อลเวงรักสองภพ
โดย...ล. วิลิศมาหรา
เมื่อเข้ามาถึงในครัวไฟ ช่อชบาเห็นกระบะไม้อัดดินแน่นยกสูงจากพื้นแค่เข่า ฝังอิฐสามก้อนตั้งเอียงเข้าหากันเพื่อใช้เป็นเตาไฟ มีด้วยกันสองชุด คงเพื่อสะดวกต่อการทำครัวพร้อมกันหลายอย่าง
เหนือเตาไฟแขวนไม้ไผ่สานเป็นตารางสำหรับใช้ย่างพืชผล และเป็นที่รมควันพวกเครื่องจักสานประเภทกระบุง ตะกร้า บนหลังคาระดับจั่วเจาะเป็นช่องเพื่อระบายควันไฟขณะทำครัว ชิดฝาห้องตั้งโต๊ะไม้วางพวกอุปกรณ์ทำครัวและจานชาม ตลอดจนหม้อข้าวหม้อแกงที่ปรุงเสร็จแล้ว
พี่สาวของน้อยศิลป์ไชยลงมือตักอาหารใส่สำรับอยู่บนโต๊ะ ส่วนตัวเขาเองตัดสินใจว่าจะเล่าเรื่องของคนในครอบครัว ให้ผู้หญิงที่เขาคิดว่ามีความพิเศษเหนือมนุษย์ธรรมดาฟัง โดยที่ช่อชบายังไม่ทันได้เอ่ยปากถาม ดูเหมือนเขาจะเชื่อไปแล้วว่าหญิงผู้มาจากอนาคตคนนี้จะสามารถช่วยเหลือเขาได้ทุกอย่าง
“ข้าจะเล่าเรื่องของคนในบ้านหลังนี้ให้เจ้าฟัง และข้าอยากให้พี่นางบัวเงินช่วยเล่าอาการป่วยไข้ประหลาดของพี่นางกายคำให้เกี๋ยงมันฟังด้วย บางทีนางคนนี้อาจช่วยเหลือพวกเราได้”
บัวเงินชะงักมือหันไปมองหน้าน้องชาย แล้วก็หันกลับมามองหน้าเหลืองอ๋อยของหญิงอัปลักษณ์อีกที สายตาบอกว่าไม่เชื่อถือเลยสักนิดเดียว ว่านางบ่าวท่าทางโกโรโกโสคนนี้จะช่วยอะไรได้ แต่กระนั้นก็ไม่ได้ท้วงน้องชาย หันไปใส่ใจจัดสำรับต่อ
“ท่านพ่อของข้าคือมหาอำมาตย์ไชยยันต์ พี่นางศรีสุพรรณกับพี่นางบัวเงินเป็นลูกพ่อแม่เดียวกัน ท่านแม่ของพี่นางทั้งสองชื่อแม่นายมณีวรรณา ส่วนข้ากับพี่นางกายคำเป็นลูกของท่านพ่อกับแม่นายกองแก้ว ขณะนี้ท่านพ่อกับท่านแม่ทั้งสองของพวกเราได้สิ้นไปหมดแล้ว เมื่อตอนที่ท่านพ่อของข้ามีชีวิตอยู่ท่านเป็นผู้มีอำนาจมาก แม้แต่ท้าวพิมพิสารก็ยังต้องเกรงใจ”
ชายหนุ่มเริ่มเล่าเรื่องภายในครอบครัวให้ช่อชบาฟัง ขณะรอพี่สาวของตนจัดกับข้าวใส่ขันโตก
“ตอนยังสาวๆ พี่นางกายคำเป็นคนสวยมาก จะว่าไปแล้วสวยกว่าพี่นางศรีสุพรรณเสียอีก นิสัยใจคอก็ห้าวหาญราวผู้ชาย ชอบศึกษาคาถาอาคมไสยเวทย์กับพวกพ่อเลี้ยงหรือหมออาคมที่มีชื่อเสียง เมื่อครั้งท้าวพิมพิสารท่านมาถึงเรือนเรา พอได้พบพี่นางทั้งสองก็ทรงพอพระทัยพี่นางกายคำ แต่ท่านพ่อซึ่งตอนนั้นเป็นอำมาตย์ใหญ่กลับอยากให้พี่นางคนโตเป็นฝั่งเป็นฝาไปก่อน ก็เลยถวายพี่นางศรีสุพรรณให้เป็นชายา แล้วท่านกะจะถวายพี่นางกายคำตามไปทีหลัง พออภิเษกกันไปสักพักท้าวท่านก็แต่งตั้งพี่นางศรีเป็นพระมเหสีและเตรียมจะมีชายาองค์รอง แต่ยังไม่ทันที่พี่นางกายคำจะได้ถวายตัวเป็นชายา ก็เกิดศึกเมืองเรากับเมืองสรวงขึ้นเสียก่อน แล้วท้าวพิมพิสารก็สิ้นจากการทำยุทธหัตถีกับท้าวแมนสรวง”
เป็นอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ สองหญิงเกิดมีรักสามเส้ากับกษัตริย์เมืองนี้ แล้วสุดท้ายก็มีใครคนหนึ่งที่พลาดหวัง ซึ่งต่อมาก็เป็นสาเหตุให้พี่น้องต้องหมางใจกัน ช่อชบาพยักหน้ารับรู้พลางถอนหายใจ
“พี่นางกายคำผิดหวังอย่างหนัก เฮ้อ...ตั้งแต่นั้นมาท่านก็ครองตัวเป็นโสด และเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับไสยเวทย์มนต์ดำ จนกระทั่งเกิดเรื่องนางสอนขึ้น ชาวบ้านเล่าลือกันว่าพี่นางของข้าเล่นของแล้วถูกอาคมเข้าตัวจนกลายเป็นผีกะไป บ่าวไพร่พากันหลบหนีกลับบ้าน ญาติมิตรก็ห่างเหิน ไม่มีใครกล้าขึ้นมาเยี่ยมเลยสักคน บ้านช่องกับอาหารคาวหวานข้าล้วนต้องช่วยจัดการให้ทั้งสิ้น เพราะขนาดมีค่าจ้างค่าออน แต่จะหาคนมาปรนนิบัติสักคนก็ยังยาก”
บัวเงินซึ่งจัดสำรับเสร็จแล้วเล่าเสริม น้ำเสียงฟังดูก็รู้ว่าทั้งเศร้าใจทั้งหงุดหงิด ซึ่งคงเป็นเพราะต้องแบกรับภาระหลายอย่างเพียงลำพัง ไหนจะต้องคอยดูแลคนป่วยด้วยโรคประหลาดที่สังคมรังเกียจ ไหนครอบครัวจะถูกติฉินนินทาและไม่มีใครคบหา ประกอบกับเหน็ดเหนื่อยเพราะไม่มีคนมาช่วยเปลี่ยนเฝ้าไข้ ช่อชบานึกอย่างเห็นใจหล่อน เมื่อเล่าจบบัวเงินก็กวักมือเรียกนางบ่าวที่ยืนฟังอย่างสนใจมายกสำรับไป ส่วนตัวเองหันไปหยิบตะกร้าใส่ส้มสุกลูกไม้พลางพยักพเยิดให้น้องชายหยิบคนโทที่เตรียมไว้ใกล้สำรับขึ้นมา ก่อนชวนกันออกจากครัวไฟไป
“เรื่องนี้ข้าไม่นึกว่าจะต้องมาเล่าให้เอ็งฟัง รู้แล้วก็จงสงบปาก อย่าเอาไปเล่าต่อที่ไหน”
ขณะพากันเดินกลับ บัวเงินกำชับนางบ่าวคนโปรดของน้องชายไม่ให้ปากมาก ซึ่งนางไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดเขาจึงตั้งอกตั้งใจเล่าเรื่องในบ้านของตนให้บ่าวคนนี้ฟังเสียจนละเอียดยิบ แถมยังให้ตนช่วยเล่าเสริมอีกด้วย เดินพลางแลมองนางบ่าวมากอภิสิทธิ์ นึกไม่ชอบใจที่บ่าวมาทำท่าราวตีตนเสมอท่าน ช่อชบาที่ไม่รู้ตัวว่ากำลังถุกเขม่นพยักหน้ารับ คราวนี้จึงโดนพี่นางบัวเงินของนายน้อยศิลป์ไชยค้อนขวับ นางหยุดเดินแล้วเอ็ดเธอเสียงเขียว
“ผงกหัวหงึกๆ เป็นกิ้งก่าอยู่ได้ เอ็งไม่มีปากหรือไง มารยาททรามแท้”
“อ้อ...เจ้าข้า เจ้าข้า...ขอสูมาอภัย ข้าเจ้ามัวแต่คิดตามเพลินไปหน่อย” สาวจากอนาคตรีบขอโทษอย่างเร็ว
เฮ้อ! ก็มันยังไม่ค่อยชินกับการเป็นขี้ข้าใครนี่หว่า... นึกเข่นเขี้ยวอยู่ในใจ
“พี่นางอย่าได้ถือสามันเลย นางเกี๋ยงเป็นคนประหลาดที่ฉลาดมาก แต่อาจอ่อนด้อยเรื่องมารยาทไปสักหน่อย น้องขอรับรอง แล้วน้องจะค่อยสั่งสอนเรื่องมารยาทให้มันเองเจ้าข้า”
น้องชายรีบตัดบท พลางรุนหลังพี่นางของตัวให้ออกเดินต่อ ซึ่งฝ่ายนั้นยังปรายตามองมาทางช่อชบาก่อนค้อนจนตากลับอีกที
ระหว่างที่เดินตามหลังคนทั้งคู่ หญิงจากอนาคตก็นึกตามคำบอกเล่าของบัวเงิน เรื่องรักสามเส้านั้นมีอยู่ทุกยุคทุกสมัย แต่พิษรักแรงแค้นของสามคนนี้ก็ไม่ได้มาจากผู้เป็นพี่สาวคนโต คนที่ยังฝังใจในรักคุดก็นอนป่วยแทบหมดสภาพ ส่วนฝ่ายชายได้ตายจากไปนานแล้ว ดังนั้นรักรันทดของทั้งสามก็คงจะจบลงเพียงเท่านี้ ไม่สลักสำคัญอะไร ต่อไปพี่นางกายคำของน้อยศิลป์ไชยก็คงป่วยตายไปอีกคน เรื่องราวในส่วนนี้จะเกี่ยวข้องอย่างไรกับรักสามเส้าของพระลอกับพระธิดาแฝดบ้างหรือไม่ ช่อชบาไม่อาจคาดเดาได้
เมื่อคนทั้งสามยกสำรับกับข้าวเข้ามาถึงหน้าห้องนอน ก็พบว่านางบ่าวหน้าห้องนั่งหมอบฟุบหลับอยู่คาขอบประตู ช่อชบานึกหมั่นไส้แม่เพื่อนสาวจึงก้มลงเรียกใกล้ ๆ
“สีมอย...”
สีมอยสะดุ้งโหยงขึ้นทั้งตัว เงยหน้าที่ฟุบอยู่กับวงแขนของตัวเองขึ้นมอง หล่อนทำหน้าตาเหรอหราเมื่อรู้สึกตัวว่ากำลังฟุบหลับคาธรณีประตูอยู่
“อุ้ย นี่ข้าเจ้าหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
ครางถามงง ๆ ซึ่งใครจะไปตอบนางได้ นี่คงเป็นเพราะเมื่อคืนนี้สีมอยมานั่งเป็นเพื่อนปลอบใจเธออยู่ที่หน้าเรือนจนเกือบสว่าง ทั้งที่บ่นว่าเพลียจัดจากการขึ้นไปรับใช้เจ้าย่ามาทั้งวัน เห็นแล้วก็อดนึกสงสารเพื่อนสาวไม่ได้ เหลือบมองหน้าคนเป็นเจ้านายทั้งหมดก็เห็นมีเพียงบัวเงินที่ชักสีหน้าเข้าใส่ แต่เป็นใครก็ต้องโมโหที่เห็นบ่าวรับใช้ง่วงเหงาหาวนอนต่อหน้าต่อตาเจ้านายแบบนี้ ส่วนน้องชายนั้นถึงยังไงสีมอยก็เป็นคนรัก เขาจึงเหมือนน้ำท่วมปาก มองแฟนสาวแล้วทำหน้าตาพิลึก ที่แปลกเห็นจะเป็นเจ้าย่าซึ่งนั่งตัวตรงรอท่าสำรับอาหารเงียบๆ ไม่ได้สนใจว่านางบ่าวคนสนิทแอบฟุบหลับอยู่หน้าประตูเลยสักนิด
“บ่าวพี่นางแต่ละคนไม่ไหวเลยจริงๆ นางสองคนข้างล่างก็ไม่ยอมขึ้นมาช่วยบนเรือน ส่วนนางคนถือหีบหมากก็ถึงกับหลับเฝ้าเจ้านาย ไปอดหลับอดนอนทำอะไรมาทั้งคืนหรือเอ็ง เอาหีบใส่หมากตามเข้ามาสิยะ ดีนะที่เจ้าย่าท่านพระทัยดี หาไม่คงโดนฟาดหลังลาย”
บัวเงินบ่นกระปอดกระแปดอย่างไม่พอใจ นึกเคืองเจ้าย่าที่มักพระทัยดีกับบ่าวไพร่มากไปจนเสียการปกครอง บ่นแล้วชายตามองมาทางบ่าวคนโปรดของน้องชาย...
นางคนนี้ก็เหมือนกัน กิริยามารยาทใช้ไม่ได้ ดีอยู่หน่อยตรงฉลาดหลักแหลม ถึงท่าทางเหมือนผีตองเหลืองแต่ก็ดูคล่องแคล่วรู้การรู้งาน พูดจาฉะฉานจนนึกอัศจรรย์ใจ
สีมอยยิ้มแหยๆ คลานตามคนทั้งสามเข้ามาถึงเตียง แล้วบรรจงวางหีบหมากลงข้างตัวก่อนเข้าไปย้ายสิ่งของออกจากโต๊ะข้างเตียง เพื่อวางขันโตกกับคนโทอย่างรู้หน้าที่ พอตั้งขันโตกเสร็จเจ้าย่าก็ชะโงกมองดูอาหารที่ใส่จานชามมาในสำรับ แล้วเอ่ยถามอย่างแปลกพระทัย
“ของกินมีแค่นี้เองหรือ ทำไมถึงให้คนไข้กินลาบดิบล่ะ นี่ก็หลู้ มีแต่เลือดสดๆ ทั้งนั้น กินของแบบนี้ไม่แสลงต่อโรคเอารึ”
ทรงติอาหารในขันโตกที่ถ้วยหนึ่งเป็นเนื้อหมูดิบสับละเอียด ปรุงด้วยเครื่องเทศ อีกถ้วยก็เป็นเนื้อหมูสับละเอียดปรุงเครื่องเทศเช่นกัน แล้วราดด้วยเลือดหมูสดๆ จนนองถ้วย ยังดีที่มีไข่ไก่ต้มสุกใส่ในชามมาให้ด้วยสองฟอง กับเนื้อหมูย่างชิ้นใหญ่อีกชิ้นหนึ่ง
“ถ้าเป็นอย่างอื่นกายคำยิ่งไม่ยอมกินเจ้า แต่ถ้าเป็นพวกลาบหลู้ก็พอกินอยู่บ้าง”
คนยกสำรับกับข้าวมาพากันยืนมองอยู่ข้างเตียง บัวเงินตอบคำถามเจ้าย่า ซึ่งก็เห็นท่านทำพักตร์ผะอืดผะอม แล้วใช้ช้อนตักพลิกดูเนื้อสดปนเลือดหมูในชามไปมา ก่อนหันไปเรียกคนนอนหลับตานิ่งบนเตียงเบาๆ
“อาหารมาแล้ว แข็งใจกินข้าวปลาสักคำสองคำเถอะนาง”
ช่อชบารู้สึกผิดสังเกตที่เห็นคนบนเตียงทำท่าคล้ายพยายามจะเผยอเปลือกตาขึ้นมอง แต่ดูเหมือนช่างทำได้ยากเย็น
เป็นเพราะก่อนหน้าเข้าไปช่วยยกสำรับข้างในครัวไฟ เธอเห็นคนนอนป่วยที่ถึงแม้ท่าทางจะป่วยหนักเอาการอยู่ แต่ก็ยังมีแรงพูดจา มีแรงกระทั่งทำท่าไม่พอใจตัดพ้อต่อว่าคนมาเยี่ยม แล้วเพียงชั่วขณะหนึ่งที่เธอตามชายหญิงสองคนนั่นเข้าไปในครัวไฟ ซึ่งอาจเสียเวลาสนทนากันในนั้นอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ไม่นานนัก ครั้นพอกลับออกมาอีกที...ก็แล้วทำไมคนไข้ถึงเหมือนกับมีอาการอ่อนเพลียทรุดหนักลงไปมากจนลืมตาแทบไม่ขึ้นรวดเร็วแบบนี้ ริมฝีปากแห้งผากขมุบขมิบแต่ไร้ซึ่งสุ้มเสียง และราวกับว่าไม่มีแรงขยับตัวเสียด้วยซ้ำ
“กายคำ...ลืมตาขึ้นมาก่อน อย่าเพิ่งหลับ นี่ก็เลยเวลากินมื้อเที่ยงมานาน กินข้าวให้พี่ดูสักคำเถิด”
เจ้าย่าโน้มองค์ลงบอกใกล้ริมหู ซึ่งหญิงคนป่วยก็ตอบสนอง ค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ อย่างยากลำบาก ช่อชบาซึ่งผิดสังเกตตั้งแต่แรกยืนจ้องมองตาไม่กะพริบ และจะเป็นด้วยอุปาทานหรืออะไรก็แล้วแต่ เธอคิดว่าหญิงคนป่วยที่นอนอยู่บนเตียงเปลี่ยนไป...ดวงตาซึ่งลืมขึ้นเพียงครึ่ง ๆ นั้นหม่นมัวฝ้าฟางไร้ประกาย แถมยังดูเลื่อนลอยชอบกล ไม่ใช่ประกายตาดุดันคมกริบเหมือนอย่างที่เห็นก่อนหน้า
“ถ้าเจ้าชอบลาบเลือดพี่ก็จะป้อนให้ เอาล่ะ อ้าปากกินข้าวให้พี่ดูสักคำเถอะนางน้อย”
คนข้างเตียงบอกแล้วก็ปั้นข้าวเหนียวเป็นคำเล็กๆ จิ้มลาบเลือดในถ้วยจนชุ่มเลือด แล้วยกขึ้นแตะที่ริมฝีปากแตกแห้งของคนไข้ ซึ่งทันทีนั้นเจ้าของริมฝีปากก็เบือนหน้าหนี เจ้าย่าจึงชะงักพระหัตถ์ ทรงหันไปวางก้อนข้าวเหนียวคำนั้นลงในขันโตก ก่อนปั้นก้อนข้าวเหนียวคำใหม่ บิเนื้อหมูย่างแนบมากับก้อนข้าวแล้วยกขึ้นแตะริมฝีปากคนไข้อีก
“งั้นลองชิมหมูย่างนี่ปะไร กินสักคำเถิดเจ้า”
คราวนี้คนนอนป่วยถึงค่อยเบือนหน้ากลับมาช้าๆ แววตาฝ้ามัวจับจ้องอยู่ที่พระพักตร์เจ้าย่าแน่วนิ่ง เม้มริมฝีปากแน่น พลันนั้นช่อชบาเห็นหยดน้ำใสๆ ไหลเป็นทางออกจากหางตาของใบหน้าซูบตอบ
“เอาล่ะๆ ถ้างั้นก็ตามใจเจ้า ตอนนี้ยังไม่อยากกินก็ไม่เป็นไร หากหิวเมื่อไหร่ค่อยกินก็ได้”
อลเวงรักสองภพ ตอนที่ 6
โดย...ล. วิลิศมาหรา
เมื่อเข้ามาถึงในครัวไฟ ช่อชบาเห็นกระบะไม้อัดดินแน่นยกสูงจากพื้นแค่เข่า ฝังอิฐสามก้อนตั้งเอียงเข้าหากันเพื่อใช้เป็นเตาไฟ มีด้วยกันสองชุด คงเพื่อสะดวกต่อการทำครัวพร้อมกันหลายอย่าง
เหนือเตาไฟแขวนไม้ไผ่สานเป็นตารางสำหรับใช้ย่างพืชผล และเป็นที่รมควันพวกเครื่องจักสานประเภทกระบุง ตะกร้า บนหลังคาระดับจั่วเจาะเป็นช่องเพื่อระบายควันไฟขณะทำครัว ชิดฝาห้องตั้งโต๊ะไม้วางพวกอุปกรณ์ทำครัวและจานชาม ตลอดจนหม้อข้าวหม้อแกงที่ปรุงเสร็จแล้ว
พี่สาวของน้อยศิลป์ไชยลงมือตักอาหารใส่สำรับอยู่บนโต๊ะ ส่วนตัวเขาเองตัดสินใจว่าจะเล่าเรื่องของคนในครอบครัว ให้ผู้หญิงที่เขาคิดว่ามีความพิเศษเหนือมนุษย์ธรรมดาฟัง โดยที่ช่อชบายังไม่ทันได้เอ่ยปากถาม ดูเหมือนเขาจะเชื่อไปแล้วว่าหญิงผู้มาจากอนาคตคนนี้จะสามารถช่วยเหลือเขาได้ทุกอย่าง
“ข้าจะเล่าเรื่องของคนในบ้านหลังนี้ให้เจ้าฟัง และข้าอยากให้พี่นางบัวเงินช่วยเล่าอาการป่วยไข้ประหลาดของพี่นางกายคำให้เกี๋ยงมันฟังด้วย บางทีนางคนนี้อาจช่วยเหลือพวกเราได้”
บัวเงินชะงักมือหันไปมองหน้าน้องชาย แล้วก็หันกลับมามองหน้าเหลืองอ๋อยของหญิงอัปลักษณ์อีกที สายตาบอกว่าไม่เชื่อถือเลยสักนิดเดียว ว่านางบ่าวท่าทางโกโรโกโสคนนี้จะช่วยอะไรได้ แต่กระนั้นก็ไม่ได้ท้วงน้องชาย หันไปใส่ใจจัดสำรับต่อ
“ท่านพ่อของข้าคือมหาอำมาตย์ไชยยันต์ พี่นางศรีสุพรรณกับพี่นางบัวเงินเป็นลูกพ่อแม่เดียวกัน ท่านแม่ของพี่นางทั้งสองชื่อแม่นายมณีวรรณา ส่วนข้ากับพี่นางกายคำเป็นลูกของท่านพ่อกับแม่นายกองแก้ว ขณะนี้ท่านพ่อกับท่านแม่ทั้งสองของพวกเราได้สิ้นไปหมดแล้ว เมื่อตอนที่ท่านพ่อของข้ามีชีวิตอยู่ท่านเป็นผู้มีอำนาจมาก แม้แต่ท้าวพิมพิสารก็ยังต้องเกรงใจ”
ชายหนุ่มเริ่มเล่าเรื่องภายในครอบครัวให้ช่อชบาฟัง ขณะรอพี่สาวของตนจัดกับข้าวใส่ขันโตก
“ตอนยังสาวๆ พี่นางกายคำเป็นคนสวยมาก จะว่าไปแล้วสวยกว่าพี่นางศรีสุพรรณเสียอีก นิสัยใจคอก็ห้าวหาญราวผู้ชาย ชอบศึกษาคาถาอาคมไสยเวทย์กับพวกพ่อเลี้ยงหรือหมออาคมที่มีชื่อเสียง เมื่อครั้งท้าวพิมพิสารท่านมาถึงเรือนเรา พอได้พบพี่นางทั้งสองก็ทรงพอพระทัยพี่นางกายคำ แต่ท่านพ่อซึ่งตอนนั้นเป็นอำมาตย์ใหญ่กลับอยากให้พี่นางคนโตเป็นฝั่งเป็นฝาไปก่อน ก็เลยถวายพี่นางศรีสุพรรณให้เป็นชายา แล้วท่านกะจะถวายพี่นางกายคำตามไปทีหลัง พออภิเษกกันไปสักพักท้าวท่านก็แต่งตั้งพี่นางศรีเป็นพระมเหสีและเตรียมจะมีชายาองค์รอง แต่ยังไม่ทันที่พี่นางกายคำจะได้ถวายตัวเป็นชายา ก็เกิดศึกเมืองเรากับเมืองสรวงขึ้นเสียก่อน แล้วท้าวพิมพิสารก็สิ้นจากการทำยุทธหัตถีกับท้าวแมนสรวง”
เป็นอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ สองหญิงเกิดมีรักสามเส้ากับกษัตริย์เมืองนี้ แล้วสุดท้ายก็มีใครคนหนึ่งที่พลาดหวัง ซึ่งต่อมาก็เป็นสาเหตุให้พี่น้องต้องหมางใจกัน ช่อชบาพยักหน้ารับรู้พลางถอนหายใจ
“พี่นางกายคำผิดหวังอย่างหนัก เฮ้อ...ตั้งแต่นั้นมาท่านก็ครองตัวเป็นโสด และเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับไสยเวทย์มนต์ดำ จนกระทั่งเกิดเรื่องนางสอนขึ้น ชาวบ้านเล่าลือกันว่าพี่นางของข้าเล่นของแล้วถูกอาคมเข้าตัวจนกลายเป็นผีกะไป บ่าวไพร่พากันหลบหนีกลับบ้าน ญาติมิตรก็ห่างเหิน ไม่มีใครกล้าขึ้นมาเยี่ยมเลยสักคน บ้านช่องกับอาหารคาวหวานข้าล้วนต้องช่วยจัดการให้ทั้งสิ้น เพราะขนาดมีค่าจ้างค่าออน แต่จะหาคนมาปรนนิบัติสักคนก็ยังยาก”
บัวเงินซึ่งจัดสำรับเสร็จแล้วเล่าเสริม น้ำเสียงฟังดูก็รู้ว่าทั้งเศร้าใจทั้งหงุดหงิด ซึ่งคงเป็นเพราะต้องแบกรับภาระหลายอย่างเพียงลำพัง ไหนจะต้องคอยดูแลคนป่วยด้วยโรคประหลาดที่สังคมรังเกียจ ไหนครอบครัวจะถูกติฉินนินทาและไม่มีใครคบหา ประกอบกับเหน็ดเหนื่อยเพราะไม่มีคนมาช่วยเปลี่ยนเฝ้าไข้ ช่อชบานึกอย่างเห็นใจหล่อน เมื่อเล่าจบบัวเงินก็กวักมือเรียกนางบ่าวที่ยืนฟังอย่างสนใจมายกสำรับไป ส่วนตัวเองหันไปหยิบตะกร้าใส่ส้มสุกลูกไม้พลางพยักพเยิดให้น้องชายหยิบคนโทที่เตรียมไว้ใกล้สำรับขึ้นมา ก่อนชวนกันออกจากครัวไฟไป
“เรื่องนี้ข้าไม่นึกว่าจะต้องมาเล่าให้เอ็งฟัง รู้แล้วก็จงสงบปาก อย่าเอาไปเล่าต่อที่ไหน”
ขณะพากันเดินกลับ บัวเงินกำชับนางบ่าวคนโปรดของน้องชายไม่ให้ปากมาก ซึ่งนางไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดเขาจึงตั้งอกตั้งใจเล่าเรื่องในบ้านของตนให้บ่าวคนนี้ฟังเสียจนละเอียดยิบ แถมยังให้ตนช่วยเล่าเสริมอีกด้วย เดินพลางแลมองนางบ่าวมากอภิสิทธิ์ นึกไม่ชอบใจที่บ่าวมาทำท่าราวตีตนเสมอท่าน ช่อชบาที่ไม่รู้ตัวว่ากำลังถุกเขม่นพยักหน้ารับ คราวนี้จึงโดนพี่นางบัวเงินของนายน้อยศิลป์ไชยค้อนขวับ นางหยุดเดินแล้วเอ็ดเธอเสียงเขียว
“ผงกหัวหงึกๆ เป็นกิ้งก่าอยู่ได้ เอ็งไม่มีปากหรือไง มารยาททรามแท้”
“อ้อ...เจ้าข้า เจ้าข้า...ขอสูมาอภัย ข้าเจ้ามัวแต่คิดตามเพลินไปหน่อย” สาวจากอนาคตรีบขอโทษอย่างเร็ว เฮ้อ! ก็มันยังไม่ค่อยชินกับการเป็นขี้ข้าใครนี่หว่า... นึกเข่นเขี้ยวอยู่ในใจ
“พี่นางอย่าได้ถือสามันเลย นางเกี๋ยงเป็นคนประหลาดที่ฉลาดมาก แต่อาจอ่อนด้อยเรื่องมารยาทไปสักหน่อย น้องขอรับรอง แล้วน้องจะค่อยสั่งสอนเรื่องมารยาทให้มันเองเจ้าข้า”
น้องชายรีบตัดบท พลางรุนหลังพี่นางของตัวให้ออกเดินต่อ ซึ่งฝ่ายนั้นยังปรายตามองมาทางช่อชบาก่อนค้อนจนตากลับอีกที
ระหว่างที่เดินตามหลังคนทั้งคู่ หญิงจากอนาคตก็นึกตามคำบอกเล่าของบัวเงิน เรื่องรักสามเส้านั้นมีอยู่ทุกยุคทุกสมัย แต่พิษรักแรงแค้นของสามคนนี้ก็ไม่ได้มาจากผู้เป็นพี่สาวคนโต คนที่ยังฝังใจในรักคุดก็นอนป่วยแทบหมดสภาพ ส่วนฝ่ายชายได้ตายจากไปนานแล้ว ดังนั้นรักรันทดของทั้งสามก็คงจะจบลงเพียงเท่านี้ ไม่สลักสำคัญอะไร ต่อไปพี่นางกายคำของน้อยศิลป์ไชยก็คงป่วยตายไปอีกคน เรื่องราวในส่วนนี้จะเกี่ยวข้องอย่างไรกับรักสามเส้าของพระลอกับพระธิดาแฝดบ้างหรือไม่ ช่อชบาไม่อาจคาดเดาได้
เมื่อคนทั้งสามยกสำรับกับข้าวเข้ามาถึงหน้าห้องนอน ก็พบว่านางบ่าวหน้าห้องนั่งหมอบฟุบหลับอยู่คาขอบประตู ช่อชบานึกหมั่นไส้แม่เพื่อนสาวจึงก้มลงเรียกใกล้ ๆ
“สีมอย...”
สีมอยสะดุ้งโหยงขึ้นทั้งตัว เงยหน้าที่ฟุบอยู่กับวงแขนของตัวเองขึ้นมอง หล่อนทำหน้าตาเหรอหราเมื่อรู้สึกตัวว่ากำลังฟุบหลับคาธรณีประตูอยู่
“อุ้ย นี่ข้าเจ้าหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
ครางถามงง ๆ ซึ่งใครจะไปตอบนางได้ นี่คงเป็นเพราะเมื่อคืนนี้สีมอยมานั่งเป็นเพื่อนปลอบใจเธออยู่ที่หน้าเรือนจนเกือบสว่าง ทั้งที่บ่นว่าเพลียจัดจากการขึ้นไปรับใช้เจ้าย่ามาทั้งวัน เห็นแล้วก็อดนึกสงสารเพื่อนสาวไม่ได้ เหลือบมองหน้าคนเป็นเจ้านายทั้งหมดก็เห็นมีเพียงบัวเงินที่ชักสีหน้าเข้าใส่ แต่เป็นใครก็ต้องโมโหที่เห็นบ่าวรับใช้ง่วงเหงาหาวนอนต่อหน้าต่อตาเจ้านายแบบนี้ ส่วนน้องชายนั้นถึงยังไงสีมอยก็เป็นคนรัก เขาจึงเหมือนน้ำท่วมปาก มองแฟนสาวแล้วทำหน้าตาพิลึก ที่แปลกเห็นจะเป็นเจ้าย่าซึ่งนั่งตัวตรงรอท่าสำรับอาหารเงียบๆ ไม่ได้สนใจว่านางบ่าวคนสนิทแอบฟุบหลับอยู่หน้าประตูเลยสักนิด
“บ่าวพี่นางแต่ละคนไม่ไหวเลยจริงๆ นางสองคนข้างล่างก็ไม่ยอมขึ้นมาช่วยบนเรือน ส่วนนางคนถือหีบหมากก็ถึงกับหลับเฝ้าเจ้านาย ไปอดหลับอดนอนทำอะไรมาทั้งคืนหรือเอ็ง เอาหีบใส่หมากตามเข้ามาสิยะ ดีนะที่เจ้าย่าท่านพระทัยดี หาไม่คงโดนฟาดหลังลาย”
บัวเงินบ่นกระปอดกระแปดอย่างไม่พอใจ นึกเคืองเจ้าย่าที่มักพระทัยดีกับบ่าวไพร่มากไปจนเสียการปกครอง บ่นแล้วชายตามองมาทางบ่าวคนโปรดของน้องชาย...นางคนนี้ก็เหมือนกัน กิริยามารยาทใช้ไม่ได้ ดีอยู่หน่อยตรงฉลาดหลักแหลม ถึงท่าทางเหมือนผีตองเหลืองแต่ก็ดูคล่องแคล่วรู้การรู้งาน พูดจาฉะฉานจนนึกอัศจรรย์ใจ
สีมอยยิ้มแหยๆ คลานตามคนทั้งสามเข้ามาถึงเตียง แล้วบรรจงวางหีบหมากลงข้างตัวก่อนเข้าไปย้ายสิ่งของออกจากโต๊ะข้างเตียง เพื่อวางขันโตกกับคนโทอย่างรู้หน้าที่ พอตั้งขันโตกเสร็จเจ้าย่าก็ชะโงกมองดูอาหารที่ใส่จานชามมาในสำรับ แล้วเอ่ยถามอย่างแปลกพระทัย
“ของกินมีแค่นี้เองหรือ ทำไมถึงให้คนไข้กินลาบดิบล่ะ นี่ก็หลู้ มีแต่เลือดสดๆ ทั้งนั้น กินของแบบนี้ไม่แสลงต่อโรคเอารึ”
ทรงติอาหารในขันโตกที่ถ้วยหนึ่งเป็นเนื้อหมูดิบสับละเอียด ปรุงด้วยเครื่องเทศ อีกถ้วยก็เป็นเนื้อหมูสับละเอียดปรุงเครื่องเทศเช่นกัน แล้วราดด้วยเลือดหมูสดๆ จนนองถ้วย ยังดีที่มีไข่ไก่ต้มสุกใส่ในชามมาให้ด้วยสองฟอง กับเนื้อหมูย่างชิ้นใหญ่อีกชิ้นหนึ่ง
“ถ้าเป็นอย่างอื่นกายคำยิ่งไม่ยอมกินเจ้า แต่ถ้าเป็นพวกลาบหลู้ก็พอกินอยู่บ้าง”
คนยกสำรับกับข้าวมาพากันยืนมองอยู่ข้างเตียง บัวเงินตอบคำถามเจ้าย่า ซึ่งก็เห็นท่านทำพักตร์ผะอืดผะอม แล้วใช้ช้อนตักพลิกดูเนื้อสดปนเลือดหมูในชามไปมา ก่อนหันไปเรียกคนนอนหลับตานิ่งบนเตียงเบาๆ
“อาหารมาแล้ว แข็งใจกินข้าวปลาสักคำสองคำเถอะนาง”
ช่อชบารู้สึกผิดสังเกตที่เห็นคนบนเตียงทำท่าคล้ายพยายามจะเผยอเปลือกตาขึ้นมอง แต่ดูเหมือนช่างทำได้ยากเย็น
เป็นเพราะก่อนหน้าเข้าไปช่วยยกสำรับข้างในครัวไฟ เธอเห็นคนนอนป่วยที่ถึงแม้ท่าทางจะป่วยหนักเอาการอยู่ แต่ก็ยังมีแรงพูดจา มีแรงกระทั่งทำท่าไม่พอใจตัดพ้อต่อว่าคนมาเยี่ยม แล้วเพียงชั่วขณะหนึ่งที่เธอตามชายหญิงสองคนนั่นเข้าไปในครัวไฟ ซึ่งอาจเสียเวลาสนทนากันในนั้นอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ไม่นานนัก ครั้นพอกลับออกมาอีกที...ก็แล้วทำไมคนไข้ถึงเหมือนกับมีอาการอ่อนเพลียทรุดหนักลงไปมากจนลืมตาแทบไม่ขึ้นรวดเร็วแบบนี้ ริมฝีปากแห้งผากขมุบขมิบแต่ไร้ซึ่งสุ้มเสียง และราวกับว่าไม่มีแรงขยับตัวเสียด้วยซ้ำ
“กายคำ...ลืมตาขึ้นมาก่อน อย่าเพิ่งหลับ นี่ก็เลยเวลากินมื้อเที่ยงมานาน กินข้าวให้พี่ดูสักคำเถิด”
เจ้าย่าโน้มองค์ลงบอกใกล้ริมหู ซึ่งหญิงคนป่วยก็ตอบสนอง ค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ อย่างยากลำบาก ช่อชบาซึ่งผิดสังเกตตั้งแต่แรกยืนจ้องมองตาไม่กะพริบ และจะเป็นด้วยอุปาทานหรืออะไรก็แล้วแต่ เธอคิดว่าหญิงคนป่วยที่นอนอยู่บนเตียงเปลี่ยนไป...ดวงตาซึ่งลืมขึ้นเพียงครึ่ง ๆ นั้นหม่นมัวฝ้าฟางไร้ประกาย แถมยังดูเลื่อนลอยชอบกล ไม่ใช่ประกายตาดุดันคมกริบเหมือนอย่างที่เห็นก่อนหน้า
“ถ้าเจ้าชอบลาบเลือดพี่ก็จะป้อนให้ เอาล่ะ อ้าปากกินข้าวให้พี่ดูสักคำเถอะนางน้อย”
คนข้างเตียงบอกแล้วก็ปั้นข้าวเหนียวเป็นคำเล็กๆ จิ้มลาบเลือดในถ้วยจนชุ่มเลือด แล้วยกขึ้นแตะที่ริมฝีปากแตกแห้งของคนไข้ ซึ่งทันทีนั้นเจ้าของริมฝีปากก็เบือนหน้าหนี เจ้าย่าจึงชะงักพระหัตถ์ ทรงหันไปวางก้อนข้าวเหนียวคำนั้นลงในขันโตก ก่อนปั้นก้อนข้าวเหนียวคำใหม่ บิเนื้อหมูย่างแนบมากับก้อนข้าวแล้วยกขึ้นแตะริมฝีปากคนไข้อีก
“งั้นลองชิมหมูย่างนี่ปะไร กินสักคำเถิดเจ้า”
คราวนี้คนนอนป่วยถึงค่อยเบือนหน้ากลับมาช้าๆ แววตาฝ้ามัวจับจ้องอยู่ที่พระพักตร์เจ้าย่าแน่วนิ่ง เม้มริมฝีปากแน่น พลันนั้นช่อชบาเห็นหยดน้ำใสๆ ไหลเป็นทางออกจากหางตาของใบหน้าซูบตอบ
“เอาล่ะๆ ถ้างั้นก็ตามใจเจ้า ตอนนี้ยังไม่อยากกินก็ไม่เป็นไร หากหิวเมื่อไหร่ค่อยกินก็ได้”