บทที่ 1-2
http://pantip.com/topic/35559655
บทที่ 3 แผนผัง
ไซรัสไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงต้องมาที่ร้านกาแฟแห่งนี้ จะบอกว่าเป็นเพราะชา มันก็แค่เอิร์ลเกรย์ธรรมดาที่มีกันดาษดื่น รสชาติขนม มันก็ไม่ได้เลอเลิศจนถึงขนาดทำให้คนพิถีพิถันอย่างเขาติดใจ หรือเป็นเพราะมารยาทของพนักงานในร้าน ก็ไม่น่าใช่เพราะนอกจากความอวดเก่ง ดันทุรังอย่างไม่เข้าท่ากับคำพูดคำจาที่พอฟังได้แล้ว เจ้าหนุ่มคนนั้นก็ไม่ได้มีอะไรที่ทำให้เขารู้สึกประทับใจเลยแม้แต่น้อย แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ไซรัสรู้แค่ว่าตื่นเช้าหลังจากอาบน้ำแต่งตัว เขาก็ขึ้นรถขับออกจากที่พักโดยที่ในหัวมีแต่เรื่องคดี มารู้ตัวอีกทีก็ยืนอยู่หน้าร้านกาแฟนี่แล้ว
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณไซรัส”
คำทักทายแสนธรรมดาแต่กลับทำให้คนได้ยินใจเต้นแปลก ๆ ไซรัสตวัดดวงตามองคนตรงหน้าแวบหนึ่ง ก่อนขยับปากเอ่ยตอบ
“อรุณสวัสดิ์”
ก้าวผ่านพนักงานต้อนรับจำเป็นเข้าไปในร้าน เลือกที่นั่งจนถูกใจก่อนเอ่ยปากถาม
“เช้านี้มีอะไรกินบ้าง”
เป็นการใช้คำพูดราวกับพ่อบ้านถามภรรยา อเล็กซ์คิดอย่างนึกขันก่อนตอบ
“มีแซนวิช” เขาชะงักคำที่เตรียมสาธยายว่ามีทั้งแฮม ไข่กับปลาทูน่า เมื่อเห็นไซรัสมุ่นคิ้วเหมือนเบื่อหน่ายเมนูเหล่านี้เต็มประดา “ถ้าพิเศษกว่านั้นก็เป็นไข่เบเนดิกต์ครับ”
“ฟังดูเข้าท่า งั้นขอหนึ่งที่” เอฟบีไอหนุ่มพูดก่อนขยับตัวนั่งในท่าที่ผ่อนคลายมากกว่าเดิม ชำเลืองตามองโน่นมองนี่ภายในร้านเหมือนเป็นการฆ่าเวลาแต่กลับต้องขมวดคิ้วเมื่ออเล็กซ์นำขาร้อนมาเสริฟ
“ผมยังไม่ได้สั่ง”
“ผมทราบครับ แต่คุณควรมีอะไรร้อน ๆ ดื่มระหว่างรอ” อเล็กซ์พูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ไซรัสมองน้ำสีเข้มที่มีควันฉุย กลิ่นหอมอันทรงเสน่ห์ที่ลอยมาประทบจมูกทำให้รู้ว่าเป็นชาประเภทใด
“รู้ได้ยังไงว่าผมจะสั่งชาแบบนี้”
“คนที่ชอบเอิร์ลเกรย์มักไม่ค่อยเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นหรอกครับ” อเล็กซ์ตอบอย่างสุภาพ “ผมขอตัวไปทำมื้อเช้าที่คุณสั่งก่อน รอสักครู่นะครับ”
พูดเสร็จเด็กหนุ่มก็เดินย้อนกลับไปด้านใน ไซรัสมองตามพลางนึกอย่างฉงนว่าทำไมหมอนี่ถึงรู้เรื่องชาที่เขาชอบเพราะตอนมาครั้งแรกเขาสั่งชาก็จริงแต่ไม่ได้เจาะจง แต่พอคิดอีกทีคงเนื่องมาจากเมื่อเย็นวานที่เขากับยีนเป็นลูกค้าชุดสุดท้าย เจ้าเด็กอวดดีนี่อาจอนุมานเอาเองตอนเก็บถ้วยไปล้างก็ได้ ซึ่งถือเป็นโชคดีเพราะถ้าเดาผิด เขาจะลงโทษด้วยการจับขึงพืดบนโต๊ะแล้วเอาชาราดให้ชุ่มทั้งตัว ถึงจะผอมไปสักหน่อยแต่หมอนี่ก็พอจะมีกล้ามเนื้ออยู่บ้าง สภาพเสื้อยืดที่เปียกโชกจนผ้าแนบเนื้อคงเซ็กซี่ไม่เลว
มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยขณะนึกภาพแต่แล้วเจ้าตัวกลับขมวดคิ้วเมื่อรู้ตัวว่ากำลังคิดอะไรที่มันพิลึกไม่เข้าท่า ผู้ชายเหมือนกันคงไม่มีอะไรน่าดูนักหรอก
มือยกขึ้นเสยผมที่ลงมาปรกหน้า เป็นจังหวะเดียวกับที่อเล็กซ์ยกอาหารมาเสริฟพอดี กลิ่นหอมของขนมปังกับเบคอนร้อน ๆ สลับกับกลิ่นหอมของซอสที่ราดมาจนฉ่ำทำให้ไซรัสเผลอตัวหลุดมาดสูดเข้าไปจนเต็มปอด พอเห็นคนอวดเก่งกำลังยืนมองด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเขาก็แกล้งทำเป็นกระแอมพร้อมกับพูดกลบเกลื่อน
“กลิ่นหอมใช้ได้”
“รสชาติของมันดีกว่านั้นอีกครับ” อเล็กซ์พูดด้วยท่าทางมั่นใจ และยืนจ้องด้วยใจลุ้นระทึกเมื่ออีกฝ่ายจรดส้อมไว้บนอาหาร สีหน้าของหนุ่มน้อยทำให้ไซรัสนึกอยากแกล้งขึ้นมา เขาทำเป็นเลื่อนส้อมไปทางนั้นทีทางนี้ทีเหมือนตัดสินใจไม่ถูกว่าจะกินตรงไหนก่อน แต่แล้วกลับวางส้อมหันไปยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มแทน ทำแบบนี้อยู่สองครั้งจนอเล็กซ์อดใจไม่ไหว
“ถ้าไม่รีบกินมันจะเย็นจนเสียรสชาติหมดนะครับ”
เขาโพล่งออกมาและหน้าร้อนผ่าวเมื่อเห็นไซรัสกำลังหัวเราะผ่านทางสายตา ที่แท้เขากำลังถูกเอฟบีไอคนนี้แกล้ง เด็กหนุ่มนึกก่อนหมุนตัวเดินกลับไปที่เคาท์เตอร์ด้วยความโมโห ท่าทางงอนที่ดูเหมือนเด็กของเขาทำให้เอฟบีไอหนุ่มเผลออมยิ้ม ก่อนหันกลับไปสนใจมื้อเช้าตรงหน้าอีกครั้ง ดูผ่าน ๆ มันก็เหมือนกับไข่เบเนดิกต์ทั่วไป ข้างล่างเป็นมัพฟิ่นชิ้นหนามีเบคอนกับไข่วางทับราดด้วยซอสฮอลลองแดสจนชุ่ม พิเศษหน่อยก็ตรงที่มีผักแนมมาด้วย ไม่ใช่โปะหน้าแต่เป็นการจัดวางอย่างสวยงาม ไซรัสมองอย่างพอใจพลางนึกชม ฝีมือการตกแต่งอาหารของเจ้าหนูใช้ได้เลยทีเดียว
เอฟบีไอหนุ่มตัดอาหารเช้าส่งเข้าปาก รสชาติชุ่มฉ่ำที่กำลังกระจายไปทั่วทำให้ไซรัสถึงกับนิ่งไปชั่วขณะ เขาอุปาทานไปเองหรือเปล่าว่าไข่เบเนดิกต์ที่อเล็กซ์ทำอร่อยที่สุดตั้งแต่เคยลิ้มรสมา ไข่ถูกต้มอย่างพิถีพิถันไม่สุกหรือดิบเกินไป ซอสก็กลมกล่อม เบคอนกรอบกำลังดี รสมือของเด็กคนนี้ดีกว่าเจ้าของร้านเสียอีก
ตาชำเลืองไปยังคนทำโดยไม่รู้ตัวซึ่งก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องมาที่เขาด้วยสีหน้าเหมือนลุ้นว่าอาหารที่ตนทำจะถูกใจลูกค้าหรือเปล่า ไซรัสจึงแกล้งตีหน้าตายตักอาหารใส่ปากไปเรื่อย ๆจนหมด อ้อยอิ่งกับชาต่ออีกไม่กี่นาทีจึงกระดิกนิ้วเรียก อเล็กซ์รีบปราดเข้าไปทันทีเหมือนรออยู่แล้ว
“จะรับอะไรเพิ่มมั้ยครับ” ถามอย่างกระตือรือร้นพร้อมคาดหวังในใจเล็ก ๆ ว่าจะได้คำชมแต่ต้องหน้าม่อยเมื่อไซรัสส่ายหน้าพร้อมกับถามเรียบ ๆ
“เท่าไหร่”
เมื่ออเล็กซ์แจ้งราคาและชำระเงินเสร็จเรียบร้อย เอฟบีไอหนุ่มก็ลุกเดินไปที่ประตู แต่ก่อนจะก้าวออกจากร้านเขาเอี้ยวศีรษะหันไปทางเด็กหนุ่มซึ่งตามมาส่งพร้อมกับพูดพอให้ได้ยิน
“อร่อยมาก”
น่าแปลกที่เป็นเพียงคำพูดสั้น ๆ จากลูกค้าคนหนึ่ง แต่กลับทำให้อเล็กซ์ดีใจอย่างบอกไม่ถูก จะบอกว่าเป็นเพราะนานทีเขาจะได้โชว์ฝีมือทำอาหารสักครั้งก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะอเล็กซ์เคยทำไข่เบเนดิกซ์ให้ลูกค้ามาแล้วหลายหน และมักได้รับคำชมอยู่เสมอซึ่งเขาเองก็รู้สึกยินดี แต่ไม่ใช่ความปลาบปลื้มอิ่มเอมเหมือนคำชมที่หลุดออกจากปากของไซรัส
บางทีอาจเนื่องมาจากความคาดไม่ถึงว่าอาหารของเขาจะถูกใจนักสืบมือหนึ่งของเอฟบีไอก็เป็นได้
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด หัวใจของอเล็กซ์ก็พองโตคับอกจนทำให้เขาเกือบชูมือขึ้นเปล่งเสียงร้องไชโยพร้อมกระโดดไปรอบร้าน เมื่อคิดได้ว่าขืนทำแบบนั้นไซรัสอาจมองว่าเขาเป็นพวกบ้าบอ หนำซ้ำอาจโดนปีเตอร์เคาะกะโหลกเพื่อเรียกสติด้วยไม้นวดแป้ง เด็กหนุ่มจึงทำได้แค่ส่งยิ้มให้พร้อมกับกล่าวคำขอบคุณ และมองไซรัสขับรถไปจนลับไปจากสายตา
เมื่อลูกค้าคนสำคัญออกจากร้านไปแล้วอเล็กซ์จึงทำความสะอาดโต๊ะ ปีเตอร์ซึ่งอบพายชุดแรกเสร็จแล้วหอบถาดขนมหอมกรุ่นออกมา พอเห็นเด็กหนุ่มกำลังเก็บจานเปล่ากับถ้วยชาจึงขมวดคิ้วถาม
“มีลูกค้าหรือ”
“ครับ” เด็กหนุ่มตอบสั้น ๆ ขณะถือภาชนะทั้งหมดมาล้างในอ่าง ปีเตอร์บรรจงคีบพายทีละชิ้นเรียงในตู้ปากก็ถามไปด้วย
“ใครกันล่ะ” ที่ถามเพราะมีลูกค้าประจำสองสามรายที่มักจะเข้ามาอุดหนุนในเวลาเช้าตรู่แบบนี้ อเล็กซ์สั่นหน้าเหมือนบอกว่าไม่ใช่คนเหล่านั้น
“คุณไซรัสครับ เขามาทานมื้อเช้าก่อนไปทำงาน ผมเลยทำไข่เบเนดิกซ์กับชาร้อนหนึ่งแก้ว ก่อนไปเขายังชมเลยว่าอาหารของผมอร่อยมาก”
เล่าด้วยสีหน้าภาคภูมิจนคนฟังรู้สึกแปลกใจ
“นายได้รับคำชมทุกครั้งอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
“มันก็ใช่ แต่ครั้งนี้คนชมคือเอฟบีไอที่เก่งที่สุดเชียวนะครับ” อเล็กซ์พูดทั้งที่ยังคงยิ้มจนเห็นฟันขาวสะอาดราวไข่มุก ปีเตอร์มองเด็กหนุ่มอย่างนึกเอ็นดูก่อนส่ายหน้าและเปรยพอให้ได้ยิน
“เด็กหนอเด็ก”
“ผมเรียนมหาวิทยาลัยแล้วนะครับ” อเล็กซ์แย้งทันควัน เจ้าของร้านหัวเราะออกมาอย่างขบขัน เพราะไม่ว่าจะมองยังไง คนตรงหน้าก็ยังเด็กเสมอสำหรับเขา
“ไว้เรียนจบแล้วค่อยตัดสินเรื่องนี้กันใหม่นะ”
พูดพร้อมกับขยี้ผมเด็กในปกครองก่อนฉวยถาดเปล่าเดินหัวเราะกลับเข้าห้องทำขนมปล่อยให้ อเล็กซ์ยืนหน้าบูดเฝ้าร้านไว้คนเดียว
*/*/*/*/*
ไซรัสขับรถยนต์ส่วนตัวเข้าไปจอดในสำนักงานเอฟบีไอ เนื่องจากยังคงเป็นเวลาเช้าตรู่ เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่จึงยังมาไม่ถึง พอแสดงตัวกับหน่วยรักษาความปลอดภัยแล้วเขาจึงตรงดิ่งไปยังห้องประชุม ลากกระดานอีกอันที่ยังว่างมาติดแผนที่ของเมือง จากนั้นจึงเริ่มติดกระดาษแสดงตำแหน่งที่พบศพเหยื่อทั้งห้าและเริ่มคำนวณ ระยะทางกับเวลาโดยให้ตัวเมืองเป็นจุดศูนย์กลาง กระทั่งใกล้เวลาเข้างานตามปกติ ผู้ที่เดินเข้าประตูเป็นคนแรกคือเอ็ดเวิร์ด ซึ่งเมื่อเห็นไซรัสเขาก็ไม่ได้แปลกใจมากนักเหมือนรู้อยู่แล้วว่า เพื่อนร่วมงานคนนี้จะต้องมาถึงก่อนคนอื่น เขาวางกระเป๋าเอกสารอย่างเงียบกริบและยืนมองไซรัสที่กำลังง่วนอยู่กับการใช้เชือกโยงจุดต่าง ๆเข้าไว้ด้วยกัน จนยีนกับทัคเกอร์ก้าวเข้าห้อง เสียงพูดคุยของทั้งคู่ทำให้เอฟบีไอหนุ่มเอี้ยวศีรษะมามอง
“อรุณสวัสดิ์ วันนี้มาแต่เช้าเลยนะ” ยีนเอ่ยทักอย่างสดชื่นก่อนเลื่อนเก้าอี้ออกมานั่งและจ้องแผนผังบนกระดานที่ไซรัสเพิ่งทำเสร็จสด ๆ ร้อน ๆ “อะไรน่ะ”
“ผมกำลังหาที่อยู่ของคนร้าย” ไซรัสตอบก่อนเบนหน้ากลับไปที่กระดานอีกครั้ง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเหมือนไม่พอใจเท่าไหร่ เอ็ดเวิร์ดจึงพูด
“ตอนแรกพวกเราก็คิดว่าคนร้ายอยู่ในเมือง แต่พอดูจากระยะทางแล้ว บางจุดมันอยู่ห่างกันมากเกินไป”
“ถ้ามองจากระยะละก็ใช่” ไซรัสพูด “ที่ผมคิดก็คือสถานที่ก่อเหตุของคนร้ายอยู่ในเมืองและเขาเลือกสถานที่ทิ้งศพโดยใช้เวลาเป็นตัวเลือก”
“ผมไม่เข้าใจ” คราวนี้ยีนเป็นคนพูด ตามองป้ายชื่อของผู้เสียชีวิตที่ไซรัสติดไว้บนกระดาน หากให้ใจกลางเมืองเป็นจุดศูนย์กลางอย่างที่ไซรัสบอก ศพเหล่านั้นจะกระจายเป็นวงล้อมรอบได้อย่างพอดิบพอดี แต่ไซรัสยังไม่ตอบ เขากลับยืนมองกระดานนิ่งอย่างใช้ความคิดจนกระทั่งแคลร์เดินถือถ้วยกาแฟกับโดนัทช็อคโกแลตที่ถูกกัดไปแล้วครึ่งอันเข้าห้องประชุม เขาจึงเอ่ยปากโดยไม่หันหน้าไปมอง
“รีบกินให้หมด”
ไม่ต้องซักให้มากความ แคลร์ยัดโดนัทที่เหลือเข้าปาก กรอกกาแฟตามรวดเดียวหมดแก้ว เมื่อเห็นว่าทุกคนในทีมพร้อม ไซรัสจึงเริ่มอธิบายในสิ่งที่เขาคิด
“จากรายงานทั้งของตำรวจและเอฟบีไอ ทุกคนมัวแต่มุ่งประเด็นของการทิ้งศพไปที่ระยะทาง ทำให้ไม่สามารถระบุสถานที่ก่อเหตุได้อย่างแน่ชัด แต่ถ้าตัดเรื่องนี้ออกไปแล้วคิดในแง่ของเวลา” ไซรัสพูดพลางใช้นิ้วชี้ไปยังจุดที่พบศพ “เหยื่อรายที่สามและสี่อยู่ไกลกันมากก็จริง แต่ถ้าเราเอาเมืองเป็นจุดศูนย์กลางและมองที่การจราจรกับถนน จะเห็นว่าการเดินทางไปยังสถานที่ทั้งสองแห่งใช้เวลาไม่เกินยี่สิบนาที จุดพบศพอื่นก็เหมือนกัน”
สืบรักจับหัวใจเอฟบีไอ[Yaoi] บทที่ 3 แผนผัง - บทที่ 4 สงสัย
บทที่ 3 แผนผัง
ไซรัสไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงต้องมาที่ร้านกาแฟแห่งนี้ จะบอกว่าเป็นเพราะชา มันก็แค่เอิร์ลเกรย์ธรรมดาที่มีกันดาษดื่น รสชาติขนม มันก็ไม่ได้เลอเลิศจนถึงขนาดทำให้คนพิถีพิถันอย่างเขาติดใจ หรือเป็นเพราะมารยาทของพนักงานในร้าน ก็ไม่น่าใช่เพราะนอกจากความอวดเก่ง ดันทุรังอย่างไม่เข้าท่ากับคำพูดคำจาที่พอฟังได้แล้ว เจ้าหนุ่มคนนั้นก็ไม่ได้มีอะไรที่ทำให้เขารู้สึกประทับใจเลยแม้แต่น้อย แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ไซรัสรู้แค่ว่าตื่นเช้าหลังจากอาบน้ำแต่งตัว เขาก็ขึ้นรถขับออกจากที่พักโดยที่ในหัวมีแต่เรื่องคดี มารู้ตัวอีกทีก็ยืนอยู่หน้าร้านกาแฟนี่แล้ว
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณไซรัส”
คำทักทายแสนธรรมดาแต่กลับทำให้คนได้ยินใจเต้นแปลก ๆ ไซรัสตวัดดวงตามองคนตรงหน้าแวบหนึ่ง ก่อนขยับปากเอ่ยตอบ
“อรุณสวัสดิ์”
ก้าวผ่านพนักงานต้อนรับจำเป็นเข้าไปในร้าน เลือกที่นั่งจนถูกใจก่อนเอ่ยปากถาม
“เช้านี้มีอะไรกินบ้าง”
เป็นการใช้คำพูดราวกับพ่อบ้านถามภรรยา อเล็กซ์คิดอย่างนึกขันก่อนตอบ
“มีแซนวิช” เขาชะงักคำที่เตรียมสาธยายว่ามีทั้งแฮม ไข่กับปลาทูน่า เมื่อเห็นไซรัสมุ่นคิ้วเหมือนเบื่อหน่ายเมนูเหล่านี้เต็มประดา “ถ้าพิเศษกว่านั้นก็เป็นไข่เบเนดิกต์ครับ”
“ฟังดูเข้าท่า งั้นขอหนึ่งที่” เอฟบีไอหนุ่มพูดก่อนขยับตัวนั่งในท่าที่ผ่อนคลายมากกว่าเดิม ชำเลืองตามองโน่นมองนี่ภายในร้านเหมือนเป็นการฆ่าเวลาแต่กลับต้องขมวดคิ้วเมื่ออเล็กซ์นำขาร้อนมาเสริฟ
“ผมยังไม่ได้สั่ง”
“ผมทราบครับ แต่คุณควรมีอะไรร้อน ๆ ดื่มระหว่างรอ” อเล็กซ์พูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ไซรัสมองน้ำสีเข้มที่มีควันฉุย กลิ่นหอมอันทรงเสน่ห์ที่ลอยมาประทบจมูกทำให้รู้ว่าเป็นชาประเภทใด
“รู้ได้ยังไงว่าผมจะสั่งชาแบบนี้”
“คนที่ชอบเอิร์ลเกรย์มักไม่ค่อยเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นหรอกครับ” อเล็กซ์ตอบอย่างสุภาพ “ผมขอตัวไปทำมื้อเช้าที่คุณสั่งก่อน รอสักครู่นะครับ”
พูดเสร็จเด็กหนุ่มก็เดินย้อนกลับไปด้านใน ไซรัสมองตามพลางนึกอย่างฉงนว่าทำไมหมอนี่ถึงรู้เรื่องชาที่เขาชอบเพราะตอนมาครั้งแรกเขาสั่งชาก็จริงแต่ไม่ได้เจาะจง แต่พอคิดอีกทีคงเนื่องมาจากเมื่อเย็นวานที่เขากับยีนเป็นลูกค้าชุดสุดท้าย เจ้าเด็กอวดดีนี่อาจอนุมานเอาเองตอนเก็บถ้วยไปล้างก็ได้ ซึ่งถือเป็นโชคดีเพราะถ้าเดาผิด เขาจะลงโทษด้วยการจับขึงพืดบนโต๊ะแล้วเอาชาราดให้ชุ่มทั้งตัว ถึงจะผอมไปสักหน่อยแต่หมอนี่ก็พอจะมีกล้ามเนื้ออยู่บ้าง สภาพเสื้อยืดที่เปียกโชกจนผ้าแนบเนื้อคงเซ็กซี่ไม่เลว
มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยขณะนึกภาพแต่แล้วเจ้าตัวกลับขมวดคิ้วเมื่อรู้ตัวว่ากำลังคิดอะไรที่มันพิลึกไม่เข้าท่า ผู้ชายเหมือนกันคงไม่มีอะไรน่าดูนักหรอก
มือยกขึ้นเสยผมที่ลงมาปรกหน้า เป็นจังหวะเดียวกับที่อเล็กซ์ยกอาหารมาเสริฟพอดี กลิ่นหอมของขนมปังกับเบคอนร้อน ๆ สลับกับกลิ่นหอมของซอสที่ราดมาจนฉ่ำทำให้ไซรัสเผลอตัวหลุดมาดสูดเข้าไปจนเต็มปอด พอเห็นคนอวดเก่งกำลังยืนมองด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเขาก็แกล้งทำเป็นกระแอมพร้อมกับพูดกลบเกลื่อน
“กลิ่นหอมใช้ได้”
“รสชาติของมันดีกว่านั้นอีกครับ” อเล็กซ์พูดด้วยท่าทางมั่นใจ และยืนจ้องด้วยใจลุ้นระทึกเมื่ออีกฝ่ายจรดส้อมไว้บนอาหาร สีหน้าของหนุ่มน้อยทำให้ไซรัสนึกอยากแกล้งขึ้นมา เขาทำเป็นเลื่อนส้อมไปทางนั้นทีทางนี้ทีเหมือนตัดสินใจไม่ถูกว่าจะกินตรงไหนก่อน แต่แล้วกลับวางส้อมหันไปยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มแทน ทำแบบนี้อยู่สองครั้งจนอเล็กซ์อดใจไม่ไหว
“ถ้าไม่รีบกินมันจะเย็นจนเสียรสชาติหมดนะครับ”
เขาโพล่งออกมาและหน้าร้อนผ่าวเมื่อเห็นไซรัสกำลังหัวเราะผ่านทางสายตา ที่แท้เขากำลังถูกเอฟบีไอคนนี้แกล้ง เด็กหนุ่มนึกก่อนหมุนตัวเดินกลับไปที่เคาท์เตอร์ด้วยความโมโห ท่าทางงอนที่ดูเหมือนเด็กของเขาทำให้เอฟบีไอหนุ่มเผลออมยิ้ม ก่อนหันกลับไปสนใจมื้อเช้าตรงหน้าอีกครั้ง ดูผ่าน ๆ มันก็เหมือนกับไข่เบเนดิกต์ทั่วไป ข้างล่างเป็นมัพฟิ่นชิ้นหนามีเบคอนกับไข่วางทับราดด้วยซอสฮอลลองแดสจนชุ่ม พิเศษหน่อยก็ตรงที่มีผักแนมมาด้วย ไม่ใช่โปะหน้าแต่เป็นการจัดวางอย่างสวยงาม ไซรัสมองอย่างพอใจพลางนึกชม ฝีมือการตกแต่งอาหารของเจ้าหนูใช้ได้เลยทีเดียว
เอฟบีไอหนุ่มตัดอาหารเช้าส่งเข้าปาก รสชาติชุ่มฉ่ำที่กำลังกระจายไปทั่วทำให้ไซรัสถึงกับนิ่งไปชั่วขณะ เขาอุปาทานไปเองหรือเปล่าว่าไข่เบเนดิกต์ที่อเล็กซ์ทำอร่อยที่สุดตั้งแต่เคยลิ้มรสมา ไข่ถูกต้มอย่างพิถีพิถันไม่สุกหรือดิบเกินไป ซอสก็กลมกล่อม เบคอนกรอบกำลังดี รสมือของเด็กคนนี้ดีกว่าเจ้าของร้านเสียอีก
ตาชำเลืองไปยังคนทำโดยไม่รู้ตัวซึ่งก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องมาที่เขาด้วยสีหน้าเหมือนลุ้นว่าอาหารที่ตนทำจะถูกใจลูกค้าหรือเปล่า ไซรัสจึงแกล้งตีหน้าตายตักอาหารใส่ปากไปเรื่อย ๆจนหมด อ้อยอิ่งกับชาต่ออีกไม่กี่นาทีจึงกระดิกนิ้วเรียก อเล็กซ์รีบปราดเข้าไปทันทีเหมือนรออยู่แล้ว
“จะรับอะไรเพิ่มมั้ยครับ” ถามอย่างกระตือรือร้นพร้อมคาดหวังในใจเล็ก ๆ ว่าจะได้คำชมแต่ต้องหน้าม่อยเมื่อไซรัสส่ายหน้าพร้อมกับถามเรียบ ๆ
“เท่าไหร่”
เมื่ออเล็กซ์แจ้งราคาและชำระเงินเสร็จเรียบร้อย เอฟบีไอหนุ่มก็ลุกเดินไปที่ประตู แต่ก่อนจะก้าวออกจากร้านเขาเอี้ยวศีรษะหันไปทางเด็กหนุ่มซึ่งตามมาส่งพร้อมกับพูดพอให้ได้ยิน
“อร่อยมาก”
น่าแปลกที่เป็นเพียงคำพูดสั้น ๆ จากลูกค้าคนหนึ่ง แต่กลับทำให้อเล็กซ์ดีใจอย่างบอกไม่ถูก จะบอกว่าเป็นเพราะนานทีเขาจะได้โชว์ฝีมือทำอาหารสักครั้งก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะอเล็กซ์เคยทำไข่เบเนดิกซ์ให้ลูกค้ามาแล้วหลายหน และมักได้รับคำชมอยู่เสมอซึ่งเขาเองก็รู้สึกยินดี แต่ไม่ใช่ความปลาบปลื้มอิ่มเอมเหมือนคำชมที่หลุดออกจากปากของไซรัส
บางทีอาจเนื่องมาจากความคาดไม่ถึงว่าอาหารของเขาจะถูกใจนักสืบมือหนึ่งของเอฟบีไอก็เป็นได้
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด หัวใจของอเล็กซ์ก็พองโตคับอกจนทำให้เขาเกือบชูมือขึ้นเปล่งเสียงร้องไชโยพร้อมกระโดดไปรอบร้าน เมื่อคิดได้ว่าขืนทำแบบนั้นไซรัสอาจมองว่าเขาเป็นพวกบ้าบอ หนำซ้ำอาจโดนปีเตอร์เคาะกะโหลกเพื่อเรียกสติด้วยไม้นวดแป้ง เด็กหนุ่มจึงทำได้แค่ส่งยิ้มให้พร้อมกับกล่าวคำขอบคุณ และมองไซรัสขับรถไปจนลับไปจากสายตา
เมื่อลูกค้าคนสำคัญออกจากร้านไปแล้วอเล็กซ์จึงทำความสะอาดโต๊ะ ปีเตอร์ซึ่งอบพายชุดแรกเสร็จแล้วหอบถาดขนมหอมกรุ่นออกมา พอเห็นเด็กหนุ่มกำลังเก็บจานเปล่ากับถ้วยชาจึงขมวดคิ้วถาม
“มีลูกค้าหรือ”
“ครับ” เด็กหนุ่มตอบสั้น ๆ ขณะถือภาชนะทั้งหมดมาล้างในอ่าง ปีเตอร์บรรจงคีบพายทีละชิ้นเรียงในตู้ปากก็ถามไปด้วย
“ใครกันล่ะ” ที่ถามเพราะมีลูกค้าประจำสองสามรายที่มักจะเข้ามาอุดหนุนในเวลาเช้าตรู่แบบนี้ อเล็กซ์สั่นหน้าเหมือนบอกว่าไม่ใช่คนเหล่านั้น
“คุณไซรัสครับ เขามาทานมื้อเช้าก่อนไปทำงาน ผมเลยทำไข่เบเนดิกซ์กับชาร้อนหนึ่งแก้ว ก่อนไปเขายังชมเลยว่าอาหารของผมอร่อยมาก”
เล่าด้วยสีหน้าภาคภูมิจนคนฟังรู้สึกแปลกใจ
“นายได้รับคำชมทุกครั้งอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
“มันก็ใช่ แต่ครั้งนี้คนชมคือเอฟบีไอที่เก่งที่สุดเชียวนะครับ” อเล็กซ์พูดทั้งที่ยังคงยิ้มจนเห็นฟันขาวสะอาดราวไข่มุก ปีเตอร์มองเด็กหนุ่มอย่างนึกเอ็นดูก่อนส่ายหน้าและเปรยพอให้ได้ยิน
“เด็กหนอเด็ก”
“ผมเรียนมหาวิทยาลัยแล้วนะครับ” อเล็กซ์แย้งทันควัน เจ้าของร้านหัวเราะออกมาอย่างขบขัน เพราะไม่ว่าจะมองยังไง คนตรงหน้าก็ยังเด็กเสมอสำหรับเขา
“ไว้เรียนจบแล้วค่อยตัดสินเรื่องนี้กันใหม่นะ”
พูดพร้อมกับขยี้ผมเด็กในปกครองก่อนฉวยถาดเปล่าเดินหัวเราะกลับเข้าห้องทำขนมปล่อยให้ อเล็กซ์ยืนหน้าบูดเฝ้าร้านไว้คนเดียว
*/*/*/*/*
ไซรัสขับรถยนต์ส่วนตัวเข้าไปจอดในสำนักงานเอฟบีไอ เนื่องจากยังคงเป็นเวลาเช้าตรู่ เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่จึงยังมาไม่ถึง พอแสดงตัวกับหน่วยรักษาความปลอดภัยแล้วเขาจึงตรงดิ่งไปยังห้องประชุม ลากกระดานอีกอันที่ยังว่างมาติดแผนที่ของเมือง จากนั้นจึงเริ่มติดกระดาษแสดงตำแหน่งที่พบศพเหยื่อทั้งห้าและเริ่มคำนวณ ระยะทางกับเวลาโดยให้ตัวเมืองเป็นจุดศูนย์กลาง กระทั่งใกล้เวลาเข้างานตามปกติ ผู้ที่เดินเข้าประตูเป็นคนแรกคือเอ็ดเวิร์ด ซึ่งเมื่อเห็นไซรัสเขาก็ไม่ได้แปลกใจมากนักเหมือนรู้อยู่แล้วว่า เพื่อนร่วมงานคนนี้จะต้องมาถึงก่อนคนอื่น เขาวางกระเป๋าเอกสารอย่างเงียบกริบและยืนมองไซรัสที่กำลังง่วนอยู่กับการใช้เชือกโยงจุดต่าง ๆเข้าไว้ด้วยกัน จนยีนกับทัคเกอร์ก้าวเข้าห้อง เสียงพูดคุยของทั้งคู่ทำให้เอฟบีไอหนุ่มเอี้ยวศีรษะมามอง
“อรุณสวัสดิ์ วันนี้มาแต่เช้าเลยนะ” ยีนเอ่ยทักอย่างสดชื่นก่อนเลื่อนเก้าอี้ออกมานั่งและจ้องแผนผังบนกระดานที่ไซรัสเพิ่งทำเสร็จสด ๆ ร้อน ๆ “อะไรน่ะ”
“ผมกำลังหาที่อยู่ของคนร้าย” ไซรัสตอบก่อนเบนหน้ากลับไปที่กระดานอีกครั้ง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเหมือนไม่พอใจเท่าไหร่ เอ็ดเวิร์ดจึงพูด
“ตอนแรกพวกเราก็คิดว่าคนร้ายอยู่ในเมือง แต่พอดูจากระยะทางแล้ว บางจุดมันอยู่ห่างกันมากเกินไป”
“ถ้ามองจากระยะละก็ใช่” ไซรัสพูด “ที่ผมคิดก็คือสถานที่ก่อเหตุของคนร้ายอยู่ในเมืองและเขาเลือกสถานที่ทิ้งศพโดยใช้เวลาเป็นตัวเลือก”
“ผมไม่เข้าใจ” คราวนี้ยีนเป็นคนพูด ตามองป้ายชื่อของผู้เสียชีวิตที่ไซรัสติดไว้บนกระดาน หากให้ใจกลางเมืองเป็นจุดศูนย์กลางอย่างที่ไซรัสบอก ศพเหล่านั้นจะกระจายเป็นวงล้อมรอบได้อย่างพอดิบพอดี แต่ไซรัสยังไม่ตอบ เขากลับยืนมองกระดานนิ่งอย่างใช้ความคิดจนกระทั่งแคลร์เดินถือถ้วยกาแฟกับโดนัทช็อคโกแลตที่ถูกกัดไปแล้วครึ่งอันเข้าห้องประชุม เขาจึงเอ่ยปากโดยไม่หันหน้าไปมอง
“รีบกินให้หมด”
ไม่ต้องซักให้มากความ แคลร์ยัดโดนัทที่เหลือเข้าปาก กรอกกาแฟตามรวดเดียวหมดแก้ว เมื่อเห็นว่าทุกคนในทีมพร้อม ไซรัสจึงเริ่มอธิบายในสิ่งที่เขาคิด
“จากรายงานทั้งของตำรวจและเอฟบีไอ ทุกคนมัวแต่มุ่งประเด็นของการทิ้งศพไปที่ระยะทาง ทำให้ไม่สามารถระบุสถานที่ก่อเหตุได้อย่างแน่ชัด แต่ถ้าตัดเรื่องนี้ออกไปแล้วคิดในแง่ของเวลา” ไซรัสพูดพลางใช้นิ้วชี้ไปยังจุดที่พบศพ “เหยื่อรายที่สามและสี่อยู่ไกลกันมากก็จริง แต่ถ้าเราเอาเมืองเป็นจุดศูนย์กลางและมองที่การจราจรกับถนน จะเห็นว่าการเดินทางไปยังสถานที่ทั้งสองแห่งใช้เวลาไม่เกินยี่สิบนาที จุดพบศพอื่นก็เหมือนกัน”