
(ภาพที่1 ด้านนอกของมหาวิหาร St Isaac ถ่ายเองนะจ๊ะ)
หลังจากใช้เวลาในมหาวิหาร St Isaac อยู่พักใหญ่ ก็ได้เวลาร่ำลาที่แห่งนี้สักทีครับ อีกอย่างผมก็นัดเพื่อนเก่าไว้ที่ด้านนอกมหาวิหารด้วย จะได้ออกไปเจอเขาพอดี
เมื่อออกมาจากตัวมหาวิหาร ก็กลายเป็นว่าความวุ่นวายกลับเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เพิ่งมาถึง และบวกกับวันนี้เป็นวันที่ 9 พฤษภาคม พอดีซึ่งเป็นวันที่รำลึกแด่ชัยชนะของชาวรัสเซียและถือเป็นวันหยุดประจำชาติไปด้วย ดังนั้นคนท้องถิ่นรัสเซียเองก็ออกมาเที่ยวด้วยเช่นกัน ลูกเด็กเล็กแดงปูย่าตายายมากันหมดครับ จึงทำให้ด้านนอกเริ่มดูวุ่นวายเป็นเงาตามตัว ส่วนถนนรอบๆตัวมหาวิหารนั้นก็มีรถรุ่นเก่าๆตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 วิ่งกันเยอะมากขึ้นไปอีก เลยทำให้บรรยากาศที่เมือง St Petersburg ในตอนนี้ดูคึกคักอย่างที่ผมไม่เคยได้พบได้เห็นมาก่อน
ผมเดินข้ามถนนไปยังสวยสาธารณะ Alexandrosky เพื่อไปรอเพื่อนที่นัดไว้ ผมว่าจะไปกินข้าวเที่ยงด้วยกัน แต่ที่นี้น่าจะเรียกว่า ขนมปังเที่ยงหรือมันฝรั่งเที่ยงมากกว่าครับ เพราะคนรัสเซียไม่ได้กินข้าวเป็นอาหารจานหลัก ส่วนจุดที่นัดเจอที่ง่ายที่สุดของสวน Alexandrosky ก็คือจุดที่ตั้งของ พระบรมรูปพระเจ้าปีเตอร์มหาราชทรงม้าหันพระพักตร์ไปยังแม่น้ำนีวา ผมเลยเดินไปถ่ายรูปก่อนด้วยซะเลย

(ภาพที่2 พระบรมรูปพระเจ้าปีเตอร์มหาราชทรงม้าที่สร้างในรัชสมัยจักรพรรดินีแคทเธอรีนมหาราชในปี พ.ศ.2325/ค.ศ1782 ปีเดียวกันกับที่รัชกาลที่ 1 ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ ถ่ายเองนะจ๊ะ)
แต่เมื่อผมเดินมาถึงที่พระบรมรูปพระเจ้าปีเตอร์มหาราชทรงม้า มันกลับเต็มไปด้วยผู้คนรุ่นคุณตาคุณยายเดินถือธงชาติในยุคสหภาพโซเวียตที่มีพื้นธงเป็นสีแดงและมีสัญญาลักษณ์ค้อนกับเคียวอยู่ตรงกลางเดินกันอยู่เต็มไปหมดครับ และที่มากไปกว่านั้นพวกเขาล้วนแต่ถือรูปภาพของใครอีกแล้วก็ไม่ทราบครับโดยที่รูปหน้าของบุคคลเหล่านั้นก็ไม่ซ้ำหน้ากันสะด้วย ซึ่งเหล่าคุณตาคุณยายเหล่านั้นต่างก็แวะถ่ายรูปแถวพระบรมรูปพระเจ้าปีเตอร์มหาราชเช่นกันครับ ด้วยความสงสัยเกี่ยวกับรูปบุคคลที่เขาถือกันนั้น ถ้าเจอเพื่อนผมเมื่อไรก็จะลองถามเขาดู
ไม่นานหลังจากนั้นเพื่อนผมก็มาพอดีครับ เธอชื่อ เคท เสียดายผมไม่ได้ถ่ายรูปเคทไว้ด้วย แต่ถ้าใครที่คิดว่าเคทจะสวยเหมือน Maria Sharapova นักเทนนิสชื่อดังชาวรัสเซียหรือป่าวนั้น ผมขอบอกได้คำเดียวว่า "โครตไม่ใช่" เลยครับ กรุณาเปิดยูทูปดูหนังเรื่อง "Shallow Hal หนัง Hollywood ที่มีดาราดังสุดๆอย่าง Gwyneth Paltrow เเสดงคู่กับ Jack Black ดูนะครับ นั้นแหละ "โครตใช่"

(ภาพที่ 3 สังเกตเงาของ Gwyneth Paltrow นะครับ นั้นแหละสิ่งที่เคทเป็นครับ รูปภาพจากhttp www.dvd-covers.org)
หลังจากถามถึงสารทุกข์สุขดิบ (น่าจะประมาณ medium rare ไม่สุขมากและไม่ทุกข์จนเกินไปครับ) เรียบร้อยแล้ว ผมจึงยิวคำถามเเรกขึ้นทันที
"รูปภาพของบุคคลที่ไม่ซ้ำหน้ากันที่พวกเขาถือกันอยู่นั้นคือใครอะ เคท" ผมถาม
"ภาพหน้าบุคคลต่างๆเหล่านั้นก็คือภาพของเหล่าบรรดาญาติพี่น้องที่เสียชีวิตไปในช่วงเวลาแห่งการปิดล้อมเมืองเลนินกราดไง" เคทตอบผม สีหน้าเคทบ่งบอกเหมือนกับว่า "ไอ้หมอนี่ถามโง่ๆ"
ความสงสัยตั้งแต่เช้าเมื่อมาถึงเมือง St Petersburg ของผมจึงหมดไป ส่วนธงค้อนกับเคียวนั้นก็เป็นธงชาติที่ใช่ในช่วงที่เป็นสหภาพโซเวียตซึ่งตอนที่เมืองโดนปิดล้อมอยู่นั้นเป็นข่วงที่เป็นสหภาพโซเวียตอยู่พอดี
แม้ปัจจุบันนี้สหภาพโซเวียตจะกลายสภาพมาเป็นสหพันธ์รัฐรัสเซียแล้วแต่ปัจจุบันก็ยังคงมีพรรคคอมมิวนิสอยู่นะครับ แต่เป็นเพียงพรรคการเมืองเล็กๆไปแล้ว โดยพรรคก็มีสิทธิ์ที่จะลงแข่งขันในการเลือกตั้งต่างๆได้เช่นกัน แต่ในตอนนี้ก็ต้องยกให้พรรคของท่านผู้นำปูตินไปก่อนจะดีกว่า "ยาวไป ยาวไป"

(ภาพที่ 4 เหล่าบรรดาคนรุ่นลูกรุ่นหลานที่มาร่วมเดินพาเหรดในช่วงเย็นพร้อมกับรูปภาพญาติผู้ใหญ่ของพวกเขาที่เสียชีวิตในช่วงการปิดล้อมเมืองเลนินกราด ภาพจาก www.ribttes.com)
ในส่วนจำนวนผู้เสียชีวิตช่วงการปิดล้อม แค่เฉพาะเมืองเลนินกราดนั้น ตัวเลขคร่าวๆอยู่ที่ประมาณ1ล้านกว่าคน ซึ่งในจำนวนนี้ประมาณ 400,000 กว่าคนล้วนเป็นเด็กที่อายุไม่ถึง14ปี มิน่าล่ะ รูปหน้าของบุคคลต่างๆที่เหล่าคุณตาคุณยายถืออยู่นั้น ถึงได้ดูอายุไม่มากเท่าไร ซึ่งถ้าพวกเขาไม่ด่วนจากไปในช่วงการปิดล้อม พวกเขาเหล่านั้นอาจจะกลายมาเป็นคุณตาคุณยายที่มาถือรูปญาติพี่น้องของพวกเขาในวันนี้ก็เป็นได้ครับ

(ภาพที่ 5 Roza Shanina พลแม่นปืนหญิงในวัย 19 ปี เป็นที่ยืนยันว่าพลแม่นปืนหญิงโรซา สามารถเก็บทหารนาซีไปถึง 54 นาย ภาพจาก www.rarehistoricalphotos.com)
สำหรับตัวเลขเหล่านี้ ยังไม่รวมถึงทหารโซเวียตที่เสียชีวิตอีกประมาณ 600,000 นายที่คอยป้องกันรักษาเมืองไว้ ฟังจากจำนวนตัวเลขแล้วมันช่างดูน่าหดหู่เสียเหลือเกินครับ ส่วนอายุเฉลี่ยของทหารโซเวียตนั้นผมไม่แน่ในเท่าไรนัก แต่ที่แน่ๆก็คือตามข้อบังคับของพรรคคอมมิวนิสต์ในช่วงนั้น ถ้าคุณมีอายุระหว่าง 17-19 ปีก็สามารถเข้าเป็นทหารของกองทัพแดง (Red Army) ได้แล้วครับ แต่ในช่วงนั้นถ้าเด็กที่อายุยังไม่ถึงก็สามารถเข้าร่วมกับกลุ่มปาร์ติซาน (กลุ่มผู้ทำการต่อต้านกองทัพนาซีที่ไม่ได้ทำสงครามโดยตรง) หรือพูดง่ายๆก็คือกลุ่มเสรีไทยเวอร์ชั่นโซเวียตนั้นเองครับ และในช่วงที่โดนนาซีบุกนั้นก็มีหญิงชาวโซเวียตที่เข้าร่วมเป็นกองทหารร่วมรบด้วยอีกประมาณ 800,000 คนด้วยกัน (ทุกๆแนบรบ) ซึ่งนี้เป็นเพียงแค่ 3 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนทหารของกองทัพแดงทั้งหมดครับ และพวกเขาก็ทำได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น นักบิน พลซุ่มยิง พลประจำปืนต่อสู้อากาศยาน หรือหน่วยพยาบาลต่างๆ มิน่าผมถึงเห็นคุณยายคุณย่าหลายๆท่านประดับเหรียญต่างๆมากมายไว้บนหน้าอกของพวกเขา
วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใสดีจริงๆครับ ไม่ว่าจะถ่ายรูปมุมไหนก็สวยไปหมด แต่อากาศช่วงหน้าร้อนที่นี่ก็คาดเดายากเหมือนกันนะครับ เพราะบางทีเดี่ยวก็มีเมฆและตามด้วยฝนตกสลับด้วยเช่นกัน ไม่ต่างจากชีวิตของชาวรัสเซียเลยครับ สุขได้ไม่นานก็เจอปัญหาต่างๆเข้ามารบกวนพวกเขาอยู่ตลอด
(ภาพ6 ป้อม Peter and Paul ที่สามารถมองเห็ได้จากฝั่งที่ผมเดิน ถ่ายเองครับผม)
วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใสดีจริงๆครับ ไม่ว่าจะถ่ายรูปมุมไหนก็สวยไปหมด แต่อากาศช่วงหน้าร้อนที่นี่ก็คาดเดายากเหมือนกันนะครับ เพราะบางทีเดี่ยวก็มีเมฆและตามด้วยฝนตกสลับด้วยเช่นกัน ไม่ต่างจากชีวิตของชาวรัสเซียเลยครับ สุขได้ไม่นานก็เจอปัญหาต่างๆเข้ามารบกวนพวกเขาอยู่ตลอด (ว่ายังไม่ทันขาดคำเมฆก็มาเลยครับ)
เริ่มมาตั้งแต่รัชสมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่2 ซึ่งพระองค์ทรงมีพระชนมพรรษา (อายุ) ระหว่างกลางรัชสมัยรัชกาลที่3 ถึงต้นรัชสมัยรัชกาลที่4 ในราชอาณาจักรสยาม ในสมัยนั้นประชาชนตาฟ้าๆส่วนใหญ่ (คนรัซเซียตาไม่ดำจริงๆนะ) จะเป็นตกทาสทั้งนั้น ระบบศักดิ์นาก็เหมือนกันกับบ้านเราไม่มีผิด ที่ดินตกเป็นของเหล่าขุนนางทั้งหมดซึ่งทาสทุกๆคนล้วนต้องทำงานเพื่อขุนนางที่ตัวเองขึ้นตรงด้วย และเมื่อประชาชนเหล่านั้นเจอความกดดันจนถึงขีดสุด การเรียกร้องเสรีภาพเพื่อพวกเขาเองจึงเริ่มขึ้น จนในท้ายที่สุดพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่2 ทรงต้องยกเลิกระบบทาสไปโดยปริยายและทำให้พระองค์ทรงได้รับสมัญญานามว่า "ผู้ปลดปล่อย"
แต่เหตุการณ์กลับได้เป็นอย่างนั้นไม่ครับ แทนที่ทุกอย่างจะดีขึ้น ดันเจอปัญหาที่เพิ่มขึ้นมากกว่าเก่า เพราะหลังจากนั้นไม่นานพระองค์ก็ทรงโดนลอบปลงพระชนม์ไปก่อน จริงๆแล้วนอกจากสมัญญานามว่า "ผู้ปลดปล่อย" แล้วพระองค์ทรงมีอีกสมัญญานามว่า "นักปฏิรูป" เพราะพระองค์ทรงปฏิรูปหลายสิ่งหลายอย่างให้ดีขึ้นอย่างที่ไม่เคยปรากฏในจักรวรรดิรัสเซีย
แต่พอมาถึงรัชสมัยของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่3 ทุกอย่างที่เคยวางแผนไว้ในรัชสมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่2 ก็ถูกเปลี่ยนไปหมด เหมือนอยู่ดีๆปลดผู้จัดการทีมฟุตบอลคนเก่าออกและตั้งคนใหม่มาคุมทีมแทน ระบบการเล่นและตัวผู้เล่นที่ผู้จัดการทีมคนเก่าวางไว้ก็เปลี่ยนไปหมด แต่ผมว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นทุกภาคส่วนนะครับ ทีมกีฬา องค์กรบริษัท หน่วยงานการเมือง แล้วนี้ยิ่งเป็นระดับของผู้นำจักรวรรดิแล้ว ไม่ต้องพูดถึงครับ
พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่3 ทรงดึงอำนาจต่างๆกลับมาอยู่ที่จักรพรรดิดังเดิม ในส่วนของประชาชนชาวไร่ชาวนาจากที่เคยตกเป็นทาส แต่เมื่อได้รับอิสรภาพแล้วก็ดันไม่มีที่ดินจะทำกินแทน อีกทั้งต้องไปเช่าที่ดินจากขุนนางเพื่อทำไร่ไถ่นาหาเลี้ยงชีพตัวเองต่ออีก เลยเจอภาระที่หนักขึ้นเป็นทวีคูณ
จนมาถึงในรัชสมัยของพระเจ้านิโครัสที่2 ปัญหาปากท้องยังไม่ได้รับการแก้ไขอยู่ดี ซ้ำร้ายในปี พ.ศ.2447 หรือ 13ปีหลังจากที่พระองค์เคยเสด็จมายังสยามประเทศ ก่อนจะเสด็จต่อเพื่อทรงประกอบพิธีเปิดเส้นทางรถไฟสายไซบีเรียที่เมืองวลาดีวอสตอค พระองค์ทรงส่งทหารเข้าทำสงครามกับจักรวรรดิญี่ปุ่นทางฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกด้วยกรณีพิพาทที่เมืองพอร์ตอาเธอร์ซึ่งในปัจจุบันอยู่ในมณฑลเหลียวหนิงประเทศจีน และสุดท้ายกลับแพ้สงครามด้วยซิครับ (ล่าสุดเมื่อสมัยที่ประธานาธิบดี ดิมิทรี เมดเวเดฟ ดำรงตำแหน่งผู้นำรัสเซีย) รัสเซียก็ยังคงมีปัญหาอยู่นิดๆหน่อยๆกับญี่ปุ่นอีก ที่บริเวณหมู่เกาะคูริลฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกแถวๆเหนือเกาะฮอกไกโดนะครับ แต่ตอนนี้ก็เรื่องก็เงียบไปแล้ว
และเมื่อเงินที่ควรจะต้องนำมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของประชาชน กลับหมดไปกับการทำสงคราม แถมแพ้กลับมาอีกต่างหาก (เหมือนซื้อนักเตะใหม่มาแพงๆแต่เล่นแล้วทีมกลับแพ้เอาเรื่อยๆ) แฟนบอลก็สาปให้ส่งนะซิครับทีนี้ และหลังจากนั้นการประท้วงในจักรวรรดิก็เริ่มเกิดขึ้น โดยเริ่มแรกจากสโลแกนที่ประชาชนในรัชสมัยของพระเจ้านิโครัสที่2 วางแผนเพียงแค่จะปล่อยซิงเกิ้ลแรก ด้วยการเรียกร้องเพียง "ขอแค่ขนมปังกันเนยดีๆสักก้อน" โดยไม่มีความคิดเรื่องล้มล้างระบอบกษัตริย์ ทำไปทำมาก็เลยปล่อยเป็นอัลบัมเต็มมันสะเลยกับสโลแกนที่ว่า "เอาเขาออกจากการเป็นพระเจ้าแผ่นดินเถอะ" และนั้นคือฟางเส้นสุดของราชวงศ์โรมานอฟ
และเมื่อประชาชน Delete Application สมบูรณายาสิทธิราชทิ้งไปแล้วและไปโหลดเอาแอ็พใหม่เข้ามาใช่ที่เรียกว่า แอ็ระบอบคอมมิวนิสต์ แอ็พตัวนี้มันก็ไม่ได้ดีอะไรหนักหนาครับเผลอๆจะแย่กว่าแอ็พที่แล้วซะอีก
จะให้อธิบายแบบไหนถึงจะเห็นภาพดีครับสำหรับชีวิตของชาวรัสเซีย เอาเป็นว่า "ความวัวยังไม่หายความควายก็เข้ามาแทรก นกแซกดันบินข้ามหัว แถมตะกวดก็ปีนขึ้นบ้าน สุดท้ายจะมานั่งพักใจในห้องน้ำงูเหลียมดันโผล่มางับน้อยๆอีก" และเมื่อเจอผู้นำแบบสตาลินบวกกับมาโดนไวรัส อดอฟ ฮิตเลอร์ ชนิดสายพันธุ์ปฏิบัติกาล บาร์บารอสซ่า ด้วยแล้ว ขอพูดแบบภาษาบ้านๆว่า "ซวยซ้ำซวยซ้อนครับ" (Double Troble) สำหรับาวรัสเซียจริงๆครับ
ส่วนตอนหน้าจะเป็นยังไงต่อ ค่อยว่ากันนะครับ
[CR] St Petersburg ในมุมที่คุณไม่เคยรู้จัก (ตอนที่3)
(ภาพที่1 ด้านนอกของมหาวิหาร St Isaac ถ่ายเองนะจ๊ะ)
หลังจากใช้เวลาในมหาวิหาร St Isaac อยู่พักใหญ่ ก็ได้เวลาร่ำลาที่แห่งนี้สักทีครับ อีกอย่างผมก็นัดเพื่อนเก่าไว้ที่ด้านนอกมหาวิหารด้วย จะได้ออกไปเจอเขาพอดี
เมื่อออกมาจากตัวมหาวิหาร ก็กลายเป็นว่าความวุ่นวายกลับเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เพิ่งมาถึง และบวกกับวันนี้เป็นวันที่ 9 พฤษภาคม พอดีซึ่งเป็นวันที่รำลึกแด่ชัยชนะของชาวรัสเซียและถือเป็นวันหยุดประจำชาติไปด้วย ดังนั้นคนท้องถิ่นรัสเซียเองก็ออกมาเที่ยวด้วยเช่นกัน ลูกเด็กเล็กแดงปูย่าตายายมากันหมดครับ จึงทำให้ด้านนอกเริ่มดูวุ่นวายเป็นเงาตามตัว ส่วนถนนรอบๆตัวมหาวิหารนั้นก็มีรถรุ่นเก่าๆตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 วิ่งกันเยอะมากขึ้นไปอีก เลยทำให้บรรยากาศที่เมือง St Petersburg ในตอนนี้ดูคึกคักอย่างที่ผมไม่เคยได้พบได้เห็นมาก่อน
ผมเดินข้ามถนนไปยังสวยสาธารณะ Alexandrosky เพื่อไปรอเพื่อนที่นัดไว้ ผมว่าจะไปกินข้าวเที่ยงด้วยกัน แต่ที่นี้น่าจะเรียกว่า ขนมปังเที่ยงหรือมันฝรั่งเที่ยงมากกว่าครับ เพราะคนรัสเซียไม่ได้กินข้าวเป็นอาหารจานหลัก ส่วนจุดที่นัดเจอที่ง่ายที่สุดของสวน Alexandrosky ก็คือจุดที่ตั้งของ พระบรมรูปพระเจ้าปีเตอร์มหาราชทรงม้าหันพระพักตร์ไปยังแม่น้ำนีวา ผมเลยเดินไปถ่ายรูปก่อนด้วยซะเลย
(ภาพที่2 พระบรมรูปพระเจ้าปีเตอร์มหาราชทรงม้าที่สร้างในรัชสมัยจักรพรรดินีแคทเธอรีนมหาราชในปี พ.ศ.2325/ค.ศ1782 ปีเดียวกันกับที่รัชกาลที่ 1 ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ ถ่ายเองนะจ๊ะ)
แต่เมื่อผมเดินมาถึงที่พระบรมรูปพระเจ้าปีเตอร์มหาราชทรงม้า มันกลับเต็มไปด้วยผู้คนรุ่นคุณตาคุณยายเดินถือธงชาติในยุคสหภาพโซเวียตที่มีพื้นธงเป็นสีแดงและมีสัญญาลักษณ์ค้อนกับเคียวอยู่ตรงกลางเดินกันอยู่เต็มไปหมดครับ และที่มากไปกว่านั้นพวกเขาล้วนแต่ถือรูปภาพของใครอีกแล้วก็ไม่ทราบครับโดยที่รูปหน้าของบุคคลเหล่านั้นก็ไม่ซ้ำหน้ากันสะด้วย ซึ่งเหล่าคุณตาคุณยายเหล่านั้นต่างก็แวะถ่ายรูปแถวพระบรมรูปพระเจ้าปีเตอร์มหาราชเช่นกันครับ ด้วยความสงสัยเกี่ยวกับรูปบุคคลที่เขาถือกันนั้น ถ้าเจอเพื่อนผมเมื่อไรก็จะลองถามเขาดู
ไม่นานหลังจากนั้นเพื่อนผมก็มาพอดีครับ เธอชื่อ เคท เสียดายผมไม่ได้ถ่ายรูปเคทไว้ด้วย แต่ถ้าใครที่คิดว่าเคทจะสวยเหมือน Maria Sharapova นักเทนนิสชื่อดังชาวรัสเซียหรือป่าวนั้น ผมขอบอกได้คำเดียวว่า "โครตไม่ใช่" เลยครับ กรุณาเปิดยูทูปดูหนังเรื่อง "Shallow Hal หนัง Hollywood ที่มีดาราดังสุดๆอย่าง Gwyneth Paltrow เเสดงคู่กับ Jack Black ดูนะครับ นั้นแหละ "โครตใช่"
(ภาพที่ 3 สังเกตเงาของ Gwyneth Paltrow นะครับ นั้นแหละสิ่งที่เคทเป็นครับ รูปภาพจากhttp www.dvd-covers.org)
หลังจากถามถึงสารทุกข์สุขดิบ (น่าจะประมาณ medium rare ไม่สุขมากและไม่ทุกข์จนเกินไปครับ) เรียบร้อยแล้ว ผมจึงยิวคำถามเเรกขึ้นทันที
"รูปภาพของบุคคลที่ไม่ซ้ำหน้ากันที่พวกเขาถือกันอยู่นั้นคือใครอะ เคท" ผมถาม
"ภาพหน้าบุคคลต่างๆเหล่านั้นก็คือภาพของเหล่าบรรดาญาติพี่น้องที่เสียชีวิตไปในช่วงเวลาแห่งการปิดล้อมเมืองเลนินกราดไง" เคทตอบผม สีหน้าเคทบ่งบอกเหมือนกับว่า "ไอ้หมอนี่ถามโง่ๆ"
ความสงสัยตั้งแต่เช้าเมื่อมาถึงเมือง St Petersburg ของผมจึงหมดไป ส่วนธงค้อนกับเคียวนั้นก็เป็นธงชาติที่ใช่ในช่วงที่เป็นสหภาพโซเวียตซึ่งตอนที่เมืองโดนปิดล้อมอยู่นั้นเป็นข่วงที่เป็นสหภาพโซเวียตอยู่พอดี
แม้ปัจจุบันนี้สหภาพโซเวียตจะกลายสภาพมาเป็นสหพันธ์รัฐรัสเซียแล้วแต่ปัจจุบันก็ยังคงมีพรรคคอมมิวนิสอยู่นะครับ แต่เป็นเพียงพรรคการเมืองเล็กๆไปแล้ว โดยพรรคก็มีสิทธิ์ที่จะลงแข่งขันในการเลือกตั้งต่างๆได้เช่นกัน แต่ในตอนนี้ก็ต้องยกให้พรรคของท่านผู้นำปูตินไปก่อนจะดีกว่า "ยาวไป ยาวไป"
(ภาพที่ 4 เหล่าบรรดาคนรุ่นลูกรุ่นหลานที่มาร่วมเดินพาเหรดในช่วงเย็นพร้อมกับรูปภาพญาติผู้ใหญ่ของพวกเขาที่เสียชีวิตในช่วงการปิดล้อมเมืองเลนินกราด ภาพจาก www.ribttes.com)
ในส่วนจำนวนผู้เสียชีวิตช่วงการปิดล้อม แค่เฉพาะเมืองเลนินกราดนั้น ตัวเลขคร่าวๆอยู่ที่ประมาณ1ล้านกว่าคน ซึ่งในจำนวนนี้ประมาณ 400,000 กว่าคนล้วนเป็นเด็กที่อายุไม่ถึง14ปี มิน่าล่ะ รูปหน้าของบุคคลต่างๆที่เหล่าคุณตาคุณยายถืออยู่นั้น ถึงได้ดูอายุไม่มากเท่าไร ซึ่งถ้าพวกเขาไม่ด่วนจากไปในช่วงการปิดล้อม พวกเขาเหล่านั้นอาจจะกลายมาเป็นคุณตาคุณยายที่มาถือรูปญาติพี่น้องของพวกเขาในวันนี้ก็เป็นได้ครับ
(ภาพที่ 5 Roza Shanina พลแม่นปืนหญิงในวัย 19 ปี เป็นที่ยืนยันว่าพลแม่นปืนหญิงโรซา สามารถเก็บทหารนาซีไปถึง 54 นาย ภาพจาก www.rarehistoricalphotos.com)
สำหรับตัวเลขเหล่านี้ ยังไม่รวมถึงทหารโซเวียตที่เสียชีวิตอีกประมาณ 600,000 นายที่คอยป้องกันรักษาเมืองไว้ ฟังจากจำนวนตัวเลขแล้วมันช่างดูน่าหดหู่เสียเหลือเกินครับ ส่วนอายุเฉลี่ยของทหารโซเวียตนั้นผมไม่แน่ในเท่าไรนัก แต่ที่แน่ๆก็คือตามข้อบังคับของพรรคคอมมิวนิสต์ในช่วงนั้น ถ้าคุณมีอายุระหว่าง 17-19 ปีก็สามารถเข้าเป็นทหารของกองทัพแดง (Red Army) ได้แล้วครับ แต่ในช่วงนั้นถ้าเด็กที่อายุยังไม่ถึงก็สามารถเข้าร่วมกับกลุ่มปาร์ติซาน (กลุ่มผู้ทำการต่อต้านกองทัพนาซีที่ไม่ได้ทำสงครามโดยตรง) หรือพูดง่ายๆก็คือกลุ่มเสรีไทยเวอร์ชั่นโซเวียตนั้นเองครับ และในช่วงที่โดนนาซีบุกนั้นก็มีหญิงชาวโซเวียตที่เข้าร่วมเป็นกองทหารร่วมรบด้วยอีกประมาณ 800,000 คนด้วยกัน (ทุกๆแนบรบ) ซึ่งนี้เป็นเพียงแค่ 3 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนทหารของกองทัพแดงทั้งหมดครับ และพวกเขาก็ทำได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น นักบิน พลซุ่มยิง พลประจำปืนต่อสู้อากาศยาน หรือหน่วยพยาบาลต่างๆ มิน่าผมถึงเห็นคุณยายคุณย่าหลายๆท่านประดับเหรียญต่างๆมากมายไว้บนหน้าอกของพวกเขา
วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใสดีจริงๆครับ ไม่ว่าจะถ่ายรูปมุมไหนก็สวยไปหมด แต่อากาศช่วงหน้าร้อนที่นี่ก็คาดเดายากเหมือนกันนะครับ เพราะบางทีเดี่ยวก็มีเมฆและตามด้วยฝนตกสลับด้วยเช่นกัน ไม่ต่างจากชีวิตของชาวรัสเซียเลยครับ สุขได้ไม่นานก็เจอปัญหาต่างๆเข้ามารบกวนพวกเขาอยู่ตลอด
(ภาพ6 ป้อม Peter and Paul ที่สามารถมองเห็ได้จากฝั่งที่ผมเดิน ถ่ายเองครับผม)
วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใสดีจริงๆครับ ไม่ว่าจะถ่ายรูปมุมไหนก็สวยไปหมด แต่อากาศช่วงหน้าร้อนที่นี่ก็คาดเดายากเหมือนกันนะครับ เพราะบางทีเดี่ยวก็มีเมฆและตามด้วยฝนตกสลับด้วยเช่นกัน ไม่ต่างจากชีวิตของชาวรัสเซียเลยครับ สุขได้ไม่นานก็เจอปัญหาต่างๆเข้ามารบกวนพวกเขาอยู่ตลอด (ว่ายังไม่ทันขาดคำเมฆก็มาเลยครับ)
เริ่มมาตั้งแต่รัชสมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่2 ซึ่งพระองค์ทรงมีพระชนมพรรษา (อายุ) ระหว่างกลางรัชสมัยรัชกาลที่3 ถึงต้นรัชสมัยรัชกาลที่4 ในราชอาณาจักรสยาม ในสมัยนั้นประชาชนตาฟ้าๆส่วนใหญ่ (คนรัซเซียตาไม่ดำจริงๆนะ) จะเป็นตกทาสทั้งนั้น ระบบศักดิ์นาก็เหมือนกันกับบ้านเราไม่มีผิด ที่ดินตกเป็นของเหล่าขุนนางทั้งหมดซึ่งทาสทุกๆคนล้วนต้องทำงานเพื่อขุนนางที่ตัวเองขึ้นตรงด้วย และเมื่อประชาชนเหล่านั้นเจอความกดดันจนถึงขีดสุด การเรียกร้องเสรีภาพเพื่อพวกเขาเองจึงเริ่มขึ้น จนในท้ายที่สุดพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่2 ทรงต้องยกเลิกระบบทาสไปโดยปริยายและทำให้พระองค์ทรงได้รับสมัญญานามว่า "ผู้ปลดปล่อย"
แต่เหตุการณ์กลับได้เป็นอย่างนั้นไม่ครับ แทนที่ทุกอย่างจะดีขึ้น ดันเจอปัญหาที่เพิ่มขึ้นมากกว่าเก่า เพราะหลังจากนั้นไม่นานพระองค์ก็ทรงโดนลอบปลงพระชนม์ไปก่อน จริงๆแล้วนอกจากสมัญญานามว่า "ผู้ปลดปล่อย" แล้วพระองค์ทรงมีอีกสมัญญานามว่า "นักปฏิรูป" เพราะพระองค์ทรงปฏิรูปหลายสิ่งหลายอย่างให้ดีขึ้นอย่างที่ไม่เคยปรากฏในจักรวรรดิรัสเซีย
แต่พอมาถึงรัชสมัยของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่3 ทุกอย่างที่เคยวางแผนไว้ในรัชสมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่2 ก็ถูกเปลี่ยนไปหมด เหมือนอยู่ดีๆปลดผู้จัดการทีมฟุตบอลคนเก่าออกและตั้งคนใหม่มาคุมทีมแทน ระบบการเล่นและตัวผู้เล่นที่ผู้จัดการทีมคนเก่าวางไว้ก็เปลี่ยนไปหมด แต่ผมว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นทุกภาคส่วนนะครับ ทีมกีฬา องค์กรบริษัท หน่วยงานการเมือง แล้วนี้ยิ่งเป็นระดับของผู้นำจักรวรรดิแล้ว ไม่ต้องพูดถึงครับ
พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่3 ทรงดึงอำนาจต่างๆกลับมาอยู่ที่จักรพรรดิดังเดิม ในส่วนของประชาชนชาวไร่ชาวนาจากที่เคยตกเป็นทาส แต่เมื่อได้รับอิสรภาพแล้วก็ดันไม่มีที่ดินจะทำกินแทน อีกทั้งต้องไปเช่าที่ดินจากขุนนางเพื่อทำไร่ไถ่นาหาเลี้ยงชีพตัวเองต่ออีก เลยเจอภาระที่หนักขึ้นเป็นทวีคูณ
จนมาถึงในรัชสมัยของพระเจ้านิโครัสที่2 ปัญหาปากท้องยังไม่ได้รับการแก้ไขอยู่ดี ซ้ำร้ายในปี พ.ศ.2447 หรือ 13ปีหลังจากที่พระองค์เคยเสด็จมายังสยามประเทศ ก่อนจะเสด็จต่อเพื่อทรงประกอบพิธีเปิดเส้นทางรถไฟสายไซบีเรียที่เมืองวลาดีวอสตอค พระองค์ทรงส่งทหารเข้าทำสงครามกับจักรวรรดิญี่ปุ่นทางฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกด้วยกรณีพิพาทที่เมืองพอร์ตอาเธอร์ซึ่งในปัจจุบันอยู่ในมณฑลเหลียวหนิงประเทศจีน และสุดท้ายกลับแพ้สงครามด้วยซิครับ (ล่าสุดเมื่อสมัยที่ประธานาธิบดี ดิมิทรี เมดเวเดฟ ดำรงตำแหน่งผู้นำรัสเซีย) รัสเซียก็ยังคงมีปัญหาอยู่นิดๆหน่อยๆกับญี่ปุ่นอีก ที่บริเวณหมู่เกาะคูริลฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกแถวๆเหนือเกาะฮอกไกโดนะครับ แต่ตอนนี้ก็เรื่องก็เงียบไปแล้ว
และเมื่อเงินที่ควรจะต้องนำมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของประชาชน กลับหมดไปกับการทำสงคราม แถมแพ้กลับมาอีกต่างหาก (เหมือนซื้อนักเตะใหม่มาแพงๆแต่เล่นแล้วทีมกลับแพ้เอาเรื่อยๆ) แฟนบอลก็สาปให้ส่งนะซิครับทีนี้ และหลังจากนั้นการประท้วงในจักรวรรดิก็เริ่มเกิดขึ้น โดยเริ่มแรกจากสโลแกนที่ประชาชนในรัชสมัยของพระเจ้านิโครัสที่2 วางแผนเพียงแค่จะปล่อยซิงเกิ้ลแรก ด้วยการเรียกร้องเพียง "ขอแค่ขนมปังกันเนยดีๆสักก้อน" โดยไม่มีความคิดเรื่องล้มล้างระบอบกษัตริย์ ทำไปทำมาก็เลยปล่อยเป็นอัลบัมเต็มมันสะเลยกับสโลแกนที่ว่า "เอาเขาออกจากการเป็นพระเจ้าแผ่นดินเถอะ" และนั้นคือฟางเส้นสุดของราชวงศ์โรมานอฟ
และเมื่อประชาชน Delete Application สมบูรณายาสิทธิราชทิ้งไปแล้วและไปโหลดเอาแอ็พใหม่เข้ามาใช่ที่เรียกว่า แอ็ระบอบคอมมิวนิสต์ แอ็พตัวนี้มันก็ไม่ได้ดีอะไรหนักหนาครับเผลอๆจะแย่กว่าแอ็พที่แล้วซะอีก
จะให้อธิบายแบบไหนถึงจะเห็นภาพดีครับสำหรับชีวิตของชาวรัสเซีย เอาเป็นว่า "ความวัวยังไม่หายความควายก็เข้ามาแทรก นกแซกดันบินข้ามหัว แถมตะกวดก็ปีนขึ้นบ้าน สุดท้ายจะมานั่งพักใจในห้องน้ำงูเหลียมดันโผล่มางับน้อยๆอีก" และเมื่อเจอผู้นำแบบสตาลินบวกกับมาโดนไวรัส อดอฟ ฮิตเลอร์ ชนิดสายพันธุ์ปฏิบัติกาล บาร์บารอสซ่า ด้วยแล้ว ขอพูดแบบภาษาบ้านๆว่า "ซวยซ้ำซวยซ้อนครับ" (Double Troble) สำหรับาวรัสเซียจริงๆครับ
ส่วนตอนหน้าจะเป็นยังไงต่อ ค่อยว่ากันนะครับ