เคยเห็นแต่กระทู้ดันให้คนเป็นเจ้าของธุรกิจ มาลองฟังดูมุมมองของคนทำธุรกิจที่แอบอยากมาทำงานประจำดูครับ

สวัสดีครับ วันนี้อยากมาแชร์ มาเล่าสู่กันฟัง และมาฟังความคิดเห็นเพื่อนๆกันดูครับ

ถ้ากระทู้นี้มีข้อความกระทบใคร กราบขออภัยมา ณ ทีนี้ ไม่ได้เจตนานะครับ

หลายปีมานี้ ผมเห็นหนังสือหลายเล่ม บทความมากมาย กระทู้เยอะแยะ ที่ผลักดันให้คนเราออกจากงานประจำมาตามฝันของตัวเอง หรือบางทีแอบเขียนเชิงดูถูกคนทำงานประจำหน่อยๆด้วยซ้ำ รู้สึกเหมือนบังคับกูรวยจัง เห็นอวยกันจังคนทำธุรกิจเนี่ย ลองมาดูมุมมองของคนที่ก้มหน้าก้มตาทำธุรกิจของตัวเองบ้างครับ

ตัวผม ทำธุรกิจมา 8 ปีแล้วตั้งแต่เรียนปีหนึ่งของมหาวิทยาลัย เคยล้มมาครั้งสองครั้งได้ ผ่านน้ำท่วมมาเหมือนกันครับ ไปหมดเลยครับตอนนั้น เริ่มต้นด้วยเงินทุนและโอกาสจากอาจารย์จากธุรกิจเล็กๆ พลาดแล้วพลาดอีก ปัจจุบันก็แตกขยายมาทำธุรกิจอื่นบ้าง ปัจจุบันยอดขายอยู่ที่แปดถึงเก้าหลัก พนักงานราวๆ 70 คนได้ เป็นที่ชื่นชมของคนรอบตัวและรุ่นน้อง .... โดยที่พวกเขาบางทีก็ไม่รู้เลยว่า ตัวผมเองแทบไม่มีความสุขเลย

อยากให้ลองถามตัวเองดูนะครับ ว่าพร้อมรับมือกับความผิดหวัง เวลาชีวิตที่อาจจะหายไปหรือยัง ยกตัวอย่างนะครับ
> คนทำธุรกิจเล็กๆ ลงมือสร้างด้วยความฝันและความหวังอันเปี่ยมล้น โดยที่ไม่สามารถหาคำตอบได้เลยว่า ทำออกมาเเล้วจะเป็นอย่างไร ทุกครั้งที่ผมเห็นคนเปิดร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านขายของ แต่งร้านซะสวยด้วยความตั้งใจ แต่พอถึงเวลาทำเสร็จ ไม่มีลูกค้า ขายได้ไม่ตรงเป้า พยายามดิ้นรน แต่พอไม่สมหวังก็ต้องปิดตัวไป เชื่อมั้ยครับ ผมเข้าใจความรู้สึกเหล่านี้มากๆเพราะผมก็เจอมาเหมือนกัน มันทั้งเจ็บปวดและสิ้นหวังครับ คุณรับได้หรือไม่
> เวลาส่งของไป ทำงานให้ลูกค้าไป ลงทุนไปแล้ว แต่เจอพวกขี้โกง ตามเก็บเงินไม่ได้ หนีหนี้ ขายของได้จนทำตัวเองเดือดร้อน ลงทุนไปเยอะกว่าเงินที่เก็บได้เพราะความเชื่อใจลูกค้า
> ต้อง คิด หา สารพัดมาพัฒนาธุรกิจของตัวเอง  ขายไม่ได้ก็ต้องหาวิธีประชาสัมพันธ์ ออกไปหาลูกค้า นั่งเฝ้าหน้าออฟฟิส ฯลฯอีกสารพัด ที่พูดมานะ ใช้เงินทั้งนั้นแหละครับ
> ต้องมานั่งทำนั่งดูบัญชี เช็คสต็อก อ่านรายงาน สารพัดรายละเอียด ที่ต้องส่งสรรพากร ในขณะที่เพื่อนๆของคุณสังสรรค์กันช่วงสุดสัปดาห์
>รับโทรศัพท์ตอนตี 4 ในช่วงวันหยุดวันแรกยาว ว่าออฟฟิสไฟไหม้
> เซ็นให้พนักงานออกเพราะไม่ผ่านโปร และมาทราบทีหลังว่าเมียของพนักงานคนนั้นกำลังจะคลอดในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่ก็ต้องใจแข็งเพื่อรักษา order ความเป็นระเบียบของบริษัท
> ก้มหัวขอโทษซัพพลายเออร์ และลูกค้าในความผิดพลาดที่เราไม่ได้ตั้งใจให้เกิดขึ้น
> รับความผิดพลาดหลายอย่างที่เกิดขึ้นจากความไม่รู้ คุณๆผมๆพลาดกันไม่ได้เยอะหรอกครับ สายป่านเราสั้น พลาดไม่กี่ทีก็เจ็ง เราไม่ใช่ลูกเจ้าสัวที่ไหน
> โดนคู่แข่งตัดราคา พูดจาเสียๆหายๆ
> นอนไม่หลับเพราะรู้ว่ามีเงินก้อนใหญ่ที่ต้องจ่ายในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ขณะที่ความคืบหน้าของงานยังไปตามเป้าหมาย ไหนจะตามเก็บเงินลูกค้า
>  นั่งปวดหัวกับเรื่องราวดราม่าที่เกิดขึ้น พนักงานแบ่งฝักแบ่งฝ่าย เล่นยา ตีกัน โดนตำรวจจับ พนักงานหนึ่งคนร้อยเรื่อง ร้อยคนก็หมื่นเรื่อง เคนตั้งแต่พนักงานคลอดลูกฉุกเฉินในคืนวันปีใหม่ และไม่มีตังค์จ่ายค่าพยาบาล ผมต้องตีรถจากหัวหินมาปทุมฯเพื่อจ่ายค่าพยาบาล(โดนหมอเรียกว่าคุณพ่อด้วย...) เคยจับได้ว่าพนักงานที่เชื่อใจ ขโมยของบริษัทและบริษัทลูกค้า ต้องแจ้งความและเอาเข้าคุกด้วย เคยนั่งรถไปกับพนักงาน โดนตำรวจเรียกให้ตรวจฉี่ ไอเราเฉยๆ แต่ไอพนักงานนี่ม่วงเฉย กลัวจะโดนยัดยา สุดท้ายก็ต้องจ่าย

ที่พูดมานี่เล็กน้อยนะครับ นึกขึ้นมาได้ตอนพิมพ์
ศุกร์สิ้นเดือนบางเดือน จะเป็นช่วงที่เหนื่อยมาก บางทีเก็บเงินลูกค้าไม่ได้ตามเป้า ก็ต้องวิ่งหาเงินมาจ่ายเงินเดือน บางเดือนเหลือกับตัวหลักร้อย ในขณะที่พนักงานออกไปเฮไปปาร์ตี้ เพื่อนๆของเราออกไปพบปะเจอหน้ากินข้าวไปผับไปบาร์ ในขณะที่เรานั่งวางแผนว่าจะเอายังไงกับสัปดาห์ต่อไป(หรือวันต่อไป)

คุณต้องยอมรับเลยว่า ชีวิตคุณจะอยู่บนความไม่แน่นอน ความไม่secureตลอด จะต้องดิ้นรนจนกว่าธุรกิจคุณจะเจอจุดที่พอดีพอเหมาะ หรือจุดสมดุล คำถามคือสายป่านเรายาวพอมั้ย ความอดทนเราเพียงพอมั้ย   สินค้าเราจะเป็นที่ต้องการจนถึงตอนนั้นมั้ย อย่าลืมนะครับว่าทุกวันนี้ทุกอย่างมี dynamicที่เร็วและแรงมาก

ในขณะที่คนที่ทำงานประจำ รับผิดชอบหน้าที่ตัวเอง รับผิดชอบภาระตัวเอง แน่นอนว่าภาระ หน้าที่ ความเสี่ยง และผลตอบแทนมันต่างกันมาก คนก่อตั้งบริษัทเอาทุกอย่างมาเดิมพัน กับคนส่งใบสมัครงานเเล้วรอผล มันย่อมแตกต่าง   แต่คุณลองถามตัวเองหรือยังว่าความสุขจริงๆของคุณคืออะไร สำหรับผมคือครอบครัว สัปดาห์นึงผมได้เจอพร้อมหน้าพร้อมตาแค่วันเดียว บางทีเครียดโทรไปร้องไห้กับแม่ ผมคบกับแฟนมานานมาก อยากแต่งงาน แต่ก็ไม่กล้า เพราะภาระผมเยอะ บางสัปดาห์กินไม่ได้นอนไม่หลับ ปีนี้หายไปแล้ว6โล ยอมรับไว้เลยกับชีวิตที่จะหายไปในช่วงตั้งตัว ช่วงดีก็ดี ช่วงแย่ก็เยอะ      จนบางที ผมนอนคิด ว่าถ้าเราไปสมัครงานแต่แรก ตั้งใจทำงาน ได้ใช้ชีวิตเหมือนเพื่อนๆหลายๆคนก็คงดีเหมือนกัน แต่อย่างว่าแหละครับ มาถึงตอนนี้มันถอยไม่ได้แล้ว ทั้งพนักงาน ทั้งหุ้นส่วน ทั้งแบงก์ ทั้งลูกค้า จ่อคอหอยผมอยู่ มีแต่ต้องสู้ต่อไป   ไม่รู้ที่ไม่ค่อยมีความสุขเพราะเป็นวัยผมหรือป่าว ตอนนี้ผมยังไม่ 26 กำลังเป็นวัยที่หลายๆคนลัลล้าไปเที่ยวกันอยู่  

สุดท้ายนี้ ผมว่าคนเรา จะทำงานอะไร จะทำงานประจำ จะเป็นเจ้าของธุรกิจ จะนั่งเล่นหุ้นอยู่บ้าน หรือจะไม่ทำงานเลย มันอยู่ที่ความพอใจ ความสามารถ สถานะและโอกาสของคนนั้นๆนะครับ ไม่ใช่ใครก็ตามแต่คิดอยากจะทำก็ออกมาทำ ถามความพร้อมตัวเองหรือยัง และอาชีพไหนๆก็มีความสำคัญและมีเกียรติทั้งนั้นแหละครับ

สำคัญที่สุด คือคุณตามหาอะไรอยู่ อะไรคือความสุขของคุณ เป้าหมายของคุณคืออะไร นิยามความสำเร็จของคุณคืออะไร
ถ้าคำตอบของคุณ ต้องทำธุรกิจถึงจะตอบคำถามเหล่านั้นได้ ...  ก็  Welcome to the club ครับ ยิ้ม

ขอบคุณครับ

ปล อีกครั้ง   ถ้ากระทู้นี้มีข้อความกระทบใคร กราบขออภัยมา ณ ทีนี้ ไม่ได้เจตนาจริงๆนะครับ

คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 37
พอดีเห็น จขกท. ตอบใน คห.ที่ 22-1 เกี่ยวกับเรื่องเงินหมุน
ผมจึงอยากแชร์เพิ่มเติมดังนี้
๑.เมื่อเราขายสินค้า เป็นเครดิต เท่ากับเรากำลังให้เค้ายืมเงิน
   แม้ว่าเดิมเรามีสินค้าในสต๊อกอยู่แล้ว
   ดังนั้น เราจึงควรกำหนด วงเงิน และนโยบายการทวงหนี้
๒.ลูกค้าเมื่อเปลี่ยนสถานะเป็นลูกหนี้แล้ว
   เราไม่ควรเสี่ยงปล่อย เจ้าใดเจ้าหนึ่งเกินความสามารถของเรา
   พูดอีกที ไม่ใช่เห็นว่าขายดี ก็ปล่อยเครดิตกันเพลิน
   เที่ยววิ่งหาเงิน มาเติม จริง ๆ ถ้าเครดิตเต็ม เราอาจจะอนุโลม
   เพิ่มวงเงินชั่วคราว แต่ถ้าเต็มต้องหยุดขาย
๓.ทำไมขายดี มีกำไร แต่ไม่มีเงินสักที นั่นเป็นเพราะเงินหมุน
   สมมุติ ปีนี้ขายได้กำไร ๓ ล้านบาท (สุทธิหลังจากจ่ายภาษีแล้ว)
   แต่ในปีนี้ เราดาวน์รถใหม่ ๓แสน ทำโกดัง ๗แสน สต๊อกของเพิ่ม ๔แสน
   ลงเครื่องจักรเพิ่ม ๑ล้านบาท ขายดีลูกหนี้เพิ่ม ๖แสน ปันผลให้ ผถห. ๑ล้าน
   สรุป กำไร ๓ล้าน จ่ายปันผลออกไป ๑ล้าน คงเหลือกำไรไว้หมุนเวียน ๒ล้าน
   แต่ ๒ ล้านที่เหลือ เอามาลงทุนเพิ่ม ๓ล้าน มันจึงไม่พอต้องหากู้เพิ่ม
๔.ธนาคารเป็นผู้ให้บริการ เราสามารถเจรจาต่อรองได้
   ลองเรียกธนาคารอื่นอีก ๒ ถึง๓ เจ้าเข้ามาเสนอบริการ
   เค้าสามารถแข่งเรื่องค่าธรรมเนียม ต่าง ๆ ได้
๕.ที่สุดแล้วการเพิ่มทุนก็อาจจะจำเป็น

ขอให้โชคดีครับ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
ขอแนะนำจากใจครับ เพราะเคยผ่านช่วงนี้มาแล้ว
เหตุที่ จขกท ทุกข์ เพราะ จขกท ยังส่งจิตออกไปข้างนอก
เมื่อ จขกท ผ่านเรื่องพวกนี้ อีกระยะหนึ่ง
จะเกิดการตกผลึก อารม จิตและความคิดจะก้าวข้ามไปอีกขั้น
หรือพูดอีกที คือ โตขึ้น เป็นผู้ใหญ่ แก่ขึ้น
โดยวิธีง่ายสุด ที่จะผ่านตรงนี้ไปได้ คือ หัดสวดมนต์ บทยาว
อย่าง ชิณบัญชร พาหุง อิติปิโสเท่าอายุ ฯลฯ

อยากให้ จขกท คิดอย่างนี้ครับ
เราเกิดมา เพื่อทำให้คนอื่นมีความสุข
เราเกิดมา เพื่อเป็นที่พึ่งให้แก่คนรอบข้าง
เมื่อเราทำเต็มที่แล้ว สิ่งใดนอกเหนือการควบคุม ก็ปล่อยวาง
สิ่งใดเสียหายเล็กน้อยปล่อยวาง อย่าถือเป็นอารม
เป็นเรื่องปกติ ที่จะมีปัญหา ในเรื่อองคน เรื่องงาน
แต่จะไม่ปกติ ที่เรา ในฐานะผู้เป็นที่พึ่งของทุกคน
จะไปเต้น ตามปัญหาที่เกิดทุกเรื่อง

อันที่จริง ผมเชื่อว่า จขกท น่าจะผ่านเลยขั้นนี้ไปแล้ว
แต่หากยังทุกข์ร้อนใจ ในงานประจำวัน
ขอให้เริ่มต้นสังเกต อารมของเรา ในขณะนั้น
แรกๆ จะไม่ค่อยทัน อาจจะโมโหแล้ว เสียใจแล้ว
โลภแล้ว จึงมาคิดได้ภายหลัง แต่หากได้ฝึกการสังเกต
อยู่โดยตลอดแล้ว จะพบว่าเมื่อเราขจัดอคติต่างๆ ออกไป
งานจะดีขึ้น อารมดีขึ้น ชีวิตดีขึ้น ปัญหาน้อยลง

สุดท้ายนี้ ผมเชื่อว่าเราทุกคน ต่างก็สร้างประโยชน์
ให้แก่สังคมทั้งสิ้น ก็ขออวยพร ให้ จขกท มีจิตใจ ที่เข้มแข็ง
ต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ และเป็นที่พึ่งแก่ทุกคน
ขอให้โชคดีครับ

ปล.แนะนำถ้าธรกิจยังไปได้ หาคนมาวางระบบ
แล้วชีวิต จะดีขึ้นมาก จากต้องทำเองทุกเรื่อง
ตอนนี้ ผมไม่ต้องถือเงินเอง ไม่ต้องดูแลงานเองทุกอย่าง
ทั้งบริษัทเปลี่ยนเป็นหยุดวันเสาร์
ล่าสุดลูกป่วย ผมไปเฝ้า ก็ทำงานจาก รพ ก็ได้
ฯลฯ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่