รีวิวนี้เหมือนเป็นภาคต่อจากกระทู้นี้ครับ
https://pantip.com/topic/34503363
ผมจะรีวิวจบในกระทู้เดียวและต่อเนื่องนะครับ ยาวหน่อยแต่น่าจะสนุกและเป็นประโยชน์บ้าง
คราวที่แล้วลดไป 10กิโล พอกลับมา ได้น้ำหนักเพิ่มจากโตเกียวมา 4กิโล แล้วได้เพิ่มจากขนมที่ขนซื้อกลับมาอีก 3กิโล หลังจากนั้นน้ำหนักผมก็คงที่อยู่ประมาณ 74-75 คุมยังไงก็เอาไม่ลงซักที
พอต้นปี 59 มีแผนจะกลับไปญี่ปุ่นอีกครั้งตอนปลายปี ก็ต้องเริ่มภารกิจลดน้ำหนักกันอีกครั้ง คราวนี้ตั้งใจจะกดลงไปให้ได้ถึง 65กิโล และใช้วิธีใหม่(ยังไงเดี๋ยวบอก) แต่พอทำจริง ก็ลงไปได้แค่ 67กิโล ก็ถือว่าโอเค พร้อมไปกินแหลกที่โตเกียวอีกรอบแล้ว
ก่อนจะพาไปกิน ขออนุญาตบอกวิธีการลดน้ำหนักคร่าวๆก่อน เพราะเชื่อว่าหลายคนที่เข้ามาอ่าน อยากรู้วิธีลดน้ำหนักมากกว่าอยากอ่านเรื่องอาหารที่ผมไปกินซะอีก ขอใส่สปอยล์เอาไว้นะครับ ใครไม่อยากรู้ข้ามไปได้เลย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ขอบอกแค่ความรู้และหลักการคร่าวๆนะครับ รายละเอียดไปหาข้อมูลเพิ่มกันเอง และต้องรู้จักปรับใช้ให้เหมาะกับตัวเองด้วย
ตอนนี้ผมอายุ 45 ก่อนจะเริ่มลดน้ำหนักเมื่อสามปีก่อน หนักอยู่ที่ 91กิโล เป็นคนอ้วนเพราะชอบกินอาหารเยอะ เน้นของหวานเป็นพิเศษ มักจะกินมื้อแรกของวันเวลาประมาณ 10โมงเช้าและกินครั้งละมากๆ กินอีกมื้อก็ประมาณบ่ายๆเย็น ส่วนใหญ่กินวันละสองมื้อ และมักจะมีขนมหวานหรือของจุกจิกกินเรื่อยๆบ้าง
ปีแรก(พ.ศ.2557)ต้นปีประมาณเดือนเมษาเริ่มลดด้วยการอดอาหาร กินให้น้อยที่สุด ไม่กินหวานเลย แทบจะงดแป้ง กินแต่ผักและไก่กับปลา แล้วก็กินถั่วต้มกับผลไม้ไม่หวาน เน้นกินมื้อกลางวันเยอะๆเพื่อให้อิ่มนานๆ กินแต่ผลไม้กับถั่วต้มหรือธัญพืชเป็นมื้อเย็น ไม่กินอะไรหลัง 17.00 นอนประมาณ 21.00 ออกกำลังกายด้วยการเน้นคาดิโออาทิตย์ละ 3วัน(ไม่ได้เล่นเวท) ใน 4เดือนลดไปประมาณ 18กิโล น้ำหนักลงมาประมาณที่ 73 แต่คนที่เห็นจะบอกว่าผมโทรม หน้าตาหมองคล้ำ เหมือนคนเป็นโรค
แต่หลังจากนั้น เริ่มหิวโหย การลดอาหารมากๆเริ่มทำไม่ได้ วันไหนไปออกกำลัง ก็จะเผลอกินเยอะขึ้น และลามไปวันอื่น จนน้ำหนักเด้งเพิ่มขึ้นมา 3กิโล ใน2-3เดือน
แล้วพอประมาณปลายเดือนพฤศจิ ไปฮ่องกง 6วัน กินไม่บันยะบันยัง ได้ไขมันกลับมา 3กิโล ตอนนั้นหนัก 79 กิโล กางเกงเริ่มคับมาก พยายามเอาลงแต่ทำได้แค่ประมาณ 2-3กิโลในเวลา 4เดือน
ต้นปี พ.ศ.2558 มีแผนจะไปญี่ปุ่นตอนปลายปี จึงกลับมาลดน้ำหนักอีกครั้ง เพราะถ้าไม่ลด ตัวแตกแน่ๆ เนื่องจากตั้งใจว่า จะไปกินของอร่อยๆที่ญี่ปุ่น โดยเฉพาะขนมหวานทั้งหลายแหล่ คราวนี้ลดด้วยการคุมอาหาร คุมพลังงาน แต่ยังใช้วิธีการคล้ายๆปีแรกคือ เช้ากินพออยู่ท้อง(แค่น้ำเต้าหู้ไม่ใส่น้ำตาล หรือบางทีก็เป็นข้าวโพด1ฝัก) กลางวัน กินหนักให้อิ่มมากๆเพื่อจะได้ไม่หิวในช่วงบ่าย(เน้นผัก) แล้วเย็นๆก่อน 17.00 จะกินผลไม้ ถ้าระหว่างวันหิว ก็กินถั่วต้มหรือผลไม้ ออกกำลังด้วยการคาดิโอ(คราวนี้เล่นอาทิตย์ละ 4วัน) มีเล่นเวทเพิ่มกล้ามเนื้อ และมีการเดินลู่วิ่งทางชันเพื่อให้กล้ามเนื้อขาแข็งแรงพร้อมไปเดินที่ญี่ปุ่นด้วย ผลที่ได้คือ 6เดือน ลดไป 10กิโล แต่ก่อนไปญี่ปุ่น เริ่มมีการอุ่นเครื่องเรื่องการกิน กินเยอะขึ้น น้ำหนักเลยทรงๆที่ 67-68กิโล
พอไปโตเกียว 14วัน กลับมาได้ไขมันมา 4กิโล แล้วซื้อขนมกลับมากินอีกเพียบ ได้ไขมันเพิ่มอีก 3กิโล น้ำหนักมาอยู่ที่ประมาณ 74-75กิโล
พอต้นปี 2559 มีวันนึงที่เผลอกินเยอะ และปวดท้องมากจนอ้วก ท้องเสีย และแทบจะกินอะไรไม่ลง จึงตัดสินใจลดน้ำหนักด้วยวิธีการใหม่ที่อ่านเจอและทำความเข้าใจกับมัน ครั้งนี้เป็นวิธีที่ผมว่าดีที่สุด เริ่มลดตั้งแต่เดือนกุมภา ลดได้เดือนละ 1กิโล พอประมาณกลางปี จึงเริ่มตัดสินใจจะกลับไปเที่ยวญี่ปุ่นอีกครั้ง ถึงเดือนกันยาลดไปได้ 9กิโล แต่มีการกินอุ่นเครื่องในเดือนตุลาก่อนที่จะไปเพราะการลดครั้งล่าสุด ทำให้ความสามารถในการกินลดลงไปประมาณ 30% อิ่มเร็วขึ้น กินต่อครั้งได้น้อยลง จึงต้องมีการฟิตซ้อมการกินก่อน เพราะเป้าหมายหลักของการไปเที่ยวของผม คือการกินให้เต็มที่อย่างมีความสุข น้ำหนักเพิ่มมา 1กิโลและทรงๆอยู่ที่ประมาณ 67-68กิโลก่อนไปญี่ปุ่น
การลดน้ำหนักครั้งล่าสุดของผมคือ การคุมพลังงานที่กินในแต่ละวัน กินครบสามมื้อ มื้อละเท่าๆกันไม่มีมื้อไหนหนักหรือเบา ออกกำลังกายทั้งคาดิโอและเล่นเวทอาทิตย์ละ 3วัน
หลักการลดน้ำหนักคือ การรับพลังงานเข้าร่างกาย ให้น้อยกว่าการใช้ในแต่ละวัน
โดยเฉลี่ย คนเราใช้พลังงาน 1,800-2,000กิโลแคลฯ(ต่อไปนี้จะใช้แค่คำว่าแคลเฉยๆนะครับ)
ถ้าจะลดน้ำหนัก เค้าบอกว่า ให้กินวันละ 1,200-1,500 แคล ซึ่งมันน้อยกว่าที่ร่างกายต้องการ ร่างกายก็จะนำไขมันที่สะสมไว้ มาใช้ ทำให้เราน้ำหนักลดลง
แต่ต้องกินอาหารให้ครบทุกหมู่ และครบสามมื้อ อย่างดแป้ง อย่างดไขมัน แต่ต้องเลือกกินในปริมาณที่พอเหมาะ และกินแป้งกับไขมันในแบบที่ดีเท่าที่จะทำได้
ผมนับแคลแบบคร่าวๆ ไม่ได้นับแบบเป๊ะๆ ไม่ได้ทำอาหารกินเอง ซื้อกินทุกมื้อ เน้นกินร้านข้าวราดแกง เพราะเลือกประเภทของอาหารได้ / ไม่กินร้านอาหารตามสั่ง เพราะจะใส่น้ำมันเยอะ และคุมปริมาณได้ยาก ไม่ได้กินคลีน แต่ส่วนใหญ่ก็จะเลือกอาหารที่มีการปรุงแต่งรสชาติน้อยที่สุด กินก๋วยเตี๋ยวก็ไม่ได้ปรุงเพิ่ม แม้ตอนแรกจะรู้สึกไม่ถูกปาก แต่พอกินไปเรื่อยๆ มันก็โอเค
อาหารที่ผมกิน ผมไม่ได้ฝืนกิน ทุกอย่างที่กิน เป็นอาหารที่รู้สึกว่ากินได้ หลายอย่างก็อร่อยน้อย เพียงแต่ว่า มันอาจจะไม่ใช่ของที่ชอบมากที่สุด เป็นอาหารที่ ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องความอ้วน อาจจะเลือกกินเป็นตัวเลือกท้ายๆหรือกลางๆ
ครั้งนี้การกินของผมคือ ไม่กลัวแป้ง ไม่กลัวไขมัน แต่ต้องเลือกกินในปริมาณที่พอเหมาะ
ผมกินเฉลี่ยวันละ 1,200แคล กินสามมื้อ ก็เฉลี่ยมื้อละ 400แคล อาจจะมีเกินบ้างหรือขาดบ้าง เท่าที่จะทำได้ แต่ไม่ได้ซีเรียสอะไรมาก ถ้ามื้อไหนรู้ตัวว่ากินเกิน มื้อต่อไปก็ลดลง หรือบางวันก็หลุดไป 1,300แคลหรือมากกว่า ก็ไม่ซีเรียส
ในหนึ่งมื้อ มีแป้ง มีผัก มีโปรตีน / แป้ง จะเลือกกินข้าวกล้อง ข้าวโพด มันต้ม ฟักทอง ขนมปังโฮลวีต แต่ถ้าเลือกไม่ได้ ก็ไม่ซีเรียส จะกินให้ได้พลังงานประมาณ 100-150แคล / กินโปรตีนประมาณ 200แคล จาก อกไก่ต้ม ไข่ขาวต้มหลายๆฟอง ถั่วต้ม ธัญพืช ปลาทอดหรือต้ม เนื้อหมูหรือวัวไม่ติดมัน(ถ้าเลือกได้) นมถั่วเหลือง นมวัว เต้าหู้ / ส่วนไขมัน ผมแทบไม่ได้เลือกว่าต้องกินไขมันไม่อิ่มตัวหรืออะไร เพราะเราก็ไม่รู้ว่าร้านอาหารเค้าใช้น้ำมันอะไรทำ ผมจะพยายามกินไขมันให้น้อยที่สุดเท่าที่ทำได้ เช่น ไม่กินของทอดเลยถ้าเลือกได้ อาหารผัด จะบอกแม่ค้าให้ตักแห้งๆ ไม่เอาน้ำ ของทอดไหนที่เห็นว่ามัน ก็จะเอากระดาษมาซับ ถ้ามื้อไหนกินของทอด มื้ออื่นที่เหลือจะกินแต่ของต้มหรือนึ่ง
วันไหนออกกำลังกาย ก็จะเน้นกินโปรตีนเพิ่มขึ้นมากหน่อย และควบคุมการกินหวาน คือไม่กินเลยถ้าทำได้ แต่ถ้าสั่งส้มตำไทย ก็จะให้แม่ค้าตำมาครบสามรส แต่เวลากินจะไม่ตักน้ำกิน
ทีนี้พอเราคุมการกิน คุมปริมาณแคลที่ได้รับให้น้อยลง ร่างกายจะเริ่มคิดว่า เราอดอยาก ก็จะมีการปรับตัวให้ใช้พลังงานน้อยลง เราจึงต้องมีการโกงร่างกาย บอกเค้าว่า เราไม่ได้อดอยากนะ กรุณาใช้พลังงานเท่าเดิม โดยการกินปรกติ ไม่ต้องคุม
ในหนึ่งอาทิตย์ จะมีวันโกง ที่ผมจะกินไม่บันยะบันยัง กินขนมหวาน กินแป้ง กินไขมัน(แม้ว่าคนอื่นจะบอกว่า ให้โกงแต่พอดีๆคือแค่กินปรกติก็พอ แต่ผมไม่ได้เร่งลดอะไรมาก) กินตามใจปาก แต่ก็มีว่า หลายครั้งที่พอถึงวันโกง ผมก็กินได้ไม่เยอะ หรือบางทีก็ไม่อยากอาหาร และผมจะเลือกโกงในวันที่ไปออกกำลังกาย
การกินครั้งนี้ ผมกินครบสามมื้อ บางทีมื้อเย็นก็กินเวลาทุ่มหรือสองทุ่ม แต่ต้องกินก่อนจะนอนอย่างน้อย 2-3ชั่วโมง เพื่อไม่ให้เป็นกรดไหลย้อน หลักการกินคือ กินครบมื้อ ไม่กลัวที่จะกินมื้อเย็นหรือค่ำ แต่เพราะกินครบทุกมื้อ ทำให้ในแต่ละมื้อ จะกินในปริมาณที่พอดี ไม่มีมื้อไหนมากหรือน้อยเกินไป เพราะการคุมพลังงานที่กิน ทำให้เราต้องคุมปริมาณที่กินโดยอัตโนมัติ แทบไม่ได้กินบุฟเฟ่ต์เลย ยกเว้นวันโกงที่อาจไปกินบุฟเฟ่ต์บ้าง ทำให้ร่างกายปรับตัวกับการกินในปริมาณที่พอเหมาะ และกินได้ในปริมาณที่น้อยลง ไม่เหมือนแต่ก่อนที่มื้อนึงอาจจะกินได้เยอะมาก จึงทำให้ความสามารถในการกินต่อมื้อของผม ลดลงประมาณ 30% แม้จะไปกินบุฟเฟ่ต์ในวันโกง ก็กินได้น้อยลง
การคุมแคลที่ร่างกายได้รับ ทำให้ร่างกายมีพลังงานไม่พอใช้จากการกิน จึงต้องนำไขมันสะสมในร่างกายมาใช้ แต่ในขณะเดียวกัน ก็จะสลายมวลกล้ามเนื้อมาใช้ด้วยเช่นกัน แม้จะผอมลง แต่พอนานไป การใช้พลังงานในแต่ละวันก็จะลดลงด้วย เพราะมีกล้ามเนื้อบางส่วนหายไปจากการคุมการกิน
กล้ามเนื้อเป็นส่วนที่เผาผลาญพลังงาน เมื่อกล้ามเนื้อหาย การเผาผลาญก็ลดลง เราจึงต้องมีการเล่นเวท เพื่อเพิ่มกล้ามเนื้อให้คงอยู่(หรืออยากจะเพิ่มมากๆก็ได้นะครับ) ดังนั้น การออกกำลังจะทำแค่คาดิโออย่างเดียวไม่ได้ ต้องเล่นเวทด้วย
การเล่นเวท เพื่อสร้างกล้ามเนื้อเพิ่ม จะเล่นแบบไหนก็แล้วแต่นะครับ ผมเล่นแค่พอประมาณ ไม่ได้เน้นให้กล้ามใหญ่ แล้วพอเล่นเวท ก็ต้องกินโปรตีนเพิ่มเพื่อไปสร้างกล้ามเนื้อนะครับ
หลักการคร่าวๆก็มีแค่นี้เอง วิธีการลดน้ำหนักในครั้งล่าสุดนี้ ผมลดได้ เดือนละ1กิโล แต่ไม่หิวโหย ไม่อดอยาก ในแต่ละวันไม่รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่รู้สึกว่าต้องอดทนต่อสู้กับความหิว มีอยากขนมหวานบ้างในบางครั้ง แต่ก็จะคอยบอกตัวเองว่า เดี๋ยวค่อยไปจัดเต็มในวันโกง รูปร่างค่อนข้างดี กางเกงหลวมจนเกือบจะกลายเป็นปัญหา เพราะต้องซื้อใหม่ แต่ก็เสียดาย เพราะถ้าไปญี่ปุ่นแล้วกินแหลก กลับมาน้ำหนักก็เพิ่มอีก แต่กลายเป็นว่า แม้กลับจากญี่ปุ่นครั้งนี้ น้ำหนักผมจะเพิ่ม 4.5กิโล และมาเพิ่มอีก 2กิโลเพราะขนมที่ซื้อกลับมา แต่พอเริ่มกลับมาคุมอาหาร และออกกำลังกายอีกครั้ง น้ำหนัก 2กิโลที่ได้มาตอนหลังกลับหายไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้น้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 71-72กิโล และผมก็จะค่อยๆลดต่อไปอย่างไม่รีบร้อน
ถ้าคุณลดน้ำหนักได้จนถึงจุดที่พอดีแล้ว ก็กลับมากินปรกติได้(1,800-2,000แคล) แต่อย่ากินเยอะเหมือนเดิมจนกลับมาเป็นอ้วนอีกครั้ง จำไว้ว่า คนที่อ้วนเพราะการกิน ยังไงซะก็ต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการกิน และสิ่งที่กินรวมทั้งปริมาณการกินไปตลอดชีวิต เพื่อไม่ให้กลับไปอ้วนอีก และออกกำลังกายสม่ำเสมอ
เอาล่ะ มาเข้าประเด็นของกระทู้นี้กันดีกว่า คราวที่แล้วผมไปโตเกียว 14วัน นอนโตเกียวตลอด แต่มีการไปเที่ยวรอบๆโตเกียวแบบเช้าเย็นกลับบ้าง ครั้งนี้ทีแรกก็ตั้งใจจะไปฝั่งคันไซ แต่หาที่พักแบบ 14คืนรวดไม่ได้ ทำไปทำมาจึงกลับไปโตเกียวอีกครั้ง คราวนี้อยู่ 15วัน มีโอกาสได้ไปเห็นฟูจิที่คาวากุจิโกะชัดๆสวยงามมาก และไปที่อื่นบ้าง แต่หลักๆก็กลับไปเที่ยวตามย่านต่างๆซ้ำ ไปเดินในหลายๆจุดที่ยังไม่ได้ไป รวมทั้งเดินช็อปปิ้งด้วย แต่รีวิวนี้จะเน้นของกินนะครับ จะเล่าเรื่องเที่ยวแทรกบ้าง
ทริปนี้ไปวันที่ 8-22พฤศจิกา 59 รวม 15วัน
บิน ANA ราคาตั๋วประมาณ 18,500 บาท
ที่พักที่อาซากุสะ นอนคนเดียว มีห้องน้ำในตัว คืนละ 4,500 เยน
งบค่ากินทั้งหมดประมาณ 110,000 เยน
งบเกี่ยวกับค่าเดินทางในญี่ปุ่นกับค่าเข้าสถานที่เที่ยว ประมาณ 32,000 เยน
เน็ตผมใช้ Sim2fly ครับ รีวิวอ่านได้จากกระทู้นี้
https://pantip.com/topic/35844774
รูปทั้งหมดถ่ายด้วย IPhone 6 ผมสายตายาวแล้วบางทีถ่ายโดยไม่ได้ใส่แว่น มีเบลอไปบ้าง รูปไม่สวย ผิดพลาดอะไร ขอโทษด้วยนะครับ
[CR] ลดน้ำหนัก 8กิโลเพื่อกินแหลก คนเดียว ในโตเกียว 15วัน
https://pantip.com/topic/34503363
ผมจะรีวิวจบในกระทู้เดียวและต่อเนื่องนะครับ ยาวหน่อยแต่น่าจะสนุกและเป็นประโยชน์บ้าง
คราวที่แล้วลดไป 10กิโล พอกลับมา ได้น้ำหนักเพิ่มจากโตเกียวมา 4กิโล แล้วได้เพิ่มจากขนมที่ขนซื้อกลับมาอีก 3กิโล หลังจากนั้นน้ำหนักผมก็คงที่อยู่ประมาณ 74-75 คุมยังไงก็เอาไม่ลงซักที
พอต้นปี 59 มีแผนจะกลับไปญี่ปุ่นอีกครั้งตอนปลายปี ก็ต้องเริ่มภารกิจลดน้ำหนักกันอีกครั้ง คราวนี้ตั้งใจจะกดลงไปให้ได้ถึง 65กิโล และใช้วิธีใหม่(ยังไงเดี๋ยวบอก) แต่พอทำจริง ก็ลงไปได้แค่ 67กิโล ก็ถือว่าโอเค พร้อมไปกินแหลกที่โตเกียวอีกรอบแล้ว
ก่อนจะพาไปกิน ขออนุญาตบอกวิธีการลดน้ำหนักคร่าวๆก่อน เพราะเชื่อว่าหลายคนที่เข้ามาอ่าน อยากรู้วิธีลดน้ำหนักมากกว่าอยากอ่านเรื่องอาหารที่ผมไปกินซะอีก ขอใส่สปอยล์เอาไว้นะครับ ใครไม่อยากรู้ข้ามไปได้เลย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เอาล่ะ มาเข้าประเด็นของกระทู้นี้กันดีกว่า คราวที่แล้วผมไปโตเกียว 14วัน นอนโตเกียวตลอด แต่มีการไปเที่ยวรอบๆโตเกียวแบบเช้าเย็นกลับบ้าง ครั้งนี้ทีแรกก็ตั้งใจจะไปฝั่งคันไซ แต่หาที่พักแบบ 14คืนรวดไม่ได้ ทำไปทำมาจึงกลับไปโตเกียวอีกครั้ง คราวนี้อยู่ 15วัน มีโอกาสได้ไปเห็นฟูจิที่คาวากุจิโกะชัดๆสวยงามมาก และไปที่อื่นบ้าง แต่หลักๆก็กลับไปเที่ยวตามย่านต่างๆซ้ำ ไปเดินในหลายๆจุดที่ยังไม่ได้ไป รวมทั้งเดินช็อปปิ้งด้วย แต่รีวิวนี้จะเน้นของกินนะครับ จะเล่าเรื่องเที่ยวแทรกบ้าง
ทริปนี้ไปวันที่ 8-22พฤศจิกา 59 รวม 15วัน
บิน ANA ราคาตั๋วประมาณ 18,500 บาท
ที่พักที่อาซากุสะ นอนคนเดียว มีห้องน้ำในตัว คืนละ 4,500 เยน
งบค่ากินทั้งหมดประมาณ 110,000 เยน
งบเกี่ยวกับค่าเดินทางในญี่ปุ่นกับค่าเข้าสถานที่เที่ยว ประมาณ 32,000 เยน
เน็ตผมใช้ Sim2fly ครับ รีวิวอ่านได้จากกระทู้นี้
https://pantip.com/topic/35844774
รูปทั้งหมดถ่ายด้วย IPhone 6 ผมสายตายาวแล้วบางทีถ่ายโดยไม่ได้ใส่แว่น มีเบลอไปบ้าง รูปไม่สวย ผิดพลาดอะไร ขอโทษด้วยนะครับ