[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://pantip.com/topic/35795953
บทที่ 11 การตายของบิ๊กฟุต
“บิ๊กฟุต มีชื่อจริงว่าวิลเลี่ยม วู้ดแมน อายุ 35 ปี พ่อแม่ของเขาประสบอุบัติเหตุหิมะถล่มตอนอายุ 12 เลยต้องไปอาศัยอยู่กับปู่ย่า ทั้งคู่เสียชีวิตไปเมื่อสามปีก่อน เขาจึงอยู่ตามลำพังนับจากนั้น ที่มีฉายาว่าบิ๊กฟุต เพราะเนื่องมาจากขนาดของเท้าที่ยาวกว่าปกติ พื้นฐานนิสัยโดยรวมแล้ว เขาเป็นมีอัธยาศัยไมตรี สุภาพ มีน้ำใจ ไม่เคยแสดงความก้าวร้าวกับคนอื่นเลยสักครั้ง”
เอ็ดเวิร์ดร่ายประวัติของผู้ตายที่นอนตาเหลือกค้างอยู่บนเก้าอี้ให้นักสืบท้องถิ่นที่กำลังยืนคั่นกลางระหว่างตัวเขากับบิ๊กฟุตฟัง แต่อีกฝ่ายกลับยักไหล่เหมือนไม่แยแสต่อสิ่งที่ได้ยิน
“นั่นอาจจะเป็นสิ่งที่เขาทำเพื่อตบตาคนอื่น” เขาชำเลืองมองบิ๊กฟุตด้วยหางตา “แกล้งตีหน้าซื่อทำตัวเป็นคนดี แท้ที่จริงแล้วข้างในเป็นปิศาจร้ายจิตใจวิปริตโหดเหี้ยม”
“จากข้อมูลของพวกผม บิ๊กฟุตเป็นคนเก็บตัวก็จริงแต่ไม่มีพฤติกรรมแบบนั้น” เอ็ดเวิร์ดแย้ง นักสืบผู้นั้นกระแทกลมหายออกมาดัง เฮอะ! ก่อนฉวยซองหลักฐานขึ้นมาจ่อไว้ตรงหน้าเขา
“แล้วข้อมูลของพวกคุณบอกหรือเปล่าว่าเขาซุกของพวกนี้ไว้ในบ้าน !” น้ำเสียงที่ใช้ดังลั่นจนตำรวจทุกคนหันมามองแต่เจ้าตัวไม่สน เขายังคงจ้องหัวหน้าทีมเอฟบีไออย่างเอาเรื่อง ความดันทุรังของนักสืบที่กำลังยืนจ้องเขม็งในท่าที่พร้อมจะโต้แย้งทุกอย่างทำให้เอ็ดเวิร์ดอยากถอนใจออกมาแรง ๆ แต่เพราะรู้ว่าขืนทำแบบนั้นมีหวังอีกฝ่ายพาลจะเข้าใจผิดคิดว่ากำลังโดนดูถูก เขาจึงตะล่อมด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ขอโทษด้วยครับผู้หมวดมิลเล่อร์ ผมไม่ได้มีเจตนาแย่งคดีของคุณ ที่ให้ข้อมูลไปแบบนั้นก็เพื่อให้คุณลองไตร่ตรองดูก่อน เพราะถ้านี่เป็นการเข้าใจผิด บิ๊กฟุตก็จะกลายเป็นคนโชคร้ายส่วนฆาตกรตัวจริงก็ยังคงลอยนวล ทางที่ดีคุณควรส่งผ้าพวกนั้นนั่นไปกองพิสูจน์หลักฐาน ตรวจเลือดดูว่าตรงกับเหยื่อคนไหนบ้าง”
คำชี้แจงของเอ็ดเวิร์ดไม่ได้ทำให้นักสืบมิลเลอร์ผ่อนความรั้นลงเลยสักนิด ตรงกันข้ามมันกลับเหมือนเป็นการโยนเชื้อฟางเข้ากองไฟ ทำให้ความโกรธเพิ่มทวีขึ้น
“จะต้องตรวจอีกทำไมในเมื่อเห็น ๆ กันอยู่ว่าผ้าพวกนี้มาจากเสื้อของเหยื่อ” เขาเถียงด้วยน้ำเสียงที่เกือบจะกลายเป็นตะโกนและโบกซองหลักฐานในมือ “ถ้ามองเฉย ๆแล้วจำไม่ได้ก็ช่วยแหกตาดูให้ดี !”
ป่วยการที่จะอธิบายเหตุผลให้คนหัวดื้อแบบนี้ฟัง ยิ่งมีการตั้งแง่ว่าคดีสำคัญแบบนี้กำลังถูกแย่งด้วยแล้วพวกตำรวจคงไม่ยอมให้พวกเขาเข้าใกล้ศพและรีบสรุปฟันธงไปเลยว่าบิ๊กฟุตคือฆาตกร ที่จริงแล้วเขาจะทำเป็นเพิกเฉยปล่อยให้เป็นแบบนั้นก็ได้ เพราะลองคนร้ายฉลาดขนาดฆ่าคนเพื่อเลี่ยงความสนใจและหาตัวตายตัวแทนเพื่อกลบเกลื่อนเรื่องของตัวเองได้ การฆ่าครั้งต่อไปคงมีความพิถีพิถันมากขึ้นและพวกเขาคงไม่มีวันพบศพผู้เคราะห์ร้ายอีกเลย
“เราต้องให้ความยุติธรรมกับเขา” เอ็ดเวิร์ดพยายามหว่านล้อมแต่อีกฝ่ายกลับทำเสียงขึ้นจมูก
“แล้วเหยื่อห้าคนที่ตายไปล่ะ เขาไม่สมควรได้รับความยุติธรรมอย่างนั้นหรือ”
“พวกเขาสมควรได้รับ แต่...”
“พอหยุดเลยผมไม่อยากฟัง” นักสืบมิลเลอร์กล่าวตัดบทพลางส่งซองหลักฐานให้กับตำรวจที่ยืนฟังอยู่ข้าง ๆ “บ้านหลังนี้เป็นสถานที่เกิดเหตุ เชิญพวกคุณทุกคนออกไปได้”
“คุณกำลังเดินเข้าอวนของคนร้ายนะ นักสืบมิลเลอร์”
ยีนซึ่งยืนฟังอยู่นานโพล่งออกมาอย่างเหลืออด อีกฝ่ายเหลือบมองอย่างท้าทาย
“พวกคุณเองก็กำลังเรียงแถวเข้าไปในห้องสี่เหลี่ยมที่มีเหล็กเส้นเป็นผนัง” มิลเลอร์พูดก่อนหันไปออกคำสั่งกับตำรวจอีกสองนาย “ช่วยพาคุณเอฟบีไอพวกนี้ออกไปด้วย”
แม้จะเป็นคดีของเอฟบีไอ แต่ด้วยหลักที่ว่าต้องให้ความเคารพต่อท้องที่ เอ็ดเวิร์ดจึงจำต้องแสร้งทำเป็นยกธงยอมแพ้เดินนำลูกน้องทั้งสองออกจากที่เกิดเหตุ ทันทีที่พ้นชายคาบ้าน เขาจึงหันไปทางแคลร์ที่กำลังยืนหน้าบึ้งอยู่กับไซรัส
“ผมได้ยินมาว่าคุณสนิทกับใครบางคนในนิติเวช”
“ก็แค่คุยกันถูกคอ” เธอมองกลับเข้าไปในบ้านแวบหนึ่งก่อนเลื่อนมาสบตาเอ็ดเวิร์ด “เลิกงานวันนี้ฉันว่าจะแวะไปทักทายเขาหน่อย มีเรื่องสนุกที่น่าจะคุยกันยาว”
ทั้งที่เป็นประโยคหยอกเย้าแต่สีหน้าของแคลร์กลับเรียบเฉย ปราศจากแววขี้เล่นเหมือนที่เธอมักทำเป็นประจำ แสดงให้เห็นว่าหญิงสาวสะเทือนใจกับการตายของบิ๊กฟุตมากพอดู เอ็ดเวิร์ดจึงกล่าวพอให้ได้ยิน
“เขาเป็นผู้บริสุทธิ์”
“ฉันรู้” แคลร์สวนคำกลับทันควันเป็นจังหวะเดียวกับที่นักสืบมิลเลอร์ก้าวออกจากบ้านพอดี หญิงสาวจึงหันไปจ้องด้วยสายตาขุ่นเคือง “ที่นี่ไม่มีอะไรให้ทำแล้ว ฉันขอกลับก่อนนะ”
เอ็ดเวิร์ดผงกศีรษะเพื่ออนุญาต จากนั้นจึงสั่งให้ยีนกับทักเกอร์ขับรถกลับสำนักงาน แต่แทนที่จะนั่งรถไปกันสามคนเหมือนขามา เขากลับแยกไปขึ้นรถไซรัส ทันทีที่รถเคลื่อนออกจากที่เกิดเหตุ คนขับก็เอ่ยปากพูดถึงสิ่งที่ยังค้างคาอยู่ในใจ
“นายไม่คิดว่าบิ๊กฟุตเป็นฆาตกร”
“หรือนายคิด” เอ็ดเวิร์ดย้อนคำถามกลับ ไซรัสนิ่งไปเล็กน้อยก่อนส่ายหน้า
“เขาเป็นออทิสติก”
“รู้เรื่องนี้ด้วยหรือ” หัวหน้าทีมพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่แสดงถึงความแปลกใจเลยแม้แต่น้อย ทำให้ไซรัสชำเลืองมองเพื่อนอย่างนึกรำคาญ
“มีแต่คนปัญญาอ่อนเท่านั้นที่มองไม่ออก” สมองย้อนหวนนึกถึงนักสืบมิลเลอร์อย่างดูแคลน หมอนั่นรู้จักบิ๊กฟุตก็จริงแต่ดูท่าทางแล้วจะไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าชายตัวโตคนนั้นมีความผิดปกติทางสมอง ถึงจะแค่อ่อน ๆ ก็ตาม ดูเหมือนเอ็ดเวิร์ดจะเข้าใจความคิดของเพื่อน
“ถึงหัวจะทื่อไปสักหน่อยแต่มิลเลอร์ก็เป็นคนเก่งพอดู”
“งั้นคงต้องตัดหัวทิ้งก่อนถึงจะร่วมงานกันได้” ไซรัสประชดและเงียบไปอึดใจก่อนถาม “รู้เรื่องของบิ๊กฟุตละเอียดแค่ไหน”
“มากพอที่จะแน่ใจว่าเขาไม่มีวันทำร้ายใคร” เอ็ดเวิร์ดตอบ “ครั้งแรกที่เข้ามาทำคดี บิ๊กฟุตคือผู้ต้องสงสัยอันดับต้น ๆ แต่แคลร์ไม่คิดแบบนั้น เธอสืบค้นประวัติ ตามดูพฤติกรรมเขานานเป็นเดือนจนรู้ว่าถึงบิ๊กฟุตจะสูญเสียพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก แต่การเลี้ยงดูอย่างอบอุ่นของปู่กับย่าทำให้เขาเป็นคนมีนิสัยอ่อนโยน ชอบช่วยเหลือคนอื่น อาการของออทิสติกของเขาก็ไม่รุนแรงนัก สามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นและประกอบกิจกรรมทางสังคมได้ สิ่งเดียวที่เป็นผลกระทบจากความผิดปกติคือร่างกายที่มีการเจริญเติบโตมากกว่าคนทั่วไปซึ่งสวนทางกับความต้องการทางเพศ พูดง่าย ๆ ก็คือ บิ๊กฟุตมีความสุขกับการมีชีวิตแต่ไม่สนใจเรื่องเพศสัมพันธ์”
“ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ว่าเขาจะเป็นฆาตกร” ไซรัสสรุป “แต่ดูท่านักสืบคนเก่งของเราจะไม่คิดแบบนั้น”
“นั่นแหละที่ทำให้ฉันหนักใจ เพราะถ้าประกาศออกไปว่าบิ๊กฟุตคือคนร้าย ฆาตกรตัวจริงได้ตีปีกแน่” เอ็ดเวิร์ดพูดด้วยสีหน้ากังวล “บางทีตอนนี้หมอนั่นอาจกำลังร่างรายชื่อเหยื่อรอเอาไว้ด้วยซ้ำ เรื่องเงียบเมื่อไหร่คงเจอศพเพิ่มอีกเป็นสิบ”
“หรืออาจจะไม่เจอเลยแม้แต่ศพเดียว” ไซรัสพูดพลางชำเลืองตามองคนที่เป็นทั้งหัวหน้าและเพื่อน “นายมีแผนยังไง”
“ให้แคลร์ตามเรื่องหลักฐานกับศพ ส่วนนาย” ดวงตาที่อัดแน่นไปด้วยความคิดของเอ็ดเวิร์ดจ้องตรงไปข้างหน้า “ย้อนกลับไปที่บ้านของบิ๊กฟุตอีกครั้ง ดูว่านอกจากเศษผ้าแล้วยังมีอะไรเชื่อมโยงกับเหยื่ออีกเพราะจากข้อสันนิษฐานของพวกเรา ฆาตกรต้องกักขังเหยื่อไว้ในที่ลับตา ดังนั้นบ้านของเขาต้องมีห้องลับซ่อนอยู่”
“จะให้ฉันลงมือเมื่อไหร่” ไซรัสถาม เอ็ดเวิร์ดมองหน้าเพื่อน
“คืนนี้”
ชายหนุ่มส่งเสียงหึในคอ “แน่ใจหรือ คดีดังแบบนี้หมอนั่นคงไม่ปล่อยบ้านให้ว่างไว้เฉยๆแน่”
เอ็ดเวิร์ดเข้าใจดีว่า หมอนั่น ที่ไซรัสเอ่ยถึงคือนักสืบมิลเลอร์
“อย่างเก่งก็แค่ส่งตำรวจมาเฝ้าสองคน แต่ฉันคิดว่าอดีตรีคอนอย่างนายคงหาทางเล็ดลอดเข้าไปได้ไม่ยาก”
นัยน์ตาคมดุของไซรัสตวัดมองเอ็ดเวิร์ดแวบหนึ่ง “ทำไมคราวนี้ถึงปล่อยให้ฉันฉายเดี่ยว”
“คนเดียวน่าจะคล่องตัวกว่า” หัวหน้าทีมตอบตามจริงและอีกเหตุผลที่เขาตัดสินใจแบบนั้นเพราะเชื่อในฝีมือของลูกน้องคนเก่งอีกทั้งยังมั่นใจว่าคนร้ายคงไม่ขุดหลุมฝังตัวเองด้วยการย้อนกลับไปสถานที่เกิดเหตุซึ่งมีตำรวจเฝ้า ไซรัสผงกศีรษะให้กับคำตอบดังกล่าว แต่กลับไม่พูดอะไรตอบกลับมา อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าเขากำลังวางแผนสำหรับการสำรวจเอาไว้ในใจ เพื่อไม่ให้ขัดจังหวะการคิดเอ็ดเวิร์ดจึงยุติการสนทนาไว้แค่นั้น และทั้งคู่ก็นั่งจมกับความคิด นิ่งเงียบไม่พูดอะไรกันไปจนกระทั่งถึงสำนักงาน เมื่อทุกคน ยกเว้นแคลร์ มาพร้อมกันแล้วการประชุมอันเคร่งเครียดจึงเริ่มต้นขึ้น เอ็ดเวิร์ดได้ย้ำเตือนให้ทุกคนรู้ถึงเงื่อนงำการตายของบิ๊กฟุตพร้อมอธิบายถึงข้อสงสัยบางอย่าง แต่กลับไม่พูดเรื่องการส่งไซรัสไปตรวจหาห้องใต้ดินภายในบ้านที่เกิดเหตุให้ใครรู้เลย
ช่วงบ่ายการประชุมจึงยุติลง ยีนกับทักเกอร์แยกย้ายกันออกไปสืบหาร่องรอยของฆาตกรตามงานที่ได้รับ ไซรัสรอจนทุกคนออกไปจนหมดจึงหยิบแท็ปเล็ต เปิดผังบ้านของบิ๊กฟุตขึ้นมาดู หลังจากศึกษาจนเข้าใจดีแล้วเขาจึงเก็บมันกลับเข้ากระเป๋า ลุกขึ้นแต่ยังไม่ทันก้าวออกจากห้อง เอ็ดเวิร์ดที่ยังคงนั่งอ่านรายงานจึงเอ่ยเตือน
“ระวังตัวด้วย”
ไซรัสส่งเสียง อือม์ แทนการรับคำก่อนเดินออกจากห้องประชุม จากนั้นจึงขับรถออกจากสำนักงานมุ่งหน้าไปยังบ้านของบิ๊กฟุต วนรถไปรอบ ๆเพื่อสำรวจพื้นที่ซึ่งก็พบว่าบ้านของผู้ที่กำลังถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกรนั้น มีลักษณะคล้ายกับบ้านของคนทั่วไปคือเป็นบ้านสองชั้น ด้านหน้าเป็นสนามเปิดโล่ง ที่เพื่อนบ้านสามารถไปมาหาสู่ได้อย่างสบาย ส่วนด้านหลังมีรั้วกั้นแต่ก็มีประตูบานเล็กที่น่าจะเอาไว้สำหรับนำถังขยะมาทิ้งด้านนอก ไซรัสจึงตั้งใจว่าจะใช้ประตูบานนี้ในการลักลอบเข้าไป หลังจากสังเกตการณ์จนเป็นที่พอใจแล้ว เขาจึงออกจากที่นั่นโดยความตั้งใจแรกคือกลับแมนชั่นเพื่อเปลี่ยนชุดให้เป็นเครื่องแต่งกายที่รัดกุม แต่เพราะเสียเวลาไปกับการประชุมกับการสำรวจเมื่อครู่ทำให้ท้องเริ่มออกอาการประท้วง ชายหนุ่มจึงจำต้องแวะกลับเข้าเมืองอีกครั้ง แทนที่จะมุ่งตรงไปยังร้านอาหาร ไซรัสกลับมุ่งตรงไปยังสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งรู้ตัวอีกทีก็พบว่า มันคือร้านของปีเตอร์
เขามาที่นี่ทำไมกันเนี่ย ?
ชายหนุ่มตั้งคำถามกับตัวเองด้วยความโมโห เพราะรู้ว่าอเล็กซ์รู้จักและดูแหมือนจะคุ้นเคยกับบิ๊กฟุตมากพอควร ป่านนี้ข่าวการตายของเขาคงแพร่สะพัดไปทั่วรวมถึงข้อกล่าวหาร้ายแรงนั่นด้วย
ไซรัสระบายลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิดและทำท่าจะถอยรถออกจากที่นั่นแต่พอสายตาสะดุดเข้ากับใครบางคนในร้าน เท้าที่กำลังเหยียบคันเร่งก็ถอนออก มือเลื่อนไปบิดกุญแจดับเครื่องยนต์ จากนั้นจึงก้าวลงจากรถ ทันทีที่ได้ยินเสียงกระดิ่งเล็ก ๆ ที่ติดไว้เหนือประตู อเล็กซ์ก็หันมาส่งยิ้มตามมารยาทพร้อมกับเอ่ยเชิญ
“ยินดีต้อนรั_ ” คำพูดชะงักไปเล็กน้อย “คุณไซรัส”
ชายหนุ่มพยักหน้าหนึ่งครั้งแทนการตอบรับก่อนเลือกโต๊ะซึ่งอยู่ด้านในสุดและค่อนข้างห่างจากโต๊ะอื่น ยังไม่ทันได้นั่งให้เรียบร้อย อเล็กซ์ที่เดินตามหลังไปติด ๆ ถึงรีบถามอย่างร้อนใจ
“จริงหรือครับ”
“เรื่องอะไร”
“ที่ว่าบิ๊กฟุตเป็นฆาตกร” เด็กหนุ่มถามไปตามตรงเพราะตั้งแต่เช้าเขาได้ยินข่าวนี้ทั้งจากทางโทรทัศน์และลูกค้าที่เข้ามานั่งในร้าน แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าบิ๊กฟุตจะทำเรื่องร้ายแรงแบบนั้น แม้ตำรวจจะบอกว่ามีหลักฐานยืนยันอย่างหนักแน่นก็ตาม เพื่อให้แน่ใจว่าตนเองคิดถูก อเล็กซ์จึงตั้งใจรอถามไซรัส นักสืบมือหนึ่งของเอฟบีไอ ผู้ชายที่เขาเชื่อถือมากที่สุด
สืบรักจับหัวใจเอฟบีไอ บทที่ 11 การตายของบิ๊กฟุต
บทที่ 11 การตายของบิ๊กฟุต
“บิ๊กฟุต มีชื่อจริงว่าวิลเลี่ยม วู้ดแมน อายุ 35 ปี พ่อแม่ของเขาประสบอุบัติเหตุหิมะถล่มตอนอายุ 12 เลยต้องไปอาศัยอยู่กับปู่ย่า ทั้งคู่เสียชีวิตไปเมื่อสามปีก่อน เขาจึงอยู่ตามลำพังนับจากนั้น ที่มีฉายาว่าบิ๊กฟุต เพราะเนื่องมาจากขนาดของเท้าที่ยาวกว่าปกติ พื้นฐานนิสัยโดยรวมแล้ว เขาเป็นมีอัธยาศัยไมตรี สุภาพ มีน้ำใจ ไม่เคยแสดงความก้าวร้าวกับคนอื่นเลยสักครั้ง”
เอ็ดเวิร์ดร่ายประวัติของผู้ตายที่นอนตาเหลือกค้างอยู่บนเก้าอี้ให้นักสืบท้องถิ่นที่กำลังยืนคั่นกลางระหว่างตัวเขากับบิ๊กฟุตฟัง แต่อีกฝ่ายกลับยักไหล่เหมือนไม่แยแสต่อสิ่งที่ได้ยิน
“นั่นอาจจะเป็นสิ่งที่เขาทำเพื่อตบตาคนอื่น” เขาชำเลืองมองบิ๊กฟุตด้วยหางตา “แกล้งตีหน้าซื่อทำตัวเป็นคนดี แท้ที่จริงแล้วข้างในเป็นปิศาจร้ายจิตใจวิปริตโหดเหี้ยม”
“จากข้อมูลของพวกผม บิ๊กฟุตเป็นคนเก็บตัวก็จริงแต่ไม่มีพฤติกรรมแบบนั้น” เอ็ดเวิร์ดแย้ง นักสืบผู้นั้นกระแทกลมหายออกมาดัง เฮอะ! ก่อนฉวยซองหลักฐานขึ้นมาจ่อไว้ตรงหน้าเขา
“แล้วข้อมูลของพวกคุณบอกหรือเปล่าว่าเขาซุกของพวกนี้ไว้ในบ้าน !” น้ำเสียงที่ใช้ดังลั่นจนตำรวจทุกคนหันมามองแต่เจ้าตัวไม่สน เขายังคงจ้องหัวหน้าทีมเอฟบีไออย่างเอาเรื่อง ความดันทุรังของนักสืบที่กำลังยืนจ้องเขม็งในท่าที่พร้อมจะโต้แย้งทุกอย่างทำให้เอ็ดเวิร์ดอยากถอนใจออกมาแรง ๆ แต่เพราะรู้ว่าขืนทำแบบนั้นมีหวังอีกฝ่ายพาลจะเข้าใจผิดคิดว่ากำลังโดนดูถูก เขาจึงตะล่อมด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ขอโทษด้วยครับผู้หมวดมิลเล่อร์ ผมไม่ได้มีเจตนาแย่งคดีของคุณ ที่ให้ข้อมูลไปแบบนั้นก็เพื่อให้คุณลองไตร่ตรองดูก่อน เพราะถ้านี่เป็นการเข้าใจผิด บิ๊กฟุตก็จะกลายเป็นคนโชคร้ายส่วนฆาตกรตัวจริงก็ยังคงลอยนวล ทางที่ดีคุณควรส่งผ้าพวกนั้นนั่นไปกองพิสูจน์หลักฐาน ตรวจเลือดดูว่าตรงกับเหยื่อคนไหนบ้าง”
คำชี้แจงของเอ็ดเวิร์ดไม่ได้ทำให้นักสืบมิลเลอร์ผ่อนความรั้นลงเลยสักนิด ตรงกันข้ามมันกลับเหมือนเป็นการโยนเชื้อฟางเข้ากองไฟ ทำให้ความโกรธเพิ่มทวีขึ้น
“จะต้องตรวจอีกทำไมในเมื่อเห็น ๆ กันอยู่ว่าผ้าพวกนี้มาจากเสื้อของเหยื่อ” เขาเถียงด้วยน้ำเสียงที่เกือบจะกลายเป็นตะโกนและโบกซองหลักฐานในมือ “ถ้ามองเฉย ๆแล้วจำไม่ได้ก็ช่วยแหกตาดูให้ดี !”
ป่วยการที่จะอธิบายเหตุผลให้คนหัวดื้อแบบนี้ฟัง ยิ่งมีการตั้งแง่ว่าคดีสำคัญแบบนี้กำลังถูกแย่งด้วยแล้วพวกตำรวจคงไม่ยอมให้พวกเขาเข้าใกล้ศพและรีบสรุปฟันธงไปเลยว่าบิ๊กฟุตคือฆาตกร ที่จริงแล้วเขาจะทำเป็นเพิกเฉยปล่อยให้เป็นแบบนั้นก็ได้ เพราะลองคนร้ายฉลาดขนาดฆ่าคนเพื่อเลี่ยงความสนใจและหาตัวตายตัวแทนเพื่อกลบเกลื่อนเรื่องของตัวเองได้ การฆ่าครั้งต่อไปคงมีความพิถีพิถันมากขึ้นและพวกเขาคงไม่มีวันพบศพผู้เคราะห์ร้ายอีกเลย
“เราต้องให้ความยุติธรรมกับเขา” เอ็ดเวิร์ดพยายามหว่านล้อมแต่อีกฝ่ายกลับทำเสียงขึ้นจมูก
“แล้วเหยื่อห้าคนที่ตายไปล่ะ เขาไม่สมควรได้รับความยุติธรรมอย่างนั้นหรือ”
“พวกเขาสมควรได้รับ แต่...”
“พอหยุดเลยผมไม่อยากฟัง” นักสืบมิลเลอร์กล่าวตัดบทพลางส่งซองหลักฐานให้กับตำรวจที่ยืนฟังอยู่ข้าง ๆ “บ้านหลังนี้เป็นสถานที่เกิดเหตุ เชิญพวกคุณทุกคนออกไปได้”
“คุณกำลังเดินเข้าอวนของคนร้ายนะ นักสืบมิลเลอร์”
ยีนซึ่งยืนฟังอยู่นานโพล่งออกมาอย่างเหลืออด อีกฝ่ายเหลือบมองอย่างท้าทาย
“พวกคุณเองก็กำลังเรียงแถวเข้าไปในห้องสี่เหลี่ยมที่มีเหล็กเส้นเป็นผนัง” มิลเลอร์พูดก่อนหันไปออกคำสั่งกับตำรวจอีกสองนาย “ช่วยพาคุณเอฟบีไอพวกนี้ออกไปด้วย”
แม้จะเป็นคดีของเอฟบีไอ แต่ด้วยหลักที่ว่าต้องให้ความเคารพต่อท้องที่ เอ็ดเวิร์ดจึงจำต้องแสร้งทำเป็นยกธงยอมแพ้เดินนำลูกน้องทั้งสองออกจากที่เกิดเหตุ ทันทีที่พ้นชายคาบ้าน เขาจึงหันไปทางแคลร์ที่กำลังยืนหน้าบึ้งอยู่กับไซรัส
“ผมได้ยินมาว่าคุณสนิทกับใครบางคนในนิติเวช”
“ก็แค่คุยกันถูกคอ” เธอมองกลับเข้าไปในบ้านแวบหนึ่งก่อนเลื่อนมาสบตาเอ็ดเวิร์ด “เลิกงานวันนี้ฉันว่าจะแวะไปทักทายเขาหน่อย มีเรื่องสนุกที่น่าจะคุยกันยาว”
ทั้งที่เป็นประโยคหยอกเย้าแต่สีหน้าของแคลร์กลับเรียบเฉย ปราศจากแววขี้เล่นเหมือนที่เธอมักทำเป็นประจำ แสดงให้เห็นว่าหญิงสาวสะเทือนใจกับการตายของบิ๊กฟุตมากพอดู เอ็ดเวิร์ดจึงกล่าวพอให้ได้ยิน
“เขาเป็นผู้บริสุทธิ์”
“ฉันรู้” แคลร์สวนคำกลับทันควันเป็นจังหวะเดียวกับที่นักสืบมิลเลอร์ก้าวออกจากบ้านพอดี หญิงสาวจึงหันไปจ้องด้วยสายตาขุ่นเคือง “ที่นี่ไม่มีอะไรให้ทำแล้ว ฉันขอกลับก่อนนะ”
เอ็ดเวิร์ดผงกศีรษะเพื่ออนุญาต จากนั้นจึงสั่งให้ยีนกับทักเกอร์ขับรถกลับสำนักงาน แต่แทนที่จะนั่งรถไปกันสามคนเหมือนขามา เขากลับแยกไปขึ้นรถไซรัส ทันทีที่รถเคลื่อนออกจากที่เกิดเหตุ คนขับก็เอ่ยปากพูดถึงสิ่งที่ยังค้างคาอยู่ในใจ
“นายไม่คิดว่าบิ๊กฟุตเป็นฆาตกร”
“หรือนายคิด” เอ็ดเวิร์ดย้อนคำถามกลับ ไซรัสนิ่งไปเล็กน้อยก่อนส่ายหน้า
“เขาเป็นออทิสติก”
“รู้เรื่องนี้ด้วยหรือ” หัวหน้าทีมพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่แสดงถึงความแปลกใจเลยแม้แต่น้อย ทำให้ไซรัสชำเลืองมองเพื่อนอย่างนึกรำคาญ
“มีแต่คนปัญญาอ่อนเท่านั้นที่มองไม่ออก” สมองย้อนหวนนึกถึงนักสืบมิลเลอร์อย่างดูแคลน หมอนั่นรู้จักบิ๊กฟุตก็จริงแต่ดูท่าทางแล้วจะไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าชายตัวโตคนนั้นมีความผิดปกติทางสมอง ถึงจะแค่อ่อน ๆ ก็ตาม ดูเหมือนเอ็ดเวิร์ดจะเข้าใจความคิดของเพื่อน
“ถึงหัวจะทื่อไปสักหน่อยแต่มิลเลอร์ก็เป็นคนเก่งพอดู”
“งั้นคงต้องตัดหัวทิ้งก่อนถึงจะร่วมงานกันได้” ไซรัสประชดและเงียบไปอึดใจก่อนถาม “รู้เรื่องของบิ๊กฟุตละเอียดแค่ไหน”
“มากพอที่จะแน่ใจว่าเขาไม่มีวันทำร้ายใคร” เอ็ดเวิร์ดตอบ “ครั้งแรกที่เข้ามาทำคดี บิ๊กฟุตคือผู้ต้องสงสัยอันดับต้น ๆ แต่แคลร์ไม่คิดแบบนั้น เธอสืบค้นประวัติ ตามดูพฤติกรรมเขานานเป็นเดือนจนรู้ว่าถึงบิ๊กฟุตจะสูญเสียพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก แต่การเลี้ยงดูอย่างอบอุ่นของปู่กับย่าทำให้เขาเป็นคนมีนิสัยอ่อนโยน ชอบช่วยเหลือคนอื่น อาการของออทิสติกของเขาก็ไม่รุนแรงนัก สามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นและประกอบกิจกรรมทางสังคมได้ สิ่งเดียวที่เป็นผลกระทบจากความผิดปกติคือร่างกายที่มีการเจริญเติบโตมากกว่าคนทั่วไปซึ่งสวนทางกับความต้องการทางเพศ พูดง่าย ๆ ก็คือ บิ๊กฟุตมีความสุขกับการมีชีวิตแต่ไม่สนใจเรื่องเพศสัมพันธ์”
“ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ว่าเขาจะเป็นฆาตกร” ไซรัสสรุป “แต่ดูท่านักสืบคนเก่งของเราจะไม่คิดแบบนั้น”
“นั่นแหละที่ทำให้ฉันหนักใจ เพราะถ้าประกาศออกไปว่าบิ๊กฟุตคือคนร้าย ฆาตกรตัวจริงได้ตีปีกแน่” เอ็ดเวิร์ดพูดด้วยสีหน้ากังวล “บางทีตอนนี้หมอนั่นอาจกำลังร่างรายชื่อเหยื่อรอเอาไว้ด้วยซ้ำ เรื่องเงียบเมื่อไหร่คงเจอศพเพิ่มอีกเป็นสิบ”
“หรืออาจจะไม่เจอเลยแม้แต่ศพเดียว” ไซรัสพูดพลางชำเลืองตามองคนที่เป็นทั้งหัวหน้าและเพื่อน “นายมีแผนยังไง”
“ให้แคลร์ตามเรื่องหลักฐานกับศพ ส่วนนาย” ดวงตาที่อัดแน่นไปด้วยความคิดของเอ็ดเวิร์ดจ้องตรงไปข้างหน้า “ย้อนกลับไปที่บ้านของบิ๊กฟุตอีกครั้ง ดูว่านอกจากเศษผ้าแล้วยังมีอะไรเชื่อมโยงกับเหยื่ออีกเพราะจากข้อสันนิษฐานของพวกเรา ฆาตกรต้องกักขังเหยื่อไว้ในที่ลับตา ดังนั้นบ้านของเขาต้องมีห้องลับซ่อนอยู่”
“จะให้ฉันลงมือเมื่อไหร่” ไซรัสถาม เอ็ดเวิร์ดมองหน้าเพื่อน
“คืนนี้”
ชายหนุ่มส่งเสียงหึในคอ “แน่ใจหรือ คดีดังแบบนี้หมอนั่นคงไม่ปล่อยบ้านให้ว่างไว้เฉยๆแน่”
เอ็ดเวิร์ดเข้าใจดีว่า หมอนั่น ที่ไซรัสเอ่ยถึงคือนักสืบมิลเลอร์
“อย่างเก่งก็แค่ส่งตำรวจมาเฝ้าสองคน แต่ฉันคิดว่าอดีตรีคอนอย่างนายคงหาทางเล็ดลอดเข้าไปได้ไม่ยาก”
นัยน์ตาคมดุของไซรัสตวัดมองเอ็ดเวิร์ดแวบหนึ่ง “ทำไมคราวนี้ถึงปล่อยให้ฉันฉายเดี่ยว”
“คนเดียวน่าจะคล่องตัวกว่า” หัวหน้าทีมตอบตามจริงและอีกเหตุผลที่เขาตัดสินใจแบบนั้นเพราะเชื่อในฝีมือของลูกน้องคนเก่งอีกทั้งยังมั่นใจว่าคนร้ายคงไม่ขุดหลุมฝังตัวเองด้วยการย้อนกลับไปสถานที่เกิดเหตุซึ่งมีตำรวจเฝ้า ไซรัสผงกศีรษะให้กับคำตอบดังกล่าว แต่กลับไม่พูดอะไรตอบกลับมา อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าเขากำลังวางแผนสำหรับการสำรวจเอาไว้ในใจ เพื่อไม่ให้ขัดจังหวะการคิดเอ็ดเวิร์ดจึงยุติการสนทนาไว้แค่นั้น และทั้งคู่ก็นั่งจมกับความคิด นิ่งเงียบไม่พูดอะไรกันไปจนกระทั่งถึงสำนักงาน เมื่อทุกคน ยกเว้นแคลร์ มาพร้อมกันแล้วการประชุมอันเคร่งเครียดจึงเริ่มต้นขึ้น เอ็ดเวิร์ดได้ย้ำเตือนให้ทุกคนรู้ถึงเงื่อนงำการตายของบิ๊กฟุตพร้อมอธิบายถึงข้อสงสัยบางอย่าง แต่กลับไม่พูดเรื่องการส่งไซรัสไปตรวจหาห้องใต้ดินภายในบ้านที่เกิดเหตุให้ใครรู้เลย
ช่วงบ่ายการประชุมจึงยุติลง ยีนกับทักเกอร์แยกย้ายกันออกไปสืบหาร่องรอยของฆาตกรตามงานที่ได้รับ ไซรัสรอจนทุกคนออกไปจนหมดจึงหยิบแท็ปเล็ต เปิดผังบ้านของบิ๊กฟุตขึ้นมาดู หลังจากศึกษาจนเข้าใจดีแล้วเขาจึงเก็บมันกลับเข้ากระเป๋า ลุกขึ้นแต่ยังไม่ทันก้าวออกจากห้อง เอ็ดเวิร์ดที่ยังคงนั่งอ่านรายงานจึงเอ่ยเตือน
“ระวังตัวด้วย”
ไซรัสส่งเสียง อือม์ แทนการรับคำก่อนเดินออกจากห้องประชุม จากนั้นจึงขับรถออกจากสำนักงานมุ่งหน้าไปยังบ้านของบิ๊กฟุต วนรถไปรอบ ๆเพื่อสำรวจพื้นที่ซึ่งก็พบว่าบ้านของผู้ที่กำลังถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกรนั้น มีลักษณะคล้ายกับบ้านของคนทั่วไปคือเป็นบ้านสองชั้น ด้านหน้าเป็นสนามเปิดโล่ง ที่เพื่อนบ้านสามารถไปมาหาสู่ได้อย่างสบาย ส่วนด้านหลังมีรั้วกั้นแต่ก็มีประตูบานเล็กที่น่าจะเอาไว้สำหรับนำถังขยะมาทิ้งด้านนอก ไซรัสจึงตั้งใจว่าจะใช้ประตูบานนี้ในการลักลอบเข้าไป หลังจากสังเกตการณ์จนเป็นที่พอใจแล้ว เขาจึงออกจากที่นั่นโดยความตั้งใจแรกคือกลับแมนชั่นเพื่อเปลี่ยนชุดให้เป็นเครื่องแต่งกายที่รัดกุม แต่เพราะเสียเวลาไปกับการประชุมกับการสำรวจเมื่อครู่ทำให้ท้องเริ่มออกอาการประท้วง ชายหนุ่มจึงจำต้องแวะกลับเข้าเมืองอีกครั้ง แทนที่จะมุ่งตรงไปยังร้านอาหาร ไซรัสกลับมุ่งตรงไปยังสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งรู้ตัวอีกทีก็พบว่า มันคือร้านของปีเตอร์
เขามาที่นี่ทำไมกันเนี่ย ?
ชายหนุ่มตั้งคำถามกับตัวเองด้วยความโมโห เพราะรู้ว่าอเล็กซ์รู้จักและดูแหมือนจะคุ้นเคยกับบิ๊กฟุตมากพอควร ป่านนี้ข่าวการตายของเขาคงแพร่สะพัดไปทั่วรวมถึงข้อกล่าวหาร้ายแรงนั่นด้วย
ไซรัสระบายลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิดและทำท่าจะถอยรถออกจากที่นั่นแต่พอสายตาสะดุดเข้ากับใครบางคนในร้าน เท้าที่กำลังเหยียบคันเร่งก็ถอนออก มือเลื่อนไปบิดกุญแจดับเครื่องยนต์ จากนั้นจึงก้าวลงจากรถ ทันทีที่ได้ยินเสียงกระดิ่งเล็ก ๆ ที่ติดไว้เหนือประตู อเล็กซ์ก็หันมาส่งยิ้มตามมารยาทพร้อมกับเอ่ยเชิญ
“ยินดีต้อนรั_ ” คำพูดชะงักไปเล็กน้อย “คุณไซรัส”
ชายหนุ่มพยักหน้าหนึ่งครั้งแทนการตอบรับก่อนเลือกโต๊ะซึ่งอยู่ด้านในสุดและค่อนข้างห่างจากโต๊ะอื่น ยังไม่ทันได้นั่งให้เรียบร้อย อเล็กซ์ที่เดินตามหลังไปติด ๆ ถึงรีบถามอย่างร้อนใจ
“จริงหรือครับ”
“เรื่องอะไร”
“ที่ว่าบิ๊กฟุตเป็นฆาตกร” เด็กหนุ่มถามไปตามตรงเพราะตั้งแต่เช้าเขาได้ยินข่าวนี้ทั้งจากทางโทรทัศน์และลูกค้าที่เข้ามานั่งในร้าน แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าบิ๊กฟุตจะทำเรื่องร้ายแรงแบบนั้น แม้ตำรวจจะบอกว่ามีหลักฐานยืนยันอย่างหนักแน่นก็ตาม เพื่อให้แน่ใจว่าตนเองคิดถูก อเล็กซ์จึงตั้งใจรอถามไซรัส นักสืบมือหนึ่งของเอฟบีไอ ผู้ชายที่เขาเชื่อถือมากที่สุด