ประเดิมนิยายเรื่องแรกที่อัพในพันทิป เรื่องกามเทพเฮี้ยนเพี้ยนรัก ตอนแรก

พอดีว่ามีเพื่อนนักเขียนท่านหนึ่ง มาเล่าให้ฟังว่า ในพันทิปจะมีกลุ่มนักอ่านที่หลากหลายมาก หากเราอยากรู้ว่า ผลงานที่เราสร้างสรรอยู่ ณ ขณะนี้ ดีพอ หรือมีจุดบกพร่องที่ไหน ก็ให้เอามานำเสนอในพันทิบ...บอกตรงๆ...รู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะนี่คือครั้งแรก...ไม่รู้ผลตอบรับจะเป้นอย่างไร ไม่รู้ว่า เขาตั้งกระทู้กันแบบไหน และไม่รู้ว่าเข้าถูกห้องหรือเปล่า (คือเข้าห้องนักเขียนแหละ แต่กลัวมันจะเด้งไปห้องอื่น)...
เอาเป็นว่า ลองมาอ่านบทแรกกันก่อนเลยนะคะ สำหรับนิยาย ที่ใช้เวลาเขียนนานจวนจะ2 ปี บางที ที่นี่อาจมีเชื้อเพลิงให้คนเขียนกลับมีไฟลุกโชติช่วงขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นได้....

มาว่ากันที่ตอนแรกก็แล้วกัน

กามเทพเฮี้ยน เพี้ยนรัก               โดยทองหลาง
1
    
    เอี๊ยด....โครม....
เสียงวัตถุชิ้นมหึมาที่กำลังเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงกระแทกเข้าเต็มแรงกับต้นไม้ใหญ่ข้างทาง จนเกิดสภาพบุบบู้บี้ ควันลอยโขมงออกจากกระโปรงหน้า บางชิ้นส่วนกระเด็นกระดอนกระจัดกระจายเกลื่อนพื้น เสียงเครื่องยนต์ยังคงดังกระหึ่มไม่ดับไปเหมือนสภาพรถที่ไม่อาจนำกลับมาซ่อมใช้งานได้อีก นอกเสียจากส่งขายเป็นเศษเหล็ก

“อือ...อือ...ชะ...ชะช่วย...ด้วย” เสียงแผ่วๆ หลุดออกมาได้เป็นช่วงๆ ตามเรี่ยวแรงที่เจ้าตัวพยายามรวบรวมเปล่งออกมาเพื่อระบายความเจ็บปวด

ท่ามกลางเขาสูงและทุ่งโล่งกว้างห่างไกลบ้านเรือนและผู้คน ชะตาชีวิตหนึ่งที่อยู่ภายในซากรถ คงต้องขึ้นอยู่กับพรหมลิขิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“เฮ้อ...พี่ขวัญ นั่นอะไรน่ะ” เสียงเด็กหนุ่มร้องถามด้วยอาการตกใจ

สวรรค์ยังเข้าข้างหรือเพราะมีบุญบารมีหลงเหลือพอให้ที่เปลี่ยวแห่งนั้นพลันมีบุคคลเดินผ่านทางไปพบ

“เห็นๆอยู่ไม่น่าถาม...” มองจากสภาพรถที่หาชิ้นดีไม่ได้ขนาดนั้นแล้วสภาพของผู้โดยสารที่อยู่ภายในเล่าจะสาหัสสักแค่ไหน “เร็วเข้าพงศ์รีบไปดูกัน...เผื่อคนในรถจะยังรอด” คนเอ่ยชวนรีบวิ่งไปก่อนที่จะพูดจบประโยคซะด้วยซ้ำ

“เจ้าพงศ์ เร็วๆเข้า รีบมาช่วยกันทางนี้ เร็ว”
เสียงร้องตะโกนดังก้องไปทั้งหุบเขา เมื่อพบว่าภายในตัวเก๋งยังมีอีกหนึ่งร่างเลือดโทรมกาย ลมหายใจรวยริน ฟุบอยู่กับพวงมาลัยรถ...ทว่าคนที่ยังติดอยู่ในซากรถกลับได้ยินแผ่วเบา ราวเสียงนั้นมีต้นกำเนิดอยู่ ณ ที่ไกลแสนไกล

“ตายหรือยังพี่” เสียงหนึ่งถามขึ้นอย่างร้อนรน เมื่อวิ่งตามมาดูใกล้ๆ

“ยัง...นิ้วเขายังขยับอยู่”

“พี่ผมเห็นน้ำมันรั่วนองเต็มพื้นเลย”

“เร็วเข้าช่วยกันงัดประตู ดึงคนออกมาให้ได้ ก่อนรถมันจะระเบิด”

“พี่ขวัญ ไฟลุกแล้ว” เสียงร้องบอกด้วยความตกใจดังขึ้น “จะไม่ทันแล้ว!”

“ต้องทันสิ...เร็วเจ้าพงศ์ ช่วยกันดึงแรงๆ...”

ตูม...ตูม...

เสียงระเบิดดังกึกก้อง ทั้งแผ่ประกายความร้อนจากเปลวเพลิงที่กำลังลุกโชติช่วงท่วมรถหรูราคาเฉียดล้านทั้งคัน

“โอ๊ยๆ หวาดเสียว...โชคดีเป็นบ้าที่ไม่โดนสะเก็ดระเบิด” พงศ์ลูบเนื้อลูบตัวตรวจเช็กร่างกาย ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ายังมีอีกคนที่เขาต้องห่วง “พี่ขวัญๆ เป็นอะไรหรือเปล่า”

“ฉันไม่เป็นไร แต่อาการของป้าคนนี้น่าเป็นห่วง ดูท่าจะหนักเอาการ...พงศ์แกวิ่งกลับไปที่บ้านนะ ไปบอกพ่อให้เอารถมาที่นี่ด่วน เราจะพาคนเจ็บไปส่งโรง’บาล”

ทันทีที่สิ้นคำสั่งของพี่สาว พงศ์ก็ใส่เกียร์หมาโกยแนบกลับไปบ้านอย่างไม่คิดชีวิตด้วยกลัวว่าหากช้าไปแม้เพียงวินาที อาจต้องสูญเสียชีวิตอีกหนึ่งชีวิตไปอย่างที่ไม่อาจเรียกเวลาให้ย้อนกลับมาแก้ไขได้อีก

“คุณคะคุณ...ทำใจดีๆ ไว้นะคะ อดทนไว้” หญิงสาวผู้ถูกขานนามว่าพี่ขวัญเขย่าร่างอ่อนระทวย ทว่าไร้การตอบสนอง มีเพียงหยาดน้ำใสๆ ที่ไหลรินออกมาจากหางตาเท่านั้น

ร่างกายเจ็บปวดราวร้าวดั่งจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ไร้เรี่ยวแรงที่จะขยับเขยื้อน ลมหายใจเริ่มติดขัด มโนภาพในอดีตผุดขึ้นมากมายรวดเร็ว ราวกับหนังม้วนใหญ่ที่ถูกรีเพลย์ย้ำเตือนความถูกผิดที่เคยกระทำครั้งในอดีต...แล้วก็มาหยุดลงตรงบางสิ่งที่เรียกว่า...ห่วง...ทั้งๆที่รู้ดีว่าหากสิ่งนี้เกิดขึ้นในจิตขณะใกล้หมดลมหายใจเมื่อใดแล้ว เมื่อนั้นการเดินทางไกลในครั้งสำคัญที่สุด จะเป็นไปอย่างไม่สงบสุข

“หนูช่วยฉันด้วย...ฉันยังมีเรื่องต้องทำอีกมากมาย ฉันยังตายตอนนี้ไม่ได้” เสียงแผ่วที่ต้องการบอกบางสิ่ง ไม่สามารถหลุดพ้นออกมาจากริมฝีปากที่เคลือบด้วยลิปสติกสีแดงสดนั้นได้แม้แต่พยางค์เดียว


ในสภาวะเหมือนหยุดนิ่งอยู่กับที่ แต่ในความเป็นจริงกลับคือการพุ่งทะยานฝ่าปุยเมฆไปในอากาศ...

“อา...”

ชายหนุ่มเลื่อนมือลูบไล้ไปตามช่วงขาเรียวเนียนนิ่มนุ่มเย็น ที่แยกออกเปิดทางให้เขาโดยสัญชาตญาณ สะโพกกลมกลึงแอ่นเบียดเสียดสีปลายนิ้วที่ลากขึ้นวนรอบส่วนกลางลำตัว เลื่อนใบหน้าต่ำลงครอบครองปลายยอดสีชมพู ตวัดลิ้นดูดดื่ม จูบซับอย่างกระหาย ก่อนจะย้ายไปเย้ายวนหยอกล้ออีกข้างให้ขมวดเกลียวแน่นแข็งเป็นไตชูชันท้าทายริมฝีปากร้อนชื้นที่พร้อมจะกลืนกินดอกไม้สวรรค์อันหอมหวานตรงหน้า

“อืม...อา...” เธอครางกระเส่า เมื่ออารมณ์ถูกกระตุ้นเร้าจนเกือบถึงจุดสูงสุด

ร่างสูงใหญ่สั่นระริก ไม่อาจต้านทานความกระหายหิวร้อนแรง เขากำลังจะได้ครอบครองเรือนร่างงดงาม...ทั้งหมดนี้จะเป็นของเขา และจะต้องเป็นของเขาเพียงผู้เดียว...

ข้อมือเล็กทั้งสองข้างถูกตรึงไว้เหนือศีรษะแนบจมลงบนที่นอนนุ่ม ด้วยมือใหญ่กว่าเพียงข้างเดียว...ก่อนส่งบางอย่างล้วงล้ำพุ่งเข้าสู่ร่างเธอ อย่างช้าๆ นุ่มนวล และระวังที่สุดเท่าที่เขาเคยปฏิบัติกับผู้หญิงคนไหนๆ เมื่อผ่านช่องทางอันคับแคบ กอดรัด ทว่านุ่มและอบอุ่น จนกระทั่งถึงสิ่งกีดขวางเสมือนม่านบางๆขวางกั้น

“โอ...พระเจ้า...เป็นไปได้หรือนี่... เธอยัง...บริสุทธิ์...”

“เฮ้อ...”

หนังสือเล่มหนาถูกพับปิดพลางถอนหายใจเฮือก เมื่อวางหนังสือไว้บนอก หากสังเกตดูดีๆ จะพอเห็นใบหน้าแดงระเรื่อเหมือนคนเพิ่งตากแดดจัดๆ คนที่เผลอมองคงต้องสงสัย ในเมื่อสถานที่ที่เขานั่งอยู่ แสงแดดไม่อาจโลมเลียผิวเขาได้แม้ปลายเล็บ มิหนำซ้ำ ยังเย็นฉ่ำด้วยเครื่องปรับอากาศ แต่หากเหลือบดูชื่อและภาพปกหนังสือในอ้อมกอดที่เขาอ่านก็คงพอจะเดาได้ว่าทำไมใบหน้าของเขาถึงมีอาการเช่นนั้น

เจ้าของกอดกระชับหนังสือเล่มหนาราวกับว่ามันสามารถให้ความอบอุ่น บรรเทาความอ้างว้างของหัวใจในขณะนี้ เมื่อเอนตัวพิงพนักเก้าอี้พลางหลับตาอย่างเหนื่อยล้า เหมือนเพิ่งเดินทางรอนแรมมาจากที่ไกลแสนไกล...

ใช่แล้ว...เขากำลังเดินทางมาจากที่ไกลแสนไกลเพื่อกลับบ้าน ทว่าความเหนื่อยล้าที่มีไม่ได้เกิดจากการเดินทางเลยแม้แต่น้อย แต่มันเกิดขึ้นในหัวใจ...หัวใจที่รับรู้ว่าได้สูญเสียบุคคลที่สำคัญที่สุดในชีวิตไปอย่างไม่มีวันกลับ...คงเหลือไว้แต่ความทรงจำกับหนังสืออันเป็นผลงานเรื่องสุดท้ายที่ถูกส่งมาให้เขาก่อนหน้าเหตุการณ์อันเลวร้ายจะเกิดขึ้นเพียงไม่กี่เดือน...

นิยายแนวอีโรติก พรสวรรค์อันบรรเจิดของนามปากกา ทิพย์ราตรี ที่สร้างสรรค์กลั่นกรองออกสู่สายตานักอ่านขายดิบขายดีจนเป็นหนึ่งในนามปากกาที่น้อยคนนักจะไม่รู้จัก ทว่ามันกลับเป็นหนังสือที่เขาไม่เคยคิดที่จะหยิบขึ้นมาอ่าน จนกระทั่งถึงวันนี้ วันที่เขาได้รับรู้ถึงความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้งในชีวิต

“จะรับเครื่องดื่มอะไรเพิ่มเติมไหมคะ” แอร์โอสเตสสาวสวย เข็นรถบรรจุเครื่องดื่มนานาชนิดเข้ามาถาม ปลุกผู้โดยสารหนุ่มรูปงามให้เปิดเปลือกตาขึ้นมาอีกครั้ง

หนังสือที่กอดอยู่กับอกถูกลดลงวางบนตัก ทั้งพลิกซ่อนปกภาพวาดหวือหวาตามแนวงานเขียนของผู้ประพันธ์ให้พ้นสายตาหญิงสาวที่เหลือบลงมองพลางอมยิ้ม ดวงตาของเธอวาววับกับความคิดซุกซนที่ผุดขึ้นในหัว เมื่อสบตาผู้โดยสารหนุ่มมาดนักธุรกิจผู้มีใบหน้าหล่อเหลาสะดุดตา

“ขอวิสกี้สักแก้วก็ดีครับ” ชายหนุ่มบอกอย่างสุภาพ และขอบคุณเมื่อได้ในสิ่งที่ต้องการ

“ถ้าต้องการอะไรเพิ่มเติมอีก บอกได้นะคะ” เธอยิ้มหวานให้เขา เพื่อหวังจะได้รับยิ้มตอบ แต่นั่นก็เป็นได้เพียงแค่ความหวังเท่านั้น

“ขอบคุณครับ” จิบวิสกี้ในมือแล้ว ก็เอนกายลงพิงพนักก้าวอี้หลับตาต่อ ตัดขาดความสนใจทุกสิ่งที่อยู่รอบกายไปสิ้น แม้กระทั่งเสียงเข็นรถเครื่องดื่มที่ดังห่างออกไป
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่