สืบรักจับหัวใจเอฟบีไอ [yaoi] บทที่ 5 ตบตา - บทที่ 6 รอยสัก

กระทู้สนทนา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

บทที่ 5 ตบตา

              ข้อดีของการเดินทางช่วงเช้าตรู่ในเมืองคือ ยวดยานพาหนะยังไม่มากนัก ถนนหนทางจึงค่อนข้างโล่งทำให้การเดินทางเป็นไปอย่างสะดวก ใช้เวลาไม่ถึงห้านาที รถยนต์ของไซรัสก็มาจอดนิ่งอยู่หน้าร้านกาแฟของปีเตอร์ เนื่องจากยังเช้าอยู่มาก เขาจึงจำต้องนั่งรออีกหน่อยจนกระทั่งถึงเวลา เมื่ออเล็กซ์เดินมาเปิดม่าน ปลดล็อคประตูชายหนุ่มจึงลงจากรถ เข้าไปเป็นลูกค้าคนแรกของร้าน

              เสียงกริ๊งจากกระดิ่งที่แขวนไว้เหนือทางเข้าทำให้อเล็กซ์รีบเอ่ยคำเชิญ หันไปมองพร้อมส่งยิ้ม พอเห็นว่าเป็นไซรัส รอยยิ้มตามแบบฉบับของพนักงานต้อนรับก็เปิดกว้างมากกว่าเก่า ซึ่งเจ้าตัวเองไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมถึงต้องทำแบบนั้นด้วย

              “อรุณสวัสดิ์ครับคุณไซรัส” เขาเอ่ยทักอย่างสุภาพโดยไม่มีการส่งสายตามองออกไปนอกร้านเพื่อดูว่ามีสมาชิกคนอื่นตามมาด้วยหรือไม่เหมือนทุกครั้ง ยืนรอจนกระทั่งลูกค้าคนพิเศษหาที่นั่งได้จึงวางเมนูไว้ตรงหน้า แต่ปากกลับถาม

              “รับเหมือนเดิมหรือเปลาครับ”

              ไซรัสเหลือบตาไปยังกระเป๋าเป้ที่วางไว้ข้างเคาท์เตอร์ก่อนตวัดกลับมาพิจารณาคนตรงหน้า จากลักษณะการแต่งตัวที่ดูต่างจากเมื่อวานตอนเช้าทำให้พอจะเดาได้ว่า อเล็กซ์ตื่นนานแล้วและกำลังจะออกไปมหาวิทยาลัย

              “วันนี้มีเรียนเช้าหรือ” ถามทั้งที่รู้ดีอยู่แก่ใจ อเล็กซ์พยักหน้ารับ

              “ครับ ผมมีรายงานกลุ่มเลยต้องออกเร็วกว่าทุกวัน” เขาหยิบเมนูที่อีกฝ่ายไม่สนใจเลยแม้แต่น้อยขึ้นมา “ตกลงคุณจะรับเหมือนเมื่อวานใช่ไหมครับ”

              ไซรัสผงกศีรษะแทนคำตอบ พอเด็กหนุ่มหมุนตัวเพื่อไปเตรียมอาหารตามสั่งเขาก็ถือโอกาสมองตาม วันนี้อเล็กซ์อยู่ในชุดกางเกงยีนกับเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินค่อนไปทางเขียวคล้ายสีของน้ำทะเล แต่ไม่มีผ้ากันเปื้อนคาดทับเอาไว้เหมือนทุกครั้ง ทำให้เรือนร่างที่ดูสมส่วนน่ามองมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะสะโพกที่แน่นกระชับ เห็นแล้วเกิดอาการคันมืออยากจะเข้าไปขยำเล่นให้หนำใจ

              ไซรัสสะดุ้งกับความคิดนั้น กระแอมออกมาเบา ๆ เพื่อไล่มันออกจากหัวแต่ไม่สำเร็จ เพราะดูเหมือนตอนนี้บั้นท้ายของเด็กหนุ่มกำลังลอยอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว

          จังหวะที่กำลังจินตนาการภาพชวนให้ใจวาบหวิว เขาเห็นอเล็กซ์พูดอะไรบางอย่างกับปีเตอร์ด้วยสีหน้าที่ดูจริงจัง จากที่ฟังเมื่อครู่เด็กหนุ่มกำลังจะออกจากบ้านเพื่อไปมหาวิทยาลัย ดังนั้นคงไม่มีเวลาทำมื้อเช้าให้เขาเหมือนเมื่อวานและคงกำลังไหว้วานให้ปีเตอร์เป็นคนลงมือ เอฟบีไอหนุ่มคิดพลางถอนใจเบา ๆ อย่างผิดหวัง วันนี้เขาคงอดลิ้มรสไข่เบเนดิกต์ฝีมืออเล็กซ์แล้ว  

              เสียงกระดิ่งทำให้รู้ว่ามีลูกค้าเข้าร้าน อเล็กซ์ซึ่งกำลังประคองถาดชาออกมาจึงส่งยิ้มให้พร้อมกับเอ่ยทัก

              “อรุณสวัสดิ์ครับคุณบิ๊กฟุต”

              เป็นสมญานามที่แปลกดี ไซรัสคิดและนึกเลยไปอีกว่าคงเป็นลูกค้าประจำไม่เช่นนั้นแล้วคนในร้านคงไม่กล้าละลาบละล้วงเรียกแบบนั้น พอเหลือบตามองเขาก็ร้องอ้อในใจเพราะนายบิ๊กฟุตที่ว่าคือชายตัวโตที่เห็นเมื่อวาน ด้วยนิสัยอยากรู้ชายหนุ่มจึงลดตาลงมองรองเท้าและรู้ที่มาของฉายาในทันที

              “ขอกาแฟดำไม่ใส่น้ำตาล” เสียงทุ้มห้าวกล่าวออกมาค่อนข้างดัง อเล็กซ์หันไปส่งยิ้มให้

              “รอสักครู่นะครับ” เขาวางถ้วยชาให้ไซรัส สบตาพร้อมกับยิ้มให้ในลักษณะที่ชายหนุ่มคิดเอาเองว่า คนละแบบกับที่ทำกับนายบิ๊กฟุต ก่อนเดินกลับไปชงเครื่องดื่มตามสั่ง ไม่นานก็ย้อนกลับมาอีกครั้งพร้อมแก้วใบโตที่มีควันลอยกรุ่นและย้อนกลับไปในครัวอีกโดยไม่พูดไม่จา ซึ่งตอนแรกไซรัสคิดว่าเด็กหนุ่มคงเข้าไปปรุงมื้อเช้าให้แต่ต้องผิดหวังเมื่อปีเตอร์เป็นคนถือถาดอาหารออกมา

              “ได้แล้วครับคุณไซรัส” เขาพูดขณะวางจานไข่ที่ฉ่ำได้ด้วยซอสสีเหลืองนวล เลื่อนกระปุกเกลือกับพริกไทยให้เพื่อเป็นการเอาใจก่อนเดินไปหานายบิ๊กฟุต

              เอฟบีไอหนุ่มมองอาหารตรงหน้าและลอบถอนใจออกมาเบา ๆ มันคือไข่เบเนดิกต์เหมือนเมื่อวานแต่คนทำไม่ใช่คนเดิม แถมยังเป็นขนมปังธรรมดาไม่ใช่มัพฟิ่น แบบนี้คงไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่ ไซรัสคิดพลางตัดคำแรกใส่ปาก รสชาติกลมกล่อมใช้ได้แต่ไม่ดีเหมือนที่อเล็กซ์ทำ

              ชายหนุ่มนึกติอยู่ในใจแบบนั้นทุกคำที่ตักเข้าปาก ระหว่างนั้นก็คิดถึงเรื่องคดีไปด้วย สภาพศพกับของบางอย่างที่เขาคิดไม่ตกว่าคืออะไร กินพลางคิดพลางไปเรื่อย ๆ กระทั่งหมดไปเกือบครึ่งจาน อเล็กซ์ซึ่งสวมแจ็คเก็ตพร้อมออกเดินทางฉวยเป้พาดบ่าเดินเข้ามาถาม

              “รสชาติถูกปากไหมครับ”

              ใบหน้าเกลี้ยงเกลาฉายความกังวล ซึ่งไซรัสคิดว่าเด็กหนุ่มคงกลัวจะโดนต่อว่าเรื่องไม่ยอมทำอาหารให้จึงตอบเลี่ยง ๆ เพื่อให้คนฟังสบายใจ

              “ก็พอกินได้”

              “งั้นหรือครับ” อเล็กซ์พูดพลางมองไข่ที่ถูกกินไปแล้วครึ่งหนึ่ง “วันนี้ผมรีบเลยทำซอสผิดสูตรไปนิดน่ะครับ ตอนเคี่ยวเนยผมตักฟองออกไม่หมดเลยยังมีความชื้นเหลืออีกนิดหน่อยแถมยังเปลี่ยนยี่ห้อเนยอีกด้วย กลิ่นกับรสเลยเพี้ยนไป”

          คำอธิบายง่าย ๆ ของอเล็กซ์จุดประกายความคิดปะทุวาบ แค่เปลี่ยนยี่ห้อเนยกับปรับวิธีการปรุงทำให้เขาเข้าใจผิดคิดว่าอาหารจานนี้เป็นฝีมือของปีเตอร์ แล้วถ้าเปลี่ยนจากอาหารเป็นศพ หากร่างที่พบเมื่อวานถูกทำในลักษณะแบบเดียวกันล่ะ ?

          เขาถูกหลอก !

          ไซรัสวางส้อมยกชาขึ้นดื่มรวดเดียวหมดแก้ว วางธนบัตรผลุนผลันออกจากร้านโดยมีสายตาของอเล็กซ์มองตามด้วยความแปลกใจ แต่เมื่อนึกได้ว่าชายหนุ่มคงรีบไปทำคดี สายตาจึงเปลี่ยนจากฉงนเป็นความชื่นชม เพราะพอเทียบกับเอ็ดเวิร์ด ยีนหรือทัคเกอร์แล้วไซรัสดูคล่องแคล่วและมีความกระตือรือร้นกว่ามาก เหมือนพวกนักสืบมาดเท่ในภาพยนตร์ หรือจะให้เจาะจงหน่อยก็คือเหมือนที่คีอานู รีฟเล่นไม่มีผิด ถ้าบนร่างกายมีรอยสักจำพวก หน่วยพิเศษของนาวีซีลด้วยแล้วละก็ เขาจะไม่แปลกใจเลย

          นึกถึงกล้ามเนื้อแน่นเปรียะภายใต้เสื้อสูทนั่นแล้ว หัวใจที่เคยเต้นอย่างสม่ำเสมอก็เร่งจังหวะเร็วขึ้น อเล็กซ์รู้สึกว่าหน้าของตัวเองร้อนฉ่า เขากำลังนึกถึงภาพเปลือยของผู้ชายด้วยกัน ! เด็กหนุ่มคิดอย่างตระหนกและรีบสะบัดหน้าแรง ๆ แทนที่มันจะหลุดจากหัวกลับฝังแน่นจนใจของเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

          “ยังไม่ไปอีกหรืออเล็กซ์” เสียงปีเตอร์ซึ่งเดินมาเก็บจานเอ่ยเตือน เด็กหนุ่มรีบหันหน้าหลบเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะเห็นความผิดปกติ อย่างเขินอาย

          “กำลังจะไปเดี๋ยวนี้แล้วครับ” คำพูดเบาจนคนฟังแทบไม่ได้ยิน โชคดีที่ปีเตอร์ไม่ได้นึกเอะใจอะไร เขาผงกศีรษะ ก้มหน้าก้มตาเช็ดโต๊ะปากก็เอ่ยเตือน

          “ช่วงนี้มีคดีฆ่าคนตายเกิดขึ้นบ่อย ๆ ระวังตัวด้วยล่ะ”

          “ครับ” เด็กหนุ่มรับคำ ขยับเป้ให้กระชับ “งั้นผมไปนะครับ” เขาบอกพลางหันไปส่งยิ้มให้นายบิ๊กฟุตก่อนเดินออกจากร้าน โดยมีสายตาของปีเตอร์มองตามด้วยความเป็นห่วง

          “เขาไม่เป็นไรหรอก” เสียงใหญ่ห้าวของลูกค้าตัวโตดังขึ้น ปีเตอร์หันไปมองหน้าแต่ไม่ได้พูดอะไร บิ๊กฟุตกัดแซนวิช เคี้ยวหยาบๆกลืนลงคอก่อนกล่าวต่อ

          “อเล็กซ์เป็นเด็กดี นัยน์ตาดุมองแก้วกาแฟที่ยังมีไอร้อนจาง ๆ “ไม่มีใครคิดร้ายกับเขาแน่”

          “เป็นแบบนั้นก็ดีสิครับ” ปีเตอร์พึมพำพลางมองเด็กหนุ่มที่กำลังเดินหายไปจากสายตา

          */*/*/*/*

          รถยนต์สีดำสนิทของไซรัสวิ่งผ่านประตูสำนักงานเอฟบีไอ พุ่งปราดเข้าไปเสียบในซองจอดอย่างสวยงาม เขาดับเครื่องยนต์ฉวยแฟ้มคดีเดินดุ่ม ๆ ตรงไปยังห้องชันสูตร ราวหนึ่งชั่วโมงจึงออกมาพร้อมซองเอกสารเดินขึ้นไปยังชั้นสาม เคาะประตูห้องทำงานที่ติดป้ายชื่อพร้อมตำแหน่ง หัวหน้าหน่วยสืบสวน เมื่อได้รับคำอนุญาตเขาจึงก้าวเข้าไป วางรายงานที่เพิ่งได้รับจากดร.โดนัลด์ไว้บนโต๊ะซึ่งเมื่อเอ็ดเวิร์ดเปิดอ่าน เขาก็เรียกสมาชิกทีมเข้าประชุมในทันที

          “มีอะไรเหรอ” แคลร์ถามทั้งโดนัทยังคาอยู่ในปาก มือข้างหนึ่งถือถ้วยกาแฟซึ่งใส่เพียงครีมเทียมเท่านั้น แต่เอ็ดเวิร์ดไม่ตอบ เขารอจนกระทั่งยีนกับทัคเกอร์เข้ามาพร้อมกันหมดแล้วจึงเปิดปากพูด

          “ผมมีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเหยื่อรายล่าสุด” เขาผลักแฟ้มเล่มนั้นให้แคลร์ เธอไล่สายตาอ่านเร็ว ๆ ก่อนส่งต่อให้ยีนกับทัคเกอร์ ทั้งสองผลัดกันดูแล้วขมวดคิ้ว

          “เมื่อวานเราอ่านมันแล้วไม่ใช่หรือครับ”

          ไซรัสเหลือบตามองเพื่อนร่วมทีมอย่างไม่ชอบใจนัก แคลร์กระดกกาแฟรวดเดียวหมดแก้ว ก่อนใช้นิ้วจิ้มลงไปตรงช่องรายละเอียดของสารพิษและดีเอ็นเอ

          “นายสองคนไม่เห็นหรือไง”

          สีหน้าของเธอแสดงความเบื่อหน่ายส่วนน้ำเสียงค่อนไปทางรำคาญต่อความไม่ละเอียดในการอ่านเอกสาร ยีนจึงมุ่นคิ้วอ่านทวนอีกครั้ง แต่ก็ดูเหมือนจะยังไม่ค่อยเข้าใจ

          “เรากำลังดูอะไรกันอยู่หรือครับ” เขาถามไปตามตรง เอ็ดเวิร์ดจึงขยายความ

          “วิธีการกับสารหล่อลื่น”

          “ทำไมหรือครับ

              “น้ำมันเครื่องไง”ไซรัสโพล่งออกมาเพราะไม่ชอบการซักไซ้แบบถามคำตอบคำ “ถ้าเป็นการทรมานแล้วละก็ ฆาตกรจะใช้น้ำมันเครื่องแทนสารหล่อลื่นและข่มขืนด้วยวัตถุแปลกปลอม แต่การที่เราพบน้ำเชื้อทำให้คิดว่าเขามีการร่วมเพศกับเหยื่อซึ่งถ้าทำแบบนั้นจริงป่านนี้เขาคงไปโรงพยาบาลแล้ว”

              แคลร์ขยับแว่นคิดตามไปด้วย ขณะเดียวกันก็พยักหน้าหงึกหงักเหมือนเข้าใจทุกอย่างที่ไซรัสพูด แต่ดูเหมือนยีนกับทัคเกอร์จะไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ โดยเฉพาะคนหลัง

              “ถ้าเหยื่อถูกข่มขืนด้วยวัตถุแปลกปลอมแล้วน้ำเชื้อเข้าไปอยู่ในตัวเขาได้ยังไง”

              “เข็มฉีดยา” แคลร์เป็นคนตอบก่อนหันไปทางไซรัส “ฉันพูดถูกหรือเปล่า”

              “ใช่” เอฟบีไอหนุ่มตอบ “ก่อนเข้ามาผมแวะไปดูศพอีกครั้งและอ่านรายงานของดร.โดนัลด์แล้ว เชื้ออสุจิที่พบในตัวผู้เสียชีวิตไม่ใช่ของคนร้าย แต่เป็นของเหยื่อเอง ที่ตอนแรกพวกเราไม่รู้เพราะมันถูกน้ำมันเครื่องทำลาย ต้องขอบคุณฝ่ายดีเอ็นเอที่พยายามคัดแยกจนได้ตัวอย่างที่สมบูรณ์มาตรวจ”

              “แล้วมันบอกอะไรเราได้” ยีนถามทั้งที่ตายังจ้องอยู่กับข้อมูล ไซรัสไม่ตอบ เอ็ดเวิร์ดจึงพูดขึ้นแทน

              “มันทำให้ข้อสันนิษฐานของคนร้ายที่พวกเราสรุปไว้เมื่อคืนกลับมาอยู่ที่จุดเดิม” เขาสบตาไซรัส “ผมคิดว่าคนร้ายจงใจสร้างหลักฐานให้แตกต่างไปจากเดิมเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของพวกเรา”

              “ด้วยการรีดน้ำเชื้อของคนตายใส่เข็มแล้วฉีดกลับเข้าไปน่ะหรือครับ” ยีนพูดด้วยสีหน้าเสียวสยอง “โรคจิตเป็นบ้า”

               “แล้วที่คนร้ายฆ่าเหยื่อด้วยการบีบคอล่ะครับ” ทัคเกอร์ถาม “ถ้าเขาทำแบบนั้นจริงมันก็เหมือนกับเป็นการสมัครใจเดินเข้าคุก เพราะจะต้องมีดีเอ็นเอติดอยู่ในบาดแผลของเหยื่อ”

              “เขาถึงโยนศพไว้ในท่อน้ำทิ้งไง” คราวนี้แคลร์เป็นคนพูด “แค่น้ำธรรมดาก็ว่าแย่แล้ว แต่นี่เป็นน้ำเสียซึ่งมีทั้งสารเคมีและแบคทีเรียเจือปน มันจะทำลายหลักฐานทุกอย่างที่คนร้ายทิ้งเอาไว้”

              “ฉลาดเป็นบ้า” ยีนเปรยออกมาแต่ทัคเกอร์สั่นศีรษะ

              “น่ากลัวต่างหาก แบบนี้ก็เท่ากับว่าเราไม่ได้อะไรเลยสินะครับ” ประโยคท้ายหันไปทางหัวหน้าทีม สีหน้าของเอ็ดเวิร์ดแสดงความหนักใจออกมา

              “ก็ไม่เชิง จากที่ผมประมวลทุกอย่างจากผู้ตายทำให้พอสรุปได้ว่า ฆาตกรน่าจะมีอายุประมาณ 30 – 35 ทำงานประเภทใช้แรงโดยเฉพาะมือ และจะต้องเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับคนอื่นจนเป็นที่ไว้ใจ มีการศึกษา ใจเย็น มีรถเป็นของตัวเองทำให้สามารถสะกดรอยตาม ลักพาตัว มีสถานที่กักขังมิดชิดสามารถทรมานเหยื่อได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครได้ยินและนำศพไปทิ้งตามที่ต่าง ๆ ได้”

              “ยอดเลย แบบนี้เราคงต้องเคาะประตูบ้านทุกหลัง” ไซรัสประชด “ต้องจำกัดวงให้แคบกว่านี้”

              ยีนนิ่งไปเล็กน้อยก่อนส่ายหน้า

              “ผมไม่เข้าใจ ทำไมคนร้ายถึงต้องทำอะไรให้มันยุ่งยากแบบนี้ด้วย”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่