ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เนต
ตอนที่แล้ว
http://pantip.com/topic/35875039
อลเวงรักสองภพ
โดย...ล. วิลิศมาหรา
หนึ่งวันเต็มๆ ที่ช่อชบาต้องมาติดแหง็กอยู่ในร่างของผู้หญิงหน้าตาอัปลักษณ์ซึ่งใครๆ ที่นี่เรียกว่า อีเกี๋ยง อย่างไม่รู้ชะตากรรมของตัวเอง
เธอถูกปล่อยให้นอนอยู่ในห้องคนเดียวจนค่ำ หญิงสาวลุกจากฟูกสำรวจดูรอบห้อง ในห้องมีฟูกวางเรียงรายถัดกันสี่ที่ แสดงว่ามีคนพักในนี้สี่คน ผนังห้องด้านหนึ่งมีปล่องคล้ายช่องลมสามารถเลื่อนปิดเปิดได้ ใกล้ปล่องวางโต๊ะไม้เตี้ยๆ ใช้ตั้งกระจกเงาบานย่อม มีกระจาดใบเล็กใส่หวีทำจากไม้ และแป้งกระแจะเป็นเม็ดๆ ปนกับดอกจำปาวางอยู่ เชี่ยนทองเหลืองใส่หมากพลูสำรับหนึ่งวางอยู่ชิดฝาห้องใกล้กับตะกร้าหวายใส่ผ้านุ่ง แล้วทั้งห้องก็ไม่มีอะไรอื่นอีก น่าแปลกที่ไม่ยักมีมุ้งให้กาง หรือว่าที่นี่จะไม่มียุง
พอค่ำลงมีหญิงสาววัยรุ่นคนหนึ่งชื่อว่าสีมอยเข้ามาในห้อง หญิงสาวคนนี้หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักดี เสียแต่กินหมากจนน้ำหมากแดงเปรอะปากราวกินเลือดสดๆ หล่อนบอกชื่อตัวเองให้หญิงคนที่รื่นกับโรยเอาไปโพนทะนาว่าความจำเสื่อมรู้ แล้วฉีกยิ้มให้จนเห็นฟันดำเมี่ยมไปทั้งปาก ช่อชบาเห็นคนที่เข้ามาในห้องต่างกินหมากกันทุกคน นึกสงสัยว่ารื่นกับโรยทำไมไม่กินหมากเหมือนคนอื่น
สาวปากเปื้อนน้ำหมากพยักพเยิดทักทายคนร่วมห้องที่กลับมานอนทำหน้ามึน ก่อนล้มตัวลงนอนฟูกข้างๆ หล่อนบอกเธอว่าคืนนี้ต้องอยู่กันแค่สองคน เพราะรื่นกับโรยไปนอนค้างในตำหนักของพระธิดาฝาแฝด เสร็จแล้วก็บ่นว่าเหนื่อย ไม่นานเธอก็ได้ยินเสียงกรนครืดคราดดังมาจากร่างหล่อน บอกให้รู้ว่าเจ้าตัวหลับไปเรียบร้อยแล้ว ช่อชบาสบโอกาสจึงค่อยๆ ลุกขึ้นจากฟูก โหย่งปลายเท้ามาที่ประตูห้องนอน
แผ่นกระดานปูพื้นห้องแม้แผ่นหนาใหญ่ แต่เวลาเดินลงน้ำหนักเท้าก็ยังส่งเสียงลั่นเอี้ยดขึ้นเบาๆ เธอจึงต้องวางเท้าลงให้เบากว่าเดิม สร้างความลำบากให้ไม่น้อย เพราะคุ้นชินกับพื้นซีเมนต์ปูกระเบื้องซึ่งไม่ต้องใช้ความระมัดระวังว่าจะเกิดเสียงดังเวลาเดิน
พอมาถึงหน้าประตูห้องนอนก็ต้องหยุดชะงักจ้องดู...ช่างเป็นประตูโบราณดีแท้ บานประตูทำจากไม้แผ่นเดียว เปิดเข้าข้างใน มีกลอนประตูทำด้วยไม้สำหรับขัดบานประตู
ก้าวผ่านธรณีประตูออกมาสู่ด้านหน้าเรือนที่มีบริเวณเปิดโล่ง แสงจากจันทร์เต็มดวงส่องสว่างให้พอสังเกตเห็นสิ่งต่างๆ บนเรือนได้ถนัดตา เธอเดินสำรวจไปถึงนอกชานซึ่งไม่มีหลังคาคลุม แหงนมองดูข้างบนจึงรู้ว่าจุดที่ยืนอยู่คือเรือนหลังหนึ่งในกลุ่มเรือนหลายหลัง ที่มีระเบียงเชื่อมต่อกันทั้งหมด
ฟากหนึ่งของเรือนสันนิษฐานว่าเป็นเรือนครัวเพราะเห็นฝาห้องมีเขม่าสีดำจับอยู่ ทั้งสองฟากเชื่อมต่อกันด้วย“ฮ่องลิน”คือทางเดินใต้รางน้ำฝนระหว่างชายคาเรือน หลังเรือนครัวเป็นชานโล่งตั้งตุ่มน้ำใบใหญ่เรียงรายไว้หลายใบ
ข้างนอกเงียบสงัด เห็นคบไฟวับๆ แวมๆ กับเงาตะคุ่มของสิ่งปลูกสร้างอยู่รายรอบ ซึ่งล้วนแต่มีขนาดย่อมกว่าเรือนหลังนี้ทั้งสิ้น เสียงแมลงกลางคืนกรีดปีกดังขึ้นในความเงียบ กลิ่นดอกไม้ไม่คุ้นจมูกกรุ่นอยู่ในบรรยากาศ สายลมเย็นพัดมาต้องผิวเนื้อจนหนาวสะท้าน อากาศของที่นี่หนาวเย็นทั้งกลางวันกลางคืน แต่ผู้คนที่เข้ามาเยี่ยมเธอก็พันเพียงผ้าแถบกับนุ่งซิ่น อาจมีผ้าคลุมไหล่อีกผืนหนึ่งเท่านั้น ช่อชบาเดินวนอยู่แถวนั้นยังไม่กล้าเดินไปไหนไกล ก่อนทรุดตัวลงนั่งบนยกพื้นเรือนอย่างหม่นหมอง...นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตตัวเองกันแน่
หญิงสาวน้ำตาซึมล้วงเอาโทรศัพท์มือถือออกมาจากชายพกผ้าซิ่น มันเป็นของสิ่งเดียวที่ผูกโยงให้ยึดมั่นว่าตัวเธอคือช่อชบา สวัสดิ์ผล หญิงสาวในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด หลานสาวคนเดียวของยายบัวเงิน กดเปิดดูรูปตัวเองที่เพิ่งถ่าย ในรูปถึงเธอจะมีหน้าม้าสั้นเต่อจนทำให้ดูเปิ่น แต่ก็ยังสวยกว่าหน้าตาปัจจุบันที่เป็นอีเกี๋ยงอย่างเทียบกันไม่ติด เลื่อนไปอีกจนถึงรูปหญิงชราพลันน้ำตาก็ร่วงหยดแหมะ...
เธอจะสามารถกลับไปสู่โลกเก่าของตัวเองได้อยู่หรือไม่ และจะไปได้ยังไง ถ้าเธอต้องติดอยู่ที่นี่ตลอดไปแล้วยายบัวเงินล่ะ...ห่วงเดียวของลูกผู้หญิงกำพร้าอย่างเธอก็คือยายวัยเจ็ดสิบสองปี ผู้อาศัยอยู่ในบ้านกลางสวนลำไยห่างไกลจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปหลายสิบกิโลเมตร
ยายส่งเสียเลี้ยงดูเธอจนจบปริญญาตรีในสาขาพาณิชยการ และหวังฝากผีฝากไข้ไว้กับหลานสาวคนเดียว แต่หญิงสาวหัวสมัยใหม่อย่างเธอกลับชอบใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ที่แสนสะดวกสบาย มากกว่าไปเป็นชาวสวนลำไยแบบนั้น จึงยังคงดื้อรั้นไม่ยอมกลับไปอยู่กับยายเสียที หญิงสาวหวังอยากเปิดหูเปิดตาสู่โลกกว้างให้มากที่สุด เธอตื่นตาตื่นใจกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่นึกเลยว่าชะตาชีวิตของตัวเองจะมาพลิกผัน จนต้องย้อนเวลากลับมาสู่อดีตที่ไม่ทราบว่ากี่ร้อยปี
วินาทีนี้ช่อชบาคิดถึงยายเหลือเกิน คิดถึงที่สุด แต่เมื่อคิดจะกลับไปหามันก็สายเสียแล้ว ต่อไปยายจะอยู่ยังไงถ้าไม่มีเธอ...คิดพลางถอนสะอื้น เหลือบตามองโทรศัพท์อีกครั้ง...
อย่าเพิ่งหมดหวังสินังช่อ...ก็เธอกับเจ้าเครื่องนี้ยังสามารถมาที่นี่ได้ มันก็อาจมีทางกลับไปได้เหมือนกัน นึกปลอบตัวเองอยู่ในใจ
“มิงมานั่งทำอะไรที่นี่มืดๆ”
สะดุ้งโหยงขึ้นทั้งตัวเมื่อถูกมือเย็นๆ มาแตะที่ไหล่เปลือย พอหันมามองสายตาก็ปะทะเข้ากับปากเปื้อนน้ำหมากแดงเทือกของสีมอยเข้า นี่แม่เจ้าประคุณพอตื่นตาขึ้นมาก็มวนหมากพลูใส่ปากเลยหรือยังไง
“มานั่งรอดูพระจันทร์ลากลับบ้าน...”
รีบกดปิดมือถือเครื่องบางแล้วเก็บไว้ใต้ชายพกตามเดิม ตอบหล่อนพลางหันกลับไปมองเดือนดวงโตบนฟ้าเหนือชานแดดใหม่ บอกส่งๆ ไปตามที่ใจกำลังคิด...เธออยากกลับไปบ้านจริงๆ ทั้งบ้านกลางสวนลำใย หรือห้องเช่าในซอยคับแคบค่าเช่าเดือนละสามพันกว่าบาท แม้ว่าทั้งสองที่จะไม่ค่อยสะดวกสบายนัก แต่มันก็อยู่ในโลกอันคุ้นชินของเธอ มีถนนหนทางให้รถราวิ่ง มีไฟฟ้า มีคอมพิวเตอร์ให้ใช้ ซึ่งต่างจากเรือนไม้สักใหญ่โตกว้างขวางของที่นี่ ที่มันทั้งมืดทั้งวังเวง บรรยากาศอึมครึมหม่นมัวแม้แต่ในเวลากลางวัน ซึ่งอาจเป็นเพราะไร้แสงสีจากหลอดไฟฟ้าอย่างที่เธอเคยชินก็เป็นได้
ช่อชบาไม่นึกว่าสีมอยจะจริงจังกับคำตอบมั่วๆ แบบนั้นของเธอ กระทั่งได้ยินเสียงถาม
“ดวงจันทร์จะกลับบ้านเพราะจะมีค้างคากมากินฤา” แม่สาวโบราณย้อนถามเธอว่า จะมีราหูมาอมจันทร์ในคืนนี้ใช่ไหม หญิงสาวผู้จากบ้านมาไกลอีกมิติหนึ่งส่ายหน้าหวือ
“ม่ายช่าย...ฉันกะนั่งรอให้ถึงเช้าอยู่ตรงนี้ พอตะวันขึ้นท้องฟ้ามันสว่าง เดือนก็เลยต้องลาท้องฟ้าไปไง ฉันเลยบอกว่าเดือนจะกลับบ้าน”
“อ้อ...แล้วก็ไม่บอกตรงๆ พูดจาอ้อมค้อมอย่างกับพวกช่างซอ พอฟื้นขึ้นมาเก่งจ๊อยซอเชียวนะเอ็ง”
แม่สาวน้ำหมากเอาเธอไปเปรียบกับศิลปินซอเสียอีก ช่อชบาแม้เป็นคนรุ่นใหม่แต่ก็รู้ว่าซอคืออะไร เพราะตอนยังอยู่กับยายที่บ้านนอก ยายก็เคยเปิดวิทยุฟังค่าวซอบ่อยๆ แต่พอโตเป็นสาวเธอก็ฟังแต่พี่ตูน บอดี้สแลม ที่ไหนจะมาปลื้มกับคำพูดของสีมอย เชยออก...แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็พยายามอธิบาย
“มันเป็นคำพูดอุปมาอุปไมยอย่างที่เรียกว่าใช้สำนวนน่ะ”
ตั้งใจบอกทั้งไม่ค่อยแน่ใจนักว่าอีกฝ่ายจะฟังรู้เรื่อง ซึ่งก็จริงดังคาด สาวยุคโบราณทำหน้ามีเครื่องหมายคำถามอยู่ภายใต้แสงจันทร์เพ็ญ สีมอยคงสงสัยทั้งคำพูดคำจา ตลอดจนกิริยาท่าทางของเพื่อนสาวหลังฟื้นขึ้นจากเป็นลม
“อุบๆ อ้าๆ อะไรของเอ็ง เอ...เอ็งเปลี่ยนไปมากอย่างพี่รื่นพี่โรยว่าจริงๆ เปลี่ยนไปยังกับไม่ใช่อีเกี๋ยงคนที่กูเคยรู้จัก”
คันปากยุบยิบอยากบอกว่าตัวเองไม่ใช่อีเกี๋ยงอย่างที่หล่อนคิด แต่ติดว่ายังนึกหาคำพูดมาอธิบายไม่ได้ ก็เลยเงียบเสียดีกว่า
“แล้วจะมานั่งหลังขดหลังแข็งรอให้ถึงเช้าอยู่ตรงนี้ทำไม ไปข่มตานอนเสียเถอะ พรุ่งนี้จะได้ขึ้นไปเฝ้าเจ้าย่าพร้อมกันกับกูแต่เช้า ปล่อยให้กูรับใช้ท่านอยู่คนเดียวทั้งวันเหนื่อยแทบตาย เจ้าท่านบ่นถึงอยู่นะ ท่านว่าไม่มีใครตะบันหมากให้เสวยได้อร่อยเท่าเอ็ง”
เสียงบ่นของสีมอยทำให้หญิงสาวนึกขึ้นได้ แล้วก็เกิดความกังวลขึ้นมา ใช่สิ ตอนนี้เธอไม่ใช่ช่อชบาคนเดิม หากแต่เป็นบ่าวรับใช้ของเจ้าย่าผู้เป็นใหญ่ในตำหนักนี้ จะทำยังไงดีถ้าเกิดต้องไปทำหน้าที่ของนางเกี๋ยง ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยพูดใช้ศัพท์แสงกับใครที่ไหนมาก่อน ตะบันหมากก็ไม่เคยทำเพราะยายบัวเงินก็ไม่ได้กินหมาก จะนั่งจะยืนเข้าหาเจ้านายยังไงให้ไม่ต้องโดนหวายลงหลัง หรือหัวไม่หลุดออกจากบ่าเสียก่อนล่ะนี่
ยายจ๋า ช่วยช่อด๊วย...
(มีต่อ)
อลเวงรักสองภพ ตอนที่ 1
ตอนที่แล้ว
http://pantip.com/topic/35875039
โดย...ล. วิลิศมาหรา
หนึ่งวันเต็มๆ ที่ช่อชบาต้องมาติดแหง็กอยู่ในร่างของผู้หญิงหน้าตาอัปลักษณ์ซึ่งใครๆ ที่นี่เรียกว่า อีเกี๋ยง อย่างไม่รู้ชะตากรรมของตัวเอง
เธอถูกปล่อยให้นอนอยู่ในห้องคนเดียวจนค่ำ หญิงสาวลุกจากฟูกสำรวจดูรอบห้อง ในห้องมีฟูกวางเรียงรายถัดกันสี่ที่ แสดงว่ามีคนพักในนี้สี่คน ผนังห้องด้านหนึ่งมีปล่องคล้ายช่องลมสามารถเลื่อนปิดเปิดได้ ใกล้ปล่องวางโต๊ะไม้เตี้ยๆ ใช้ตั้งกระจกเงาบานย่อม มีกระจาดใบเล็กใส่หวีทำจากไม้ และแป้งกระแจะเป็นเม็ดๆ ปนกับดอกจำปาวางอยู่ เชี่ยนทองเหลืองใส่หมากพลูสำรับหนึ่งวางอยู่ชิดฝาห้องใกล้กับตะกร้าหวายใส่ผ้านุ่ง แล้วทั้งห้องก็ไม่มีอะไรอื่นอีก น่าแปลกที่ไม่ยักมีมุ้งให้กาง หรือว่าที่นี่จะไม่มียุง
พอค่ำลงมีหญิงสาววัยรุ่นคนหนึ่งชื่อว่าสีมอยเข้ามาในห้อง หญิงสาวคนนี้หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักดี เสียแต่กินหมากจนน้ำหมากแดงเปรอะปากราวกินเลือดสดๆ หล่อนบอกชื่อตัวเองให้หญิงคนที่รื่นกับโรยเอาไปโพนทะนาว่าความจำเสื่อมรู้ แล้วฉีกยิ้มให้จนเห็นฟันดำเมี่ยมไปทั้งปาก ช่อชบาเห็นคนที่เข้ามาในห้องต่างกินหมากกันทุกคน นึกสงสัยว่ารื่นกับโรยทำไมไม่กินหมากเหมือนคนอื่น
สาวปากเปื้อนน้ำหมากพยักพเยิดทักทายคนร่วมห้องที่กลับมานอนทำหน้ามึน ก่อนล้มตัวลงนอนฟูกข้างๆ หล่อนบอกเธอว่าคืนนี้ต้องอยู่กันแค่สองคน เพราะรื่นกับโรยไปนอนค้างในตำหนักของพระธิดาฝาแฝด เสร็จแล้วก็บ่นว่าเหนื่อย ไม่นานเธอก็ได้ยินเสียงกรนครืดคราดดังมาจากร่างหล่อน บอกให้รู้ว่าเจ้าตัวหลับไปเรียบร้อยแล้ว ช่อชบาสบโอกาสจึงค่อยๆ ลุกขึ้นจากฟูก โหย่งปลายเท้ามาที่ประตูห้องนอน
แผ่นกระดานปูพื้นห้องแม้แผ่นหนาใหญ่ แต่เวลาเดินลงน้ำหนักเท้าก็ยังส่งเสียงลั่นเอี้ยดขึ้นเบาๆ เธอจึงต้องวางเท้าลงให้เบากว่าเดิม สร้างความลำบากให้ไม่น้อย เพราะคุ้นชินกับพื้นซีเมนต์ปูกระเบื้องซึ่งไม่ต้องใช้ความระมัดระวังว่าจะเกิดเสียงดังเวลาเดิน
พอมาถึงหน้าประตูห้องนอนก็ต้องหยุดชะงักจ้องดู...ช่างเป็นประตูโบราณดีแท้ บานประตูทำจากไม้แผ่นเดียว เปิดเข้าข้างใน มีกลอนประตูทำด้วยไม้สำหรับขัดบานประตู
ก้าวผ่านธรณีประตูออกมาสู่ด้านหน้าเรือนที่มีบริเวณเปิดโล่ง แสงจากจันทร์เต็มดวงส่องสว่างให้พอสังเกตเห็นสิ่งต่างๆ บนเรือนได้ถนัดตา เธอเดินสำรวจไปถึงนอกชานซึ่งไม่มีหลังคาคลุม แหงนมองดูข้างบนจึงรู้ว่าจุดที่ยืนอยู่คือเรือนหลังหนึ่งในกลุ่มเรือนหลายหลัง ที่มีระเบียงเชื่อมต่อกันทั้งหมด
ฟากหนึ่งของเรือนสันนิษฐานว่าเป็นเรือนครัวเพราะเห็นฝาห้องมีเขม่าสีดำจับอยู่ ทั้งสองฟากเชื่อมต่อกันด้วย“ฮ่องลิน”คือทางเดินใต้รางน้ำฝนระหว่างชายคาเรือน หลังเรือนครัวเป็นชานโล่งตั้งตุ่มน้ำใบใหญ่เรียงรายไว้หลายใบ
ข้างนอกเงียบสงัด เห็นคบไฟวับๆ แวมๆ กับเงาตะคุ่มของสิ่งปลูกสร้างอยู่รายรอบ ซึ่งล้วนแต่มีขนาดย่อมกว่าเรือนหลังนี้ทั้งสิ้น เสียงแมลงกลางคืนกรีดปีกดังขึ้นในความเงียบ กลิ่นดอกไม้ไม่คุ้นจมูกกรุ่นอยู่ในบรรยากาศ สายลมเย็นพัดมาต้องผิวเนื้อจนหนาวสะท้าน อากาศของที่นี่หนาวเย็นทั้งกลางวันกลางคืน แต่ผู้คนที่เข้ามาเยี่ยมเธอก็พันเพียงผ้าแถบกับนุ่งซิ่น อาจมีผ้าคลุมไหล่อีกผืนหนึ่งเท่านั้น ช่อชบาเดินวนอยู่แถวนั้นยังไม่กล้าเดินไปไหนไกล ก่อนทรุดตัวลงนั่งบนยกพื้นเรือนอย่างหม่นหมอง...นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตตัวเองกันแน่
หญิงสาวน้ำตาซึมล้วงเอาโทรศัพท์มือถือออกมาจากชายพกผ้าซิ่น มันเป็นของสิ่งเดียวที่ผูกโยงให้ยึดมั่นว่าตัวเธอคือช่อชบา สวัสดิ์ผล หญิงสาวในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด หลานสาวคนเดียวของยายบัวเงิน กดเปิดดูรูปตัวเองที่เพิ่งถ่าย ในรูปถึงเธอจะมีหน้าม้าสั้นเต่อจนทำให้ดูเปิ่น แต่ก็ยังสวยกว่าหน้าตาปัจจุบันที่เป็นอีเกี๋ยงอย่างเทียบกันไม่ติด เลื่อนไปอีกจนถึงรูปหญิงชราพลันน้ำตาก็ร่วงหยดแหมะ...
เธอจะสามารถกลับไปสู่โลกเก่าของตัวเองได้อยู่หรือไม่ และจะไปได้ยังไง ถ้าเธอต้องติดอยู่ที่นี่ตลอดไปแล้วยายบัวเงินล่ะ...ห่วงเดียวของลูกผู้หญิงกำพร้าอย่างเธอก็คือยายวัยเจ็ดสิบสองปี ผู้อาศัยอยู่ในบ้านกลางสวนลำไยห่างไกลจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปหลายสิบกิโลเมตร
ยายส่งเสียเลี้ยงดูเธอจนจบปริญญาตรีในสาขาพาณิชยการ และหวังฝากผีฝากไข้ไว้กับหลานสาวคนเดียว แต่หญิงสาวหัวสมัยใหม่อย่างเธอกลับชอบใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ที่แสนสะดวกสบาย มากกว่าไปเป็นชาวสวนลำไยแบบนั้น จึงยังคงดื้อรั้นไม่ยอมกลับไปอยู่กับยายเสียที หญิงสาวหวังอยากเปิดหูเปิดตาสู่โลกกว้างให้มากที่สุด เธอตื่นตาตื่นใจกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่นึกเลยว่าชะตาชีวิตของตัวเองจะมาพลิกผัน จนต้องย้อนเวลากลับมาสู่อดีตที่ไม่ทราบว่ากี่ร้อยปี
วินาทีนี้ช่อชบาคิดถึงยายเหลือเกิน คิดถึงที่สุด แต่เมื่อคิดจะกลับไปหามันก็สายเสียแล้ว ต่อไปยายจะอยู่ยังไงถ้าไม่มีเธอ...คิดพลางถอนสะอื้น เหลือบตามองโทรศัพท์อีกครั้ง...อย่าเพิ่งหมดหวังสินังช่อ...ก็เธอกับเจ้าเครื่องนี้ยังสามารถมาที่นี่ได้ มันก็อาจมีทางกลับไปได้เหมือนกัน นึกปลอบตัวเองอยู่ในใจ
“มิงมานั่งทำอะไรที่นี่มืดๆ”
สะดุ้งโหยงขึ้นทั้งตัวเมื่อถูกมือเย็นๆ มาแตะที่ไหล่เปลือย พอหันมามองสายตาก็ปะทะเข้ากับปากเปื้อนน้ำหมากแดงเทือกของสีมอยเข้า นี่แม่เจ้าประคุณพอตื่นตาขึ้นมาก็มวนหมากพลูใส่ปากเลยหรือยังไง
“มานั่งรอดูพระจันทร์ลากลับบ้าน...”
รีบกดปิดมือถือเครื่องบางแล้วเก็บไว้ใต้ชายพกตามเดิม ตอบหล่อนพลางหันกลับไปมองเดือนดวงโตบนฟ้าเหนือชานแดดใหม่ บอกส่งๆ ไปตามที่ใจกำลังคิด...เธออยากกลับไปบ้านจริงๆ ทั้งบ้านกลางสวนลำใย หรือห้องเช่าในซอยคับแคบค่าเช่าเดือนละสามพันกว่าบาท แม้ว่าทั้งสองที่จะไม่ค่อยสะดวกสบายนัก แต่มันก็อยู่ในโลกอันคุ้นชินของเธอ มีถนนหนทางให้รถราวิ่ง มีไฟฟ้า มีคอมพิวเตอร์ให้ใช้ ซึ่งต่างจากเรือนไม้สักใหญ่โตกว้างขวางของที่นี่ ที่มันทั้งมืดทั้งวังเวง บรรยากาศอึมครึมหม่นมัวแม้แต่ในเวลากลางวัน ซึ่งอาจเป็นเพราะไร้แสงสีจากหลอดไฟฟ้าอย่างที่เธอเคยชินก็เป็นได้
ช่อชบาไม่นึกว่าสีมอยจะจริงจังกับคำตอบมั่วๆ แบบนั้นของเธอ กระทั่งได้ยินเสียงถาม
“ดวงจันทร์จะกลับบ้านเพราะจะมีค้างคากมากินฤา” แม่สาวโบราณย้อนถามเธอว่า จะมีราหูมาอมจันทร์ในคืนนี้ใช่ไหม หญิงสาวผู้จากบ้านมาไกลอีกมิติหนึ่งส่ายหน้าหวือ
“ม่ายช่าย...ฉันกะนั่งรอให้ถึงเช้าอยู่ตรงนี้ พอตะวันขึ้นท้องฟ้ามันสว่าง เดือนก็เลยต้องลาท้องฟ้าไปไง ฉันเลยบอกว่าเดือนจะกลับบ้าน”
“อ้อ...แล้วก็ไม่บอกตรงๆ พูดจาอ้อมค้อมอย่างกับพวกช่างซอ พอฟื้นขึ้นมาเก่งจ๊อยซอเชียวนะเอ็ง”
แม่สาวน้ำหมากเอาเธอไปเปรียบกับศิลปินซอเสียอีก ช่อชบาแม้เป็นคนรุ่นใหม่แต่ก็รู้ว่าซอคืออะไร เพราะตอนยังอยู่กับยายที่บ้านนอก ยายก็เคยเปิดวิทยุฟังค่าวซอบ่อยๆ แต่พอโตเป็นสาวเธอก็ฟังแต่พี่ตูน บอดี้สแลม ที่ไหนจะมาปลื้มกับคำพูดของสีมอย เชยออก...แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็พยายามอธิบาย
“มันเป็นคำพูดอุปมาอุปไมยอย่างที่เรียกว่าใช้สำนวนน่ะ”
ตั้งใจบอกทั้งไม่ค่อยแน่ใจนักว่าอีกฝ่ายจะฟังรู้เรื่อง ซึ่งก็จริงดังคาด สาวยุคโบราณทำหน้ามีเครื่องหมายคำถามอยู่ภายใต้แสงจันทร์เพ็ญ สีมอยคงสงสัยทั้งคำพูดคำจา ตลอดจนกิริยาท่าทางของเพื่อนสาวหลังฟื้นขึ้นจากเป็นลม
“อุบๆ อ้าๆ อะไรของเอ็ง เอ...เอ็งเปลี่ยนไปมากอย่างพี่รื่นพี่โรยว่าจริงๆ เปลี่ยนไปยังกับไม่ใช่อีเกี๋ยงคนที่กูเคยรู้จัก”
คันปากยุบยิบอยากบอกว่าตัวเองไม่ใช่อีเกี๋ยงอย่างที่หล่อนคิด แต่ติดว่ายังนึกหาคำพูดมาอธิบายไม่ได้ ก็เลยเงียบเสียดีกว่า
“แล้วจะมานั่งหลังขดหลังแข็งรอให้ถึงเช้าอยู่ตรงนี้ทำไม ไปข่มตานอนเสียเถอะ พรุ่งนี้จะได้ขึ้นไปเฝ้าเจ้าย่าพร้อมกันกับกูแต่เช้า ปล่อยให้กูรับใช้ท่านอยู่คนเดียวทั้งวันเหนื่อยแทบตาย เจ้าท่านบ่นถึงอยู่นะ ท่านว่าไม่มีใครตะบันหมากให้เสวยได้อร่อยเท่าเอ็ง”
เสียงบ่นของสีมอยทำให้หญิงสาวนึกขึ้นได้ แล้วก็เกิดความกังวลขึ้นมา ใช่สิ ตอนนี้เธอไม่ใช่ช่อชบาคนเดิม หากแต่เป็นบ่าวรับใช้ของเจ้าย่าผู้เป็นใหญ่ในตำหนักนี้ จะทำยังไงดีถ้าเกิดต้องไปทำหน้าที่ของนางเกี๋ยง ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยพูดใช้ศัพท์แสงกับใครที่ไหนมาก่อน ตะบันหมากก็ไม่เคยทำเพราะยายบัวเงินก็ไม่ได้กินหมาก จะนั่งจะยืนเข้าหาเจ้านายยังไงให้ไม่ต้องโดนหวายลงหลัง หรือหัวไม่หลุดออกจากบ่าเสียก่อนล่ะนี่
ยายจ๋า ช่วยช่อด๊วย...
(มีต่อ)