ภายในห้องบรรทมของเจ้าหลวงแสนเมืองจาย ร่างสูงสง่ากำลังง่วน
อยู่กับการเช็ดตัวให้กับผู้เป็นบิดา เป็นวันที่สามแล้วที่เขาได้เข้ามาดูแลเจ้าพ่อ
ใกล้ชิดตลอดเวลาเช่นนี้
โดยได้ให้เหตุผลกับมารดาว่าอยากใช้ช่วงเวลานี้ให้มีค่าที่สุด และอยากแบ่งเบาภาระของมารดา เจ้านางหลวงแว่นทิพย์จึงไม่ได้คัดค้าน แต่ก็คอยดูแลอยู่ไม่ห่างด้านนอก
เจ้าราชบุตรแห่งเวียงสีปันจาทุ่มเทเวลาและทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อให้เจ้าหลวงแสนเมืองจายฟื้นคืนกลับมา ชายหนุ่มเชื่ออยู่ลึกๆ ว่ามีความเป็นไปได้มากที่เจ้าพ่อของเขาจะฟื้น เขายังเชื่อในถ้อยคำของพ่อครูสิงห์แก้วที่บอกเอาไว้ล่วงหน้า
แม้ลึกๆ จะไม่แน่ใจนักว่าปิ่นทองคำอันนี้คือปิ่นแก้วนครา และหญิงสาวผู้สื่อสารกับปิ่นแก้วได้มาจากที่อันไกลพ้นซึ่งเรียกกันว่าอนาคตในอีกเก้าร้อยปีข้างหน้า แต่อาการบิดาของเขาแปลกประหลาดนัก แม้จะยังไม่รู้สึกตัว แต่ก็รู้สึกได้ถึงพลังชีวิต
อีกทั้งร่างกายที่ซูบผอมหนังติดกระดูกก็เหมือนจะมีเลือดเนื้อขึ้นมาทีละนิดอย่างเห็นได้ชัด แม้จะตื่นเต้นดีใจมากแค่ไหนเจ้าราชบุตรหนุ่มก็ต้องระงับเอาไว้ และไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ แม้แต่หมอหลวง
“เช็ดตัวเจ้าพ่อแล้วก็มาทานข้าวกับแม่เถอะเจ้าน้อย แม่จะให้คนตั้งโตกในห้องนี้” เจ้านางหลวงที่พึ่งเข้ามาบอกเจ้าน้อยปิ่นเมือง ชายหนุ่มรับคำพร้อมทั้งจัดการเก็บปิ่นแก้วไว้ใต้หมอนที่เจ้าหลวงหนุนนอน ก่อนเจ้าแม่จะทันเข้ามาเห็น
“ช่างน่าแปลกนัก นี่แม่ตาฝาดไปหรือไม่เจ้าน้อย ที่เจ้าพ่อของลูกดูเหมือนจะดีขึ้น หรือเจ้าพ่อจะรับรู้ได้ว่ามีลูกมาคอยดูแลตลอดเวลาเยี่ยงนี้” เจ้านางหลวงเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจระคนยินดี
เมื่อเห็นร่างของพระสวามีดูดีขึ้นจากวันก่อนๆ เหลือเกิน พอเอื้อมมือไปแตะร่างที่ยังไม่ไหวติง ก็รู้สึกได้ถึงความอุ่นและชีพจรเต้นแรงขึ้นกว่าที่เคยเป็น นับจากวันที่เจ้าหลวงล้มป่วยลง
“คงจะเป็นเช่นนั้นกระมังเจ้าแม่ ลูกจึงต้องการอยู่กับเจ้าพ่อตามลำพังให้มากที่สุด แล้วลูกก็อยากให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับไปก่อน” เจ้านางหลวงแว่นทิพย์มองหน้าบุตรชายด้วยความประหลาดใจ
“ทำไมหรือเจ้าน้อย เรื่องอาการของเจ้าพ่อเป็นที่สนใจของทุกคนนะลูก ที่สำคัญมันหมายถึงขวัญและกำลังใจด้วย”
“ขอให้ลูกมั่นใจกว่านี้หน่อยเถิดเจ้าแม่ อีกไม่นานนักหรอก”
“ถ้าเจ้าน้อยเห็นสมควรเช่นนั้นก็ตามใจเถิดลูก แค่เจ้าพ่อดีขึ้นแม่ก็ดีใจนักแล้ว” เสียงของเจ้านางหลวงสั่นเครือ ทอดสายตามองร่างของพระสวามีด้วยน้ำตาคลอเอ่อ
แม้เวลาที่เจ้าหลวงล้มป่วยจะไม่นานเป็นปี แต่เหมือนช่างนานเนิ่นเหลือเกินในความรู้สึกของผู้เป็นที่รัก และได้ผ่านการร้องไห้มามากเสียจนแทบไม่มีน้ำตาจะไหล
แต่น้ำตาที่กำลังเอ่อท้นในครั้งนี้ช่างแตกต่าง เพราะมันเต็มไปด้วยความหวังซึ่งถูกจุดขึ้นมาในหัวใจของเจ้านางหลวงแว่นทิพย์อีกครั้ง
*-*-*-*-*-*
ขณะที่เจ้าราชบุตรปิ่นเมือง ใช้เวลาทั้งหมดกับเจ้าหลวงแสนเมืองจาย ฝ่ายกังสดาล หรือ สร้อยแสงดา ในสายตาของคนสีปันจาก็กำลังใช้เวลาทั้งหมดกับการเรียนรู้วิถีแห่ง ‘แม่ญิงสีปันจา’ ทั้งกิริยา มารยาท และการบ้านการเรือน
วันแรกที่สร้อยแสงดาในความเข้าใจของคนในคุ้มหลวงแห่งสีปันจา ได้เข้าไปอาศัยชายคาเรือนของเทวีเจ้าตนย่าจันทรา หญิงชราผู้สูงศักดิ์เห็นว่าเรื่องแรกที่สร้อยแสงดาควรเรียนรู้ก็คือกิริยามารยาทของความเป็นกุลสตรี และการพูดจา
ทำให้กังสดาลได้เรียนรู้อีกเช่นกันว่าคนที่สีปันจาพูดจาน่าเวียนหัวมากแค่ไหน เพราะมีแต่คำว่า ‘เจ้า’ ‘ข้าเจ้า’ ‘ข้าน้อย’ เต็มไปหมด แต่ที่เธอจำได้แม่นยำก็คือผู้หญิงต้องเรียกตัวเองว่า ‘ข้าเจ้า’ และขานรับว่า ‘เจ้า’ กับคนที่มีศักดิ์หรืออายุมากกว่า หญิงสาวจึงตั้งใจว่าจะใช้คำพูดน่าเวียนหัวเหล่านั้นกับผู้หลักผู้ใหญ่น่าเกรงขามอย่างเทวีเจ้าตนย่า เจ้าหลวง เจ้านางหลวงเท่านั้น
เพราะกับคนอื่นๆ ขอเธอพักหายใจหายคอด้วยการเป็นตัวของตัวเองอย่างที่เป็นอยู่นี่เถอะ แม้จะดูเป็นคนแปลกๆ สำหรับที่นี่ไปหน่อย แต่กังสดาลคิดว่าก็ยังดีกว่าอกแตกตายด้วยความอึดอัด เพราะแค่การ ‘เข้า
คอร์สอบรมเป็นแม่ญิงสีปันจา’ก็หนักหนาสำหรับคนนิสัยไม่อยู่สุขอย่างเธอแล้ว
ส่วนในเรื่องการเรียนรู้สิ่งต่างๆ แม้เทวีเจ้าตนย่าจันทราจะไม่ได้ออกโรงสอนเอง แต่ก็มีผู้เชี่ยวชาญในงานแต่ละด้านมาเป็นผู้ฝึกสอน และต้องให้เทวีเจ้าตนย่าคอยตรวจสอบในขั้นตอนสุดท้าย
ตั้งแต่วันแรกนอกเหนือจากเรื่องกิริยามารยาทแล้ว กังสดาลก็ขลุกอยู่กับหม้อข้าวหม้อแกงในครัวเล็กของเรือนที่เธอพักอยู่ทุกวัน จนแทบไม่ได้เงยหน้าไปไหน แต่จนแล้วจนรอดฝีมือการทำอาหารตำรับเวียงสีปันจาของเธอก็ยังไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานของเทวีเจ้าตนย่าจันทราเลย
“แม่นางสร้อยแสงดาเจ้า แกงนี้จะต้องเคี่ยวไฟอ่อนๆ ไปจนครบสี่ชั่วยามนะเจ้า” ผู้เชี่ยวชาญด้าน ‘แกงเคี่ยว’ บรรยายถึงที่มาที่ไปและวิธีปรุงแกงชนิดนี้
ซึ่งเป็นอาหารสำหรับงานเลี้ยงฉลองหรือเทศกาลพิเศษสำหรับเจ้านาย ประกอบไปด้วยเนื้อกับเครื่องเทศหอมประจำเวียงสีปันจาหลายชนิด โดยต้องนำเนื้อมาเคี่ยวไฟอ่อนๆ พร้อมกับเติมเครื่องเทศแต่ละชนิดไปเป็นระยะๆ จนเข้าเนื้อ แล้วทานกับน้ำจิ้มรสดี
“สี่ชั่วยาม?! ก็สี่ชั่วโมงน่ะสิ โอ้... จะเคี่ยวให้ได้โล่หรือยังไงกันเนี่ย” กังสดาลโอดตามประสา จนคนสอนและบัวนวลอดยิ้มกับท่าทางนั้นไม่ได้ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจถ้อยคำที่หญิงสาวพูดนัก แต่ก็เข้าใจอารมณ์นั้นดี
จากนั้นจึงให้กังสดาลทำเองอีกหม้อหนึ่ง โดยมีบัวนวลคอยช่วยเหลือ เริ่มตั้งแต่เตรียมวัตถุดิบจนถึงตั้งหม้อบนเตาที่ปั้นจากดินเผา จุดไฟด้วยถ่าน ใส่เนื้อและเครื่องปรุงต่างๆ ลงไปตามคำแนะนำของผู้สอนทุกขั้นตอน
แล้วจึงมาถึงการเคี่ยว ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญ เพราะต้องใช้ความอดทน รวมทั้งความใส่ใจมากเป็นพิเศษ ต้องกะเวลาที่จะใส่เครื่องเทศชนิดต่างๆ ให้พอเหมาะ เพื่อกลิ่นและรสชาติที่ดี
งานนี้บัวนวลมีหน้าที่แค่ช่วยเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น นั่นเป็นคำสั่งของเทวีเจ้าตนย่าจันทรา เพื่อให้สร้อยแสงดาได้เรียนรู้และทำทุกอย่างด้วยตัวเองอย่างแท้จริง
“บัวนวล เจอท่านเตวินกับท่านนันตาบ้างไหม” จู่ๆ คนที่กำลังใช้ไม้พายคนหม้อแกงเคี่ยวก็คิดไปถึงใครบางคนขึ้นมา จึงถามถึงคนใกล้ชิดของเขา บัวนวลที่กำลังนั่งโขลกเครื่องเทศกลิ่นหอมร้อนแรงอยู่ใกล้ๆ ทำท่าคิด
“ไม่นะเจ้า บัวนวลเองก็มิได้ออกไปนอกเรือนเลย ท่านเตวินกับท่านนันตาเองก็มิได้มาที่เรือนนี้หมือนกันเจ้า”
“งั้นเหรอ แล้วฉันจะทำยังไงดีล่ะเนี่ย” หญิงสาวพูด มือชะงักไปด้วยกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก เพราะอยากรู้เรื่องเจ้าหลวงกับเจ้าราชบุตรแห่ง
สีปันจาแทบขาดใจ
“มีเรื่องอันใดหรือเจ้าแม่นางสร้อยแสงดา ระวังอย่ารามือจากหม้อนะเจ้า เดี๋ยวแกงจะไหม้เอานะเจ้า” บัวนวลถาม พร้อมร้องเตือนในตอนท้ายด้วยความเป็นห่วง
“อุ๊ย! จริงสิ ยิ่งทำอาหารไม่ผ่านอยู่ด้วย มาตรฐานสูงจริงๆ เทวีเจ้าตนย่าจันทราเนี่ย” ว่าแล้วก็รีบหันความสนใจไปยังหม้อแกงตรงหน้าต่อ
“ฉันอยากรู้จัง ว่าตอนนี้เจ้าน้อยปิ่นเมืองเป็นยังไงบ้าง จะไปหาก็ไม่ได้” ไม่วายเปรยขึ้นลอยๆ อีกครั้ง
“แม่นางสร้อยแสงดาคิดถึงเจ้าน้อยหรือเจ้า เจ้าน้อยเองก็คงคิดถึงท่านเช่นกันนะเจ้า ตามประสาคนรักกัน” แต่คนที่ได้ยินกลับเข้าใจไปอีกแบบ
“โอ๊ะ! ไม่ใช่เรื่องนั้น ฉันแค่อยากรู้ว่า... เอ่อ ช่างเถอะ เอาเป็นว่ามีทางไหนบ้างที่ฉันจะได้รู้ข่าวคราวของเขา บัวนวลพอจะถามข่าวเจ้าน้อยจากท่านนันตา หรือท่านเตวินได้บ้างไหม” กังสดาลถามบ่าวคนสนิทในที่สุด
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวบัวนวลจะลองไปหาท่านเตวินกับท่านนันตาดูนะเจ้า แต่ไม่รู้ว่าจะเจอหรือไม่นะเจ้า” บัวนวลรับคำพร้อมขยับตัวลุกขึ้น และก้าวจากไป
เพราะช่วงแรกของการเรียนรู้นี้กังสดาลต้องใช้ชีวิตอยู่ที่เรือนเทวีเจ้าตนย่า จนกว่าจะผ่านการอบรมทุกอย่าง ถึงจะได้รับอนุญาตให้ออกจากเรือนได้ นับว่าเป็นเรื่องเคร่งครัดน่าดู แต่มันเป็นกฎของเรือนนี้ที่ทุกคนต้องทำตาม
ส่วนตัวบัวนวลเองนั้น ผ่านการเรียนรู้นี้ไปแล้วในครั้งที่เข้ามาทำงานในคุ้มตอนแรก และมาตอนนี้บัวนวลก็เป็นเพียงผู้ดูแลรับใช้ของกังสดาลเท่านั้น จึงสามารถไปไหนมาไหนได้ตามสะดวก แม้ปกติจะอยู่ด้วยกันกับ แม่นางสร้อยแสงดา ผู้เป็นเจ้านายตลอดก็ตาม
กังสดาลอยากรู้ความคืบหน้าของการรักษาเจ้าหลวงแสนเมืองจาย เธออยากไปเกาะติดอยู่ข้างเตียงเจ้าหลวงด้วยซ้ำหากทำได้ แต่ก็ต้องอยู่ที่นี่เพื่อเรียนรู้วิชาที่ว่าด้วยการเป็นผู้หญิงสีปันจาอย่างสมบูรณ์แบบ
หญิงสาวไม่ได้รังเกียจสิ่งที่กำลังเรียนรู้อยู่ แต่ใจก็ไม่ได้นิ่งพอจะเข้าใจในทุกสิ่งทุกอย่าง อีกทั้งความคิดที่ว่าอีกไม่นานเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นเธอก็ต้องกลับบ้าน ก็มีส่วนทำให้กังสดาลไม่ใส่ใจบทเรียนแต่ละอย่างเท่าที่ควร หญิงสาวยอมรับว่าตนทำไปส่งเดช ทำไปตามที่สมควรจะทำเท่านั้น
“บัวนวลว่ายังไงบ้าง เจอท่านเตวิน กับท่านนันตาบ้างไหม” พอร่างของบัวนวลโผล่เข้ามาในครัว หญิงสาวก็รีบถามขึ้นทันที
“เจอแต่ท่านเตวินที่แวะมาหาเจ้านางน้อยเมื่อครู่เจ้า ท่านเตวินบอกว่าเจ้าน้อยปิ่นเมืองอยู่ที่เรือนเจ้าหลวงตลอด มิได้กลับเรือนเลยเจ้า” บัวนวลรายงานตามที่ได้รู้มา
“แล้วไม่มีข่าวเกี่ยวกับเจ้าหลวงบ้างเลยเหรอบัวนวล” บ่าวคนสนิทส่ายหน้า
“ไม่มีเจ้า ท่านเตวินไม่ได้พูดถึง พระอาการเจ้าหลวงก็คงยังเหมือนเดิมกระมังเจ้า” พลางคาดเดาด้วยเสียงหมองหม่น เนื่องจากการประชวรของเจ้าฟ้ามหาชีวิตสั่นสะเทือนหัวใจของทุกผู้ทุกคนในสีปันจา บ่าวอย่างบัวนวลเองก็ไม่มีข้อยกเว้น กังสดาลถอนหายใจหนักหน่วง
“แต่นี่วันที่สี่แล้วนะ ไม่ได้การ ฉันต้องหาทางไปหาเจ้าน้อยเสียหน่อยล่ะ” และที่สุดก็ตัดสินใจในตอนท้าย
“แต่แม่นางสร้อยแสงดาออกไปไหนไม่ได้นะเจ้า ถ้ามีสิ่งใดเร่งด่วนก็สั่งบัวนวลมาเถิดเจ้า บัวนวลจะไปทำให้เองเจ้า” บัวนวลพยายามคัดค้านพร้อมเตือนสติด้วยความเป็นห่วง
“เรื่องนี้บัวนวลทำให้ฉันไม่ได้หรอก ฉันจำเป็นต้องไปเองจริงๆ บัวนวลช่วยฉันหน่อยนะ ฉันอยากเจอเจ้าน้อยจริงๆ ” แม้บัวนวลจะคัดค้านแค่ไหน แต่ก็ไม่วายพ่ายแพ้ต่อความมุ่งมั่นอันดื้อดึงของคนเป็นเจ้านายจนได้
*-*-*-*-*-*
ร่างบอบบางในชุดบ่าวรับใช้ชาวสีปันจา ผ้าสีชมพูที่ควรโพกศีรษะกลับถูกใช้คลุมหัวแทน กังสดาลเดินแกมวิ่งมายังเรือนของเจ้าหลวงแสนเมืองจาย ทหารยามด้านหน้าเรือนได้ขวางเอาไว้ก่อนที่จะถึงบันได
“เจ้าเป็นบ่าวของเรือนไหน มาที่นี่ด้วยธุระอันใด” ทหารตัวใหญ่ถือดาบยาวปลายโค้งถามขึ้นด้วยท่าทางขึงขัง
“ฉัน... เอ๊ย! ข้าเจ้ามาจากเรือนเทวีเจ้าตนย่าจันทรา มาหาเจ้าน้อยปิ่นเมืองเจ้า” หญิงสาวพยายามดัดเสียงเป็นสำเนียงสีปันจาอย่างสุดความสามารถ
“แต่เจ้าน้อยไม่อนุญาตให้ใครเข้าพบ เจ้ามีธุระอันใดก็ฝากเอาไว้เถิด แล้วจงกลับเรือนไปเสีย นี่ก็เป็นเวลาเย็นมากแล้วด้วย”
“แต่ว่า... แม่นางสร้อยแสงดาให้ข้าเจ้านำความด่วนมาบอกแก่เจ้าน้อยปิ่นเมืองนะเจ้า” เธอยังไม่ละความพยายามง่ายๆ
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงบอกข้ามาเถิด ข้าจะได้นำความไปบอกให้เจ้าน้อยบัดเดี๋ยวนี้” ทหารเองก็ไม่ยอมเช่นกัน
“ไม่ได้หรอกเจ้า มันเป็นความลับสุดยอด ข้าเจ้าต้องบอกเจ้าน้อยด้วยตัวเองเท่านั้น”
“เอ๊ะ! เจ้านี่พูดไม่รู้เรื่องหรืออย่างไร กลับไปได้แล้ว ไม่เช่นนั้นข้าจะจับตัวเจ้าโยนออกไปเสียเดี๋ยวนี้” เสียงของทหารดังขึ้นอย่างข่มขู่แกมรำคาญ แต่ก็ต้องชะงัก...
“เอะอะอะไรกัน ข้างล่างนั่นมีอะไรกันหรือ” เสียงคุ้นเคยที่ดังมาทำให้กังสดาลถึงกับหูผึ่ง พอเงยหน้าขึ้นไปมองก็เห็นร่างสง่างามคุ้นตายืนอยู่ตรงหัวบันไดเรือน
“เจ้าน้อยปิ่นเมือง! เจ้าน้อย ฉันเองนะ” หญิงสาวตะโกนพลางกระโดดโบกไม้โบกมืออยู่ข้างล่างเหย็งๆ ก่อนจะดึงผ้าคลุมหัวออก ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะจำไม่ได้
“สร้อยแสงดา นี่เจ้า... ” เจ้าราชบุตรหนุ่มร้องขึ้นด้วยความแปลกใจ
“ปล่อยนางขึ้นมาเถิด เราอนุญาต” ก่อนจะโบกมือให้ทหารที่มีท่าทางงุนงงและหวาดหวั่น เมื่อเห็นว่าบ่าวหญิงที่ตนตะคอกใส่เมื่อครู่ แท้จริงเป็นคนสำคัญของเจ้าน้อย
ปิ่นแก้วนครา ตอน แกงเคี่ยวและวิถีแห่ง‘แม่ญิงสีปันจา’ (โดย พิริตา)
อยู่กับการเช็ดตัวให้กับผู้เป็นบิดา เป็นวันที่สามแล้วที่เขาได้เข้ามาดูแลเจ้าพ่อ
ใกล้ชิดตลอดเวลาเช่นนี้
โดยได้ให้เหตุผลกับมารดาว่าอยากใช้ช่วงเวลานี้ให้มีค่าที่สุด และอยากแบ่งเบาภาระของมารดา เจ้านางหลวงแว่นทิพย์จึงไม่ได้คัดค้าน แต่ก็คอยดูแลอยู่ไม่ห่างด้านนอก
เจ้าราชบุตรแห่งเวียงสีปันจาทุ่มเทเวลาและทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อให้เจ้าหลวงแสนเมืองจายฟื้นคืนกลับมา ชายหนุ่มเชื่ออยู่ลึกๆ ว่ามีความเป็นไปได้มากที่เจ้าพ่อของเขาจะฟื้น เขายังเชื่อในถ้อยคำของพ่อครูสิงห์แก้วที่บอกเอาไว้ล่วงหน้า
แม้ลึกๆ จะไม่แน่ใจนักว่าปิ่นทองคำอันนี้คือปิ่นแก้วนครา และหญิงสาวผู้สื่อสารกับปิ่นแก้วได้มาจากที่อันไกลพ้นซึ่งเรียกกันว่าอนาคตในอีกเก้าร้อยปีข้างหน้า แต่อาการบิดาของเขาแปลกประหลาดนัก แม้จะยังไม่รู้สึกตัว แต่ก็รู้สึกได้ถึงพลังชีวิต
อีกทั้งร่างกายที่ซูบผอมหนังติดกระดูกก็เหมือนจะมีเลือดเนื้อขึ้นมาทีละนิดอย่างเห็นได้ชัด แม้จะตื่นเต้นดีใจมากแค่ไหนเจ้าราชบุตรหนุ่มก็ต้องระงับเอาไว้ และไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ แม้แต่หมอหลวง
“เช็ดตัวเจ้าพ่อแล้วก็มาทานข้าวกับแม่เถอะเจ้าน้อย แม่จะให้คนตั้งโตกในห้องนี้” เจ้านางหลวงที่พึ่งเข้ามาบอกเจ้าน้อยปิ่นเมือง ชายหนุ่มรับคำพร้อมทั้งจัดการเก็บปิ่นแก้วไว้ใต้หมอนที่เจ้าหลวงหนุนนอน ก่อนเจ้าแม่จะทันเข้ามาเห็น
“ช่างน่าแปลกนัก นี่แม่ตาฝาดไปหรือไม่เจ้าน้อย ที่เจ้าพ่อของลูกดูเหมือนจะดีขึ้น หรือเจ้าพ่อจะรับรู้ได้ว่ามีลูกมาคอยดูแลตลอดเวลาเยี่ยงนี้” เจ้านางหลวงเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจระคนยินดี
เมื่อเห็นร่างของพระสวามีดูดีขึ้นจากวันก่อนๆ เหลือเกิน พอเอื้อมมือไปแตะร่างที่ยังไม่ไหวติง ก็รู้สึกได้ถึงความอุ่นและชีพจรเต้นแรงขึ้นกว่าที่เคยเป็น นับจากวันที่เจ้าหลวงล้มป่วยลง
“คงจะเป็นเช่นนั้นกระมังเจ้าแม่ ลูกจึงต้องการอยู่กับเจ้าพ่อตามลำพังให้มากที่สุด แล้วลูกก็อยากให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับไปก่อน” เจ้านางหลวงแว่นทิพย์มองหน้าบุตรชายด้วยความประหลาดใจ
“ทำไมหรือเจ้าน้อย เรื่องอาการของเจ้าพ่อเป็นที่สนใจของทุกคนนะลูก ที่สำคัญมันหมายถึงขวัญและกำลังใจด้วย”
“ขอให้ลูกมั่นใจกว่านี้หน่อยเถิดเจ้าแม่ อีกไม่นานนักหรอก”
“ถ้าเจ้าน้อยเห็นสมควรเช่นนั้นก็ตามใจเถิดลูก แค่เจ้าพ่อดีขึ้นแม่ก็ดีใจนักแล้ว” เสียงของเจ้านางหลวงสั่นเครือ ทอดสายตามองร่างของพระสวามีด้วยน้ำตาคลอเอ่อ
แม้เวลาที่เจ้าหลวงล้มป่วยจะไม่นานเป็นปี แต่เหมือนช่างนานเนิ่นเหลือเกินในความรู้สึกของผู้เป็นที่รัก และได้ผ่านการร้องไห้มามากเสียจนแทบไม่มีน้ำตาจะไหล
แต่น้ำตาที่กำลังเอ่อท้นในครั้งนี้ช่างแตกต่าง เพราะมันเต็มไปด้วยความหวังซึ่งถูกจุดขึ้นมาในหัวใจของเจ้านางหลวงแว่นทิพย์อีกครั้ง
*-*-*-*-*-*
ขณะที่เจ้าราชบุตรปิ่นเมือง ใช้เวลาทั้งหมดกับเจ้าหลวงแสนเมืองจาย ฝ่ายกังสดาล หรือ สร้อยแสงดา ในสายตาของคนสีปันจาก็กำลังใช้เวลาทั้งหมดกับการเรียนรู้วิถีแห่ง ‘แม่ญิงสีปันจา’ ทั้งกิริยา มารยาท และการบ้านการเรือน
วันแรกที่สร้อยแสงดาในความเข้าใจของคนในคุ้มหลวงแห่งสีปันจา ได้เข้าไปอาศัยชายคาเรือนของเทวีเจ้าตนย่าจันทรา หญิงชราผู้สูงศักดิ์เห็นว่าเรื่องแรกที่สร้อยแสงดาควรเรียนรู้ก็คือกิริยามารยาทของความเป็นกุลสตรี และการพูดจา
ทำให้กังสดาลได้เรียนรู้อีกเช่นกันว่าคนที่สีปันจาพูดจาน่าเวียนหัวมากแค่ไหน เพราะมีแต่คำว่า ‘เจ้า’ ‘ข้าเจ้า’ ‘ข้าน้อย’ เต็มไปหมด แต่ที่เธอจำได้แม่นยำก็คือผู้หญิงต้องเรียกตัวเองว่า ‘ข้าเจ้า’ และขานรับว่า ‘เจ้า’ กับคนที่มีศักดิ์หรืออายุมากกว่า หญิงสาวจึงตั้งใจว่าจะใช้คำพูดน่าเวียนหัวเหล่านั้นกับผู้หลักผู้ใหญ่น่าเกรงขามอย่างเทวีเจ้าตนย่า เจ้าหลวง เจ้านางหลวงเท่านั้น
เพราะกับคนอื่นๆ ขอเธอพักหายใจหายคอด้วยการเป็นตัวของตัวเองอย่างที่เป็นอยู่นี่เถอะ แม้จะดูเป็นคนแปลกๆ สำหรับที่นี่ไปหน่อย แต่กังสดาลคิดว่าก็ยังดีกว่าอกแตกตายด้วยความอึดอัด เพราะแค่การ ‘เข้า
คอร์สอบรมเป็นแม่ญิงสีปันจา’ก็หนักหนาสำหรับคนนิสัยไม่อยู่สุขอย่างเธอแล้ว
ส่วนในเรื่องการเรียนรู้สิ่งต่างๆ แม้เทวีเจ้าตนย่าจันทราจะไม่ได้ออกโรงสอนเอง แต่ก็มีผู้เชี่ยวชาญในงานแต่ละด้านมาเป็นผู้ฝึกสอน และต้องให้เทวีเจ้าตนย่าคอยตรวจสอบในขั้นตอนสุดท้าย
ตั้งแต่วันแรกนอกเหนือจากเรื่องกิริยามารยาทแล้ว กังสดาลก็ขลุกอยู่กับหม้อข้าวหม้อแกงในครัวเล็กของเรือนที่เธอพักอยู่ทุกวัน จนแทบไม่ได้เงยหน้าไปไหน แต่จนแล้วจนรอดฝีมือการทำอาหารตำรับเวียงสีปันจาของเธอก็ยังไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานของเทวีเจ้าตนย่าจันทราเลย
“แม่นางสร้อยแสงดาเจ้า แกงนี้จะต้องเคี่ยวไฟอ่อนๆ ไปจนครบสี่ชั่วยามนะเจ้า” ผู้เชี่ยวชาญด้าน ‘แกงเคี่ยว’ บรรยายถึงที่มาที่ไปและวิธีปรุงแกงชนิดนี้
ซึ่งเป็นอาหารสำหรับงานเลี้ยงฉลองหรือเทศกาลพิเศษสำหรับเจ้านาย ประกอบไปด้วยเนื้อกับเครื่องเทศหอมประจำเวียงสีปันจาหลายชนิด โดยต้องนำเนื้อมาเคี่ยวไฟอ่อนๆ พร้อมกับเติมเครื่องเทศแต่ละชนิดไปเป็นระยะๆ จนเข้าเนื้อ แล้วทานกับน้ำจิ้มรสดี
“สี่ชั่วยาม?! ก็สี่ชั่วโมงน่ะสิ โอ้... จะเคี่ยวให้ได้โล่หรือยังไงกันเนี่ย” กังสดาลโอดตามประสา จนคนสอนและบัวนวลอดยิ้มกับท่าทางนั้นไม่ได้ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจถ้อยคำที่หญิงสาวพูดนัก แต่ก็เข้าใจอารมณ์นั้นดี
จากนั้นจึงให้กังสดาลทำเองอีกหม้อหนึ่ง โดยมีบัวนวลคอยช่วยเหลือ เริ่มตั้งแต่เตรียมวัตถุดิบจนถึงตั้งหม้อบนเตาที่ปั้นจากดินเผา จุดไฟด้วยถ่าน ใส่เนื้อและเครื่องปรุงต่างๆ ลงไปตามคำแนะนำของผู้สอนทุกขั้นตอน
แล้วจึงมาถึงการเคี่ยว ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญ เพราะต้องใช้ความอดทน รวมทั้งความใส่ใจมากเป็นพิเศษ ต้องกะเวลาที่จะใส่เครื่องเทศชนิดต่างๆ ให้พอเหมาะ เพื่อกลิ่นและรสชาติที่ดี
งานนี้บัวนวลมีหน้าที่แค่ช่วยเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น นั่นเป็นคำสั่งของเทวีเจ้าตนย่าจันทรา เพื่อให้สร้อยแสงดาได้เรียนรู้และทำทุกอย่างด้วยตัวเองอย่างแท้จริง
“บัวนวล เจอท่านเตวินกับท่านนันตาบ้างไหม” จู่ๆ คนที่กำลังใช้ไม้พายคนหม้อแกงเคี่ยวก็คิดไปถึงใครบางคนขึ้นมา จึงถามถึงคนใกล้ชิดของเขา บัวนวลที่กำลังนั่งโขลกเครื่องเทศกลิ่นหอมร้อนแรงอยู่ใกล้ๆ ทำท่าคิด
“ไม่นะเจ้า บัวนวลเองก็มิได้ออกไปนอกเรือนเลย ท่านเตวินกับท่านนันตาเองก็มิได้มาที่เรือนนี้หมือนกันเจ้า”
“งั้นเหรอ แล้วฉันจะทำยังไงดีล่ะเนี่ย” หญิงสาวพูด มือชะงักไปด้วยกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก เพราะอยากรู้เรื่องเจ้าหลวงกับเจ้าราชบุตรแห่ง
สีปันจาแทบขาดใจ
“มีเรื่องอันใดหรือเจ้าแม่นางสร้อยแสงดา ระวังอย่ารามือจากหม้อนะเจ้า เดี๋ยวแกงจะไหม้เอานะเจ้า” บัวนวลถาม พร้อมร้องเตือนในตอนท้ายด้วยความเป็นห่วง
“อุ๊ย! จริงสิ ยิ่งทำอาหารไม่ผ่านอยู่ด้วย มาตรฐานสูงจริงๆ เทวีเจ้าตนย่าจันทราเนี่ย” ว่าแล้วก็รีบหันความสนใจไปยังหม้อแกงตรงหน้าต่อ
“ฉันอยากรู้จัง ว่าตอนนี้เจ้าน้อยปิ่นเมืองเป็นยังไงบ้าง จะไปหาก็ไม่ได้” ไม่วายเปรยขึ้นลอยๆ อีกครั้ง
“แม่นางสร้อยแสงดาคิดถึงเจ้าน้อยหรือเจ้า เจ้าน้อยเองก็คงคิดถึงท่านเช่นกันนะเจ้า ตามประสาคนรักกัน” แต่คนที่ได้ยินกลับเข้าใจไปอีกแบบ
“โอ๊ะ! ไม่ใช่เรื่องนั้น ฉันแค่อยากรู้ว่า... เอ่อ ช่างเถอะ เอาเป็นว่ามีทางไหนบ้างที่ฉันจะได้รู้ข่าวคราวของเขา บัวนวลพอจะถามข่าวเจ้าน้อยจากท่านนันตา หรือท่านเตวินได้บ้างไหม” กังสดาลถามบ่าวคนสนิทในที่สุด
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวบัวนวลจะลองไปหาท่านเตวินกับท่านนันตาดูนะเจ้า แต่ไม่รู้ว่าจะเจอหรือไม่นะเจ้า” บัวนวลรับคำพร้อมขยับตัวลุกขึ้น และก้าวจากไป
เพราะช่วงแรกของการเรียนรู้นี้กังสดาลต้องใช้ชีวิตอยู่ที่เรือนเทวีเจ้าตนย่า จนกว่าจะผ่านการอบรมทุกอย่าง ถึงจะได้รับอนุญาตให้ออกจากเรือนได้ นับว่าเป็นเรื่องเคร่งครัดน่าดู แต่มันเป็นกฎของเรือนนี้ที่ทุกคนต้องทำตาม
ส่วนตัวบัวนวลเองนั้น ผ่านการเรียนรู้นี้ไปแล้วในครั้งที่เข้ามาทำงานในคุ้มตอนแรก และมาตอนนี้บัวนวลก็เป็นเพียงผู้ดูแลรับใช้ของกังสดาลเท่านั้น จึงสามารถไปไหนมาไหนได้ตามสะดวก แม้ปกติจะอยู่ด้วยกันกับ แม่นางสร้อยแสงดา ผู้เป็นเจ้านายตลอดก็ตาม
กังสดาลอยากรู้ความคืบหน้าของการรักษาเจ้าหลวงแสนเมืองจาย เธออยากไปเกาะติดอยู่ข้างเตียงเจ้าหลวงด้วยซ้ำหากทำได้ แต่ก็ต้องอยู่ที่นี่เพื่อเรียนรู้วิชาที่ว่าด้วยการเป็นผู้หญิงสีปันจาอย่างสมบูรณ์แบบ
หญิงสาวไม่ได้รังเกียจสิ่งที่กำลังเรียนรู้อยู่ แต่ใจก็ไม่ได้นิ่งพอจะเข้าใจในทุกสิ่งทุกอย่าง อีกทั้งความคิดที่ว่าอีกไม่นานเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นเธอก็ต้องกลับบ้าน ก็มีส่วนทำให้กังสดาลไม่ใส่ใจบทเรียนแต่ละอย่างเท่าที่ควร หญิงสาวยอมรับว่าตนทำไปส่งเดช ทำไปตามที่สมควรจะทำเท่านั้น
“บัวนวลว่ายังไงบ้าง เจอท่านเตวิน กับท่านนันตาบ้างไหม” พอร่างของบัวนวลโผล่เข้ามาในครัว หญิงสาวก็รีบถามขึ้นทันที
“เจอแต่ท่านเตวินที่แวะมาหาเจ้านางน้อยเมื่อครู่เจ้า ท่านเตวินบอกว่าเจ้าน้อยปิ่นเมืองอยู่ที่เรือนเจ้าหลวงตลอด มิได้กลับเรือนเลยเจ้า” บัวนวลรายงานตามที่ได้รู้มา
“แล้วไม่มีข่าวเกี่ยวกับเจ้าหลวงบ้างเลยเหรอบัวนวล” บ่าวคนสนิทส่ายหน้า
“ไม่มีเจ้า ท่านเตวินไม่ได้พูดถึง พระอาการเจ้าหลวงก็คงยังเหมือนเดิมกระมังเจ้า” พลางคาดเดาด้วยเสียงหมองหม่น เนื่องจากการประชวรของเจ้าฟ้ามหาชีวิตสั่นสะเทือนหัวใจของทุกผู้ทุกคนในสีปันจา บ่าวอย่างบัวนวลเองก็ไม่มีข้อยกเว้น กังสดาลถอนหายใจหนักหน่วง
“แต่นี่วันที่สี่แล้วนะ ไม่ได้การ ฉันต้องหาทางไปหาเจ้าน้อยเสียหน่อยล่ะ” และที่สุดก็ตัดสินใจในตอนท้าย
“แต่แม่นางสร้อยแสงดาออกไปไหนไม่ได้นะเจ้า ถ้ามีสิ่งใดเร่งด่วนก็สั่งบัวนวลมาเถิดเจ้า บัวนวลจะไปทำให้เองเจ้า” บัวนวลพยายามคัดค้านพร้อมเตือนสติด้วยความเป็นห่วง
“เรื่องนี้บัวนวลทำให้ฉันไม่ได้หรอก ฉันจำเป็นต้องไปเองจริงๆ บัวนวลช่วยฉันหน่อยนะ ฉันอยากเจอเจ้าน้อยจริงๆ ” แม้บัวนวลจะคัดค้านแค่ไหน แต่ก็ไม่วายพ่ายแพ้ต่อความมุ่งมั่นอันดื้อดึงของคนเป็นเจ้านายจนได้
*-*-*-*-*-*
ร่างบอบบางในชุดบ่าวรับใช้ชาวสีปันจา ผ้าสีชมพูที่ควรโพกศีรษะกลับถูกใช้คลุมหัวแทน กังสดาลเดินแกมวิ่งมายังเรือนของเจ้าหลวงแสนเมืองจาย ทหารยามด้านหน้าเรือนได้ขวางเอาไว้ก่อนที่จะถึงบันได
“เจ้าเป็นบ่าวของเรือนไหน มาที่นี่ด้วยธุระอันใด” ทหารตัวใหญ่ถือดาบยาวปลายโค้งถามขึ้นด้วยท่าทางขึงขัง
“ฉัน... เอ๊ย! ข้าเจ้ามาจากเรือนเทวีเจ้าตนย่าจันทรา มาหาเจ้าน้อยปิ่นเมืองเจ้า” หญิงสาวพยายามดัดเสียงเป็นสำเนียงสีปันจาอย่างสุดความสามารถ
“แต่เจ้าน้อยไม่อนุญาตให้ใครเข้าพบ เจ้ามีธุระอันใดก็ฝากเอาไว้เถิด แล้วจงกลับเรือนไปเสีย นี่ก็เป็นเวลาเย็นมากแล้วด้วย”
“แต่ว่า... แม่นางสร้อยแสงดาให้ข้าเจ้านำความด่วนมาบอกแก่เจ้าน้อยปิ่นเมืองนะเจ้า” เธอยังไม่ละความพยายามง่ายๆ
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงบอกข้ามาเถิด ข้าจะได้นำความไปบอกให้เจ้าน้อยบัดเดี๋ยวนี้” ทหารเองก็ไม่ยอมเช่นกัน
“ไม่ได้หรอกเจ้า มันเป็นความลับสุดยอด ข้าเจ้าต้องบอกเจ้าน้อยด้วยตัวเองเท่านั้น”
“เอ๊ะ! เจ้านี่พูดไม่รู้เรื่องหรืออย่างไร กลับไปได้แล้ว ไม่เช่นนั้นข้าจะจับตัวเจ้าโยนออกไปเสียเดี๋ยวนี้” เสียงของทหารดังขึ้นอย่างข่มขู่แกมรำคาญ แต่ก็ต้องชะงัก...
“เอะอะอะไรกัน ข้างล่างนั่นมีอะไรกันหรือ” เสียงคุ้นเคยที่ดังมาทำให้กังสดาลถึงกับหูผึ่ง พอเงยหน้าขึ้นไปมองก็เห็นร่างสง่างามคุ้นตายืนอยู่ตรงหัวบันไดเรือน
“เจ้าน้อยปิ่นเมือง! เจ้าน้อย ฉันเองนะ” หญิงสาวตะโกนพลางกระโดดโบกไม้โบกมืออยู่ข้างล่างเหย็งๆ ก่อนจะดึงผ้าคลุมหัวออก ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะจำไม่ได้
“สร้อยแสงดา นี่เจ้า... ” เจ้าราชบุตรหนุ่มร้องขึ้นด้วยความแปลกใจ
“ปล่อยนางขึ้นมาเถิด เราอนุญาต” ก่อนจะโบกมือให้ทหารที่มีท่าทางงุนงงและหวาดหวั่น เมื่อเห็นว่าบ่าวหญิงที่ตนตะคอกใส่เมื่อครู่ แท้จริงเป็นคนสำคัญของเจ้าน้อย