เพราะการท่องเที่ยวเป็นการเติมพลังให้ชีวิต
แต่เมื่อก่อนนี้ ทุกครั้งที่ผมไปเที่ยวเป็นอันต้องกินกระจายตัวอ้วนกลับมาตลอด
ผมมีไปทริปที่ญี่ปุ่นวันที่ 15-18 ที่ผ่านมา ซึ่งช่วงนี้ผมโฟกัสการลดน้ำหนักฟิตหุ่นอยู่ด้วย
เลยต้องคิดว่าจะบาลานซ์กันยังไงให้เวลาไปเที่ยวยังตักตวงความสุขได้แต่หุ่นไม่พัง
พอเที่ยวกลับมาแล้วเลยทำสรุปวิธีที่ใช้มา เอามาเล่าให้อ่านกันครับ
1. ก่อนขึ้นเครื่องควรเตรียมน้ำท่าให้พร้อม ทานอาหารให้อิ่ม
เผื่อบนเครื่องเสิร์ฟอาหารช้าจะได้ไม่หิวโหย
อาหารที่ให้มาจะได้ไม่ต้องจำใจกินทุกสิ่ง
ให้โอกาสตัวเองได้เลือกไม่ใช่จำยอมต้องกินเพราะหิว
2. เวลาพักโรงแรมมักมีบุฟเฟต์อาหารเช้าให้
ผมคิดว่าบุฟเฟต์คือการเปิดโอกาสให้เลือกกิน ไม่ใช่กินท้องแตก
ผมเลยเลือกตักให้อาหารให้ครบทุกหมู่ เน้นโปรตีนและเลือกคาร์บที่ดี
และไม่ตักอาหารที่รู้ว่าทำลายสุขภาพของเรา
จะเห็นว่าผมเลือกกินสลัดมันกับขนมปังธัญพืชแทนข้าวขาวที่มักมากับอาหารเซตในมื้ออื่นๆ แบบเลี่ยงไม่ได้
3. ผ่อนปรนระดับความเข้มงวดลง
กินขนมหรืออาหารประจำที่ๆ เราไป เพราะไม่ใช่ว่าจะกินได้บ่อยๆ
แต่ถ้าลองชิมแล้วไม่อร่อยก็อย่าฝืนกินเพราะความเสียดาย
จะแหกกฏทั้งทีก็ควรคุมค่า แต่ไม่ใช่ว่าอร่อยแล้วจะต้องกินประหนึ่งว่านี่คือมื้อสุดท้ายของชีวิต
บางอย่างอร่อยสุดๆ แล้วซื้อมาเยอะก็ไม่ต้องกินหมดทันทีที่ซื้อ
อะไรเก็บได้ก็เก็บไว้ทะยอยกินวันหลังหรือกินตอนหิวระหว่างนั่งรถเพื่อกระจายการรับพลังงานตลอดทริป
ข้อสังเกต ผมไม่ค่อยอยากกินขนมหวานมากเหมือนทริปก่อนๆ (ซึ่งผมก็ไม่ซื้อถ้าไม่อยากกินนะครับ)
อาจเป็นเพราะร่างกายได้สารอาหารเพียงพอจนไม่อยากหรืออาจเป็นเพราะการทำจนติดเป็นนิสัยไปแล้วก็ได้ครับ
4. จะน้อยจะมากก็จัดเวลาออกกำลังกาย
ผมคิดว่าเราทำน้อยก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย
วันที่ไป ผมมีเพื่อนออกวิ่งตอนเช้าด้วยกันแก๊งค์นึง (แปลว่าคนสนใจสุขภาพเพิ่มขึ้นจริงๆ นะครับ)
มีน้องอีกคนตื่นสายแต่ก็ยังจะวิ่งสัก 20 นาที
วันอื่นผมไม่มีแรงตื่นเช้า ต้องวุ่นออกไปชอปปิ้งทั้งวัน
ผมก็ทำบอดี้เวทจากภาพวิธีการบอดี้เวทที่หาเตรียมไว้ก่อนเดินทางระหว่างรอเพื่อนอาบน้ำเก็บของอยู่ในห้อง
ท่าที่ทำก็ไม่ต้องทำมันครบทุกท่า แต่เลือกทำให้ครบทุกส่วน
5. เวลาไปเที่ยวผมมักมีอาการท้องผูก ขับถ่ายไม่ปกติ
ผมเลยพยายามหาอาหารที่มีกากใยประกอบทุกมื้อเพื่อช่วยให้ขับถ่ายดี
และยังคงเน้นโปรตีนเป็นหลักในทุกมื้อ และไม่กินของมันของทอด
แต่ถ้ามื้อไหนหลุดไม่ได้ตามตั้งใจก็ปล่อยมันไป
เพราะเราไม่ได้อ้วนขึ้นจากอาหารมื้อเดียวแต่เกิดจากพฤติกรรมที่ทำสะสมมา
เช้าวันก่อนกลับเลยลองถ่ายรูปเช็คร่างกายหลังกินอาหารเช้า
จะเห็นว่าไม่ได้อ้วนขึ้น แถมยังมี V ที่ชัดขึ้นกลับบ้าน
อันนี้ไม่รู้ว่าแอบเข้าข้างตัวเองรึเปล่า
6. ลิ้มรสของความสุข ตักตวงช่วงเวลานี้ให้เต็มที่
ผมเป็นคนนึงที่อยากหุ่นดีเพราะอยากแต่งตัวหล่อๆ เท่ๆ กับเค้าบ้าง
เวลาไปเที่ยวเลยถือเป็นโอกาสดีที่จะได้เต็มที่กับชีวิต
วันชอปปิ้งก็เลยแต่งตัวจัดไปให้สะใจ เพื่อเป็นรางวัลที่คุ้มค่ากับความพยายามที่สร้างมา
จงอิ่มเอมเพื่อให้มีกำลังใจฟิตต่อไป
และนี่คือผลจากการชั่งวัดเปรียบเทียบก่อนไปเที่ยวกับกลับมาจากเที่ยว
วัดหลังจากออกกำลังกายเสร็จทั้งหมดเหมือนกัน
อ้างอิงจากการวัดคำนวณแบบ Alhletic นะครับ
น้ำหนักเพิ่มขึ้น 0.1 kg จาก 66.2 เป็น 66.3 kg
แต่ๆๆ
มวลไขมันลดลง 0.5 kg จาก 5.9 เป็น 5.4 kg
มวลกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น 0.5 kg จาก 57.2 เป็น 57.7 kg
เอ๊ะ!!! น้ำหนักเพิ่มมาจากไหน เพราะไขมันกับกล้ามเนื้อเพิ่มลดก็ชดเชยกันหนิ
พอเหลือบมามองมวลกระดูก เพิ่มขึ้น 0.1 kg จาก 3.1 เป็น 3.2 kg
ดังนั้น สิ่งที่ผมตีความหมายการชั่งวัด
มวลกระดูกเพิ่มขึ้น ผมคิดว่าเป็นความคาดเคลื่อนของประสิทธิภาพตัวเครื่องชั่ง
และค่าอื่นๆ ก็เช่นกัน ผมเลยไม่ให้ความสำคัญกับตัวเลขมากมาย
เพียงแค่ดูว่าน้ำหนักไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่ ไขมันลดลง กล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น
เป็นการตอกย้ำเรื่องของการสร้างกล้ามเนื้อเพื่อช่วยในเรื่องการเผาผลาญตลอดเวลา
และการควบคุมอาหารอย่างสม่ำเสมอช่วยให้ไม่สะสมไขมันใหม่แต่จะนำสารอาหารไปซ่อมสร้างกล้ามเนื้อให้เวลาพักครับ
ถ้าเพื่อนๆ คนไหน มีทริกดีๆ ที่ใช้อยู่ มาแนะนำกันด้วยนะครับ
เผื่อทริปหน้าผมจะได้ทำตามบ้างครับ
123 Change!!! - ลดความอ้วนฟิตหุ่นกันอย่างไรตอนไปเที่ยว
แต่เมื่อก่อนนี้ ทุกครั้งที่ผมไปเที่ยวเป็นอันต้องกินกระจายตัวอ้วนกลับมาตลอด
ผมมีไปทริปที่ญี่ปุ่นวันที่ 15-18 ที่ผ่านมา ซึ่งช่วงนี้ผมโฟกัสการลดน้ำหนักฟิตหุ่นอยู่ด้วย
เลยต้องคิดว่าจะบาลานซ์กันยังไงให้เวลาไปเที่ยวยังตักตวงความสุขได้แต่หุ่นไม่พัง
พอเที่ยวกลับมาแล้วเลยทำสรุปวิธีที่ใช้มา เอามาเล่าให้อ่านกันครับ
1. ก่อนขึ้นเครื่องควรเตรียมน้ำท่าให้พร้อม ทานอาหารให้อิ่ม
เผื่อบนเครื่องเสิร์ฟอาหารช้าจะได้ไม่หิวโหย
อาหารที่ให้มาจะได้ไม่ต้องจำใจกินทุกสิ่ง
ให้โอกาสตัวเองได้เลือกไม่ใช่จำยอมต้องกินเพราะหิว
2. เวลาพักโรงแรมมักมีบุฟเฟต์อาหารเช้าให้
ผมคิดว่าบุฟเฟต์คือการเปิดโอกาสให้เลือกกิน ไม่ใช่กินท้องแตก
ผมเลยเลือกตักให้อาหารให้ครบทุกหมู่ เน้นโปรตีนและเลือกคาร์บที่ดี
และไม่ตักอาหารที่รู้ว่าทำลายสุขภาพของเรา
จะเห็นว่าผมเลือกกินสลัดมันกับขนมปังธัญพืชแทนข้าวขาวที่มักมากับอาหารเซตในมื้ออื่นๆ แบบเลี่ยงไม่ได้
3. ผ่อนปรนระดับความเข้มงวดลง
กินขนมหรืออาหารประจำที่ๆ เราไป เพราะไม่ใช่ว่าจะกินได้บ่อยๆ
แต่ถ้าลองชิมแล้วไม่อร่อยก็อย่าฝืนกินเพราะความเสียดาย
จะแหกกฏทั้งทีก็ควรคุมค่า แต่ไม่ใช่ว่าอร่อยแล้วจะต้องกินประหนึ่งว่านี่คือมื้อสุดท้ายของชีวิต
บางอย่างอร่อยสุดๆ แล้วซื้อมาเยอะก็ไม่ต้องกินหมดทันทีที่ซื้อ
อะไรเก็บได้ก็เก็บไว้ทะยอยกินวันหลังหรือกินตอนหิวระหว่างนั่งรถเพื่อกระจายการรับพลังงานตลอดทริป
ข้อสังเกต ผมไม่ค่อยอยากกินขนมหวานมากเหมือนทริปก่อนๆ (ซึ่งผมก็ไม่ซื้อถ้าไม่อยากกินนะครับ)
อาจเป็นเพราะร่างกายได้สารอาหารเพียงพอจนไม่อยากหรืออาจเป็นเพราะการทำจนติดเป็นนิสัยไปแล้วก็ได้ครับ
4. จะน้อยจะมากก็จัดเวลาออกกำลังกาย
ผมคิดว่าเราทำน้อยก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย
วันที่ไป ผมมีเพื่อนออกวิ่งตอนเช้าด้วยกันแก๊งค์นึง (แปลว่าคนสนใจสุขภาพเพิ่มขึ้นจริงๆ นะครับ)
มีน้องอีกคนตื่นสายแต่ก็ยังจะวิ่งสัก 20 นาที
วันอื่นผมไม่มีแรงตื่นเช้า ต้องวุ่นออกไปชอปปิ้งทั้งวัน
ผมก็ทำบอดี้เวทจากภาพวิธีการบอดี้เวทที่หาเตรียมไว้ก่อนเดินทางระหว่างรอเพื่อนอาบน้ำเก็บของอยู่ในห้อง
ท่าที่ทำก็ไม่ต้องทำมันครบทุกท่า แต่เลือกทำให้ครบทุกส่วน
5. เวลาไปเที่ยวผมมักมีอาการท้องผูก ขับถ่ายไม่ปกติ
ผมเลยพยายามหาอาหารที่มีกากใยประกอบทุกมื้อเพื่อช่วยให้ขับถ่ายดี
และยังคงเน้นโปรตีนเป็นหลักในทุกมื้อ และไม่กินของมันของทอด
แต่ถ้ามื้อไหนหลุดไม่ได้ตามตั้งใจก็ปล่อยมันไป
เพราะเราไม่ได้อ้วนขึ้นจากอาหารมื้อเดียวแต่เกิดจากพฤติกรรมที่ทำสะสมมา
เช้าวันก่อนกลับเลยลองถ่ายรูปเช็คร่างกายหลังกินอาหารเช้า
จะเห็นว่าไม่ได้อ้วนขึ้น แถมยังมี V ที่ชัดขึ้นกลับบ้าน
อันนี้ไม่รู้ว่าแอบเข้าข้างตัวเองรึเปล่า
6. ลิ้มรสของความสุข ตักตวงช่วงเวลานี้ให้เต็มที่
ผมเป็นคนนึงที่อยากหุ่นดีเพราะอยากแต่งตัวหล่อๆ เท่ๆ กับเค้าบ้าง
เวลาไปเที่ยวเลยถือเป็นโอกาสดีที่จะได้เต็มที่กับชีวิต
วันชอปปิ้งก็เลยแต่งตัวจัดไปให้สะใจ เพื่อเป็นรางวัลที่คุ้มค่ากับความพยายามที่สร้างมา
จงอิ่มเอมเพื่อให้มีกำลังใจฟิตต่อไป
และนี่คือผลจากการชั่งวัดเปรียบเทียบก่อนไปเที่ยวกับกลับมาจากเที่ยว
วัดหลังจากออกกำลังกายเสร็จทั้งหมดเหมือนกัน
อ้างอิงจากการวัดคำนวณแบบ Alhletic นะครับ
น้ำหนักเพิ่มขึ้น 0.1 kg จาก 66.2 เป็น 66.3 kg
แต่ๆๆ
มวลไขมันลดลง 0.5 kg จาก 5.9 เป็น 5.4 kg
มวลกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น 0.5 kg จาก 57.2 เป็น 57.7 kg
เอ๊ะ!!! น้ำหนักเพิ่มมาจากไหน เพราะไขมันกับกล้ามเนื้อเพิ่มลดก็ชดเชยกันหนิ
พอเหลือบมามองมวลกระดูก เพิ่มขึ้น 0.1 kg จาก 3.1 เป็น 3.2 kg
ดังนั้น สิ่งที่ผมตีความหมายการชั่งวัด
มวลกระดูกเพิ่มขึ้น ผมคิดว่าเป็นความคาดเคลื่อนของประสิทธิภาพตัวเครื่องชั่ง
และค่าอื่นๆ ก็เช่นกัน ผมเลยไม่ให้ความสำคัญกับตัวเลขมากมาย
เพียงแค่ดูว่าน้ำหนักไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่ ไขมันลดลง กล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น
เป็นการตอกย้ำเรื่องของการสร้างกล้ามเนื้อเพื่อช่วยในเรื่องการเผาผลาญตลอดเวลา
และการควบคุมอาหารอย่างสม่ำเสมอช่วยให้ไม่สะสมไขมันใหม่แต่จะนำสารอาหารไปซ่อมสร้างกล้ามเนื้อให้เวลาพักครับ
ถ้าเพื่อนๆ คนไหน มีทริกดีๆ ที่ใช้อยู่ มาแนะนำกันด้วยนะครับ
เผื่อทริปหน้าผมจะได้ทำตามบ้างครับ