ตำนานพื้นบ้าน พระลอตามไก่ มาเป็นนวนิยาย 'อลเวงรักสองภพ' ตอนที่ 14


ตอนเดิม


ตอนที่ 14

“ข้ามีเรื่องเตือนท่าน นี่คือเรื่องที่จะต้องเกิดขึ้นในวันหน้า ที่ข้ารู้เพราะข้าเคยได้อ่านเรื่องราวของพวกท่านจากในหนังสือมาก่อน แต่พวกท่านยังไม่รู้เหมือนที่ข้ารู้ น้อยศิลป์ ท่านจงอยู่ดูแลพี่นางทั้งสองของท่านกับสีมอยอยู่ที่เรือนนี้ อย่ากลับเข้าไปในวังเป็นอันขาด เพราะอีกหน่อยจะมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นที่นั่น จากฝีมือพี่นางกายคำของท่านเอง โปรดอย่าถามข้าว่าเป็นเรื่องอะไร ข้าบอกไม่ได้ บอกได้แค่ว่ามันร้ายแรงมาก และมีแต่พวกท่านเท่านั้น ที่จะช่วยเป็นพยานให้กับเรื่องที่เกิดขึ้น”

“เจ้าช่างพูดน่ากลัวนัก พี่นางกายคำจะทำเรื่องร้ายแรงอันใด ถึงแก่ชีวิตใครหรือไม่ โอ...ไม่ได้นะนางเกี๋ยง หากเจ้ารู้สิ่งใด ก็ควรบอกข้ามาแต่เนิ่น ๆ จะได้ช่วยกันแก้ไขให้ทันเวลา”

น้อยศิลป์ไชยร้องขึ้นมาอย่างตกใจ

“บอกแล้วว่าอย่าถามข้าอีก เรื่องมันได้เกิดไปแล้ว ท่านไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้ทั้งนั้น หากทำตามคำแนะนำของข้า ก็จะสามารถช่วยบ้านเมืองให้ผ่อนหนักเป็นเบาได้ โปรดเชื่อคำข้าสักครั้ง หลังเกิดเรื่องร้ายขึ้น ท่านจะช่วยรักษาชีวิตผู้คนเอาไว้ ไม่ให้เสียไปในศึกสงครามได้อีกมากมายทีเดียว เพียงท่านอย่ากลับเข้าไปในวังเท่านั้น”

“กายคำใจร้ายนัก เมื่อนางอยู่ในร่างข้า ชะรอยนางอาจยุเมืองสรอง ให้ทำสงครามกับเมืองศรวงก็ได้ ด้วยนางยังเคียดแค้นเมืองนั้นอยู่ไม่วาย เอ๊ะ! ว่าแต่นางเกี๋ยง เจ้าเป็นผู้ใดกัน ทำไมจึงพูดจาประหลาด ราวกับมีฌานหยั่งรู้อนาคตข้างหน้า ดูท่าทางเฉลียวฉลาดเกินมนุษย์ เจ้ามิใช่นางเกี๋ยงบ่าวของข้าแน่” 

เจ้าย่าในร่างของกายคำพูดกับน้องชาย ขณะเดียวกันก็หันมาพิจารณาบ่าวหน้าเหลืองอย่างเริ่มผิดสังเกต คงแคลงใจในความรอบรู้ผิดปกติ เหมือนไม่ใช่มนุษย์เดินดินธรรมดาของเธอ ในความเข้าใจของเจ้าย่ากำลังคิดว่า นางเกี๋ยงอาจเป็นเทวดาจำแลงร่างลงมาเพื่อช่วยเหลือตน น้อยศิลป์ไชยเห็นว่าคงปกปิดเจ้าย่าไว้ไม่ได้อีกแล้ว จึงตัดสินใจเล่าความลับของช่อชบาให้เจ้าย่ารับรู้ด้วยอีกคน

“นางมิใช่นางเกี๋ยงดอกพี่นาง แต่เป็นหญิงมาจากเวียงเชียงใหม่ ในอนาคตอีกพันปีข้างหน้าโน่น เรื่องนี้เป็นความจริงมิใช่โป้ปดมดเท็จ...เกี๋ยง เจ้าจงเอา....”

“รู้แล้วน่า....” 

ได้เวลายืนยันตัวตนด้วยเจ้ากล่องวิเศษของคนที่นี่อีกครั้ง ช่อชบาไม่รอช้า งัดเอาโทรศัพท์มือถือออกมาจากชายพก อธิบายซ้ำซากแบบเดิม ซึ่งทั้งเจ้าย่าและสีมอยต่างก็พากันตกตะลึงพรึงเพริดไปตามระเบียบ

“คุณพระคุณเจ้าช่วย...มีเรื่องเหลือเชื่ออย่างนี้ด้วยหรือนี่ ช่างน่าอัศจรรย์ใจเสียจริง มิน่า น้อยศิลป์เคยบอกข้าว่า นางเกี๋ยงมีความลับ ที่ถ้าข้ารู้เข้าต้องถึงกับเป็นลมตาย” 

สีมอยพึมพำ จ้องเพื่อนสาวตาไม่กะพริบ ส่วนเจ้าย่าก็ได้แต่มองตาปริบ ๆ เพราะไม่อาจโต้แย้งเรื่องเหลือเชื่อของนางเกี๋ยงได้ ช่อชบาไม่ปล่อยเวลาให้เนิ่นนานออกไป ไหน ๆ ก็ได้เล่าออกมาแล้ว จึงเล่าต่ออีกว่า

“ยังมีอีกเรื่อง ขณะนี้ท้าวลอแห่งเมืองศรวง ได้เสด็จมายังเมืองเรา พระองค์รักกันกับพระธิดาเพื่อนแพง และกำลังจะเดินทางไปหาที่เรือนรับรองในอุทยานหลวงของเจ้าย่า ทั้งสามพระองค์รักกันด้วยใจอันบริสุทธิ์ ท้าวลอคิดหาทางจะสู่ขออภิเษกกับพระธิดาทั้งสอง เจ้าย่าเคยเลี้ยงดูพระธิดาแฝดมาตั้งแต่ยังเล็ก คงยินดีด้วยกับความสุขของพระธิดานะเจ้าข้า”

“โอ้...ท้าวลอเสด็จมาหรือ เช่นนี้เอง นางเกี๋ยงมันจึงบอกว่าจะมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นในวัง กายคำเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น นางต้องไม่ยอมให้เมืองทั้งสองได้ดองกันแน่ เอ...หรือว่า นางจะพูดให้ร้ายหลานข้ากับท้าวพิชัยท่าน เช่นนั้น ข้าขออ้อนวอนท่านผู้วิเศษ ได้โปรดช่วยหลานทั้งสองของข้าด้วยเถิด หากจะเกิดเรื่องร้ายขึ้นจริง ก็ขอช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา เช่นที่ว่ามาเมื่อครู่นี้ด้วย” 

สมกับคำร่ำลือที่ว่าเจ้าย่าเป็นคนจิตใจดี มีเมตตาโอบอ้อมอารี เพราะทันทีที่ทราบว่าอาจเกิดเรื่องไม่ดีกับหลานสาวทั้งสอง ก็ลืมเรื่องของตนเองหมด หันมาอ้อนวอนให้ช่อชบาช่วยเหลือพระเพื่อนพระแพงแทน

“ข้าจะพยายามเจ้าข้า เพียงแต่ตอนนี้เจ้าย่าคงต้องเป็นพี่นางกายคำไปพลางก่อน อย่าเพิ่งกระโตกกระตากให้ใครรู้ จนกว่าเรื่องราวจะคลี่คลายลง ซึ่งตอนนั้นท่านก็อาจจะได้กลับไปเป็นเจ้าย่าศรีสุพรรณตามเดิมแล้ว” 

ดวงตาฝ้าฟางของคนป่วยมีประกายสดใสขึ้น เช่นเดียวกับท่าทีโล่งใจของน้อยศิลป์ไชยและสีมอย เจ้าย่าในร่างกายคำพยักหน้ารับคำนางเกี๋ยง คนทั้งสามไม่มีทางเดาเรื่องร้ายที่ช่อชบาบอกถูก เพียงมั่นใจในตัวของนางหญิงจากอนาคตว่าจะช่วยแก้ไขสถานการณ์จากร้ายให้กลายเป็นดีได้อย่างแน่นอน
ช่อชบาถอนหายใจเป็นครั้งที่ล้าน...นึกสงสารผู้คนรอบตัวในขณะนี้ แต่เธอก็ไม่ใช่ผู้วิเศษอย่างที่พวกเขาคิด เรื่องราวทั้งหลายจึงต้องให้เป็นไปตามชะตากรรม

(มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่