปนับครบ ขากลับนับเกิน’ เพราะไปรับใครมาก็ไม่รู้ซึ่งเป็นบุค(ไม่ใช่)คลอันพึงประสงค์

‘ระวังปาก’ ในข้อนี้อาจจะพูดถึงใครก็ได้ ซึ่งก็มีโอกาสพลาดกันทั้งนั้นด้วยความที่เป็นวัยรุ่น แต่ยังมีเพื่อนของผมอีกคนที่มักจะปากลั่นอยู่เสมอด้วยบุคคลิกที่คนภายนอกอาจจะมองว่า ‘ชอบโชว์เก๋า’ บ่อยๆ จนสิ่งที่คนภายนอกมองว่ามันเป็นอย่างนั้น..หล่อหลอมให้มันกลายเป็นคนอย่างนั้นไปจริงๆ

ผมคอมเม้นท์ตอบรับคำแนะนำของเพื่อนช่างภาพโดยไม่ลืมที่จะเสริมไปว่าควรพกยาทากันยุงไปด้วย เนื่องจากที่พักของเราในครั้งนี้ค่อนข้างจะเรียกได้ว่า ‘อยู่กลางป่า’ กันจริงๆ แมลงทั้งมีพิษหรือไม่มีพิษอาจจะมารบกวนเราได้ แต่ในใจอดหวั่นต่อความคิดตัวเองนอกจากเรื่องแมลงไม่ได้เลยว่า..

“หวังว่าทริปนี้จะไม่เจออะไรเหนือธรรมชาติให้วุ่นวายอีกนะ..”

................................................................................................................................................................................


    รถบัสคันหนึ่งหยุดลงที่กลางตลาดแห่งหนึ่ง ผมก้าวลงจากรถเป็นคนสุดท้ายหลังจากที่เพื่อนๆ ของผมอีก 7 คน ผมมองไปยังทัศนวิสัยรอบๆ ก็ได้เห็นบรรยากาศชวนหลงใหลเป็นพิเศษ สิ่งปลูกสร้างที่นี่สร้างขึ้นจากไม้ฝาโดยมีคอนกรีตเป็นโครงหลักด้านใน คล้ายๆ กับสิ่งปลูกสร้างย่านพระนคร ผมหยิบแว่นกันแดดขึ้นมาสวมเพื่อป้องกันแสงยามบ่ายที่สาดส่องลงมา ถึงแม้ว่าจะใส่เสื้อหนังสีดำตัวเก่งเพื่อป้องกันลมหนาวที่พัดผ่านมาเป็นพักๆ ก่อนจะเดินตามเพื่อนๆ ไปยังที่พักที่ห่างออกไปอีกเกือบ 1 กิโลเมตร โดยระหว่างทางจากตลาดถึงที่พักนั้น ข้างทางคือป่าขึ้นทั้งสองข้างทางตามลักษณะของถนนที่ตัดผ่านป่าที่ขึ้นบนภูเขา

    เราเดินมาจนถึงที่พักที่จากล็อบบี้ ยังต้องเดินต่อเข้าไปอีกราวๆ ร้อยเมตร เนื่องจากเกสท์เฮ้าส์แห่งนี้สร้างไว้บนภูเขา ทำให้การวางตัวของจุดต่างๆ ในรีสอร์ท เช่น ล็อบบี้ ,โรงอาหาร และที่พักนั้นกระจายออกไปพอสมควร จนกระทั่งเราได้เดินต่อมา ระหว่างทางเราได้พบกับรูปปั้นอาแปะถือเบ็ดที่ไม่มีเบ็ดขนาดเท่าคนจริงอยู่ทางด้านซ้ายมือ เราทั้ง 8 คนมีความคิดเดียวกันว่า ถ้าเป็นตอนกลางคืน รูปปั้นตาแปะนี่คงชวนขนลุกไม่น้อย หากไม่รู้ว่าเป็นรูปปั้น เดินผ่านโรงอาหาร ตามทางลาดชันลงไปจนถึงบ้านพักที่เราจองไว้

    ภายในบ้านพักนั้นกว้างพอสมควร หากยืนหันหน้าเข้าห้องพัก ด้านขวาคือเตียงนอนที่เรียงรายกันในจำนวนที่พอดีกับพวกเราทั้ง 8 คน ที่อยู่สุดผนังของห้องพักคือชุดโต๊ะรับแขกที่ทำขึ้นจากไม้ ส่วนด้านซ้ายคือห้องน้ำ และถัดจากห้องน้ำคือประตูกระจกที่เมื่อเลื่อนออกไปก็จะเป็นระเบียงที่ยืนออกไปกลางป่า

    หลังจากวางสัมภาระไว้ที่โต๊ะไม้ ผมเดินมาสำรวจที่ระเบียงบ้านพักที่ยื่นออกไปกลางป่า โดยปล่อยให้อีก 7 คนนั้นแย่งที่นอนกันไปเพราะผมไม่ค่อยซีเรียสอยู่แล้วว่าจะต้องนอนตำแหน่งไหนในห้องหากมากับกลุ่มเพื่อนๆ

    ผมหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบพร้อมมองออกไปยังผืนป่า โดยอดคิดถึงความคิดหลายๆ อย่างของตัวเองไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการที่ได้มาถึงกาญจนบุรี ถึงแม้ว่าจะคนละอำเภอกับบ้านเกิดของคุณตา แต่ยังคงรู้สึกทุกครั้งเมื่อได้มายังจังหวัดนี้ คือ ‘อบอุ่น..สงบ..เหมือนได้กลับบ้าน’ อยู่เสมอ ก่อนที่เพื่อนของผมอีกคนที่มักจะมีบุคคลิกโชว์เก๋าจะเดินออกมาจากห้องพักมายังระเบียง แล้วหยิบบุหรี่มาสูบเป็นเพื่อนผม

    “เป็นไง? ตั้งแต่มาที่นี่ รู้สึกอะไรบ้างรึยัง?” ประโยคคำถามประจำเมื่อผมไปยังสถานที่ต่างๆ กับเพื่อนได้เอ่ยออกมาในที่สุด
    บางทีผมก็รู้สึกเบื่อไม่ใช่น้อยที่ต้องได้ยินคำถามอะไรแบบนี้อยู่ประจำ เอสเปอร์..คนมีเซนส์..คนเห็นผี หรืออะไรก็ตามแต่ ไม่ได้เจอผีสางนางไม้กันอยู่ทุกวันทุกเวลา หรือไม่ได้มีความสุขมากมายนักเลยที่จะได้เจอ เพียงแต่ครั้งนี้ ผมคิดว่าผมมีความพร้อมมากพอที่จะรับมือ หากมีพวกไหนมาวนเวียนอยู่แถวๆ ที่พักจริงๆ ผมจึงตอบเพื่อนกลับไปอย่างทีเล่นทีจริง ไม่อยากแสดงอารมณ์ด้านลบให้เสียบรรยากาศทริปว่า..

“คืนนี้เดี๋ยวก็รู้กัน”

................................................................................................................................................................................

    พลบค่ำ เราเดินออกมาจากที่พักมายังตลาดเพื่อหามื้อเย็นกิน โดยตลาดในยามนี้กลายเป็นงานวัดไปเรียบร้อย สอบถามจากผู้คนแถวนั้น ได้ความว่าช่วงปลายธันวาไปจนถึง 7 มกรา บริเวณนี้จะมีงานวัดเพื่อเป็นเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่

    หลังจากผ่านแสงสีเสียงยามค่ำ จนดึก เราเดินกลับที่พักไปตามทางที่สองข้างทางคือป่ารกซึ่งบรรยากาศชวนน่ากลัวอย่างที่คาดไว้ จากที่เห็นเมื่อตอนกลางวัน ซึ่งไม่รู้ว่าผมอาจจะเผลอปล่อยความคิดไปตามบรรยากาศก็ได้ที่ทำให้ผมรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างจับตามองดูพวกเราทั้ง 8 คน แต่ก็ไม่แปลกหากจะมี ‘พวกนั้น’ ออกมาจริงๆ เพราะเวลา 5 ทุ่มเกือบจะเที่ยงคืนนี้ก็ได้เวลาของพวกนั้นอย่างพอดี

    ในที่สุดก็มาถึงทางเข้าเกสท์เฮ้าส์อย่างปลอดภัย ผมอาจจะคิดไปเองก็ได้ จนกระทั่ง..
    “เชี่ย!!” เราทั้ง 8 คนสะดุ้งตามคำอุทานของรุ่นน้องคนหนึ่งในกลุ่ม จนต่างคนต่างต้องหันไปตามทิศทางที่รุ่นน้องคนนั้นมองไป ก็ได้พบกับร่างของเงาดำทมิฬที่นั่งชันเข้าข้างหนึ่งอยู่ข้างทาง
    “โถ่!! ไอ้แปะนี่เอง!!” เมื่อเพ่งดีๆ ก็ได้พบกับรูปปั้นตาแปะขนาดเท่าคนจริงที่มาตั้งไว้อย่างผิดที่ผิดทาง จนต้องตกใจไปตามๆ กันตามความคิดที่คุยกันไว้เมื่อตอนกลางวันจนอดหัวเราะลั่นในตอนนี้ไม่ได้
................................................................................................................................................................................

    “อูโน่โว้ย!!” เพื่อนผมคนหนึ่งเอ่ยขึ้นหลังจากทิ้งไพ่ UNO สองใบในมือลงในกองจนเหลือใบเดียวตามกติกาที่ผู้เล่นต้องขานว่า ‘UNO’ เมื่อเหลือไพ่ใบเดียวในมือ ไม่อย่างนั้นจะต้องจั่วเพิ่มอีกสามใบ กลายเป็นต่อระยะไม่ให้ไพ่ในมือหมดจนเป็นผู้ชนะ

จนกระทั่งเราทั้ง 8 คนที่นั่งล้อมวงอยู่ตรงพื้นปลายเตียงได้ยินเสียงกดชักโครกในห้องน้ำ ก่อนที่จะหันมามองหน้ากันเพื่อสำรวจว่าทั้ง 8 คนยังนั่งล้อมวงอยู่ตรงนี้ครบจำนวนจริงๆ

‘หากได้ยินเสียงอะไร..อย่าทัก’

ภาพประโยคคำเตือนข้อแรกจากโพสต์ใน Facebook แล่นเข้ามาในหัวพวกเราเกือบทุกคนแทบจะพร้อมกัน จนความคิดพวกเราตรงกันเกือบทุกคนที่ตัดสินใจว่าจะไม่ถามไถ่อะไรทั้งสิ้นเกี่ยวกับเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่ ในใจผมคิดไปต่างๆ นานา พยายามหาเหตุผลว่าอาจจะเป็นเสียงระบายน้ำจากท่อที่ปล่อยออกด้านหลังบ้านพักไปยังป่า แต่ถึงยังไง เสียงนั้นก็ดังเกินกว่าเป็นเสียงที่ดังมาจากข้างนอก และถึงยังไง นั่นมันก็เป็นเสียงระบบน้ำวนในชักโครกชัดๆ!

“ใครเข้าห้องน้ำวะ?” จนแล้วจนรอดก็มีคนทักขึ้นมาจนได้..นายเพื่อนจอมโชว์เก๋านั่นเอง ตามด้วยเสียงตอบรับจากทั้งวงที่เอ่ยขึ้นเกือบจะพร้อมกัน รวมถึงตัวผมด้วยว่า “ช่างมันเถอะ”

เกม UNO ยังคงดำเนินต่อไปปะปนกับเสียงหัวเราะเมื่อมีคนยิงมุขใส่กัน แต่ถึงอย่างนั้น ความสงสัยที่ว่า ‘ใครเข้าห้องน้ำ’ ก็ยังไม่เลือนหายไปจากความคิดของทุกคน

และแล้วในที่สุด สิ่งที่ผมกลัวว่าจะต้องเจอมาตลอดการเดินทางก็เกิดขึ้น เมื่อหางตาของผมเหลือบไปเห็น ‘แขกไม่ได้รับเชิญ’ นั่งอยู่ตรงโต๊ะรับแขกด้านที่อยู่ทางซ้ายมือของผม ชายผิวขาวซีดแห้งกรังในชุดขาวหมองราวกับเปื้อนเถ้าถ่านสภาพขาดวิ่นกำลังมองมาทางผม รูปลักษณ์ของมันคือพวกเดียวกับพวกที่พยายามจะเอาผมไปอยู่ด้วยเมื่อตอน 7 ขวบที่กลับจากงานศพคุณตาไม่มีผิด ถึงอย่างนั้น.. ความคิดที่ว่าผมต้องตาฝาดไปกำลังถูกเค้นเอามาใช้ให้ได้มากที่สุด จนกระทั่งสัมผัสเอสเปอร์ของผมยืนยันอย่างชัดเจนว่ามีสิ่ง(ไม่)มีชีวิตอยู่ตรงนั้นจริงๆ และก่อนที่คืนนี้จะต้องมีใครถูกเข้าถึงตัวไปเสียก่อน ผมลุกขึ้นคว้าเสื้อหนังสีดำตัวเก่งแล้วเดินออกไปยังระเบียงด้านนอก พร้อมทั้งเรียกเพื่อนจอมโชว์เก๋าออกไปเป็นเพื่อนโดยให้เหตุผลไปว่า ‘หาคนสูบบุหรี่เป็นเพื่อน’
ถึงแม้ว่าผมจะเป็นเอสเปอร์ประเภท ‘ญาณสัมผัส’ ที่ไม่ได้เน้นไปทางการมองเห็นแบบพวกตาทิพย์ แต่การเห็นพวกนั้นทางหางตา อาจจะเกิดขึ้นได้กับเอสเปอร์ทุกประเภท เพราะการมองเห็นทางหางตานี้ ผมเองก็เป็นมาแล้วเมื่อได้พบกับเจ้าที่บ้านเพื่อนตาทิพย์คนหนึ่งที่บ้านประกอบธุรกิจเช่าพระเครื่อง ซึ่งเลี้ยงดูบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไว้เต็มไปหมด

ทั้งพระเครื่องหลวงปู่ทิม หลวงปู่ทวด รวมไปถึงพระเครื่องที่บรรจุเถ้ากระดูกแม่พรายคู่หูของผมถูกวางลงบนโต๊ะนอกระเบียง โดยมีผมพนมมืออาราธนาอันเชิญบารมีหลวงปู่ทั้ง 2 องค์มาปกปักษ์รักษาที่แห่งนี้ และบอกให้แม่พรายคอยวนเวียนและขับไล่ทุกอย่างที่ไม่ได้รับเชิญจากผมให้ออกจากที่พักแห่งนี้ไปซะ

หลังจากอาราธนาอันเชิญเสร็จ เพื่อนจอมโชว์เก๋าผลัดมือกับเพื่อนอีกคนให้ออกมาคอยดูอาการผม ผมพอเดาได้ว่าในใจทุกคนตอนนี้คงอยากจะรู้ว่าผมเจอประเภทไหนเข้าให้ แต่ด้วยความที่ว่า มันอาจจะเป็นการกระตุ้นให้พวกนั้นยิ่งแผลงฤทธิ์ได้ง่ายขึ้น หากเราย้ำพูดถึงมันอยู่บ่อยๆ
“ไม่เป็นไรหรอก..ถ้าเรามาดีเขาก็ไม่ทำอะไร เขาอาจจะมาดูแลเราก็ได้” ผมเข้าใจว่าส่วนหนึ่งในใจของเพื่อนผมคนนี้อาจจะอยากให้ผมใจเย็นๆ ไม่ควรออกอาการกลัวอะไรที่มันเข้าใจว่าเป็นเจ้าที่..แต่ผมอยากให้มันเจออย่างที่ผมเจอจริงๆ แล้วจะรู้ว่า สิ่งที่วนเวียนอยู่ในที่พักต่างๆ ไม่จำเป็นต้องมีแค่เจ้าที่
“ไม่..เรามาดีน่ะใช่..แต่ ‘มัน’ ไม่ได้มาดี” จนกระทั่งผมรู้สึกได้ว่าทั้งหลวงปู่ และแม่พรายของผมเริ่มสำแดงแล้ว จึงกลับเข้าห้องไปพร้อมกับเพื่อน
ในคืนนั้น พวกเราตัดสินใจแยกย้ายกันเข้านอนกันแทบจะทันที ความรู้สึกชวนสยองนั้นจางหายไปจนเกือบหมดแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น นี่เพิ่งจะเป็นคืนแรกเท่านั้นที่เรายังต้องนอนพักในบ้านพักหลังนี้

“ยังเหลืออีกหนึ่งคืน”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่