อลเวงรักสองภพ ตอนที่ 7 (ต่อจากเมื่อวาน)

อลเวงรักสองภพ ตอนที่ 7 (ต่อจากเมื่อวาน)



โดย...ล. วิลิศมาหรา


ตอนที่  7 ที่เขียนค้างไว้เมื่อวานค่ะ https://pantip.com/topic/36052295


เมื่อถัดกายมาถึงตัวคนเรียกใช้ สีมอยก็ประคองขันเงินใส่น้ำล้างมือซึ่งมีน้ำอยู่เกือบเต็มขันยื่นถวาย บ่าวสาวก้มหน้าลงไม่กล้าสบตาหญิงผู้เป็นเจ้านาย กลับกันกับแม่นาpทิพย์เกสรที่จิกตามองนางกำนัลตรงหน้าอย่างชิงชัง เห็นสายตาท่าทีราวกับตัวโกงในละครหลังข่าวของหล่อนแล้ว ช่อชบาก็ให้นึกหวาดเสียวแทนเพื่อน กลัวว่าวันนี้สีมอยอาจจะถูกกลั่นแกล้งจากหญิงสูงศักดิ์ผู้นี้ก็ได้ ลุ้นเอาใจช่วยเพื่อนเสียจนตัวเกร็ง แอบมองไปทางชายหนุ่มบนตั่งก็เห็นเขาจ้องอยู่เช่นเดียวกัน อุ่นใจว่ายังมีน้อยศิลป์ไชยอยู่ด้วยทั้งคน หญิงขี้เหร่คงไม่กล้าทำอะไรสีมอยหรอก เขาน่าจะช่วยปกป้องสาวคนรักไว้ได้

แม่นายทิพย์เกสรล้วงมือสองข้างลงไปล้างน้ำในขัน พอยกมือขึ้น ฉับพลันนั้นช่อชบาก็เห็นกับตาว่า เจ้าหล่อนปัดมือสั่นๆ ข้างหนึ่งของสีมอยให้หลุดจากการประคองขันน้ำ

ซ่า...

กรี๊ดดดด


ทันทีที่มือข้างเดียวประคองขันไม่อยู่ น้ำทั้งขันก็หกลงบนลำตัวของคนตั้งใจปัดจนเลอะผ้าซิ่นที่นุ่งอยู่ไปค่อนผืน สีมอยตกตะลึง ปล่อยขันเงินให้หลุดตกลงไปกลิ้งอยู่บนตักของแม่นายทิพย์เกสรที่ระเบิดเสียงกรีดร้องราวถูกน้ำกรดราดรดเอาก็ไม่ปาน

“นังบ่าวหน้าโง่ เอ็งทำซิ่นไหมของข้าเลอะหมดแล้ว”

หล่อนตวาดเสียงดังพลางปัดทั้งขันทั้งน้ำที่เลอะอยู่บนผ้าซิ่นตัวเองออก แต่น้ำทั้งขันก็มากพอทำให้ซิ่นเปียกโชกไปเกือบทั้งผืน สีมอยตัวสั่นพั่บๆ ละล่ำละลักขอโทษแล้วหมอบตัวลงไหว้ปลกๆ อย่างน่าสงสาร

“แก...แก๊ แกแกล้งทำน้ำหกใส่ข้าใช่ไหมนังบ่าว อิจฉาซิ่นไหมของข้าล่ะสิ”

ชี้นิ้วสั่นระรัวไปยังสีมอยซึ่งหวาดกลัวเสียจนตัวสั่นงันงก ช่อชบาได้ยินก็ถึงกับอ้าปากค้าง ดูหล่อนพูดเข้า...ใส่ร้ายบ่าวไพร่ได้น่าทุเรศมาก บ่าวอย่างสีมอยมีแต่ต้องเจียมเนื้อเจียมตัว จะไปอิจฉาอะไรหล่อนได้ กวาดตามองแต่ละคนบนเรือนก็เห็นพากันตกใจตะลึงนั่งนิ่ง มีเพียงน้อยศิลป์ไชยที่พอได้ยินหล่อนกล่าวหาคนรักแบบนั้นก็ท้วงขึ้นทันควัน

“มันเป็นอุบัติเหตุ สีมอยไม่ได้ตั้งใจดอกเจ้าข้า” แม่นายทิพย์เกสรเห็นชายหนุ่มพูดปกป้องสีมอย ตาตี่ของหล่อนก็เบิ่งกว้างออก พูดเสียงแหลมสูง

“น้อยศิลป์ไม่เชื่อว่ามันจงใจแกล้งหรือเจ้าข้า เช่นนั้นข้าจะบอกอะไรให้ทุกคนฟัง ข้ารู้มาว่านังสีมอยมีซิ่นไหม แต่มันหาได้คู่ควรกับของแบบนั้นไม่ จึงไม่มีวาสนาได้ใส่แม้สักครั้งเดียว แต่มันก็ราวคางคกขึ้นวอ ด้วยคิดว่าตัวเองสามารถมีของล้ำค่าเช่นนั้นได้ จึงสำคัญตัวเองผิดหลงลืมกำพืดว่าตัวเองเป็นแค่ขี้ข้า นางคนนี้มักลอบมองเวลาข้ามาที่นี่ แต่ชอบหลบหน้าเพราะใจมันคิดอิจฉาข้า วันนี้ตั้งแต่เห็นข้ามามันก็แอบอยู่หลังคนอื่นเหมือนคอยจ้องอยู่ พอได้โอกาสก็แกล้งทำน้ำหกใส่ผ้าซิ่นข้า...เจ้าย่าอย่าได้ปล่อยบ่าวแบบนี้เอาไว้นะเจ้าข้า ต้องลงโทษให้มันหลาบจำ หาไม่จะกำเริบเสิบสานไปทำอะไรอื่นอีกที่บ่าวอย่างมันไม่สมควรทำ” พูดให้ร้ายฉอดๆ แล้วยังหันไปยุเจ้าย่าให้ลงโทษสีมอยอีกด้วย

“หืม...มันมีซิ่นไหมเชียวรึ เอ็งได้มาแต่ไหนนางสีมอย หรือว่า...” แต่นับว่าความพยายามหาเรื่องสีมอยของเจ้าหล่อนได้ผล เพราะเจ้าย่าทรงเอ่ยถามน้องชายทันที

“น้อยศิลป์ เจ้ากำนัลผ้าซิ่นไหมแก่นางสีมอยฤา มิน่า แม่นายทิพย์ถึงบอกว่าสีมอยอิจฉา ก็เพราะมันเคยได้ซิ่นไหมจากเจ้านี่เอง นี่น้องข้า...เจ้าจงฟังพี่ให้ดีนะ อย่าได้ทำเรื่องน่าบัดสีเยี่ยงนี้บนเรือนข้า นางสีมอยมันเป็นแค่บ่าวไพร่ จงอย่าได้ลืมข้อนี้”

น้องชายตัวเองยังไม่ทันได้ตอบอะไรสักแอะ เจ้าย่าก็ด่วนสรุปเองเสร็จสรรพ ช่อชบาเห็นสายพระเนตรที่มองมายังน้อยศิลป์ก่อนจะหันไปจ้องหน้าสีมอยแล้วก็ใจหายวาบ เพราะมันไร้แววเมตตาปรานีต่อคนทั้งคู่เหมือนก่อน นึกประหลาดใจว่าเรื่องใส่ความแค่นี้ทำไมเจ้าย่ากลับดูไม่ออก ไปคล้อยตามคำลวงของแม่นายทิพย์เกสรง่ายๆ ได้ยังไง ซึ่งไม่น่าใช่วิสัยของคนผ่านโลกมามากอย่างเจ้าย่าเลย

“ขอประทานอภัยเถิดเจ้าข้า ซิ่นไหมที่บ่าวมีได้มาโดยสุจริต และไม่ได้เอาออกมาใช้เลยสักครั้ง อีกทั้งข้าก็ไม่ได้ตั้งใจแกล้งทำน้ำหกใส่แม่นายทิพย์ แต่ในเมื่อผ้าซิ่นของแม่นายเลอะน้ำ ความผิดครั้งนี้บ่าวขอรับไว้เอง ต่อไปจะไม่ให้ผิดซ้ำอีก ได้โปรดยกโทษให้ข้าเจ้าสักครั้งเถิด”

ด้วยความอ่อนหัด สีมอยจึงยอมรับว่าตัวเองครอบครองผ้าไหมออกมาอย่างง่ายดาย เป็นไปตามเกมของคนที่ต้องการให้เรื่องนี้แดงขึ้น คงเพราะเกรงว่าชายคนรักจะต้องมาเดือดร้อนไปด้วย หล่อนจึงขอรับโทษทัณฑ์ไว้แต่เพียงผู้เดียว

“โกหก...น้ำหน้าอย่างเอ็งจะมีปัญญาหาซิ่นไหมมาจากไหน หรือว่าเอ็งลักขโมยมาจากผู้ใด ตายแล้ว...อีอิ่ม กลับไปตำหนักเอ็งลองไปนับซิ่นไหมของข้าดูซิว่าขาดหายไปบ้างหรือไม่ นางผู้นี้มันก็เคยไปตำหนักเรา”

แม่นายทิพย์เกสรเกรี้ยวกราดหาเรื่องสีมอยไม่หยุดหย่อน คงเพราะต้องการเปิดเผยความลับเรื่องมีผ้าไหมไว้ในครอบครองของหญิงรับใช้ผู้ต้อยต่ำ เพื่อหวังยุติความสัมพันธ์ของน้อยศิลป์ไชยกับสีมอยลงโดยยืมมือเจ้าย่า ผู้หญิงคนนี้ร้ายอย่างกับงูพิษ ช่อชบาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันจ้องมองหญิงใจร้ายอย่างนึกแค้นเคืองแทนเพื่อนสาว

“หามิได้เจ้าข้า อย่าได้กล่าวหาบ่าวเช่นนี้” สีมอยลนลานปฏิเสธปากคอสั่น หมอบกราบไปทั่วทุกตัวคนของเจ้านาย

“’ถ้างั้นเอ็งจงบอกมาว่าได้ผ้าไหมมาแต่ที่ใด” เจ้าทิพย์เกสรได้ทีกระชากเสียงถามอย่างเหนือกว่า ยิ้มเยาะเมื่อเห็นนางบ่าวซึ่งตนแอบอิจฉาอึกอักอ้ำอึ้ง ไม่กล้าตอบคำถาม

“อย่าปรักปรำใครว่าเป็นขโมยโดยยังไม่รู้แจ้งเช่นนี้เลยแม่นายทิพย์ ผ้าผืนนั้นข้าให้เป็นของกำนัลนางเอง” หลังจากนั่งฟังหน้าเครียดอยู่นาน ในที่สุดน้อยศิลป์ไชยก็หมดความอดทน เขาผุดลุกขึ้นยืน บอกด้วยเสียงดังฟังชัด

“บ่าวของพี่นางทำตัวดี รับใช้ไม่มีขาดตกบกพร่อง ปรนนิบัติพัดวีพี่ข้าจนได้เป็นบ่าวคนโปรด นางจึงสมควรได้รับรางวัลบ้าง พี่นาง...ข้าให้ผ้าไหมแก่สีมอยนั้นเป็นเยี่ยงไร ข้าทำผิดอะไรมากมายงั้นรึ แล้วถ้าสีมอยมีผ้าไหมนางจะมีความผิดในข้อหาใดกัน”  

“น้อยศิลป์เจ้ายืนค้ำหัวพี่อยู่นะ นั่งลงเดี๋ยวนี้” พี่สาวของน้อยศิลป์ไชยไม่ตอบคำถาม กลับเอ็ดน้องชายเรื่องอื่นเสียงเครียด หนุ่มหน้าขาวดูเหมือนโมโหจนลืมตัว ไม่ยอมนั่งลงตามรับสั่ง

“เรื่องทำน้ำหกนั่นก็เหมือนกัน สีมอยทำพลาดแต่ก็ได้ขอโทษไปแล้ว แม่นายทิพย์จะเอายังไงอีกเล่า”

“ขอโทษแล้วก็แล้วกันไปอย่างนั้นหรือเจ้าข้า”

เคยได้ยินมาว่าผู้หญิงร้ายที่สุดก็เวลาหึง ซึ่งคงจะจริง ตอนนี้แม่นายทิพย์เกสรกำลังหึงจนหน้ามืด ลืมศักดิ์ศรีความเป็นเจ้าเป็นนายของตัวเองเสียสิ้น ยอมทำทุกอย่างเพื่อเอาคืนอีกฝ่ายให้สาสมกับความแค้น ที่บังอาจมาแย่งชายคนรักของตัวเองไป หล่อนผุดลุกขึ้นยืนพลางส่งเสียงเถียงคอเป็นเอ็น

“มันทำผิดสมควรต้องถูกลงโทษสิ ไม่เช่นนั้นจะเสียการปกครองไปกันหมด เจ้าย่าจะยอมให้นังไพร่มันมีอภิสิทธิ์เทียมนายหรือเจ้าข้า”

“เอาล่ะๆ เช่นนั้นข้าจะลงโทษมันเอง ให้มันตักน้ำใส่ตุ่มอยู่กับบ่าวข้างล่างสักสิบวัน ไม่ให้ขึ้นมาบนเรือน เอาแบบนี้ก็แล้วกัน” เจ้าย่าพยายามหาข้อยุติ แต่คนใจร้อนด้วยถูกไฟริษยาแผดเผามีหรือจะยอม

“ลงโทษแบบนั้นที่ไหนจะสาสมกับความผิดของมัน ในเมื่อมันทำความผิดกับข้า ก็ให้ข้าเป็นคนลงโทษมันสิเจ้าข้า...อีอิ่ม” นางบ่าวก้นกระโถนของแม่นายทิพย์เกสรซึ่งนั่งหันมองทางโน้นทีทางนี้ทีสะดุ้งขึ้นทั้งตัวเมื่อถูกเรียกชื่อเสียงดัง

“ตบหน้าสั่งสอนนังสีมอยเดี๋ยวนี้ เร็วเข้า” สิ้นเสียงสั่งของหล่อน ทุกคนต่างตกตะลึงจังงังกันอีกครั้งแม้กระทั่งเจ้าย่า แต่พลันนั้นน้อยศิลป์ไชยก็ถลันเข้าไปหาสีมอย เขาดึงมือคนรักให้ยืนขึ้น ก่อนกันร่างบางเอาไว้ด้านหลัง

“ห้ามใครแตะต้องตัวสีมอยเด็ดขาด...”

จบตอน



กว่าจะเขียนจบตอนนี้ได้เล่นเอาลิปวดหัว เพราะนึกจินตนาการผู้ชายที่ยอมเสียสละทุกอย่างเพื่อหญิงคนรักไม่ค่อยออก ชีวิตจริงกับในนิยายห่างไกลกันมาก แนะนำติชมกันได้นะคะถ้าเผื่อคิดว่ายังไม่เหมาะสม ไม่สมเหตุสมผล
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่