อลเวงรักสองภพ บทนำ



อลเวงรักสองภพ


โดย...ล. วิลิศมาหรา


บางทีชีวิตคนเราก็พลิกผัน ไม่รู้ว่าโชคชะตาจะพาเราเดินหน้าไปยังจุดไหน หรือเเม้กระทั่งพาเราถอยหลังกลับไปในอดีตกาลอันเเสนไกล...เราจะทำอย่างไรดี หากเวลาเดินถอยหลังเหมือนที่เธอคนนี้กำลังประสบ


"นี่...ยัยช่อ อย่าลืมพูดบรรยายสรรพคุณของมือถือให้ครบนะ ห้ามตกหล่น"

"ค่ะ"

ช่อชบาในชุดคอสเพลย์ตัวการ์ตูนเจ้าหญิงสโนไวท์ซึ่งกำลังง่วนอยู่กับหน้าจอโทรศัพท์มือถือของตัวเอง เงยหน้าขึ้นรับคำหัวหน้าแผนกประชาสัมพันธ์ค่ายมือถือชื่อดัง เธอปิดมันก่อนเข้าประจำที่บนเวทีเตี้ยหน้าห้างสรรพสินค้าใหญ่แห่งหนึ่งในตัวเมืองเชียงใหม่ ส่วนตาก็จับจ้องไปที่เพื่อนพริตตี้สาวสวยชื่อลลนา ในชุดเสื้อกางเกงติดกันสีเงินเลียนแบบชุดในภาพยนตร์ไซไฟเรื่องดังอย่างนึกอิจฉา

ตัวเสื้อของสาวพริตตี้เป็นแบบเกาะอก ดันเนินอกโชว์ความอวบขาวของสิ่งที่แม่ให้มาจนแทบล้นทะลักออกนอกขอบอกเสื้อ เจ้าหล่อนกำลังเดินอวดหุ่นกับใบหน้าที่แต่งจนคมเฉี่ยว รับกับผมสีม่วงปนน้ำตาลยาวสลวย บิดเป็นเกลียวดูสวยเซ็กซี่อยู่หน้าโซนจัดแสดง ในมือเรียวงามถือโทรศัพท์มือถือรูปลักษณ์เพรียวบางไปรอบๆ ก่อนโชว์ศักยภาพทั้งด้านกันน้ำและกันกระแทกให้ผู้ชมรอบข้างได้ทึ่ง

ช่อชบาเพิ่งออกจากงานประชาสัมพันธ์ของสถานบริการแห่งหนึ่ง เพราะทนความเจ้าชู้ของคนเป็นเจ้าของไม่ไหว พนักงานในร้านทยอยลาออกทีละคนจนกระทั่งถึงตาเธอบ้าง เพื่อความอยู่รอดเธอจึงต้องมาใส่ชุดสโนไวท์ยืนโปรโมทสินค้าร่วมกับทีมพริตตี้สาวสวย ด้วยค่าตัวที่ค่อนข้างน่าพอใจ

หญิงสาวเริ่มทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์สินค้า ขณะเดียวกันก็อดยกมือคลำหน้าม้าสั้นเต่อของตัวเองไม่ได้ ที่เมื่อคืนเผลอไปตัดฉับเข้าให้ด้วยความรีบเร่ง

อนิจังอนิจา ส่องกระจกดูแล้วก็ให้นึกอนาถกับเจ้าหญิงสโนไวท์ที่มีหน้าม้าอุบาทว์ แถมทาสีแก้มแดงแจ๋ ยิ่งเมื่อต้องมายืนคู่กันกับแม่พริตตี้คนสวย ที่เดินไปซ้ายทีขวาทีคนนั้นด้วยแล้ว เจ้าหล่อนเดินไปมาอีกรอบก่อนหมุนตัวกลับไปทางโต๊ะวางอุปกรณ์มือถือ

“อีชั่ว มิงแย่งผัวชาวบ้าน”

ทันใดนั้นเอง เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น มันรวดเร็วเสียจนพริตตี้คนสวยตั้งตัวไม่ทัน ผู้หญิงคนหนึ่งถลันออกมาจากกลุ่มคนข้างเวที เธอพุ่งเข้าหาสาวพริตตี้แล้วเงื้อมือตบฉาดลงบนใบหน้าสวยของลลนา ร่างในชุดอวกาศสีเงินเซถลาเข้าปะทะกับช่อชบาที่กำลังส่งเสียงเจื้อยแจ้วเรียกคนดูอยู่อย่างจัง แรงปะทะทำให้สาวหน้าม้าเสียหลักเพราะไม่ทันระวังตัว โชคร้ายที่รองเท้าสโนไว้ท์ของเธอเกี่ยวเข้ากับสายไฟฟ้าที่วางระเกะระกะอยู่บนพื้น หญิงสาวสะดุดหน้าคะมำ ร่างเธอล้มคว่ำลง เคราะห์ร้ายเมื่อมือเธอดันไปตะปบถูกปลั๊กไฟที่เกือบหลุดออกจากเต้าเสียบเพราะแรงสะดุด ประกายไฟสว่างวาบจนแสบตา พร้อมกับร่างของหญิงสาวทะลึ่งพรวดขึ้น ก่อนหล่นโครมลงกับพื้นอีกครั้ง

โครม!



ที่นี่คือที่ไหน...

ช่อชบาฟื้นขึ้นจากอาการสลบไสล หญิงสาวอุทานในใจขณะพยายามชันตัวลุกขึ้นนั่ง ฉับพลันก็ต้องสะดุ้งเมื่อมีคนกดไหล่ให้นอนลง พร้อมเสียงพูดเป็นภาษาพื้นเมืองของภาคเหนือสำเนียงประหลาดดังขึ้น

“จะไปฟ้าวลุกเตื้อ กำเดวจะหน้ามืดเป็นลมแหมเน้อ”(อย่าเพิ่งลุกเลย เดี๋ยวจะเป็นลมเอาอีกนะ) ช่อชบาลืมตาโต ขืนตัวเอาไว้ก่อนเหลียวมองรอบข้างเลิกลั่ก

“ที่นี่คือที่ไหน” เธอร้องถามเสียงดัง

“อี่เกี่ยงอู้กำอะหยังแหมแล้ว ฟังเหมือนกำตางใต้ปู้น”(นางเกี๋ยงพูดภาษาอะไรอีกแล้ว ฟังเหมือนภาษาคนทางใต้โน่น) หญิงสาวตกใจเมื่อมองไปเจอผู้หญิงวัยกลางคนท่าทางประหลาดข้างตัว และ...บ้าน

แต่ไม่ใช่บ้านของเธอแน่ๆ เพราะมันเป็นห้องนอนไม้สักกว้างขวางใหญ่โต ไม่ใช่ห้องเช่าราคาถูกที่เธอเช่าอยู่ เสาไม้แต่ละต้นในห้องใหญ่จนรอบแขนคนโอบเกือบไม่รอบ เธอนอนบนฟูกบางๆ ปูบนพื้นไม้สักแผ่นใหญ่เบ้อเริ่ม มีผ้าฝ้ายเนื้อหยาบสีขาวหม่นคลุมตัวอยู่

ผู้หญิงที่พูดกับเธอพันทบรอบอกด้วยผ้าฝ้ายสีขาวลักษณะคล้ายพันผ้าแถบ นุ่งซิ่นลายขวางสีออกน้ำตาลแดง เกล้ามวยผมไว้กลางศีรษะ หล่อนนั่งขัดสมาธิกดตัวเธอเอาไว้ พูดด้วยภาษาเหนือสำเนียงแปลกๆ ซึ่งถึงแม้ช่อชบาจะเป็นคนเชียงใหม่ พูดคำเมืองหรือภาษาเหนือมาตั้งแต่เกิด แต่เวลาฟังหล่อนพูดแล้วก็ยังรู้สึกทะแมงๆ คล้ายเป็นสำเนียงของคนล้านนาโบราณ โฆษกสาวนั่งนิ่งงันด้วยความตกใจ

“อี่เกี๋ยง...รู้สึกตัวแล้วกา” เสียงผู้หญิงอีกคนร้องถามมาจากด้านหลัง หล่อนเดินเข้ามานั่งลงใกล้กันกับหญิงคนแรก ช่อชบามองตามด้วยความอัศจรรย์ใจ หล่อนสองคนคงจะวัยเดียวกัน แต่งตัวเหมือนกันราวกับโผล่มาจากภาพยนต์ย้อนยุคโบราณ

“มันรู้สึกตัวแล้ว แต่ดูท่าทางยังงงๆ อยู่ เหมือนนึกอะไรไม่ออก”

ผู้หญิงทั้งสองสื่อสารกันด้วยภาษาเหนือที่แปลกประหลาด แต่ช่อชบายังฟังพอรู้เรื่อง จับใจความได้ว่าพวกหล่อนกำลังเรียกชื่อเธอว่า อี่เกี๋ยง พลันหญิงสาวก็นึกเอะใจ รีบก้มลงมองตัวเอง...

พุทโธ ทัมโม สังโฆ

...ที่กำลังนั่งอยู่คือตัวเราหรือนี่ ไม่จริง เป็นไปไม่ได้...ช่อชบาอุทานขึ้นในใจ

สลัดศีรษะไปมาเพื่อขับไล่ความมึนงง เริ่มนึกออกว่าเธอกำลังรับงาน Mobileโชว์ งานหนึ่ง ใช่แล้ว เป็นงานโชว์โทรศัพท์มือถือในห้างสรรพสินค้ากลางเมือง ทันใดนั้นช่อชบาก็รู้สึกถึงสิ่งหนึ่งในมือ เธอรีบกำมันไว้แน่น...เค้นความจำออกมาอีกก็จำได้ว่าตัวเองสวมชุดสโนไว้ท์...ชุดสโนไว้ท์...รีบก้มลงสำรวจดูตัวเองโดยด่วนก่อนลืมตาโพลง...ให้ตาย เราไม่ได้พันผ้าแถบนุ่งซิ่นแบบนี้...ใครอุตริมาแต่งชุดโบราณให้ล่ะนี่

หลับตานึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ก่อนสิ้นสติ ทบทวนดูด้วยใจสั่นระริก ในที่สุดก็จำเรื่องราวได้ทั้งหมด เธอถูกสาวพริตตี้เซมาชนอย่างแรงก่อนที่จะถูกไฟดูด ใช่แล้ว...เธอถูกไฟฟ้าดูด ช่อชบาลืมตาขึ้นแล้วลองหยิกแขนตัวเองแรงๆ

โอ้ย เจ็บนี่หว่า! มันแสดงว่าเธอไม่ได้กำลังฝันอยู่และยังไม่ตาย

“ขอ...ขอแว่นส่องดูหน้าหน่อย”

“ป๊าดโท๊ะ...ตื่นขึ้นมาก็สลิดดกเชียวนะเอ็ง รีบถามหาแว่นส่องแยง นอนไม่กินข้าวกินน้ำมาทั้งวัน กินข้าวเสียก่อนเถอะ เอ้า นังข้างนอก ยกขันโตกมาที”

ขันโตกถูกนำมาตั้งให้ตรงหน้าหญิงสาวหลงยุค อาหารในนั้นมีลาบหมูดิบ น้ำพริกตาแดง ไส้อั่วกับแคบหมู มีผักต้มแปลกๆ อีกสองสามอย่าง รวมทั้งข้าวเหนียวนึ่งในก่องข้าวเล็กกะทัดรัด ช่อชบานั่งมองอาหารในจานชามบนขันโตกนิ่งเพราะไม่รู้สึกหิว ไม่มีอารมณ์อยากกินข้าวกินน้ำอะไรทั้งนั้น ก็ใครมันจะไปกินลง

“เอ้า กินซะเร็วเข้า เดี๋ยวกูกับอีรื่นจะต้องรีบไปเฝ้าท้าวเพื่อนท้าวแพงกันแล้ว ทำกูสองคนใจไม่ดีเลยนะเอ็ง อยู่ๆ ก็เป็นลมเป็นแล้งขึ้นมากลางวงซอ นอนนิ่งเรียกไม่หือไม่อืออย่างกับคนตาย”

“อืม นั่นซี พวกกูตกใจแทบแย่ เออนี่ อีโรย ก่อนขึ้นไปเฝ้ามาตกลงกันก่อนว่าจะทำยังไงกับที่ไปรับปากท้าวเธอเอาไว้...เรื่องนั้น”

“เดี๋ยวซี กูยังนึกไม่ออก ไม่น่าไปรับปากท้าวท่านเลย อ้ายพวกซอมันดันมาเล่าว่าพระองค์งามนัก แต่จะงามเยี่ยงไรใครจะไปบรรยายให้ท้าวทั้งสองฟังถูก”

“ก็บอกว่าท่านงามกว่าพระอินทร์”

“งั้นคงงามตัวเขียว”

“อีผีบ้า งามตัวเขียวจะเรียกได้ว่างามรึ”

ยิ่งฟังยิ่งงง ช่อชบาแน่ใจแล้วว่านี่คือเรื่องจริงไม่ใช่ความฝัน เพราะถึงหยิกตัวเองซ้ำๆ ตัวเธอก็ยังคงนั่งอยู่ต่อหน้าผู้หญิงท่าทางโบราณสองคนเหมือนเดิม ไม่ยักตื่นขึ้นมา

“เอ้อ ใครงามหรือจ๊ะ”

ตัดสินใจเอ่ยถามอย่างอดรนทนไม่ได้ ตายแล้ว...นี่เธอหลุดเข้ามาใน พ.ศ. ไหนกัน หรือว่าเกิดย้อนอดีตเหมือนหนังย้อนกาลเวลา

“อี่เกี๋ยงนี่อีกคน มันฟังซอแล้วคงอยากเห็นพระลอจนไข้ขึ้น ถึงกับเป็นลม ฮ่า ๆ ๆ”

ผู้หญิงที่ถูกเรียกชื่อว่าโรยแหงนหน้าอ้าปากหัวร่อ พระลอ...ท้าวเพื่อนท้าวแพง...อี่รื่นกับอีโรย...ช่อชบาร้องเอะอะในใจ ไม่จริ๊ง...


“เฮ้ย...”

สองหญิงที่กำลังนั่งคุยกันสะดุ้งเสียงร้องของเธอ พากันหันมาจ้องคนซึ่งพวกหล่อนคิดว่าเป็นอีเกี๋ยง

“นี่คือ มะ...เมือง...อย่าบอกนะว่าเป็นเมืองสอง”

“เอ็งเป็นอะไร ก็นี่เมืองสอง” หญิงชื่อรื่นนิ่วหน้า เอ็ดสาวบนฟูก

“หา...เมืองสอง เมืองของพระเพื่อนกับพระแพง”

“อือ...ก็ใช่น่ะสิ นี่ตำหนักของเจ้าย่า แล้วเอ็งน่ะ” นางโรยยกนิ้วชี้จิ้มเข้าที่หน้าผากของช่อชบา

“เอ็งก็เป็นนางกำนัลของเจ้าย่าท่าน อีนี่ยังไง เป็นลมแล้วความจำฟั่นเฟือนฤา จำอะไรไม่ได้เลยรึ”

“กูว่าให้มันนอนพักเถอะ มิงกับกูไปหาวิธีทำให้พระลอได้ยลโฉมท้าวเธอทั้งคู่ดีกว่า เดี๋ยวพอขึ้นไปเฝ้าจะได้เพ็ดทูลถูกว่าเราสองคนจะทำยังไงต่อไป  เอ้า นอนพักเสียอีเกี๋ยง หายดีแล้วค่อยขึ้นไปรับใช้เจ้าท่านนะ ถ้ายังสะลึมสะลืออยู่อย่างนี้อย่าเสนอหน้าไปเชียว จะถูกหวายลงหลังขาดเอา”

สองหญิงจากไปแล้ว ช่อชบารีบงัดเอามือถือข้างใต้ผ้าห่มขึ้นมาดู รีบกดเปิดเครื่องโดยเร็ว โอ้...พระเจ้า มันยังใช้ได้ กดโหมดกระจก อั้ยยะ...นี่หน้าเราเหรอ

ผู้หญิงในกระจกหน้ากลมแป้นแล้น ผิวเหลืองซีดเซียว เกล้าผมมวยแต่ดูยุ่งเหยิงพันกันเหมือนรังนก จมูกที่เคยโด่งแมบแฟบ ริมฝีปากหนาเตอะ ฟันหน้ายื่นเหยินเล่มเท่าจอบ

โอ้ยโย่...ช่วยด๊วย...

กดดูโทรศัพท์ด้วยใจเต้นตึ่กตั่ก โหมดถ่ายรูปใช้ได้ โหมดอื่นๆ ก็ใช้ได้ ยกเว้นโทรศัพท์ที่ไม่สามารถใช้โทรติดต่อหาใคร ใช่สิ...ก็นี่มันคือยุคไหนกัน

ช่อชบาแชะหน้าตาปัจจุบันอันแสนอุบาทว์ของตัวเองเก็บไว้ ก่อนกดปิดโทรศัพท์เพราะกลัวแบตเตอร์รี่หมดไว ถ้าเกิดแบตฯหมดขึ้นมาเธอจะไปหาชาร์ตได้ที่ไหนล่ะ ในเมื่อไม่เห็นสายไฟฟ้าหรือหลอดไฟฟ้าเลยสักหลอดเดียว แสดงว่าที่นี่ไม่มีไฟฟ้าใช้แน่ๆ

รีบคลานกระดึบๆ ไปแอบส่องดูข้างนอกห้องตรงรอยแตกของฝาผนังบ้านไม้...คุณพระคุณเจ้าช่วยลูกช้างด้วย สิ่งของและผู้คนข้างนอกล้วนอยู่ในยุคล้านนาโบราณทั้งสิ้น!

จบบทนำ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่