สืบรักจับหัวใจเอฟบีไอ [Yaoi] บทที่ 1 ก้าวแรก - บทที่ 2 ร่องรอย

กระทู้สนทนา
บทที่ 1 ก้าวแรก

              ไซรัสหลุบตาลงมองนาฬิกาข้อมือของตัวเองแวบหนึ่ง เข็มวินาทีกระดิกไปทีละนิดอย่างสม่ำเสมอเหมือนการเต้นของหัวใจ เขาพร้อมแล้วสำหรับการจู่โจม แต่ตำรวจท้องที่ไม่ ทุกคนค่อย ๆ กระจายกำลังออกล้อมพื้นที่ซึ่งเป็นแมนชั่นสุดโทรมอันเป็นที่อาศัยของชนชั้นแรงงานกับมิจฉาชีพสารพัดรูปแบบ และเวลานี้คนเหล่านั้นต่างซ่อนตัวอยู่หลังประตู ตาทุกคู่จ่ออยู่กับช่องตาแมวเพื่อดูการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาอย่างสอดรู้สอดเห็น

              จากประสบการณ์ทำให้ไซรัสรู้ดีว่าคนประเภทนี้ไม่มีทางออกมาวุ่นวายกับตำรวจ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่พิเศษที่มีตัวอักษร เอฟบีไอ เด่นหราบนเสื้อเกราะกันกระสุน นอกจากพวกมันอยากจะฆ่าตัวตาย

              การวางกำลังของตำรวจเป็นไปอย่างรัดกุมเพื่อป้องกันมิให้ผู้ต้องหาหลบหนีไปได้อีก แต่การขยับในแต่ละครั้งกลับสร้างความหงุดหงิดใจให้กับเอฟบีไอหนุ่ม เพราะถึงแม้พวกเขาเหล่านั้นจะพยายามทำตัวให้เงียบ ก็ยังมีเสียงเล็ดลอดเข้าไปถึงหูเป้าหมายจนได้ ต่างจากผู้ที่ผ่านการฝึกแบบนรกสุดโหดอย่างเขา  การเดินทุกย่างก้าวจะต้องเต็มไปด้วยความระมัดระวัง ปราศจากเสียงแม้จะเดินอยู่บนใบไม้แห้งก็ตาม แต่เวลานี้ทั้งที่เดินอยู่บนพรม เสียงรองเท้าของบรรดาผู้พิทักษ์สันติราษฎร์กลับดังกึกกักอย่างน่ารำคาญ

              เมื่อประจำที่เรียบร้อยหนึ่งในนั้นจึงหันมาผงกศีรษะเป็นเชิงบอกว่าพร้อม ตำรวจที่ยืนอยู่หน้าประตูก็เอ่ยคำพูดแสดงตนตามธรรมเนียมเพื่อแจ้งให้คนในห้องได้ทราบ เมื่อไม่มีคำตอบรับเขาจึงออกคำสั่งให้หน่วยจู่โจมพังประตู เสียงตูมดังติดต่อกันสองครั้ง ครั้งแรกเกิดจากแรงกระแทกของอุปกรณ์ที่กระหน่ำลงไปบนบานประตู ครั้งที่สองคือเสียงปืนลูกซองแฝดที่คนในห้องยิงสวนออกมา ตำรวจที่ยืนอยู่หน้าห้องโดนอย่างจังเข้าที่อกจนซี่โครงหายไปทั้งแถบ พวกที่เหลือจึงหาที่กำบังพร้อมกับยิงตอบโต้แต่ต้องหดกลับกันเป็นแถวเมื่อปืนของคนร้ายดังขึ้นอีกนัด และหยุดการยิงไปเสี้ยววินาทีเพื่อเปลี่ยนอาวุธ จึงเปิดโอกาสให้ไซรัสซึ่งรออยู่แล้วระเบิดกระสุนออกไปสองนัดซ้อน นัดแรกฉีกมือข้างที่ถือปืน ส่วนอีกนัดเข้าที่ไหล่ส่งผลให้คนร้ายหงายหลังล้มทั้งยืน

              เมื่อสิ้นเสียงปืนตำรวจจึงบุกเข้าไปทำการจับกุม ส่วนเจ้าของผลงานเดินตรวจห้องของผู้ต้องสงสัยจนเจอกับหลักฐานจึงสั่งให้เจ้าหน้าที่บันทึกภาพก่อนเก็บใส่ถุงเพื่อนำไปตรวจสอบอีกครั้ง จนแน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วจึงเดินกลับลงมายังชั้นล่าง เพราะถือว่างานในส่วนของเขาจนสิ้นลงแล้ว ขณะที่กำลังเข้าไปนั่งในรถเพื่อขับกลับไปยังสถานีตำรวจเพลงประกอบหนังเรื่องพรีเดเตอร์ที่ตั้งเป็นเสียงเรียกเข้าสมาร์ตโฟนของเขาซึ่งวางทิ้งไว้ก็ดังขึ้น ไซรัสมองชื่อคนโทร.ก่อนกดรับ

              “ว่าไง” ถามสั้น ๆ ตามนิสัย พอได้ยินอีกฝ่ายกล่าวทักทายพร้อมสอบถามความเป็นอยู่ตามมารยาทเขาจึงตัดบท “เข้าเรื่องเลยดีกว่าเพราะคุณคงไม่ได้โทร.มาหาผมเพราะความคิดถึง”

              เจอคำพูดแบบนั้น คนติดต่อจึงแจงรายละเอียดซึ่งเป็นคดีที่เหยื่อฆาตกรรมห้าราย ถึงจะเป็นการบอกแบบคร่าว ๆ แต่กลับทำให้ไซรัสสนใจเป็นอย่างมาก เพราะเขาเองก็ตามข่าวเรื่องนี้มาบ้างแล้วและเริ่มเอะใจตั้งแต่พบศพรายที่สองที่แม้จะเป็นคนละสถานที่แต่ลักษณะบาดแผลรวมถึงสาเหตุการเสียชีวิตบ่งบอกว่าเกิดจากฝีมือฆาตกรรายเดียวกัน

              “ตกลง เจอกันพรุ่งนี้”

              เขาตัดสายโดยไม่รอฟังคำพูดของอีกฝ่าย บึ่งรถกลับไปเขียนรายงานเรื่องคดีที่เพิ่งสะสาง จากนั้นจึงกลับที่พักเพื่อจัดกระเป๋า พอทุกอย่างพร้อมเอฟบีไอหนุ่มจึงออกเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวมุ่งหน้าไปยังเมืองที่อยู่ไกลออกไปหลายร้อยไมล์ การขับรถติดต่อกันโดยไม่มีการแวะจอดพักที่ไหนทำให้ไซรัสไปถึงที่หมายในเช้าวันรุ่งขึ้น ด้วยนิสัยของหน่วยพิเศษที่ต้องออกสำรวจพื้นที่ก่อนลงมือ แทนที่จะตรงเข้าไปหาสมาชิกของเอฟบีไอในจุดนัดพบ เขากลับจอดรถไว้ที่ลานจอดสาธารณะและอาศัยรถโดยสารประจำทางในการเข้าเมือง ระหว่างนั้นก็คอยสังเกตจุดสำคัญต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นทางแยกหรือสวนสาธารณะ เมื่อเข้าเขตใจกลางเมือง ไซรัสจึงลงจากรถ มุ่งหน้าตรงไปยังร้านกาแฟอันเป็นจุดนัดพบด้วยการเดิน  

          */*/*/*/*

          

          บนทางเท้าของถนนสายหนึ่งภายในเมืองเต็มไปด้วยผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมาอย่างเร่งรีบ บ้างก็เพื่อไปทำงาน บ้างก็มุ่งหน้าไปยังห้างสรรพสินค้า หลายคนแวะเข้าร้านค้าสารพัดชนิดที่ตั้งเรียงรายเป็นทิวแถวทั้งสองฝั่งถนน รวมถึงหนุ่มน้อย อเล็กซ์ซานเดอร์ ฮันท์

              เขาเดินดูสินค้านานาชนิดไปพลางร้องเพลงไปพลางอย่างสุขใจและตอบรับคำทักทายจากคนแถวนั้นในบางครั้ง แม้การเรียนกับงานพิเศษจะทำให้เขาไม่ค่อยมีเวลาออกมาเดินเล่นมากนักแต่ด้วยนิสัยร่าเริง มองโลกในแง่ดี ทำให้ผู้ใหญ่หลายคนเอ็นดูอเล็กซ์ดุจลูกหลาน จนแทบจะเรียกได้ว่าหากเด็กหนุ่มแวะเข้าไปซื้อของในร้าน มักจะได้ของแถมติดมือกลับบ้านอยู่เสมอ

              วันนี้ก็เช่นกัน ระหว่างเดินผ่านร้านขนมหวาน เจ้าของร้านซึ่งกำลังสาละวนกับการจัดร้านเงยหน้าขึ้นจากขวดโหลใบโตเพื่อมองลูกค้าที่เดินผ่านไปมา พอเห็นเด็กหนุ่มเขาก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความแปลกใจแต่ยังไม่วายเอ่ยปากทัก

              “วันนี้ไม่เรียนหรืออเล็กซ์”

              “ครับ” อเล็กซ์ตอบ ชายเจ้าของร้านพยักหน้าช้าๆ

              “งั้นเหรอ หยุดแบบนี้ได้เที่ยวสบายเลยสิ” เขากระเซ้าพลางหันไปขยุ้มลูกกวาดมากำหนึ่งแล้วยัดใส่มือเด็กหนุ่มซึ่งพยายามส่ายหน้าและพูดสำทับเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายปฏิเสธ “แค่เม็ดสองเม็ดไม่เป็นไรหรอกน่า”  

              “ขอบคุณครับ” อเล็กซ์พูดอ้อมแอ้มพลางยัดลูกอมทั้งหมดลงกระเป๋า เจ้าของร้านมองเขาอย่างนึกเอ็นดูและถามต่อ

              “แล้วนี่เธอจะไปไหน”

              “ซื้อพุดดิ้งให้ปีเตอร์ครับ” อเล็กซ์ตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ขอบคุณอีกครั้งสำหรับขนม ผมไปก่อนนะครับ”

              เด็กหนุ่มโบกมืออำลาก่อนก้าวเท้ายาว ๆ เหมือนต้องการออกจากที่นั่นให้เร็วที่สุด เขาไม่ได้อคติหรือรังเกียจเจ้าของร้านผู้โอบอ้อมอารีคนนั้นเลยสักนิด แค่อึดอัดใจทุกครั้งที่ได้รับขนมซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นของหวานจำพวกลูกกวาดหรืออมยิ้ม จริงอยู่ที่อเล็กซ์ชอบขนมเหล่านี้มาก แต่ตอนนี้เขาอายุ 18 ปี และการที่คนวัยนี้เดินดูดอมยิ้มไปตามถนนคงเป็นภาพที่ไม่เหมาะเท่าใดนัก

          เดินต่อไปอีกหน่อยก็ถึงจุดหมายซึ่งเป็นร้านเบเกอรี่ เด็กหนุ่มตรงดิ่งเข้าไปส่งยิ้มให้กับเจ้าของร้านซึ่งเป็นหญิงวัยกลางคน

          “อรุณสวัสดิ์ครับคุณลอเรนซ์”

          “อรุณสวัสดิ์จ้ะอเล็กซ์” เธอตอบพร้อมส่งรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยไมตรีจิตให้ “วันนี้ทานอะไรดีจ๊ะ”

          สิ่งหนึ่งที่ทำให้อเล็กซ์ชอบเจ้าของร้านคนนี้คือ ไม่เพียงอัธยาศัยอันดีงาม เธอยังไม่เคยแสดงความอยากรู้อยากเห็นหรือตั้งคำถามจุกจิกน่ารำคาญเหมือนคนอื่น อย่างเช่นตอนนี้แทนที่จะถามว่าเหตุใดเขาจึงไม่ไปมหาวิทยาลัยเหมือนเจ้าของร้านลูกกวาด เธอกลับสนใจแค่ขนมที่เขาต้องการ พอนึกได้ว่าบุตรชายของเธอเรียนคณะเดียวกับเขา เด็กหนุ่มจึงคิดว่าที่ไม่ถามเพราะเธอรู้คำตอบนี้ดีอยู่แล้ว  

          “ผมขอพุดดิ้งสามชิ้นกับสตอเบอรี่ชีสเค้กครับ”

          คุณลอเรนซ์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยขณะเปิดตู้เพื่อหยิบขนมตามสั่ง ปากก็ชวนคุย

          “ร้านของเธอมีชีสเค้กอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”

          “ครับ แต่มันอร่อยสู้คุณทำไม่ได้” อเล็กซ์ตอบพลางใช้นิ้วชี้จรดริมฝีปากสีชมพู “อย่าให้ปีเตอร์รู้เชียวนะครับ ไม่งั้นผมถูกสับทำไส้พายแน่”

          คุณลอเรนซ์หัวเราะคิกคักก่อนรับคำ

          “จ้า ฉันไม่พูดหรอก” เธอม้วนปากถุงที่บรรจุกล่องขนมและยื่นให้เด็กหนุ่ม “ได้แล้วจ้ะ”

              “ขอบคุณครับ”

              อเล็กซ์กล่าวพลางส่งเงินพร้อมกับรอยยิ้มให้ อีกฝ่ายเอียงคอน้อยๆ

              “แคนี้ก็พอ” เธอพูดและส่งธนบัตรคืนให้หนึ่งใบ พอเห็นอเล็กซ์ทำหน้างงคุณลอเรนซ์ก็หัวเราะและอธิบาย “เห็นรอยยิ้มสดใสของเธอแล้ว ฉันเลยลดราคาให้ครึ่งหนึ่ง”

              “จะดีหรือครับ” เด็กหนุ่มถามด้วยความเกรงใจ เธอยิ้มอย่างใจดีพลางใช้มือขยี้ผมสีน้ำตาลสวยของเขาอย่างเอ็นดู

              “ดีแน่นอนจ้ะ” พูดจบก็คว้าไหล่เล็ก ๆ ทั้งสองข้างแล้วหมุนจากนั้นก็รุนหลังเขาไม่แรงนัก “ไม่รีบกลับเดี๋ยวปีเตอร์จะว่าเอานะ”

              เมื่อคุณลอเรนซ์พูดออกมาแบบนั้น อเล็กซ์จึงจำต้องยัดเงินใส่กระเป๋าและหันไปกล่าวคำขอบคุณอีกครั้งก่อนเดินออกจากร้าน ระหว่างทางพอเห็นร้านผลไม้เลยแวะซื้อส้มอีกสองสามลูก จากนั้นก็เข้าร้านหนังสือ ใช้เวลาเลือกไม่นานก็ได้มาหนึ่งเล่ม จ่ายเงินเสร็จเด็กหนุ่มก็เดินตัวปลิวกลับไปยังร้านของตัวเอง

              อเล็กซ์ซานเดอร์ ฮันท์เป็นเด็กหนุ่มอายุ 18 ปีที่มีรูปร่างสูงโปร่ง ถึงจะมีกล้ามเนื้อจากการทำงานอยู่บ้างแต่ก็จัดว่าผอมบางกว่าเด็กในวัยเดียวกัน ใบหน้าซึ่งแม้จะย่างเข้าสู่วัยรุ่นแต่กลับเกลี้ยงเกลาไร้สิวเสี้ยนซ้ำยังออกแนวหวานจนกระเดียดไปทางผู้หญิง ผมสีน้ำตาลเข้มเหมือนขนมบราวนี่ซอยสั้นตามสมัยนิยม  ดวงตากลมโตสีเขียวอมฟ้าเหมือนน้ำทะเลในฤดูร้อนอันงดงาม นิสัยโดยรวมแล้วเขาเป็นเด็กสุภาพ ยิ้มง่าย ชอบช่วยเหลือผู้อื่น มองโลกในแง่ดี ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือใจร้อนตามประสาคนหนุ่ม แต่ความมีน้ำใจของเขาทำให้คนรอบข้างมองข้ามจุดด้อยดังกล่าวนั่นไป

              อเล็กซ์สูญเสียครอบครัวตั้งแต่อายุเพียง 6 ขวบจากอุบัติเหตุรถคว่ำ เขาจมอยู่กับความเศร้าโศกเพียงลำพังภายในสถานสงเคราะห์เด็กราวสองอาทิตย์ พี่สาวของแม่ ป้าธิลดา จึงนำเขาไปเลี้ยงดู เธอพยายามทำทุกอย่างเพื่อดึงเขาออกจากความอ้างว้าง ในที่สุดโลกหม่นหมองก็กลับมามีสีสันอีกครั้ง อเล็กซ์อาศัยอยู่กับป้าอย่างมีความสุขจนกระทั่งจบมัธยมต้น ความวุ่นวายของธุรกิจทำให้เวลาที่คอยดูแลลดน้อยลง ประกอบกับที่เด็กหนุ่มต้องเรียนไฮสคูลและต่อมหาวิทยาลัยที่อยู่ในเมืองเดียวกัน เธอจึงฝากเขาไปอยู่กับเพื่อนสนิทที่เปิดร้านกาแฟเล็ก ๆ และมีลูกชายวัยไล่เลี่ยที่เล่นกับอเล็กซ์มาตั้งแต่เด็ก ปีเตอร์ บรอนซ์ อเล็กซ์รู้สึกใจหายอยู่บ้างแต่จะเกาะอยู่กับป้าตลอดไปคงไม่ได้ อยู่บ้านใหม่ได้หนึ่งปี บิดาของปีเตอร์ก็เสียชีวิต พอจบไฮสคูลเขาจึงดำเนินกิจการต่อ และยังคงให้อเล็กซ์พักอยู่ด้วยเช่นเดิม  

          จริงแล้วปีเตอร์ บรอนซ์ แก่กว่าอเล็กซ์สี่ปี เขาเป็นชายหนุ่มที่มีหน้าตาหล่อแบบพิมพ์นิยม ผมสีเข้มตาสีฟ้าสดใส รักการทำขนมขณะเดียวกันก็ชอบออกกำลังกายอยู่เสมอ ทำให้มีรูปร่างงดงามเป็นที่ต้องตาของสาว ๆ ประกอบกับอัธยาศัยที่เป็นคนคุยเก่ง ยิ้มง่ายเป็นกันเองกับทุกคน ร้านของปีเตอร์จึงมีลูกค้ามาเยือนอย่างอุ่นหนาฝาคั่งชนิดแทบทำขนมกันไม่ทัน ทำให้อเล็กซ์ซึ่งแม้จะได้รับค่าใช้จ่ายจากป้าธิลดาทุกเดือนอาสาช่วยงานในร้าน เหมารวมทุกอย่างตั้งแต่พนักงานต้อนรับ พนักงานเสิร์ฟ คนล้างจาน ทำความสะอาด ตอนแรกปีเตอร์ปฏิเสธแต่พอโดนรบเร้าหนักเข้าจึงจำต้องยอม

          อเล็กซ์เดินประคองถุงกระดาษขนาดใหญ่ที่มีทั้งขนม ผลไม้และหนังสือไปพลาง คิดถึงเรื่องของตัวเองไปพลางกระทั่งถึงหัวมุมถนน ช่วงที่กำลังจะเลี้ยวนั่นเองเขาก็ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือของผู้หญิง พอหันไปมองก็เห็นชายสองคนกำลังวิ่งแหวกฝูงชนตรงเข้ามา ตอนแรกก็งงอยู่เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นจนได้ยินเสียงร้องบอกต่อกันมาว่า “กระชากกระเป๋า” นั่นแหละ เด็กหนุ่มจึงรู้ว่าคนทั้งสองคือหัวขโมย

          ‘ต้องจับพวกมันให้ได้’

          เขานึกในใจ เท้าไวเท่าความคิด มันยื่นออกไปขัดขาคนแรกจนหน้าคะมำพาเพื่อนที่วิ่งตามหลังล้มลงไปด้วย ทั้งคู่คำรามด้วยความโกรธ พอลุกขึ้นได้ก็คว้าคอเสื้อของอเล็กซ์เอาไว้พร้อมกับตะคอก

          “กล้าดียังไงวะไอ้หน้าอ่อน”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่